@159473

ตอนที่ 9 บทความลับมันจะแตกให้เอาช้างมาฉุดก็เก็บไว้ไม่อยู่

fanasai View 219
"เป็นยังไงบ้างแบล็ค"ทิมอย่างเป็นกังวล เป็นไปได้เขาอยากจะให้แบล็คพักผ่อนอยู่กับบ้านมากกว่าแต่ทว่าเด็กหนุ่มเองก็เลือกที่จะมาโรงเรียน ทำยังไงได้ขืนเขาหยุดอยู่บ้านมีหวัง ยัยผู้หญิงร้ายกาจนั่นได้หยุดมาดูแลเขาทั้งวันแน่ ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นเด็ดขาด

"ก็ดีขึ้นนิดหน่อยล่ะนะ"แบล็คตอบยิ้มๆ อันที่จริงมันก็ดีขึ้นจริงๆนั่นแหละ ยาที่เขาทานจากห้องพยาบาลเมื่อวานไม่ว่ามันจะเป็นยาอะไรก็ตามแต่มันก็ทำให้อย่างน้อยเขาก็ไม่รู้สึกทรมานมากเเล้ว

"อย่าหักโหมนะเข้าใจไหม"ทิมย้ำอีกครั้งก่อนจะกลับไปนั่งที่เมื่ออาจารย์ไลท์กลับเข้ามาในห้อง น่าแปลกที่คนดูเนี๊ยบๆอย่างนายไวท์แค่มาวันนี้ก็ขาดเรียนซะแล้ว

"มีข่าวจะบอก แน่นอนว่าเป็นข่าวดีกับข่าวร้ายเช่นเดิม"อาจารย์ไลท์ทุกปึกเอกสารข้อสอบเมื่อวาน ดวงตาสีแดงสดดูจะแปลกใจเล็กน้อยที่วันนี้แบล็คมาเรียนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร "ฉันจะไม่ถามว่าพวกเธออยากฟังข่าวไหนก่อน เพราะฉันขี้เกียจรำคาญ"

"เริ่มต้นที่ข่าวดี คะแนนสอบที่พวกเธอทำเมื่อวาน นอกจากคนที่เธอก็รู้ว่าใคร นักเรียนใหม่ของเราก็ผ่านเช่นกัน"คำพูดนั้นเรียกเสียงฮือฮาจากคนในห้องได้เป็นอย่างดี จนต้องคุมสถานการณ์อีกครั้งด้วยปึกข้อสอบชุดใหม่ที่เอามาจากไหนก็ไม่อาจทราบได้

"และข่าวร้ายเมื่อวานนักเรียนใหม่ของเราโดนรถเฉี่ยวเลยต้องหยุดรักษาตัวหนึ่งวัน เอาล่ะหมดข่าวประจำวันแล้ว หยิบหนังสือขึ้นมาเปิดไปที่หน้า 121 วันนี้เราจะเรียนเรื่อง..."

ป๊อก!!!

ก้อนกระดาษปลิวมาใส่หัวแบล็คก้อนหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครปามา

'เพราะเรื่องเมื่อวานรึเปล่า ?'

แบล็คเขียนข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

'เป็นไปได้'

เฟี๊ยว....ป๊อก...

'แล้วจะเอายังไง ?'

เด็กหนุ่มมองข้อความที่ถูกเขียนมาทำท่าจะเขียนข้อความตอบกลับไปแต่ก็วางปากกาลงเสียก่อน เขาขยำก้อนกระดาษแล้วปาออกนอกหน้าต่างไปเหมือนปกติ เพราะยังไงปลายทางของก้อนกระดาษก็ต้องถูกลงพัดปลิวไปตกตรงจุดทิ้งขยะอยู่ดี 

'จะทำยังไงน่ะเหรอ...ของพรรค์นั้นไม่เห็นจะต้องถามก็รู้คำตอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง'เด็กหนุ่มเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จ้องมองก้อนเฆมที่ลอยไปมาพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

"คุณแบล็ค เฟเธอร์!!!"เสียงตวาดลั่นที่ไร้ซึ่งอารมณ์เรียกสติของเด็กหนุ่มให้กลับมาอีกครั้ง

"ครับ!!!"เเบล็คร้องตอบอย่างตกใจ สีหน้าของอาจารย์ไลท์ที่ปกติก็มืดหม่นอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ส่วนคนอื่นๆในห้องนั้นพากันหัวเราะกันยกใหญ่

"ถ้าไม่ไหวก็กลับไปก่อนได้ ฉันอณุญาติ"อาจารย์ไลท์ล้วงเอาใบลาออกมาให้ซึ่งข้างในนั้นเขียนอะไรให้เรียบร้อยแล้วรวมถึงลายเซ็น ดวงตาสีแดงสดจ้องมองแบล็คอีกครั้งนึงก่อนจะหันหลังกลับไปและฟาดสันหนังสือใส่หัวนักเรียนแบบเรียงคน

ครืด....

แบล็คออกมาจากห้องเรียนพลางเกาหัวแบบงงๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องเรียนและลงมาตามขั้นบันได จุดมุ่งหมายของเขาไม่ใช่บ้านพักแต่เป็นสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งถูกเขียนแนบมากับกระดาษลาหยุด เด็กหนุ่มรู้สึกโล่งอกเล็กน้อยที่อย่างน้อยออกมาแล้วก็ไม่เจอผู้หญิงคนนั้นยืนดักรออยู่ เขาจัดสินใจเดิเลี่ยงไปเส้นทางอื่นที่ไม่ต้องผ่านหน้าโรงเรียนสตรีเพราะรู้สึกระแวงไม่หาย

ในช่วงสายแบบนี้ถนนนั้นช่างดูเงียบสงบ จะมีก็เพียงเสียงขยับของกิ่งไม้ที่พลิ้วไหวตามแรงลม พอพ้นเขตโรงเรียนมาสองข้างทางก็ถูกห้อมล้อมด้วยบ้านที่อยู่อาศัยซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นบ้านแบบสองชั้น

เด็กหนุ่มเดินออกมาที่ถนนใหญ่ พอพ้นเขตที่อยู่อาศัยมาก็พบความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมืองฝั่งของเขานั้นเต็มไปด้วยร้านค้าร้านอาหารมากมาย อีกฝั่งนอกจากตึกสำนักงานสูงต่างๆก็จะมีที่ซึ่งมีรั้วกั้นดูจะมีการก่อสร้างอยู่หลายจุด นี่ก็เป็นการปรับแผงผังเมืองครั้งที่สามแล้วตั้งแต่เปลี่ยนรูปแบบการปกครอง จากนี้เมืองหลวงของประเทศก็คงจะถูกปิดกั้นเอาไว้ให้เฉพาะเพศหญิงได้เข้ามาเพื่อศึกษาและทำงานในภาคราชการ

งานราชการในยุคสมัยนี้นับเป็นอาชีพที่มีเกียรติและมีรายได้รวมถึงสวัสดิการที่สูงกว่าเอกชนหลายเท่าตัวอยู่ เพราะการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานนั้นจำกัดจำนวนต่อปีแต่ละหน่วยงานไม่ถึง 10 คน ซึ่งกว่าจะถูกบรรจุเข้าไปทำงานได้ต้องมีการทดสอบและแข่งขันกันชนิดที่ว่าเป็นสงครามขนาดย่อมๆ 

ที่หน้าจอขนาดใหญ่ซึ่งติดอยู่ที่ตึกสูงตรงใจกลางเมืองบัดนี้กำลังฉายภาพข่าวของการปะทะกันที่ตรงชายแดนของรัฐ ระหว่างเพศชายที่ถูกขับไล่และกองทหารของรัฐบาล การต่อสู้นั้นเป็นข่าวปกติที่ฉายให้เห็นทุกวันจนประชาชนชาชินซึ่งนั้นก็รวมถึงตัวของเขาเองด้วย ประเทศไทยในตอนนี้นั้นมีการแบ่งการปกครองออกเป็นสามส่วน ได้แก่

1.สมาพันธ์รัฐไทย ซึ่งปกครองพื้นที่แบ่งมาตั้งแต่ จังหวัด ตาก สุโขทัย และอุตรดิตถ์ในอดีต ยาวไปจนถึง ประจวบคีรีขันธ์ เป็นเขตการปกครองซึ่งชายแดนถูกกั้นแบ่งด้วยกำแพงเหล็กความสูงกว่า 5 เมตร ซึ่งตัดขาดภาคเหนือตอนบนและภาคใต้โดยสิ้นเชิง การเข้าออกไม่ว่าจะด้วยทางด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือการโดยสารโดยพาหนะเอกชน(อากาศยาน รถโดยสาร รถไฟ เรือ)จะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งนอกเหนือจากการท่องเที่ยวและการศึกษาต่อจะไม่สามารถทำได้หากทางสถานกงสุลไม่เช็นยินยอม การขนส่งสินค้าเข้านั้นมีค่าภาษีนำเข้าที่สูงมาก เรียกได้ว่า สมาพันธ์รัฐนั้นเกือบจะกลายเป็นประเทศปิดโดยสมบูรณ์ ภาษาราชการที่ใช้นั้นนอกจากภาษาอังกฤษแล้วก็มีภาษาจีนอีกภาษารวมไปถึงภาษาไทย กฏหมายของประเทศนั้นมีความรุนแรงในระดับที่สูงมาก แม้แต่ความผิดที่เล็กน้อยก็สามารถได้รับโทษสูงสุดคือการล้างสมองแล้วถูกส่งไปที่เดธโซนในฐานะแรงงานทาสตลอดชีวิต ซึ่งย่ำแย่ยิ่งกว่าความตายเสียอีก

1.2 เดธโซน เป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ใต้ดิน เป็นพื้นที่ซึ่งถูกขุดขยายพื้นที่ของเมืองลงไปชั้นใต้ดิน ความเป็นอยู่ของแรงงานทาสนั้นเรียกได้ว่ามีชีวิตไม่ต่างไปจากสัตว์ที่ถูกกดขี่ให้ทำงานตลอด 24 ชม. ผู้ที่ถูกส่งไปเดธโซนนั้น จะถูกล้างความทรงจำในสมองจนหมดสิ้นและจะถูกป้อนคำสั่งให้มีหน้าที่คอยรับคำสั่งจาก มาสเตอร์(ผู้คุม) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่จำกัดแค่เพียงเพศชายเท่านั้น และไม่จำกัดอายุ แม้แต่เด็กเล็กหรือคนแก่ก็สามารถถูกส่งไปพื้นที่นี้ได้หากกระทำความผิดของกฏหมาย

2.แดนเหนือ เป็นพื้นที่ภาคเหนือตอนบนซึ่งเป็นดินแดนของเพศชายและเพศหญิงที่ไม่ยอมรับระบบการปกครอง ผู้ที่อยู่ในเขตแดนเหนือนั้น หน่วยทหารของรัฐซึ่งประจำอยู่ที่ชายแดนสามารถทำการสังหารได้ทันทีโดยไม่ต้องได้รับการอณุญาติจากเบื้องบนหากคนจากแดนเหนือก้าวเข้ามาในเเขตสีแดงซึ่งอยู่ห่างไปจาก กำแพง 1 กิโลเมตร เพราะข้อมูลภายนอกนั้นถูกจำกัดจากรัฐบาลเรื่องของโลกภายนอกนั้นจึงรับรู้ได้ในปริมาณที่จำกัดเท่าที่ภาครัฐจะอณุญาติให้เผยแพร่ คนของสมาพันธ์รัฐนั้นไม่ได้รับอณุญาติให้ขึ้นไปที่แดนเหนือโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนโทษนั้นคือการเนรเทศลงเดธโซน

3.อณุสมาพันธ์ เป็นพื้นที่ของภาคใต้ทั้งหมดของประเทศไทยในอดีต รวมไปถึงมาเลเซียและสิงค์โปร์ ซึ่งมีความแตกต่างกันทางศาสนาจึงแบ่งประเทศออกจากกัน มีรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ศาสนาหลักคืออิสลาม ประชาชนจากทวีปอื่นสามารถเข้ามาในสมาพันธ์รัฐไทยได้โดยเส้นทางจาก อนูสมาพันธ์ นี้เท่านั้น

เด็กหนุ่มเดินไปตามถนนซึ่งตอนนี้เงียบสงบ ในช่วงเวลานี้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะเรียน ไม่ก็ปฏิบัติหน้าที่ของตน จะมีส่วนน้อยที่ยังเดินอยู่บนถนน ร้านค้าต่างๆที่เปิดอยู่นั้นเงียบสนิทเพราะยังไม่ถึงเวลาที่ลูกค้าจะเข้า เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เป็นไปได้เขาก็อยากจะรีบไปถึงให้ทันก่อนพักเที่ยงซึ่งคนจะออกมาเดินกันเต็มถนน

ในที่สุดเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทางในเวลา 11.43 น. เมื่อเห็นปลายทางแล้วเด็กหนุ่มก็ถึงกับเกาหัวเล็กๆ เมื่อพบว่าจริงๆแล้วที่อยู่ของ ไวท์ ก็ไม่ห่างจากจุดที่เขาอยู่เท่าไหร่นัก อันที่จริงเขาสามารถเดินใช้เส้นทางลัดของย่านการค้าเก่าตัดตรงมาถึงได้เลยด้วยซ้ำ ที่อยู่ของไวท์ก็เป็นบ้านพักเช่นเดียวกับเขาสภาพของตึกเองก็ดูจะอายุไล่เลี่ยกัน เด็กหนุ่มเก็บกระดาษเข้ากระเป๋าไปก่อนเดินขึ้นไปยังชั้นสอง แล้วตรงไปที่ห้องริมท้ายสุดซึ่งเป็นห้องเป้าหมาย

กิ่งก่อง.....

"สวัสดี นี่ฉันเอง แบล็ค ไว?นายอยู่ในนั้นรึเปล่า ?"แบล็คเคาะประตูหลังจากกดกริ่งไปครั้งหนึ่ง

"มาทำไม..."เสียงที่ดูจะคุ้นดีไม่คุ้นดีดังออกมาจากหลังบานประตู

"ฉันมาเยี่ยมนาย"

"นี่มันเป็นช่วงเวลาเรียน นายไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมาปนจนทำให้การเรียนเสีย"เสียงของไวท์ดูจะเหนื่อยๆอยู่แต่ก็ยังไม่วายจะอบรมเขาอีก

"อาจารย์ไลท์อณุญาติให้ฉันกลับมาก่อนเอง ฉันว่างๆก็เลยแวะมา"แบล็คพูดไปแบบนั้นแต่ก็แน่ล่ะเขาพูดไม่หมดหรอก

แกร็ก...

เสียงไขกลอนประตูจากด้านในดังขึ้น...พร้อมกับประตูที่เปิดออกเปยให้เห็นร่างของเด็กหนุ่มร่างสูงที่กำลังก้มมองมาเขา ดวงตาสีเทาซีดมองดูเด็กหนุ่มร่างเล็กอย่างจับผิด ก่อนจะถอนหายใจเบาๆแล้วเอี้ยวตัวหลบให้เข้ามาข้างในได้

"จะเข้าก็เข้ามา..."

"ขอบคุณ"แบล็คพูดแบบนั้นก่อนจะเดินเข้ามา ถอดรองเท้าไว้ที่หน้าทางเดินแล้วเดินตามไวท์ที่ปิดประตูเข้าไปที่ห้องกลางซึ่งเปิดทีวีค้างเอาไว้ บนโต๊ะมีหนังสือหลายเล่มซึ่งดูๆแล้วน่าจะเป็นอะไรที่เข้าใจยากเปิดทิ้งค้างเอาไว้

"จะกินอะไร"ไวท์จู่ๆก็ถามขึ้น เขาเดินไปที่ห้องครัวซึ่งอยู่ใกล้ๆประตู เด็กหนุ่มส่ายหัวปฏิเสธแต่ท้องเจ้ากรรมก็ดันดังขึ้นมาเบาๆซะได้ "ไปนั่งรอ ฉันจะทำอะไรย่อยง่ายให้กิน"

ดูเหมือนจากที่จะมาเยี่ยมเขาดันต้องกลายเป็นฝ่ายที่ให้เขาดูแลซะแล้ว...

เวลาผ่านไปสักพักแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่กลับมา ทำให้แบล็คตัดสินใลุกเดินไปดู ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายตอนนี้ทรุดลงไปนอนที่พื้นห้องครัวเสียแล้ว ดูถ้าจะไม่สบายหนักพอสมควรเพราะไข้ขึ้นสูง ทำเอาแบล็ครีบลากออกมานอนพักทีห้องกลางแทบไม่ทัน แบล็คเริ่มทำการปฐมพยาบาลขั้นต้นให้อีกฝ่ายด้วยการเช็ดแขนเช็คเหงื่อที่หน้าผากก่อนเอาผ้าชุบน้ำแปะโปะหัวไว้

'ไม่เห็นจะมีอาการของการโดนรถเฉี่ยวเลยแหะ...?'แบล็คสังเกตจากการลองเอานิ้วจิ้มๆจุดที่น่าจะโดนเฉี่ยวชนได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่แสดงอาการอะไรออกมา แต่ตรงคิ้วนั้นดูจะมีรอยแตกเล็กน้อยดูเหมือนจะได้รับมาจากเหตุการณ์เมื่อวานก่อน เด็กหนุ่มตัดสินใจว่าตัวเองจะทำอาหารให้อีกฝ่ายทานแทนคำขอบคุณสักหน่อย ยังไงแค่ข้าวต้มเขาก็มีปัญญาทำได้อยู่แล้ว

กลิ่น....

'กลิ่นแปลกๆนั้นอบอวลไปทั่วห้องเลย...ให้ตายสิ...ใครมันทำอะไรยู่ล่ะเนี่ย...กลิ่นข้าวงั้นเหรอ ? ....ข้าวต้ม ? ไม่สิ...กลิ่นข้าวต้มมันไม่น่าจะมีกลิ่นไหม้ด้วย...'

ดวงตาของผมค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า อาการปวดหัวจากการโดนศอกกระแทกเข้าที่ท้ายทอยยังมึนๆไม่หาย ภาพแรกที่ปรากฏในสายตาคือเพดานไม้ซึ่งมีหลอดไฟที่ตอนนี้ดับอยู่ กลิ่นดูจะมาจากห้องครัวของเขาเอง 

'ว่าแต่ทำไมฉันถึงมานอนตรงนี้ได้กันนะ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายอยู่ที่ห้องครัวจะทำอะไรให้ยัยเด็กนั่นกินนี่น่า...'ผมลุกขึ้นมานั่ง บางสิ่งที่เปียกแฉะตกลงจากหน้าผากก่อนหล่นลงที่ตัก 'ถึงว่าทำไมรู้สึกเย็นๆ'

'ว่าแต่ยัยเด็กนั่นไปไหนแล้วล่ะเนี่ย'ผมกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง ไม่เห็นเจ้าของร่างเล็กๆเลยแม้แต่เงา ในตอนนั้นที่รูปแบบความคิดของผมเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง 'หรือว่า ?!!!'

"ตื่นแล้วเหรอ ? ดีเลยๆ ข้าวต้มเสร็จพอดี"เสียงๆหนึ่งดังขึน เรียกให้ดวงตาของผมต้องหันไปมองยังต้นเสียง ร่างเล็กๆที่มีเส้นผมสีดำสนิทที่ยาวบะบ่า ดวงตาสีเหลืองอำพันจ้องมองมาที่ผมพลางยิ้มดีใจ ทีแท้กลิ่นเหม็นไหม้นั่นก็มาจากข้าวต้มของยัยนี่นี่เอง

"ทำอะไรของเธอน่ะ"ผมถามไปพลางใช้มือข้างนึงยันตัวเองจะลุกขึ้นมา แต่ก็โดนอีกฝ่ายจับกดลงไปให้นั่งตามเดิม

"ก็ทำข้าวต้มมาให้นายกินไง ไม่สบายไม่ใช่เหรอ ?"อีกฝ่ายถามขำๆ "อีกอย่างก็แทนคำขอบคุณที่มาช่วยฉันเอาไว้เมื่อวานด้วยแหละนะ"

'ก็บอกแล้วว่าอย่าบอก'ผมได้แต่คิดอย่างหงุดหงิด

"เอาสิ ไม่ต้องเกรงใจนะ มีอีกเยอะเลย"คำพูดของคำตรงหน้าได้แต่ทำให้ผมคิ้วกระตุก

'ยังมีไอของแบบนี้เหลืออีกเยอะเลยเหรอเนี่ย ?'ผมคิดพลางมองข้าวต้มในชามอย่างหวาดระแวง อันที่จริงหน้าตามันก็เหมือนข้าวต้มทั่วไป เพียงแต่ว่าความรู้สึกของผมมันบอกว่าข้าวต้มชามนี้มันไม่ธรรมดา

'ให้ตายสิทำสีหน้าแบบคาดหวังแบบนั้นแล้วจะไม่กินก็จะดูทำร้ายจิตใจไปหน่อย'ผมตัดสินใจตักข้าวต้มเข้าปากไปช้อนหนึ่งก่อนเพื่อทดลองความปลอดภัย ในตอนนั้นที่ผมรู้สึกเหมือนจะได้เห็นแม่น้ำยมโลกมาปรากฏตรงหน้าไปวูบหนึ่ง

'แน่ใจนะ!! ว่าไอนี่มันเรียกข้าวต้ม ? ถึงหน้าตามันจะให้ก็เถอะ'ผมคิดอย่างตื่นตะลึง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าโดยตรง

"เป็นยังไงบ้าง ?"

"ก็ดี..."ผมตัดสินใจตอบแบบรักษาน้ำใจ ดูจากสภาพแล้วอีกฝ่ายคงไม่ได้คิดจะแกล้งเขาหรอก แต่ไอที่ตกใจยิ่งกว่าคือการเห็นคนตรงหน้ากินของแบบนี้ได้หน้าตาเฉยๆโดยไม่รู้สึกอะไรเลยต่างหาก

เซนส์ในการทำอาหารแย่มากๆ...

หลังจากที่กินข้าวต้มทั้งหม้อหมด(แบบไม่เต็มใจ)ผมก็ได้กลับมาอ่านหนังสือต่ออีกครั้ง โดยที่อีกฝ่ายก็นั่งมองผมอย่างสนอกสนใจตลอดเวลา จนเอาจริงๆก็คือชักรู้สึกอึดอัดเล็กๆ

"สนใจงั้นเหรอ ?"

"อ่อ เอ๊ะ ก็ใช่ครับ"คนตรงหน้าทำหน้าสะดุ้งเฮือก

'จะพูดเลยดีไหมนะ...?'ผมกำลังคิดถึงสิ่งที่อยากจะถามอยู่พลางคิดสองจิตสองใจ อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นที่เขาต้องสนใจเลยด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายก็คงจะมีเหตุผลของเขาที่ต้องทำแบบนี้ แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะถามออกไป

"ทำไมผู้หญิงแบบเธอ ถึงมาเรียนโรงเรียนชายล่ะ ?"

"เอ๊ะ ?"