@159473

บทที่ 19 ภารกิจลดระดับหฤโหด (เสียงกระซิบในเงามืด)

fanasai View 355
ครืน.....

เสียงสั่นสะเทือนในที่สุดก็สงบลงพร้อมกับแสงสีทองที่พุ่งทะยานกลับคืนสู่ท้องฟ้า ร่างของหญิงสาวในชุดเกราะล้มลงอยู่ในท่าชันเข่า ดาบคู่กายหล่นลงสู่พื้นเพราะผู้คุมมันไม่อาจจับดาบ เธอหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนการปลดล็อคลิมิตอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้มันเผาผลาญทั้งพลังมานาและพลังชีวิตของเธอไปอย่างร้ายกาจ รอบๆตัวของกลุ่มคนทั้งห้าบัดนี้ไม่เหลือสัญญาณของอันเดธตนใดๆอีก แต่ดูเหมือนว่านอกจากอันเดธแล้วจะไม่มีสิ่งใดได้รับผลกระทบของทักษะนี้ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาคาร ต้นไม้หรือพุ่มหญ้า ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สายลมที่พัดผ่านไปนั้นมีเพียงความเงียบสงัด

'นี่มันมากกว่าที่คิดเอาไว้อีกนะเนี่ย'ไมดัสมองไปรอบๆอย่างหวาดหวั่น เขาเองก็พอจะรู้ข้อมูลของสายคลาสวีรชนมาอยู่บ้างแต่ก็ไม่คาดคิดว่ามันจะร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้ นี่ขนาดพึ่งปลดล็อคความสามารถออกมาได้ยังขนาดนี้ ชายหนุ่มไม่อยากจะคิดเลยว่าความสามารถของเวสต้านั้นจะร้ายกาจขนาดไหน เขาก้มลงมองมีคู่ใจในมือที่แหลกสลายกลายเป็นเศษกระจกหลังจากที่มันไม่สามารถทนต่อพลังของแสงสีทองได้ เป็นที่คาดการณ์ได้ว่าเพราะองค์ประกอบของมีดนั้นมีจุดที่เป็นผลขัดแย้งต่ออาณาเขตสีทองอยู่มันจึงถูกทำลายลงไป พอคิดได้แบบนั้นแล้วเขาก็หวาดหวั่นไปถึงหญิงสาวในชุดนินจาที่ซ่อนตัวในพุ่มไม้

"คุณชาโดว์เป็นอะไรไหมครับ!!"ไมดัสตระโกนเรียก เขาเหลือบมองไปที่มายุซึ่งวิ่งไปดูอาการของอมาร็อค พลางถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นส่งสัญญาณว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดี

"......."

"คุณชาโดว์?!"

"ไม่ชอบเลย"เสียงของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับร่างในชุดสีดำสนิทซึ่งทิ้งตัวลงมาจากพุ่มไม้ ดวงตาของเธอฉายประกายไม่พึงพอใจเท่าไหร่นัก ดูท่าทางเธอจะเสียของไปพอสมควรเลยทีเดียวจากผลของอาณาเขตสีทองเมื่อครู่ แต่เมื่อมองถึงผลที่ได้รับก็เลยทำให้เธอพูดมากไม่ได้เพราะระดับที่ลดลงมาเกือบ 5 ระดับก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่า

"ฮะๆๆ ว่าแต่เธอเป็นยังไงบ้างครับ"ไมดัสยิ้มแห้งๆ สำหรับเขาแล้วระดับที่ได้รับมาเมื่อเทียบกับมีดที่เขาต้องเสียไปดูจะไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่

"หายใจหนักมากเลยนะ"มายุพูดขึ้นหลังจากมาเช็คอาการของแบล็คที่ยังคงพยายามขับความร้อนออกจากภายในร่างกาย ถึงแม้จะไม่แสดงออกโดยตรงแต่เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังทรมานไม่น้อยเลยทีเดียว

"มานาของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเลยนะครับ"ไมดันพูดขึ้นระหว่างที่ดูสเตตัสของหญิงสาว ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจหยิบขวดยาสีส้มขึ้นมาและโยนมันให้มายุ "เอาให้เธอทานนะครับ ผมคิดว่ามันน่าจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย"

"เข้าใจล่ะ"มายุรับขวดยานั้นไว้ก่อนจะเปิดมันออกแล้วจับกรอกปากของหญิงสาว ร่างของแบล็คสั่นกระตุกสองสามครั้งก่อนจะสลบเหมือดโดยมีควันสีขาวแผ่ออกมาจากร่างกาย "ให้เธอกินยาอะไรลงไปเนี่ย!!!"

"ก็แค่ยาเพิ่มเลือดที่มีผลรักษาอาการสลบก็เท่านั้นเองครับ"ไมดัสตอบระหว่างเลือกมีดเล่มสำรองมาใช้แทน

"....ใครจะจ่าย"ชาโดว์พูดขึ้นระหว่างช่วยมายุลากคนทั้งสองที่สลบอยู่ไปหลบในพุ่มหญ้า ถึงจะบอกว่าระดับที่ได้มามันคุ้ม แต่เอาจริงๆแล้วของที่เธอเสียไปหลายชิ้นมันก็หามาแทนกันไม่ได้

"ก็ต้องเป็นคุณเวสต้าอยู่แล้วนิครับ"ไมดัสยิ้มก่อนจะหยิบเอามีดเล่มใหม่ออกมาและเหน็บมันไว้ที่เข็มขัด

"จะเอายังไงต่อล่ะ จะคุ้มกันหรือจะต่อ"มายุถาม ดวงตาของเธอนั้นบ่งบอกคำตอบของคำถามของตัวเองอย่างชัดเจน

"ไม่ได้ล่ากันสามคนมานานแล้วนะครับ"ไมดัสพูดยิ้มๆ

"...อยากได้วัตถุดิบเพิ่ม"ชาโดว์ถอนหายใจแต่ดวงตาของเธอก็บ่งบอกถึงคำตอบที่ชัดเจนเช่นกัน

"งั้นพวกเราไปกันเถอะครับ"สิ้นคำพูดนั้นร่างของทั้งสามก็หายไปจากถนนเส้นนั้นอย่างไร้ร่องรอย...

เด็กสาวร่างเล็กที่มีผ้าพันคอสีแดงวิ่งไปตามเส้นทางเดินที่ล้ำสมัย เธอมีหน้าที่ที่ต้องทำซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญ เธอถูกเลือกด้วยความไว้วางใจและเธอต้องเอาม้วนหนังนี้ส่งมอบให้ถึงมือของเป้าหมาย ไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตามแต่บางสิ่งในใจก็ได้บอกเธอว่ามันคือสิ่งที่มีความสำคัญมากถึงมากที่สุดซึ่งจะส่งผลต่อทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

"รีบร้อนจะไปไหนอย่างนั้นเหรอ คุณฟรอเซ็น"เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เด็กสาวหยุดกึกน้ำเสียงที่ส่งผ่านออกมาทำให้เลือดในกายของเธอเย็นยะเยือก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงใช้น้ำเสียงที่ฟังดูแปลกประหลาดไปแบบนั้นแต่ประสาทสัมผัสของเธอกำลังร้องเตือนว่า มีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

เคร้ง!!!!

เด็กสาวสะบัดดาบปัดคลื่นพลังที่ถูกซัดออกมา แรงปะทะส่งผลให้ร่างของเธอต้องกระเด็นไปไกล ความปวดชาเริ่มครอบงำเธอรู้สึกได้ว่าร่างของเธอมันสั่นสะท้านไปหมด

"ค่ะ ค่ะ คิดจะทำ....อะไร"ฟรอเซ็นพูดขึ้นอย่างยากลำบาก ดวงตาสีแดงจ้องมองไปที่คนตรงหน้าอย่างตกใจ สงสัยและมึนงง

"ผมก็แค่สงสัยเท่านั้นเองครับว่าทำไมคุณถึงได้ดูรีบร้อนอย่างผิดปกติแบบนั้น"ช่างเป็นเสียงที่ดูเย็นชาและไร้ความรู้สึก เสียงฝีเท้านั้นเดินตรงเข้ามาหาเธออย่างเชื่องช้าเหมือนไม่รีบร้อน เด็กสาวพยายามจะมองหาว่าจะมีใครบ้างที่เธอจะขอความช่วยเหลือได้แต่ว่ามันไม่มี ถนนเส้นนี้เป็นเขตหวงห้ามที่ห้ามคนทั่วไปเข้ามานอกจากจะได้รับอนุญาติแถมในช่วงเวลาแบบนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครมาเดินสัญจร

"ฉัน...ฉันก็แค่มีเรื่องที่ต้องไปคุยกับพี่สาว!!!"ฟรอเซ็นพูดขึ้น ดวงตายังคงจับจ้องคนตรงหน้าที่ก้าวเดินเข้ามาหาเธอทุกขณะแต่เธอเองก็ยังคงก้าวถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกในใจบางอย่างมันกำลังบอกเธอว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มือที่จับดาบนั้นเกร็งแน่น

"เห...เรื่องอะไรที่ถึงขนาดทำให้คุณต้องรีบร้อนขนาดนั้นกันครับ"เจ้าของเสียงนั้นยังคงพูดขึ้นอย่างเนิบนาบอีกฝ่ายดูจะไม่อนาทรใจเลยสักนิดว่าคนตรงหน้าของตัวเองจะถอยหลังเข้าเส้นแดนไปมากขนาดไหน

'ต้องติดต่อหาคนในทีม'เสียงในใจของเด็กสาวบอกแบบนั้น แต่ทว่ามันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น...เธอไม่สามารถใช้เครือข่ายของ Party ได้!!?

"ไม่ได้ผลหรอกครับ ขืนให้เธอบอกไป สิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดมันก็เสียเปล่าสิครับ"อีกฝ่ายยักไหล่

"หมายความว่ายังไงกัน..."เด็กสาวชักรู้สึกว่ามันแปลกขึ้นทุกขณะ คนตรงหน้าเหมือนกลายเป็นบุคคลที่เธอไม่รู้จัก

"ไม่หมายความว่ายังไงทั้งนั้นแหละครับ"เขากล่าวยิ้มๆ มันช่างเป็นรอยยิ้มที่น่าสระพรึงที่สุดเท่าที่เด็กสาวเคยพานพบมา ในจังหวะนั้นเองเธอตัดสินใจปลดทุกความสามารถของเธอ ร่างของเด็กสาวระเบิดพลังมหาศาลออกมาจนทำให้ผนังรอบๆถึงกับสั่นสะเทือน

"เห...นี่คุณไปทำภารกิจ จิตวิญญาณแห่งอัศวิน มาตั้งแต่ตอนไหนกันครับเนี่ย ผมไม่เห็นทราบเรื่องเลย"อีกฝ่ายยังคงก้าวเดินเข้าหาเหมือนแรงกดดันตรงหน้าช่างไร้ความหมายในสายตาของเขา

'ทำยังไงดี!!!'ฟรอเซ็นพยายามคิดหาทางรอดจนหัวหมุน ถึงเธอจะปลดลิมิตออกจนหมดแต่ความต่างชั้นกันอย่างชัดเจนของระดับก็ทำให้เธอไม่มั่นใจได้ว่าเธอจะรอดชีวิตไปได้ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีเวลาให้เธอคิดมากเพราะเขาได้พุ่งเข้าใส่พร้อมดาบในมือที่แกว่งมาจากด้านซ้ายของเด็กสาวเสียแล้ว

เคร้ง!!!!

ฟรอเซ็นตัดสินใจยกดาบขึ้นรับแทนที่จะถอยหนีต่อ ซึ่งดูเธอจะตัดสินใจได้ถูกเพราะแรงปะทะเมื่อครู่ก็ทำให้เธอบาดเจ็บพอสมควรเลยทีเดียว ส่วนอีกฝ่ายที่กระเด็นถอยกลับไปเมื่อเห็นว่าพลังทำลายของตัวเองไม่สามารถทำอีกฝ่ายเสียการป้องกันได้ก็เลิกคิ้วสูงอย่างสนใจ

"ไม่เลวเลยนิครับ"เขากล่าว ถึงเขาจะรู้ว่าคลาสไฮน์ไนท์ มีความสามารถสูงแต่ก็ไม่คิดว่าจะสูงถึงระดับนี้ ในช่วงจังหวะที่เขากำลังประมวลผลความคิดนั้นเอง ฟรอเซ็นก็ตัดสินใจพุ่งทะลุเขตแดนด้วยความเร็วที่สูงที่สุดเท่าที่เธอจะใช้มันได้ ร่างของเด็กสาวนั้นแทบจะกลายเป็นเส้นแสงสีแดงสดที่ตัดทะลุผ่านในหมอกสีดำสนิท

"หึ...ไม่เลวจริงเลยล่ะครับ บางทีผมอาจจะเล่นกับคุณมากไปหน่อย"ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ ใบหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆแย้มรอยยิ้มอีกครั้ง ดวงตาสีแดงเพลิงฉายประกายอำมหิตวาวโรจน์ ดาบในมือเรืองแสงทองวาวโรจน์เหมือนรับรู้ได้ถึงความกราดเกรี้ยวของผู้ถือครอง ร่างสูงบิดเกร็งก่อนวาดดาบใส่ไปในอาณาเขตแห่งหมอกทำให้หมอกทั้งหมดถูกสะบัดหายไปในทันทีพร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของเด็กสาวที่ถูกรัศมีของคลื่นดาบกระแทกเข้าที่หลังของเธอซึ่งมันทำให้ชุดเกราะที่เธอสวมใส่อยู่ถูกทำลายลงในทันที ร่างบางกลิ้งไปตามพื้นอันเย็นเฉียบพร้อมกับเลือดที่สะบัดกระเซ็นไปทั่วกำแพงก่อนที่จะหยุดลงในสภาพที่ลมหายใจรวยริน

"หมดเวลาเล่นแล้วล่ะครับ"ชายหนุ่มสะบัดดาบสลายแสงสีทองให้หายไป พลางก้าวเท้าเข้าไปหาร่างที่นอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น แต่ทว่าในจังหวะอีกเพียงไม่กี่ก้าวก่อนที่เขาจะเดินไปถึงร่างบางนั้น ชายหนุ่มก็ต้องเบิกดวงตากว้างและหมุนตัวยกดาบขึ้นตั้งรับบางสิ่งที่วาดผ่านลงมา

เคร้ง!!!!

เพราะว่าไม่สามารถตั้งหลักได้สมบูรณ์แบบจึงทำให้ร่างสูงนั้นสูญเสียการป้องกันไปชั่วขณะทำให้ติดสถานะอัมพาท จนไม่สามารถถือครองดาบเอาไว้ได้และถูกปัดจนกระเด็นไป ดวงตาสีเพลิงจ้องมองปลายดาบของดาบเล่มยาวซึ่งตอนนี้สภาพบิ่นร้าวไปทั้งใบดาบที่กำลังจ่อประชิดคอของเขาโดยมีผู้ถือมันคือเด็กสาวในสภาพที่ชุดป้องกันเหลือเพียงเสื้อผ้าที่สวมใส่ไว้ใต้เกราะซึ่งเหลือเพียงเศษบางส่วน ปลายผ้าพันคอสีแดงสดนั้นขาดวิ่นจนเหลือความยาวไม่ถึงครึ่งของที่มันเคยเป็นและดวงตาสีแดงสดซึ่งฉายประกายเด็ดเดี่ยวที่กำลังจ้องมองตรงมาที่เขา

"ถึงฉันจะด้อยกว่านายทุกด้าน แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเป็นหมูให้เคี้ยวง่ายๆหรอกนะ จำเอาไว้ซะ!!!!"

ตูม!!!!! ตูม!!!!!!!!!! ตูม!!!!!!!!!!!

เสียงระเบิดของบางสิ่งที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเส้นทางเดินที่กำลังจะมุ่งตรงเข้าไปในป่าทางซ้ายของดันเจี้ยนโรงพยาบาล ซึ่งถูกขวางเอาไว้ด้วยร่างอันใหญ่ยักษ์ของสิ่งพิกลพิการและน่าสังเวชที่กำลังแกว่งอาวุธซึ่งทำมาจากแผ่นเหล็กความยาวกว่าเกือบเมตรและหนากว่า 5 นิ้วไปมาเพื่อโจมตีเส้นสายสีดำที่พุ่งฉวัดไปมารอบๆตัวของมันเอง

"ด้วยอำนาจของเปลวเพลิง จงทำลายอริของข้าให้มอดไหม้ เฟลม บลาส!!!!!"เสียงบริกรรมคาถาของเด็กหญิงในชุดจอมเวทย์ดังขึ้น ดวงตาของเธอจับจ้องมองพลังชีวิตของอสุรกายตรงหน้าสลับกับพลังชีวิตของคนสองคนที่กำลังโจมตีเจ้าสิ่งตรงหน้านี้อยู่อยางรวดเร็ว

"อีกสองนาที ฉันจะใช้เวทย์การรักษาของวารีได้"มายุตระโกนบอกคนทั้งสองที่กำลังดึงความสนใจของอสุรกายซึ่งร่างกายของมันประกอบขึ้นมาจากซากศพจำนวนมากที่ตอนนี้ร่างกายของมันกำลังลุกไหม้

"รับทราบ"เสียงของชาโดว์ดังขึ้น เธอสะบัดมีดสั้นสีม่วงสดในมือเข้าใส่ขาทั้งสองข้างของอสุรกายตรงหน้าด้วยจำนวนที่เท่ากันก่อนจะประสานมือเข้าด้วยกัน ดวงตาของเธอปรากฏอักขระขึ้นมาซึ่งมันเป็นคำว่า ระเบิด

ตูม!!!!

ที่แท้เสียงระเบิดเมื่อครู่ก็เกิดจากการใช้ทักษะของนินจาสาวคนนี้นั่นเอง ร่างของอสุรกายซวนเซลงเพราะขาทั้งสองข้างนั้นไม่สามารถรองรับน้ำหนักที่มีมากของมันได้อีก ร่างอสุรกายเอนไปมาและในที่สุดมันก็ล้มลง โดยที่ดวงตาที่เป็นสีขาวขุ่นของมันนั้นเห็นชายคนหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาพร้อมกับดาบคาตานะที่กำลังจะถูกดึงออกมาจากฝัก

ฉัวะ!!!

เสียงตัดขาดของกล้ามเนื้อและกระดูกดังขึ้นพร้อมกับหัวของอสุรกายที่สะบัดปลิวไปในอากาศ ชายหนุ่มดึงปืนลูกโม่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนเล็งมันไปที่ศรีษะที่กำลังลอยอยู่ในอากาศก่อนเหนี่ยวลั่นไกสังหารระเบิดสิ่งนั้นจนแหลกเละกลายเป็นเศษเนื้อ

"จังหวะนี้ล่ะครับ คุณชาโดว์!!! มายุ"ไมดัสตระโกนบอกทั้งสองคนที่อยู่ข้างล่าง มายุกระแทกด้ามคทาลงพื้นวงเวทย์เรืองแสงสว่างสายน้ำทั้งแปดสายพุ้งทะลุขึ้นมาจากใต้ดินเข้าดับเพลิงที่กำลังลุกไหม้ร่างของอสุรกายจนดับมอดพร้อมๆกับกระแทกอัดบดขยี้เศษซากที่ประกอบกันไม่เหนียวแน่นพอของซากอันเดธที่จับรวมกันจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง และเมื่อสายน้ำทั้งแปดเบาบางลงร่างในชุดนินจาก็พุ่งไต่ทะยานไปตามร่างที่พิกลพิการยิ่งกว่าตอนแรกของอสุรกายที่ไร้หัว ในมือของเธอกำลูกกลมๆซึ่งมันถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าโดยด้านบนนั้นมีสายชนวนยื่นออกมา เธอจุดประกายไฟขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

"ไปลงนรกซะ"เธอกล่าวเย็นเยียบและจัดการยัดระเบิดเข้าไปในบาดแผลช่วงคอที่เหมือนมันกำลังจะสมานเข้าหากัน ซึ่งข้างในนั้นมีบางสิ่งที่หน้าตาคล้ายหัวใจแต่ขนาดใหญ่กว่าที่ซึ่งกำลังเต้นอย่างเป็นจังหวะ ก่อนที่เธอจะดีดตัวออกมาจากร่างใหญ่ยักษ์นั้นอย่างรวดเร็ว

ตูม!!!!

แรงระเบิดส่งผลให้ร่างของซากอันเดธทั้งหลายกระจัดกระจายไปทั่ว เศษเนื้อและเลือดปลิวสะบัดไปทั่วทุกทิศทางนับว่าเป็นโชคดีของทั้งสามคนที่มายุร่ายมนต์เสร็จทันและปรากฏแสงสีเขียวขึ้นมาป้องกันคนทั้งสามจากคราบเลือดและเศษเนื้อซึ่งเป็นพาหะนำโรคของเชื้ออันเดธได้อย่างทันท่วงที

"ให้ตายสิ...เกือบไปแล้วไหมล่ะ"มายุถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากฝนเนื้อและเลือดหยุดลงในที่สุดเธอจึงทำการสลายม่านพลังงานลง

"เหนื่อยชะมัดเลยนะครับเนี่ย"ไมดัสถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ในที่สุดการต่อสู้ทั้งหมดจะจบลงเสียที ซึ่งดูเหมือนคนทั้งสองเองก็จะคิดแบบเดียวกัน ทั้งสามมองไปรอบๆที่ซึ่งเต็มไปด้วยหลุมระเบิดและซากของบางสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ซึ่งมันกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่รอบๆตัว ชายหนุ่มทำหน้าขยะแขยงระหว่างเดินผ่านซากของอสุรกายไปเพื่อก้มเก็บของที่คล้ายๆกับไข่มุกขึ้นมา

[ผู้เล่นไมดัส ได้รับ เม็ดพลังงาน]

"ว่าแต่ทำไมเจ้าพวกนี้ถึงไม่สลายหายไปละเนี่ย"มายุมองไปรอบๆอย่างสงสัย ทั้งที่ตามปกติพวกมันควรจะหายไปได้แล้ว แต่ทว่าคราวนี้กลับไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น

"เก็บมันทำไม ?"ชาโดว์ตั้งข้อสังเกต

"ผมรู้สึกว่ามันน่าสนใจน่ะครับ"ไมดัสตอบยิ้มๆก่อนเก็บ เม็ดพลังงานกลับเข้ากระเป๋าไอเทมไป

แฮ่.......

"ให้ตายสิกลิ่นมันเรียกเจ้าพวกนี้มาสินะครับเนี่ย"ไมดัสมองไปยังเส้นทางด้านหลังพวกเขา กองทัพอันเดธฝูงใหม่กำลังเคลื่อนพลมาอย่างเชื่องช้า

"มานาฉันไม่พอแล้วนะ"มายุโวยวาย

"ฉันถ่วงให้เอง"ชาโดว์ล้วงเอาระเบิดออกมาจากกระเป๋า

"ฝากด้วยนะครับ"ไมดัสตอบ เขาเองก็มานาใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว

สาเหตุที่พวกเขาระวังเรื่องการไม่ให้มานาเพิ่มขึ้นจนถึงลิมิตนั้นเป็นเพราะว่าถ้ามานาของตัวละครเพิ่มขึ้นจนถึงขีดลิมิตจะทำให้ตัวละครได้รับผลดีบัฟแปลกๆซึ่งระบบจะทำการสุ่มสถานะให้และแน่นอนว่าดีบัฟแต่ละอย่างไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่

"หลบไปๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"เสียงคำรามดังขึ้นจากด้านหลังของกองทัพอันเดธ พร้อมกับร่างที่ถูกโยนฉีกทิ้งไปเหมือนเศษผ้า เสียงนั้นเป็นเสียงที่คุ้นเคยซึ่งมันทำให้ไมดัสรู้สึกใจชื้นขึ้นมา

คนที่ปรากฏโผล่พ้นมาจากกองทัพของอันเดธนั่นคือชายร่างสูงใหญ่ยักษ์ท่าทางหน้าตาเหมือนกับพวกคนป่าซึ่งกำลังกวัดแกว่งดาบเล่มยักษ์ของเขาไปมา ซึ่งมันมีความรุนแรงมากพอที่จะปัดกวาดพวกอันเดธได้อย่างง่ายดาย

"Roar!!!!!!!"อมาร็อคคำรามลั่นก่อนที่ร่างของเขาจะปะทุเดือดด้วยความร้อน ชายร่างใหญ่เริ่มทำการไล่ฆ่าฝูงอันเดธอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งเพราะว่าการโจมตีของเขาไม่ถูกจำกัดเหมือนตอนทำงานเป็นทีมแบบยุทธวิธีเส้นทางเดียวจึงทำให้อมาร็อคสามารถแสดงความสามารถของคลาสเบอร์เซิร์กเกอร์ได้อย่างเต็มที่ ยิ่งเขาถูกโจมตีมากขึ้นเท่าไหร่ชายหนุ่มก็จะยิ่งทวีความบ้าคลั่งขึ้นเท่านั้นแถมผลของกลิ่นเลือดที่คละคลุ้งมันยิ่งทำให้เขาได้พลังโจมตีและความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ราวกลับในกลางดงของศัตรูนั่นเขาคืออสุรกายแห่งสงครามที่จะฆ่าล้างทุกสิ่งที่ขวางทางให้สิ้นซาก

"บ้าจริง!! ทำอะไรไม่ปรึกษาเลย"ไมดัสสบถอย่างหัวเสีย เขาตัดสินใจเปิดขวดยาขึ้นมาดื่มหลายขวดพลางทำสีหน้าเหยเกเพราะว่ารสชาติของมันนั้นแย่เอามากๆ 

"มายุเตรียมใช้เส้นทางเดียว"

"รับทราบ"มายุเองก็มีสีหน้าไม่ต่างไปจากไมดัสดูท่าทางเธอก็กินยาแบบเดียวกับไมดัสเช่นกัน อีกสาเหตุที่ทำให้ทั้งสองไม่อยากกินยาเพิ่มลดมานาลงก็คือสาเหตุนี้นั่นเอง ถ้าไม่ใช่สถานการณ์ที่เสี่ยงตายพวกเขา(และผู้เล่นอีกหลายๆคน)จะไม่เฉียดไปแตะพวกยาพิษที่ส่งผลทำลายมานาเด็ดขาด

"คุณชาโดว์หาที่หลบ"ไม่จำเป็นต้องให้พูดซ้ำต่อ ชาโดว์หายไปจากตรงนั้นทันทีเพราะเมื่อเธอได้เห็นถึงความบ้าคลั่งของชายร่างใหญ่ที่ฉีกทึ้งร่างของฝูงอันเดธแล้วก็ทำให้เธอได้รู้เลยว่าความสามารถของเธอไม่สามารถทำอันตรายคนๆนี้ได้เลย

"อีกกี่นาทีถึงลิมิต"ไมดัสหยิบมีดสั้นขึ้นมาสองเล่นโดยจับแบบสลับด้านกัน

"ประมาณ 3 นาที"เด็กสาวกล่าวไปร่ายบริกรรมคาถาไป ใต้พื้นของเธอปรากฏวงเวทย์ขึ้นมาเป็นชั้นๆแสดงให้เห็นว่าเธอนั้นไม่ได้ร่ายมนต์แค่บทเดียว

ร่างของอมาร็อคเริ่มแสดงอาการเหนื่อยหอบเหมือนครั้งที่แล้ว ผิวหนังของเขาเริ่มเย็นลงแต่ทว่ากลับมีสิ่งที่ผิดแปลกไปเพราะไม่กี่วาหลังจากนั้นดวงตาของเขาก็กลายเป็นสีเพลิงและผิวหนังของเขาก็กลับมากลายเป็นสีแดงสดทวีมากยิ่งกว่าครั้งที่ใช้ทักษะเสียอีก

Roar เป็นทักษะประจำของเฉพาะคลาส เบอร์เซิร์กเกอร์ ซึ่งมันจะเพิ่มทุกๆสถานะความสามารถของตัวละคร 45 % รวมถึงป้องกันผลสถานะผิดปกติได้ 100 % แต่ทว่าจะทำให้ผู้ใช้นั้นสูญเสียสติสัมปชัญญะไปโดยสิ้นเชิงและจะไม่สามารถใช้ความสามารถหรือทักษะอื่นๆได้ที่นอกเหนือจากทักษะของคลาสเบอร์เซิร์กเกอร์ โดยผลของทักษะนั้นจะอยู่ 5 นาทีและเมื่อผลของทักษะ Roar สิ้นสุดลงผู้ใช้จะติดสถานะอัมพาทเป็นเวลา 10 นาที โดยแต้มความสามารถที่ถูกเพิ่มมาจะค่อยๆลดลง วินาทีละ 4 % จนกระทั่งหมดลง แต่ทว่า...ถ้าในขณะที่ผู้ใช้ Roar นั้นได้รับกลิ่นเลือดในปริมาณที่กำหนด(ไม่สามารถระบุเกณฑ์จำกัดของเพดานนี้ได้) จะทำให้เมื่อหมดผลของทักษะ ผู้ใช้ทักษะจะสามารถคงสถานะของ Roar เอาไว้ได้ แต่ว่าจะไม่มีเวลากำหนดของการคลุ้มคลั่งนี้ หมายถึงผู้ใช้จะติดในสถานะคลุ้มคลั่งต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีผู้ที่ทำการสังหารทิ้งหรือทำการทำให้หมดสติลงไป (โดยในเหตุการณ์ที่เบอร์เซิร์กเกอร์คนนั้นสวมเกราะหนักหรือเป็นบุคคลที่มีระดับที่สูงการจะใช้วิธีที่สองนั้นยากพอๆกับเป็นไปไม่ได้ โดยปกติจึงเลือกใช้วิธีในการสังหารซึ่งง่ายกว่า แต่นั่นหมายถึงในสถานการณ์ปกติ...หลังจากที่ Online ไม่ใช่แค่เกมส์อีกต่อไป เมื่อผู้เล่นเสียชีวิตลงก็จะกลายสภาพเป็น NPC โดยสมบูรณ์ จึงเป็นที่แน่นอนว่า ไมดัส นั้นเหลือทางเลือกเพียงทางสุดท้ายคือเข้าปะทะซัดกับอมาร็อคตรงๆเพื่อดับสติของอีกฝ่าย)

ในขณะที่ป่าฝั่งตะวันตกกำลังดุเดือดและคาวคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด ที่ป่าฝั่งตะวันออก หญิงสาวในชุดเกราะผู้ซึ่งมีเส้นผมสีดำสนิทนั้นเธอก็กำลังคงยังไม่ได้สติและหลับอยู่ในพุ่มไม้ โดยที่เธอหารู้ไม่ว่า มีดวงตาขาวโพลนหายสิบคู่กำลังจ้องมองมายังจุดที่เธออยู่อย่างหิวกระหาย...