อาการปวดหลังเคยมาเยื่นคุรบ้างไหม ถ้าไม่เคย คุณเป็นคนหนึ่งที่โชคดีมากๆ เพราะจากตัวเลขผู้เข้าใช้บริการโรงพยาบาลจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทนพบว่ากลุ่มคนทำงานเป็นกลุ่มที่ปวดหลังบ่อยจำนวนพอๆ กับผุ้สูงอายุเลยทีเดียว
อาการปวดหลังนั้นมีหลายสาเหตุ แต่หากสงสัยว่า อาการปวดหลังที่ปนะสบอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับการทำงานแล้วล่ะก็ ลองพิจารณาดูปัจจัยต่อไปนี้ ว่าคุณประสบอยู่หรือไม่
- ปวดหลัง หลังจากการทำงานที่ต้องนั่งนาน หรือมีท่าการทำงานท่าเดียวนานๆ มีการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง เช่น บิดเอี้ยวตัวอย่างแรง และเร็ว จนอาจทำให้กระดุกสันหลัง แอ่น โค้งหรือบิดงอได้ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดหลัง
- มีอารมณ์เครียดจากการทำงาน เป็นระยะเวลานาๆ เรื่องของอารมณ์นี้ คุณคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับอาการปวดหลัง แต่กายและจิตใจเชื่มต่อกัน ความเครียดของคุณส่งผลต่อการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ และทำให้เกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน
- อาการปวดหลัง เกิดหลังจากยกของหนัก หรือขนย้ายสิ่งของด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น ก้มตัวลงมาหยิบของ แล้วยืดขึ้นทันที หรือเอี้ยวตัวรับของ รวมทั้งกรณีที่ต้องแบกรับน้ำหนักที่มากเกินไปเป็นเวลานานๆ
- ลักษณะการทำงาน ต้องคุกเข่า คลาน ปีน หรือขึ้นลงบันไดเป็นเวลานานๆ หรือเป็นประจำ เอื้อต่อการปวดหลังมากขึ้น
- ปวดหลังเพราะร่างกายขากความยืทดหยุ่น ขาดการออกกำลังกายนานๆ จนกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ส่งผลไม้เมื่ออยู่ในท่าใดนานๆ จะเกิดอาการปวดหลังได้ง่าย
เมื่อสงสัยว่าอาการปวดหลังที่พบเห็นนั้น อาจจะมาจากการทำงาน เพราะลักษระงานเอื้อต่อการปวดหลังอย่างมาก บางคนต้องนั้งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานกว่าวันละ 8 ชั่วดมง อยุ่ทำโอทีอีก 3 -4 ชั่วโมงหลังเลิอกงาน หรือเข้าสู้ช่วงงานเร่ง ต้องทำงานล่วงเวลา และการทำงานสมัยนี้หลายคนก้ต้องอาสัยอินเตอร์เน็ตเพื่อการติดต่อสื่อสาร หรือหาข้อมูล ทำให้เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนั่งเป็นเวลานานๆ
อาการปวดหลังที่เกิดจากการนั่งทกำงานนานๆ นั้น ส่วนมากมักมาจากการปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากล้ามเนื้อต้องเกร็งตัว โดยฌฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณหลังต้องใช้พลังงานที่สพสมเอาไว้ไปกับการเคลื่อนไหวเมื่อพลังงานสะสม ก้เริ่มออกอาการ คือ เมื่อยล้า ถ้าเริ่มรู้สึกปวแหมื่อย ลองเปลี่ยนท่า แปลี่ยนอิริยาบถพักผ่อนบ้าง เอนหลังพิงพนักแล้วหลับตา หรือลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังเล็กๆ น้อยๆ พอให้เปลี่ยนท่าทางบ้าง กล้ามเนื้อก็จะสดชื่นขึ้นมา
แต่ส่วนใหญ่แล้ว ปัยหาคือทำงานเพลิน ทำงานไปเรื่อยจนลืมอาการปวดหลัง จึงไม่ได้ลุกออกมาเปลี่ยนท่าทาง นั่นหมายความว่ากล้ามเนื้อเราก็ต้องทำงานต่อเนื่องยาวนานเช่นกัน ความผิดปกติ จึงเพิ่มจากเมื่อยล้าล้าเป็นปวดหลัง อาจมีอาการแข็งร่วมด้วย เพราะกล้ามเนื้อเกร็งตัว จนขาดเลือดไปเลี้ยงมีกรดแลคติดสะสมในกล้ามเนื้ออันเกิดจากความเนื่อยล้า อาการนี้สะสมยาวนาน จะกลายเป้นปัยหาต่อการทำงานได้ เพราะกล้ามเนื้อจะเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพเรื่อยๆ
ดังนั้น เมื่อเริ่มมีอาการปวดหลัง อย่านิ่งนอนใจ แล้วปล่อยให้ร่างกายต้องทนรับสภาพกล้ามเนื้ออ่อนล้า เพราะเพียงแค่คุณสละเวลาแก้ปัยหาปวดหลังตั้งแต่ยังไม่เริ่มอาการหนักก้จะช่วยได้เยอะโดย
- เปลี่ยนท่าทาง : กฏเหล็กของการทำงานคือ ไม่ควรทำงานด้วยท่าหนึ่งท่าใดนานๆ ต้องเปลี่ยนท่าอยู่เรื่อยๆ หรือปล่อยเอนหลังให้กล้ามเนื้อได้พักผ่อนบ้าง
- ออกกำลังกายท่าง่ายๆ : ถ้าเมื่อย เหนื่อยล้า ลองลุกมายกแขน ขา เหมือนท่ากายบริหารสมัยเด็กๆ เช่น ท่าหมุนคอ ท่าก้มแตะ หรือท่าเขย่งปลายเท้า สามารถช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ทั้งนั้น โดยแต่ละท่าควรทำค้างไว้สัก 5 วินาที
- คลายปวดด้วยการประคบรอ้น : หากอาการปวดหลังเพิ่มมากขึ้นสามารถใช้การประคบร้นช่วยได้โดยหาซื้อ Cold/Hot pack ติดไว้ที่ทำงาน เมื่อเริ่มอาการปวดหลัง ให้นำแผ่นเจลแช่น้ำร้อนแล้วนำมาประคบบริเวณที่ปวด สัก 10 – 20 นาที วิธีนี้ใช้ได้ดีทั้งปวดหลัง ปวดไหล่ และถ้าวันไหนปวดหัว มีไข้ก็ยังนำไปแช่ตู้เย็น ทำเป้นแผ่นประคบเย็นได้
- หมอนสารพัดประโยชน์ : ในที่ทำงานถ้าสามารถหาหมอนอิงสักใบ มาไว้แก้เมื่อยจะช่วยได้มากหวกปวดหลังให้นำหมอนมารองบริเวณที่มีอาการปวด รองแถวๆ บั้นเอว จะช่วยได้ หรือหากเก้าอี้เตี้ยเกินไป ทำให้ต้องโน้มตัวไปทำงาน ก็ให้เปลี่ยนหมอนมารองนั่ง เพิ่มความสูงขึ้นมาให้พอดี
นอกจากวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น ป้องกันกันอาการปวดหลังแล้ว ต้องลองพิจารณาอุปกรณ์ที่เราทำงานด้วย เช่น ขนาดของโต๊ะ และเก้าอี้เหมาะกับสรีระของเราหรือไม่ ความสูงของเก้าอี้และโต๊ะ ควรได้ระดับที่แขนวางเป็นมุมฉากกับลำตัวพอดี ปรับคอมพิวเตอร์ให้จออยู่ในระดับสายตัว ส่วนแป้นคีย์บอรืดควรอยู่ในระดับข้อศอกจะได้ไม่ต้องยกแขนขึ้นมาพิมพ์ ส่วนเมาส์ ถ้าใช้แบบไร้สายได้ ก้จะเคลื่อนไหวได้อิสระขึ้น เมื่อปรับท่าทางอย่างดีแล้ว ก็ทำงานได้เต็มที่แต่ไม่ควรเกิน 1 ซม. ต้องลุกไปเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง
ชีวิตทำงาน กินเวลาไปกว่าครึ่งของชีวิตเรา ถ้าหากทำงานแล้วส่งผลให้เจ็บป่วย เมื่อยเนื้อ เมื่อยตัว นอกจากงานไม่ดีแล้ว รายได้จากการทำงาน ยังต้องเตรียมไว้ให้กับค่ารักษาพลายลาลอีกด้วย
รักจะเป็นคนทำงานที่ลาด อนาคตไกล ต้องใส่ใจสุขภาพตัวเองเท่าๆ กับงาน
...หายปวดหลังกันยังจร้า...