ทฤษฎีการคำนวณหนู ใช้แสดงการขยายตัวอย่างรวดเร็วในลักษณะแนวนอนของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยไม่จำกัดแค่จำนวณลุกหลานเรายังใช้คำนี้กับการเพิ่มจำนวณของผู้ป่วยโรคติดต่อด้วย สรุปง่ายๆคำนี้เน้นให้เห็นถึงสภาพการขยายตัวอย่างรวดเร็ว หากต้องการจุดสิ้นสุดของทฤษฎีการคำนวณหนูคงเป็นเรื่องยากแต่จุดสิ้นสุดก็เป็นความจริงแท้ และแฝงความน่าสะพรึงกลัวที่ข้าพเจ้าจำต้องบอกให้ทราบ
ขอให้ลองวาดภาพคนหนึ่งคนขึ้นมาในหัว ไม่จำเป็นต้องมลักษณะเหมือนคนจริงๆ และไม่คำนึงถึงเพศ ขอเป้นแค่ภาพแทนคนที่เรามักใช้แสดงข้อมูล ทางสถิติ เอาหล่ะลองนึกภาพนั้นดู คราวนี้ขอให้นึกภาพการขยายตัวในแนวนอนเป็นรูปพีระมิดฐานกว้างอยู่ใต้ภาพคน นี่คือแผนผังการขยายตัวทั่วไปของทฤษฎีหนู เข้าใจไหม เมื่อครู่ข้าพเจ้าบอกให้ใช้ภาพแทนคน ยืนอยู่บนยอดพีระมิดซึ่งแสดงถึงการขยายจำนวณของลูกหลาน แต่คราวนี้ขอให้เปลี่ยนตัวเองลงไปแทน แล้วนึกภาพว่าตัวคุณคือจุดเริ่มต้นผู้ให้กำเนิดลูกหลานมากมาย เป็นอย่างไรบ้างคนที่แต่งงานแล้วคงนึกภาพออกทันทีเลยใช่ไหมยิ่งถ้ามีหลานคงเห็นภาพชัดเจนขึ้น แต่บางคนก้คงไม่ชินนักในโลกใบนี้มีผู้คนหลากหลาย ทั้งตั้งใจไม่มีลูกเพรารักชีวิตอิสระหรือสภาพร่างกายไม่เอื่ออำนวณบางมีลูกไม่ได้ ยืดหยัดจะครองโสด อายุยังน้อยจึงมองการแต่งงานเป้นเรื่องไกลตัว…..คนเหล่านี้อาจนึกถาพตัวเองยืนอยู่บนพีระมิดแพร่ลูกหลานไม่ออก หรืออาจไม่ค่อยชอบใจกับกิจกรรมนี้นัก ในแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงว่า การมีตัวเรา ไม่ได้หมายความว่าต้องมีลูกหลานของเราอยู่ด้วยเสมอไป (ถูกต้อง อิอิ) เมื่อครูเราลองให้คุณจิตนาการว่าพีระมิดอยู่ใต้เท้าคุณ คราวนี้ขอให้นึกพีระมิดกลับหัวตั้งอยู่บนหัวคุณแทน นี่คือแผนภาพที่มีบรรพบุรุษทั้งหลายขยายตัวกว่างอยุ่บนพีระมิดกลับหัว หากทำแบบนี้ไม่ว่าใครก้คงเข้าใจ กระทั้งคนที่เกิดมาไม่เคยพบหน้าพ่อแม่สักครั้ง เพราะเมื่อเกิดมาแล้วก็แสดงว่าคุณมีพ่อแม่แน่นอน คนที่อ่านบทความนี่อยู่อาจมีสภาพต่างกันไปในเรื่องลูกหลาน บางคนอาจไม่มีลูกบางคนอาจมีลูกแล้ว ขณะที่บางคนอาจมีลูกในอนานคตและกลายเป็นส่วนหนึงของการเพิ่มประชากรโลกเพิ่มต่อไป แต่เมื่อย้อยกลับขึ้นไปหาบรรพบุรุษทุกคนจะมีความจริงแท้ร่วมกัน คือ ตราบใดที่มีตัวเราย่อมต้องมีพ่อแม่ผู้ใก้กำเนิดด้วย ต่อให้คุณถือกำเนิดด้วยวิธีผิดไปจากปกติ ไม่ว่าจะรับจ้างตั้งครรภ์ ปฏิสนธินอกร่างกาย หรือเกิดจากอสุจิหรือไข่ที่ได้รับการบริจาค ความจริงข้อนี้ก็ไม่เปลี่ยน หากไม่พูดถึงมนุษย์โคลนนิ่งแล้ว ทุกคนบนโลกนี้ล้วนมีพ่อแม่ทั้งสิ้นต่อให้ตัดเป็นตัดตายกัน ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผู้ให้กำเนิดคือชายหญิงคู่หนึ่ง
สรุปง่ายๆคือ มนุษย์ทุกคนล้วนมาจากสมการ1+1=1หรือสรุปให้ง่ายกว่านั้นคือ2=1มันไม่มีทางเกิดขึ้นในแง่ของคณิตศาสตร์กลับเป็นไปได้ในแง่กฎทางพันธุกรรม1+1=1ชี้ให้เห็นว่าการกำเนิดของแต่ละคนเกี่ยวข้องกับพ่อแม่หน่งคู่ซึ่งพ่อแม่ก็ย่อมมีพ่อแม่ของแต่ละคน จึงเขียนสมการได้ว่า(1+1) + (1+1) = 1หมายความว่าการกำเนิดของคนหนึ่งคนย่อมเกี่ยวข้องกับปู่ย่าตายายหรือชายหญิงคู่หนึ่ง สรุปว่า4=1
ดังนั้นทุกคนที่ย้อยกลับไปหาบรรพบุรุษแต่ละรุ่น ตัวเลขทางว้ายมือของสมการประหลาดนี้ย่อมทวีขึ้นเป็นเท่าตัวเสมอ หากเราเรียกตัวเลขทางซ้ายมือว่าผู้ให้กำเนิด ของคุณจำนวณของผู้ให้กำเนิดรุ่นถัดไปก็คือพ่อแม่สองคน ถัดขึ้นไปสองคนก็คือรุ่นปู่ย่า ตายายคนถัดขึ้นไปสามรุ่นก็คือ ทวด แปดคน……เพิ่มเป้นสิบหกคน สามสิบสองคน หหกสิบสี่คน หนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน ไปเรื่อยๆเช่นนี้ผู้ให้กำเนิดรุ่นที่nย่อมเพิ่มจำนวณเป็นnยกกำลังสอง สองยกกำลังสิหกเท่ากับ65,535หมายความว่าหากย้อนบรรพบุรุษองคุณถอยกลับไปสิบหกรุ่น ย่อมเท่ากับคุณเกี่ยวข้องกับผู้ห้กำเนิดมากกว่าหกหมื่นห้าพันคน ซึ่งหากคำนวณรวมกับจำนวณผู้ให้กำเนิดก่อนหน้านั้นแล้ว ตัวเลขก็จะทะลุหักแสนเลยทีเดียว และเพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณ เราตั้งเกณฑ์ให้ทั้งพ่อและแม่ในทุกยุคมีลูกเมื่ออายุยี่สิบห้าปี ดังนั้น ระยะเวลารวมสิบหกรุ่นจึงเท่ากับ25*16= 400ปี หากย้อนเวลากลับขึ้นไปอีกสี่ร้อยปี ย่อมตรงกับยุครัฐบาลทหารสมัยเอโดะ แม้การคำนวณนี้เป็นเพียงตัวเลขสมมุติ แต่หากย้อนขึ้นไปหารากเหง้าของคุรไกลถึงยุคนั้น ก็จะพบว่าตัวเลขผู้ให้กำเนิดของคุณเพิ่มมากถึงห้าหมื่นหรืออาจแสนเลยทีเดียว คุณอาจนึกสงสัยว่า หากคำนวณย้อนกลับไปสู่อดีตเรื่อยๆสุดท้ายบรรพบุษจะไม่มีมากเกินจำนวณประชากรญี่ปุ่นในปัยจุบันหรอกหรือ แต่ในความเป็นจริงใช้ว่าทุกคนจะมีวงจรชีวิตตามตัวอย่างนี้ เมื่อย้อนดูบรรพบุรษก่อนหน้าเราเกิดหลายสิบปี คุณจึงจะพบว่าจำนวณผู้ให้กำเนิดที่แผ่ขยายเป็นแนวนอนนั้น ไม่ได้มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันทั้งหมด อย่างไรก็ตามเมื่อถึงตรงนี้คงเข้าใจแล้วว่าการถือกำเนิดของคุณเกี่ยวข้องกับผู้ห้กำเนิดจำนวณมหาศาลในอดีต พีระมิดหัวกลับขนาดใหญ่บนหัวของคนหนึ่ง คนประกอบขึ้นโดยบรรพบุรุญมากมาย และหน่วยทางพันธุกรรมของบรรพบุรุษเหล่านั้นได้ผ่านวงจรลดจำนวณและหลอมรวมโคโมโซมซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยมาสิ้นสุดที่การถือกำเนิดของคนหนึ่งคน ซึ้งก็คือตัวคุณ และนี่เองคือตัวตนโดยท้ของมนุษย์ เป็นที่มาของชื่อทฤษฎีการคำนวณหนูหัวกลับที่ข้าพเจ้าตั้งขึ้น
คุณคงเข้าใจแล้ว่าทฤษฎีการคำนวณหนูหัวกลับ กำลังบอกเล่าความจริงสำคัญอะไรแก่เรา ใช้แล้ว เป็นไปได้สูงว่าบรรพบุรุษของคุณซึ่งเพิ่มจำนวณเป็นหลายแสนหลายล้านคนในระหว่างการคำนวณย้อยกลับไปหลายสิบรุ่น อาจเคยมีอยู่ในยุคเดียวกับบรรพบุรุษของคนที่คุณคิดว่าเพียง คนอื่น ก็ได้ มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินเจ็ดสิบถึงแปดสิบปี หากพิจารณาอันช่วงที่แสนสั้นแล้ว รอบตัวเรามีแต่คนอื่น มีน้อยมากที่จะค้นพบว่าเพื่อนฝูงหรือคนที่รรู้จักที่เราคบหาโดยเข้าใจว่าเป็น คนอื่น นั้นแท้จริงแล้วมีความเกี่ยวพันกันเป็นญาติกันทางสายเลือด แต่หากใช้ทฤษฎีการคำนวณหนูหัวกลับย้อนกลับไปสู๋อดีตอันไกลโพ้น ย่อมเป้นไปได้ส่า คนอื่น อาจเคยเป็นเครือญาติที่มีรากเหง้าเดียวกับเรา ไม่ใช้แค่ป็นไปได้แต่มีโอกาศสุงมาก การแบ่งแยกว่าเป็น คนใน หรือ คนนอก เป็นแค่การแบ่งของเขตข้อมูลจากเครือญาติ หรือมีเอกสารว่าเชื่อสายเดียวกัน แต่ว่าส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารหลักฐานย้อนกลับไปในอดีตอันแสนไกล คุณจึงแบ่งแยกระหว่าง เครือญาติ กับ คนอื่น ออกจากกันโดยอาศัยข้อมูลจำกัด หากประชากรในญี่ปุ่นมีหนึ่งร้อยยี่สิบล้านคน คนที่คุณยอมรับว่าเป็นญาติน่าจะมีอยุ่แค่หลักสิบ ต่อให้มากก็ไม่เกินร้อยสองร้อย แต่บุคคลเหล่านั้นเป็นยาติคุรแน่หรือ ความจริงอาจเป็นกลุ่มบุคคลที่คุณคบหาในฐานนะญาติแล้วบันทึกเอาเองว่าคุณเป็นญาติก็ได้
พนักงานบริษัทชายหญิงที่โดยสารรถไฟแน่นขนัดไปทำงานทุกเช่าค่ำคงไม่คเยคาดคิดว่าในตู้เดียวกันมีหน่วนทางพันธุกรรมเดียวกับตัวเองอยู่มากมายแต่สำหรับคุณซึ่งได้รู้เกี่ยวกับทฤษฎีการคำนวณหนูหัวกลับคงเข้าใจแล้วว่าเราไม่อาจแบ่งแยก คนใน กับ คนนอก ออกจากกันโดยเด็ดขาด เพราะเป็นไปได้ว่าคุณกับผู้โดยสารตู้รถไฟคันเดียวกัน หรือคนที่ยืนโหนราวอยู่ข้างกัน ได้รับหน่วยพันธุกรรมเดียวกันมา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องตลกเลย หากหญิงสาวที่ถูกจับก้นในรถไฟที่แน่นขนัดกับผู้ชายวิตถารคนนั้นเป็น เครือญาติ ผู้มีรากเหง้าทางพันธุกรรมเดียวกัน เรื่องนี้เป็นไปได้มากทีเดียว และด้วยหลักคิดเดียวกันนี้ จึงเป็นไปได้ว่า ฆาตกรคดีต่อเนื่องซึ่งทำให้สังคมอกสั่นขวัญแขวน นักเรียนประถมหรือมัธยมต้นผู้ก่อเรื่องโหดร้ายทารุณได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา หรืออาชญากรข่มขืนที่ใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือสนองตัณหาอย่างป่าเถื่อน ล้วนเกี่ยวโยงกับคุณด้วยหน่อยพันธุกรรม และหากเราเรียกความเกี่ยวโยงนั้นว่าเครือญาติ หมายความว่าคุณมีญาติเป็นปีศาจร้าย แต่คุณไม่รู้ ใช่แล้ว ความรู้นั้นไม่อาจทำให้คุณประณามอาชญากรเหล่านี้อย่างสาดเสียเทเสีย
คงไม่มีใครปฏิเสธหากเห็นเรามีนิสัยหรือหน้าตาคล้ายพ่อแม่ บางคนอาจเคยได้ยินพ่อแม่บอกว่าคุณมีนิสัยหรือหนย้าตาคล้ายปู่ย่าตายาย แต่แทบไม่มีพ่อแม่คนไหนพูดย้อนไปถึงปู่ทวด ย่าทวด ทำนองว่าคุณมีนิสัยเหมือนปู่ทวดไม่มีผิด ยิ่งบรรพบุรุษรุ่นเก่ากว่านั้น ยิ่งไม่ได้รับการเอ่ยถึง เว้นแต่จะเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทั้งนี้เพราะพ่อแม่ของเรามีข้อมูลบรรพบุรุษอยู่แค่รุ่นเดียว แต่การไม่ถูกเอ่ยถึงไม่ได้แปลว่าเราไม่มีนิสัยคล้ายบรรพบุรุษเก่าๆ เหล่านั้น ไม่ใช่แค่ด้านดี หากรวมถึงด้านชั่วร้ายด้วย...
ลองคิดดูสิ หากย้อนไปสู่ยุคสงครามก่อนสมัยเอโดะ จำนวนผู้ให้กำเนิดของคุณอาจเพิ่มเป็นหลายหมื่นหลายแสน หรืออาจถึงหลักล้าน แน่นอนว่า เมื่อมีคนมากมายขนาดนั้น ย่อมไม่จำกัดเฉพาะคนดี แต่ต้องมีคนชั่วปะปนอยู่มากเป็นเงาตามตัว ซึ่งรวมถึงคนจิตใจผิดปกติเกินระดับชั่วอย่างพวกฆาตกรใจโหดด้วย เมื่อครู่ข้าพเจ้าบอกว่า เป็นไปได้สูงว่าฆาตกรใจโหด หรืออาชญากรทางเพศอาจเกี่ยวดองเป็นเครือญาติของคุณมาแต่อดีต ทว่าความจริงยังเป็นไปได้อีกว่า ตัวคุณอาจเกี่ยวดองกับพวกเขาโดยตรงกว่านั้น นั่นคือคุณเป็นลูกหลานสายตรงของบุคคลผู้กระทำเรื่องโหดร้ายทารุณดังกล่าว คุณอาจแย้งว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงเป็นกรณียกเว้นซึ่งมีน้อยมาก แต่หากไล่ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยโชวะ ไทโช เมจิ เอโดะ จนถึงสมัยสงครามก่อนหน้า ยิ่งถอยกลับขึ้นไปมากเท่าไรคุณก็ยิ่งพบว่าในยุคสมัยเหล่านั้นไม่มีร่องรอยของคำว่า สิทธิมนุษยชนอย่างในปัจจุบัน แต่สามารถใช้ดาบบั่นคอคนทิ้งได่อย่าไงม่รู้สึกรู้สา ส่วนศพก็ทิ้งไว้ข้างถนน ผู้คนซักผ้าหุงข้าว ดำเนินชีวิตประจำวัน ตามปกติ ท่ามกลางฝูงนกกาจิกกินคอหรือแขนขาคนที่ถูกฟันกระเด็น การตัดสินพิพากษาในยุคนั้นไม่ได้คำนึงถึงเรื่องน้ำหนักของหลักฐานหรือวิเคราะห์ตามหลักเหตุผล แต่นิยมใช้กำลัง ซึ่งการทำให้คนเจ็บปวดถึงที่สุด หรือเรียกว่าการทรมานนั่น ถูกนำมาใช้เป็นอุปกรณ์รีดเค้นความจริงในยุคสมัยที่บรรพบุรุษของคุณมีชีวิตอยู่
จนกระทั่งต้นสมัยโชวะ ก็ยังมีการทรมานให้สารภาพ แม้วิธีที่ใช้กับคนคิดแข็งข้อจะรุนแรวมาก แต่ก็เปรียบไม่ได้กับวิธีทรมานอันโหดเหี้ยมที่พวกฮิเดโยชิใช้กับพวกคริสเตียน แต่กลับไม่มีเสียงตำหนิเลยว่าการกระทำเหล่านั้นไม่ใช่วิธีของมนุษย์ ป่าเถื่อน เป็นสุดยอดของความโหดเหี้ยม หรือไม่ใช่คน ใช่ว่าผู้คนไม่มีสิทธิ์ประณาม เพราะเป็นการกระทำขององค์จักรพรรดิ แต่เป็นเพราะในส่วนลึกมนุษย์มักตื่นเต้นมากกับการกระทำเช่นนั้น ตราบใดที่ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ มนุษย์มักไม่หวาดกลัว แต่กลับเพลิดเพลินและเห็นเป็นความบรรเทิงอย่างหนึ่ง เหมือนเวลาได้ดูสิงโตสู้กับนักรบในสมัยจักรวรรดิโรมัน นี่คือลักษณะโดยแท้ของมนุษย์ สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่นใช้ร่าวกายมนุษย์ประเทศจีนทำการทดลอง ซึ่งสร้างความเสื่อมเสียไปทั่วโลก เช่น เปิดหน้าท้องคนทั้งเป็นเพื่อวิเคราะห์อวัยวะภายใน แต่จีนแผ่นดินใหญ่ในสมัยนั้นก็เคยสำเร็จโทษโดยแยกชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ จัดขึ้นอย่างเปิดเผยในมณฑลกวางตุ้ง เมื่อปี ค.ศ.1926มีบันทึกว่ามีนักอาชญวิทยาชาวเยอรมันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย การสำเร็จโทษครั้งนั้น เริ่มจากตัดกล่องเสียงนักโทษทั้งเป็นเพื่อไม่ให้ร้องขณะถูกชำแหละร่างกาย ก่อนจะลงมือถลกผิวหนังออกทีละส่วนอย่างช้าๆ นอกจากนี้ยังปรากฎภาพถ่ายฝูงชนสูบบุหรี่ไป กินข้าวไป ขณะนั่นชมเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย
ในยุโรปสมัยกลางหรืออียิปต์โบราณ ก็มีวิธีสำเร็จโทษในลักษณะนี้เช่นกัน และดูเหมือนศาสนากับการทรมานไม่อาจแยกจากกันได้มาแต่ไหนแต่ไร เพราะชนชาติที่นับถือศาสนาหนึ่ง มักมองว่าคนนับถือศาสนาอื่นถูกปีศาจร้ายเข้าสิง และเชื่อว่าวีธรรมดาไม่อาจกำจัดปีศาจร้ายได้ จำเป็นต้องทำให้ปีศาจเจ็บปวดให้มากที่สุด ทั้งจับอังไฟ แช่น้ำร้อน แทงด้วยตะปู ใช้เชือกมัดแขวน บดขยี้ด้วยก้อนหิน ถลกหนังด้วยของมีคม ใช้แรงม้าแยกร่างให้ฉีกขาดออกจากกัน พวกเขามองว่านี่ไม่ใช่การกระทำโหดเหี้ยม แต่เป็นการลงโทษปีสาจร้ายในร่างมนุษย์ โดยเชื่อว่าเมื่อเจ็บปวดถึงที่สุด ปีศาจร้ายในร่างมนุษย์ก็จะเริ่มแสดงนิสัยแท้จริง และยอมจำนน อีกทั้งเชื่อด้วยว่าหากไม่ทำลายร่างกายมนุษย์ที่เคยถูกสิงให้สิ้นซาก ปีศาจอาจหวนกลับมาใหม่ ดังนั้นผู้ทำการทรมานจึงมีความรู้สึกอยากทำโดยไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังไม่เคยคิดว่าตนโหดเหี้ยมหรือผิดปกติ ยังมีความเชื่อด้วยว่าหากไม่เอาปีศาจร้ายออก คนผู้นั้นจะมีสภาพจิตไม่ปกติ
คุณอาจคิดว่าประเทศที่เจริญแล้ว คงยกเลิกวิธีสำเร็จโทษอันโหดเหี้ยมไปนานโข แต่ควาสมจริงไม่ใช่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เครื่องประหารกิโยตินชื่อฉาวโฉ่ไปทั่วโลก คนยุคปัจจุบันอาจรู้สึกว่าวิธีประหารชีวิตด้วยเครื่องมือชนิดนี้ สุดแสนป่าเถื่อน แต่คุณรู้ไหมว่าคนสมัยก่อนใช้กิโยตินมาถึงเมื่อไร คุณคงคิดว่าอย่างมากก็ไม่เกินศตวรรษที่สิบเก้า ทว่าไม่ใช่เลย ประเทศเยอรมันหรือประเทศออสเตรีย ใช้เครื่องประหารกิโยตินกันแพร่หลายจนถึงปี ค.ศ.1945ซึ่งเป็นปีสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนประเทศฝรั่งเศษซึ่งเป็นต้นกำเนิดเครื่องมือชนิดนี้ ก็ใช้มาจนถึงปี ค.ศ.1977 นี่เอง การประหารชีวิตด้วยกิโยติน ถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการเมื่อปีค.ศ.1981ไม่ใช่เพราะเห็นว่าวิธีตัดคอเป็นเรื่องโหดร้ายป่าเถื่อน แต่เพราะสภามีมติให้ยกเลิกระบบประหารชีวิตทั้งหมด ดังนั้นหากระบบนี้ยังคงอยู่ก็เป็นไปได้ว่าประเทศฝรั่งเศษอาจยังสำเร็จโทษด้วยการตัดคอแม้อยู่ในศตวรรษที่21ทำไมวิธีโบราณตั้งแต่สมัยยุคกลางถึงยังอยู่มาถึงยุคปัจจุบัน ตอนกิโยตินเพิ่งถูกนำมาใช้ มีจุดเด่นตรงได้ผลดีเนื่องจากใบมีดทำเป็นรูปทะแยงและสามารถยกขึ้นได้จนถึงยอดแท่นวางคอนักโทษ เมื่อปล่อยลงมาน้ำหนักของใบมีดแข็งแรงเพิ่มความเร็วขณะพุ่งตัดคอนักโทษได้ในเสี้ยววินาที เวลาต้องประหารนักโทษคราวละมากๆ จึงนิยมใช้กิโยติน
การประหารชีวิตนักโทษมากมาย อาจทำให้เจ้าหน้าที่อ่อนล้า บางครั้งจึงลืมหยิบหัวนักโทษออกจากจานรอง โดยนำนักโทษคนต่อไปมาพาดคอตรงแท่นต่อทันที เคยมีปรากฎแล้วว่านักโทษบางคนเห็นคอที่เพิ่งถูกตัดอยู่ห่างแค่คืบ เกิดกลัวจนสติแตกจนดิ้นหลุดจากเครื่องพันธนาการ แต่เหตุผลที่สำคัญที่ทำให้เครื่องประหารกิโยตินถูกใช้มาจนถึงปลายศตวรรษที่20แม้จะมีแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นแล้ว เพราะเชื่อกันว่าวิธีนี้ทำให้นักโทษเจ็บปวดน้อยที่สุด คือจะเสียชีวิตทันทีที่ถูกมีดตัดคอโดยไม่ทันได้รู้สึกเมื่อเทียบกับการใช้เก้าอี้ไฟฟ้าหรือแขวนคอ นักโทษแทบไม่ต้องเจ็บปวดเลย วิธีนี้จึงถูกมองว่าเป็นการประหารชีวิตที่มีมนุษยธรรมที่สุด แต่ในความเป็นจริงมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในลานประหารที่ชวนให้คิดได้ว่า หัวที่ถูกตัดแล้วยังมีความรู้สึกอยู่ เช่นเมื่อเจ้าหน้าที่นำไปทิ้ง หัวนักโทษมักหยีตาทันทีที่ถูกแดด หรือบางครั้งก็จ้องเจ้าหน้าที่ประหารด้วยแววตาอาฆาต ตัวอย่างชัดกว่านี้คือ มีนักโทษบางรายยอมร่วมมือกับการทดลองของแพทย์ผู้ร่วมการประหาร โดยแพทย์ขอว่าหลังถูกตัดคอแล้วให้ช่วยขยิบตาเมื่อถูกเรียกชื่อ ปรากฎว่านักโทษก็ขยิบตาตอบเมื่อแพทย์เรียกชื่อเขาตามที่รับปากไว้ก่อนถูกตัดคอ บางคนก็ใช้การกลอกตาแทน มีผู้เกี่ยวข้องกับลานประหารจำนวนมากได้ประจักษ์แก่ตาว่า หัวที่ถูกตัดขาดยังมีความรู้สึกเหลืออยุ่อีกครู่ใหญ่ดังได้เล่าไป ซึ่งน่าคิดว่าสิ่งนี้บอกอะไรแก่เรา หากคุณมองว่าเป็นปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ หรือเรื่องลี้ลับก็คงจบแค่เอาไปทำหนังผี ความจริงแล้วเรื่องนี้สามารถอธิบายได้ตามหลักเหตุผล คำตอบคือ เมมโมรี่
เหตุที่ต้องมีเมมโมรี่ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้โปรแกรมการทำงานทั้งหมดของร่างกายมนุษย์ลบหายโดยง่าย ในสมองมีศูนย์เก็บข้อมูลโปรแกรมพฤติกรรมเช่นเดียวกับที่กล้องดิจิตอลมีระบบ แบ็คอัพ เพื่อป้องกันไม่ให้ฟังก์ชั่นต่างๆถูกลบทิ้งระหว่างเปลี่ยนแบตตารี่ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ถึงเรียนรู้และจดจำได้ ดังนั้นแม้หัวถูกตัดขาดจากลำตัว เมมโมรี่ก็ยังทำหน้าที่ปกป้องข้อมูงจนกว่าเซลล์สมองจะตายสนิท เมมโมรี่ในสมองคือส่วนสำคัญของร่างกาย ซึ่งตายเป็นลำดับสุดท้าย ความตายแท้จริงคือ วินาทีที่เมมโมรี่ดับสิ้นลงโดยสมบูรณ์ ไม่อาจปกป้องข้อมูลได้อีก
Credit : หนังสือนิยายแปลเรื่อง"อุโมงค์"