@121785

สาวน้อยตัววุ่นชุลมุนในเบาะยูโด(ตอนที่ 3)

Zero2Zero View 925

ตอนที่ :3 ว่าด้วยการเคารพ(อะไรกันนักหนาเนี่ย?)


“ชมรมยูโดของเรา ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในที่ไกลสุดของโรงเรียน ด้านหน้าของชมรมมีต้นหูกวางต้นใหญ่แผ่กิ่งใบหนาแน่น ที่ด้านในชมรมมีห้องแต่งตัวเล็ก ๆ ที่เก็บชุดยูโดเก่า ๆ มากมาย ที่อาจารย์ป้าทามาโกะสั่งนักสั่งหนาให้รักษามันไว้ให้เป็นระเบียบ

พี่ไมท์บอกว่า ถ้าแม้แต่ระเบียบเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ พวกเรายังรักษาไว้ไม่ได้ จะฝึกยูโดที่มีระเบียบข้อบังคับหยุมหยิมได้ยังไง อ้อ ลืมบอกไปอย่าง ชมรมเรามีเครื่องมือออกกำลังกาย เก่า ๆ อย่างพวกดัมเบล และอะไรพวกนี้ด้วยล่ะ มันวางเรียงรายอยู่ด้านหลังของชมรม แต่ไม่รู้ว่าจะแบกมันไหวรึเปล่า เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยออกกำลังกายแบบนี้เลยซักที....”

“ยัยจิ๋วเขียนอะไรอยู่น่ะ ถ้าไม่รีบแต่งตัวเดี๋ยวจะโดนทำโทษนะ”ยัยหวานตะโกนเร่ง ยัยจิ๋วรีบปิดสมุดบันทึกวิ่งตามไปติด ๆ

“ตอนนี้พวกเธอเอาชุดพวกนี้ไปใส่ก่อนนะ ไว้เก่งอีกซักหน่อยค่อยซื้อชุดแข็ง ๆ เป็นของตัวเอง”อาจารย์วาสนาแจกจ่ายชุดยูโด

“โห อาจารย์ นี่มันชุดยูโดหรือผ้าห่อศพเนี่ย ทำไมมันเหม็นอย่างนี้”ยัยหวานพลิกเสื้อยูโดเก่า ๆ ที่คล้ายผ้ากระสอบด้วยความขนลุก

“ถ้ารู้ว่าเหม็นก็หมั่นเอาไปซักซะสิจ๊ะ”อาจารย์วาสนาบอก

“โฮ่ๆๆๆๆ เบื่อจริง ๆ เลยพวกยากจนเนี่ย ครูขา ของมิ้นท์กับน้องมายไม่ต้องก็ได้นะคะ พวกเราซื้อชุดใหม่มาเรียบร้อยแล้ว”พูดจบก็ชูชุดใหม่ขาวจั๊วให้ทุกคนดู

“ว้าย ๆ นี่ มิสซูโน่ เชียวนะเนี่ย ตัวละหมื่นกว่าเชียวนะ ป๊ะป๋าซื้อให้ โฮ่ๆๆ”เสียงยัยไฮโซจอมแสบยังคงเยาะเย้ยอยู่ไม่ขาดสาย

“พวกเธออย่าไปสนใจยัยไฮโซปากม้านี่เลย พวกอวดรวย ใคร ๆ เขาก็หมั่นไส้กันทั้งนั้นแหละ”ยัยลั๊กกี้ป้องปากกระซิบ

“นี่นี่ อาจารย์ขา น้องมายด์ต้องตัดเล็บด้วยเหรอค่ะ”เสียงน้องมายร้องอุทร

“ไม่ใช่แต่เล็บเท่านั้นนะจ๊ะ พวกตุ้มหู สร้อย แหวน นาฬิกา ที่พราวพรายทั้งหลายก็ต้องเอาไปเก็บที่ล็อกเกอร์นั้นให้หมด จำไว้นะล็อกของใครของมัน”พูดจบอาจารย์วาสนาก็ควักกุญแจล็อกเกอร์ออกมาแจกจ่าย

“ล็อกนั้นชั้นจองแล้วนะยะ”

“ว้าย ๆ ลั๊กกี้ ลั๊กกี้ จะเอาล็อกนี้”

“ล็อกนี้ชั้นจองก่อนย่ะ”

“ว้า ล็อกนี้ของน้องมายด์ทำไมกุญแจล็อกไม่ได้ล่ะคะ”

ฯลฯ

อาจารย์วาสนาเดินหนีเสียงที่เซ็งแซ่นั้นอย่างเซ็ง ๆ

“นี่ ๆ พวกเธอ ครูให้เวลาอีก 5 นาที นะ เสร็จแล้วไปนั่งเรียงแถวรวมกันที่เบาะยูโด”

“อย่างกับจับปูใส่กระด้งเลย นี่ขนาดแค่เริ่มต้นยังทำเอากระด้งแทบแตกแล้ว เฮ้อ....”อาจารย์วาสนาพึมพัม

........................................................................................

“อะไรนะ เจ้าพวกชมรมยูโด มีสมาชิกครบแล้วรึ”ท่านผู้ช่วยผู้อำนวยการที่ปรึกษาชมรมเทนนิสโวยวาย

“ครับอาจารย์ ไม่น่าเชื่อว่าชมรมที่ใกล้จะเจ๊งอย่างนั้นยังมีคนเผลอไปสมัครอยู่ได้”ประธานชมรมเทนนิสเจ้าของไฮไลท์ผมหลากสีบ่นขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ได้ข่าวว่ามันมีสมาชิกใหม่แค่ห้าคนใช่มั้ย”

“ครับ เด็กใหม่ที่ไม่เคยฝึกอะไรมาเลยซักคน”

“ดีล่ะ”อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมเทนนิสดีดนิ้วเปาะ นัยน์ตาเป็นประกาย

“แค่ ห้าคนแค่นี้ แถมยังใหม่ทั้งหมดด้วย ไม่น่าจะทนยัยป้าหน้ายักษ์นั่นเกินสองอาทิตย์อีกหน่อยก็คงลาออกกันหมด”พูดจบก็วางมือบนบ่าลูกศิษย์คนโปรด

“กอบเกื้อ เธอคอยดูไปเถอะ อีกไม่กี่อาทิตย์แล้ว ชมรมบ้านนอกนั้นก็จะเป็นชมรมร้าง ที่สร้างเบาะยูโดนั้นก็ต้องเป็นของเรา...”

........................................................................................

ที่เบาะยูโด อาจารย์ป้าหน้ายักษ์ที่ถูกกล่าวถึงกำลังยืนตีหน้าเรียบสนิท มือทั้งคู่ประคองไม้เคนโด้ในตำนานค้ำตัวเองไว้ตรงหน้า (ทุกคนลงความเห็นว่า ยัยอาจารย์ป้าหน้ายักษ์นี้แข็งแรงจะตาย ไม้เคนโด้อันนั้นคงจะเอาไว้ข่มขวัญมากกว่าเป็นอย่างอื่น)

“เอาล่ะ มีใครรู้มั่ง ว่าปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งวิชายูโดของเราชื่ออะไร?”อาจารย์ป้าทามาโกะตั้งคำถาม

“ชื่อ อาจารย์คาโน่ ค่ะ”ยัยจิ๋วส่งเสียงตอบ เพราะได้เตรียมข้อมูลมาอย่างดี

“ถูกต้อง”รอยยิ้มแว่บนึงออกมาจากนัยน์ตาที่เรียบเฉยนั้น

“ท่านชื่ออาจารย์คาโน่ อาจารย์จิคาโร่ คาโน่”อาจารย์ทามาโกะย้ำ

“ก่อนกาลนานมาแล้ว ที่ประเทศญี่ปุ่น มีวิชาชนิดหนึ่งที่ถูกใช้เพื่อป้องกันตัวในยามสงคราม วิชานั้นคือ ยิวยิสสึ ที่รวมเอาการจับทุ่ม ทุบ ตี ต่อย เตะ และการหักข้อต่อทุกชนิด เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อใช้ในการต่อสู้ป้องกันตัวระยะประชิด ในที่สุดอาจารย์คาโน่ก็ได้เล็งเห็นในความอันตรายของมัน จึงทำการลดทอนและปรับปรุง ให้เป็นวิชาที่เหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น และเรียกวิชาที่ท่านคิดค้นและปรับปรุงขึ้นใหม่นี้ว่า ยูโด

อาจารย์ทามาโกะ หยุดนิดนึง พร้อมกวาดตาดูลูกศิษย์ใหม่ที่กำลังตั้งใจฟังด้วยความสนใจ

“ที่ครูเล่าประวัติความเป็นมาของยูโดให้ทุกคนฟัง เพราะมันเกี่ยวข้องกับวิชาแรกที่พวกเธอจะร่ำเรียนกัน ก่อนอื่นครูขอถามพวกเธอก่อนว่า เธอรู้กันบ้างไหมว่า คำว่า ยูโด แปลว่า อะไร?”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบ

“ยูโด ประกอบด้วยตัวอักษรญี่ปุ่นสองตัว คือคำว่า “ยู” ที่แปลว่าความสุภาพ ความโอนอ่อน และ คำว่า “โด” ที่แปลว่าเส้นทางหรือหลักการ รวมความแล้วก็คือหลักการแห่งความสุภาพหรือเส้นทางแห่งการโอนอ่อน

“เอาล่ะ ครูจะขอถามพวกเธออีกคำ ให้ทุกคนช่วยตอบมา พวกเธอคิดว่าวิชาแรกที่พวกเธอต้องเรียนกันสำหรับนักยูโดคือวิชาอะไร?”

“วิชาจับทุ่มใช่มั้ยค่ะ?”ยัยมิ้นท์ยืดอกตอบ

“ไม่ใช่หรอก วิชาตบเบาะต่างหาก”ยัยจิ๋วตอบตามตำรา

อาจารย์ทามาโกะมองยัยจิ๋วด้วยสายตาอ่อนโยนนิดนึง ก่อนส่ายหัว

“ไม่ใช่ วิชาแรกสำหรับนักยูโดที่ต้องเรียนและต้องใช้ตลอดก็คือ การแสดงความเคารพต่างหาก วิชายูโด เป็นศิลปะการต่อสู้ประเภทเดียวที่ได้ชื่อว่ามีการเคารพมากที่สุด ต่อแต่นี้ไป ไม่ว่าก่อนขึ้นเบาะ หรือลงเบาะ ไม่ว่าเธอจะจับคู่ซ้อมกับใครพวกเธอต้องเคารพทุกครั้ง”

“อาจารย์คะ”ยัยหวานยกมือขึ้นถาม

“การเคารพมากมายขนาดนั้นมันไม่เกินความจำเป็นไปหน่อยหรือคะ ถ้าในชีวิตจริงเราเคารพมากมายขนาดนั้น คนอื่นไม่คิดว่าเราเสแสร้งหรือคะ?”จบคำถามคล้ายขวานผ่าซากของยัยหวานทำเอาทั้งห้องนิ่งสนิท แม้แต่อาจารย์วาสนากับประธานชมรมก็อดตกใจกับคำถามนี้ไม่ได้

แต่อาจารย์ทามาโกะกลับยิ้ม พร้อมตอบกลับมาว่า

“เป็นคำถามที่ดี ครูจะตอบเธอว่า ทำไมถึงต้องเคารพขนาดนั้น”

“เพราะยูโดคือการต่อสู้ที่ใช้กำลังเข้าปะทะ ดังนั้นนักยูโดทั้งหลายจึงต้องฝึกการเคารพให้เป็นนิสัย เพื่อให้เกิดการยอมรับและให้อภัย และ ที่สำคัญ...”อาจารย์ทามาโกะเน้นเสียงเข้มและเป็นกังวาน คล้ายกับจะให้มันจารึกเข้าไปในจิตวิญญาณของลูกศิษย์ทุกคนให้นานแสนนานที่สุด

“เธอทุกคนจะต้องรู้จักเคารพ เพราะมีแต่คนที่รู้จักเคารพตัวเองและเคารพผู้อื่นเท่านั้นจึงจะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

ดังนั้น แต่นี้ต่อไป พวกเธอต้องเคารพให้ดี และจงจำเอาไว้ว่า ถ้าพวกเธอไปแข่งขันกับคนอื่นแล้วแพ้กลับมา ครูยังให้อภัยเธอได้ เพราะวิสัยของการต่อสู้ทั้งปวงก็ย่อมต้องมีแพ้มีชนะ แต่ถ้ามีใครมาต่อว่าพวกเธอเป็นคนไม่มีมารยาท ครูจะไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด ไม่ว่าพวกเธอจะเก่งกาจสักแค่ไหนก็ตาม...”

........................................................................................

“แล้ววันนี้ทั้งวันก็จบลงด้วยการฝึกเคารพ ทั้งนั่งเคารพและยืนเคารพ เคารพแล้วเคารพอีก เพราะพี่ไมท์บอกว่า ถ้าพวกเราเคารพได้ไม่ดี พี่ไมท์จะถูกลงโทษไปด้วย

อีกอย่าง พี่ไมท์สอนให้พวกเราเคารพเบาะด้วยล่ะ โดยจะทำการเคารพเบาะเป็นภาษาไทย(เคารพพระ เคารพพระบรมฉายาลักษณ์ เคารพปรมาจารย์)ตอนเริ่มต้นฝึกซ้อมและเคารพเป็นภาษาญี่ปุ่น(โชเม็ง นี เรอิ1, เซ็นเซ นี เรอิ2)ในตอนเย็น เพื่อให้เราสำนึกให้ขึ้นใจถึงหลักการเคารพของอาจารย์ป้า เฮ่อ...ขนาดแค่ฝึกเคารพเฉย ๆ แท้ ๆ ยังเหนื่อยจังเลย พรุ่งนี้พวกเราจะเจออะไรกันอีกนี่….” (ทั้งหมดนี้คือข้อความในสมุดบันทึกของยัยจิ๋ว)

หมายเหตุ    1 โชเมง นี  เรอิ หมายถึง เคารพปรมาจารย์

2 เซ็นเซ นี เรอิ  หมายถึง เคารพอาจารย์



บทประพันธ์ : กระบี่ใบไม้