“ก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก ขอผ่านก็แล้วกัน…”ฉันตอบไปก่อนเลื่อนปิดโฮโลแกรมทิ้ง ทิมมีสีหน้าที่ดูเศร้าลงเล็กน้อยแต่เพียงพักเดียวเขาก็ยักไหล่เบาๆ
“เอาเถอะไม่สนใจก็ไม่สนใจ”ทิมกล่าวเรียบๆ “เอ๊า! ขนมปังไส้ไก่ที่ฝากซื้อ ส่วนนี่นมรสหวานฉันเลี้ยง”
“เอ๊ะ งั้นเหรอขอบใจนะ”ฉันคว้ารับขนมปังและนมกล่องที่ถูกโยนมาให้อย่างแม่นยำ “ว่าแต่...เคืองหรือเปล่าเนี่ย?”
“หืม? อ๋อ เปล่า…ไม่ได้เคืองอะไรหรอก ไว้ฉันหาเกมใหม่มาแนะนำนายวันหลังล่ะกัน”ทิมหัวเราะขำๆก่อนเริ่มกินขนมปัง พอเห็นแบบนั้นฉันเองก็เลยไม่ได้ใส่ใจและลงมือทานเช่นกัน
“เอาเถอะ ลองเข้าไปดูก็ไม่เสียหายอะไร”ฉันรู้สึกผิดแบบแปลกๆ ในที่สุดฉันก็ใจอ่อนอีกตามเคย…
“อะไรนะที่พูดเมื่อกี๊?”ทิมหันมามองอย่างสงสัย ดูเขาจะได้ยินไม่ถนัด
“ฉันบอกว่าฉันจะลองเข้าไปในเกมๆนั้นดู”ฉันพูดทวนประโยคก่อนดูดนมไปกล่องจนหมด พอหันมามองทิมอีกครั้งภาพรอยยิ้มที่ฉีกกว้างของอีกฝ่ายก็ทำเอาฉันผงะ “ยิ้มน่ากลัวชะมัด!!!”
“ฮะๆๆ ขอโทษๆ แต่ว่านายนี่ยังใจดีเหมือนเดิมเลยนะ แต่ก็ดีฉันจะได้ไม่ต้องลำบากหาเกมใหม่ด้วย”ทิมพูดไปหัวเราะไป
แล้วใครใช้ให้นายมาหาเกมมาเสนอให้ฉันล่ะเนี่ย…
“เอาเถอะยังไงไปหาข้อมูลมาให้ฉันมากกว่านี้ก่อนล่ะกันแล้วฉันจะตัดสินใจอีกที”ฉันพูดขึ้นหลังจากกินขนมปังจนหมด
“เข้าใจแล้ว พรุ่งนี้เตรียมรับข้อมูลที่สายข่าวคนนี้หามาให้ได้เลย”ทิมตบอกตัวเองเบาๆ
“ครับๆๆ ฉันจะรอก็แล้วกัน”ฉันตอบๆไป หลังจากที่พวกเรานั่งคุยเรื่องสับเพเหระอีกสักพัก ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่คุยกันก็มีเรื่องของอาจารย์ไลท์ปนอยู่ด้วย พอถึงบทสนทนานั้นพวกเราก็พากันหัวเราะใหญ่จนกระทั่งเสียงกริ่งหมดเวลาพักเที่ยงก็ดังขึ้น เรียกให้ฉันกับทิมต้องหยุดบทสนทนาลงไปและพากันลงไปที่ห้องเรียนเพื่อเตรียมรับมือกับการสอบที่จะมาถึง
“…”ความรู้สึกที่เหมือนมีใครสักคนกำลังมองมาจากด้านหลัง ทำให้ฉันต้องหันกลับไปมองในทันที ชั่วพริบตานั้นเหมือนกับเห็นเด็กสาวผู้มีเส้นผมสีทองยาวสลวยซึ่งสะท้อนเป็นกับแสงแดดเป็นประกายยืนอยู่ที่อีกฟากฝั่งของรั้วเหล็กบนดาดฟ้าของอาคารนักเรียนหญิง
“แบล็ค เดี๋ยวเข้าสายก็โดนอาจารย์ไลท์เล่นอีกหรอก”เสียงของทิมเรียกให้ฉันต้องหันกลับไปและตระโกนขานรับ ทว่าเมื่อหันกลับมาอีกครั้งเด็กสาวคนนั้นก็หายไปจากจุดๆนั้นเสียแล้ว ไม่รู้ทำไม…ความรู้สึกในใจบางอย่างกำลังร้องเตือนฉัน…ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน…
“ข้อสอบ 50 ข้อให้เวลาแค่หมดคาบ เสียงออดดังเมื่อไหร่เก็บทันที…ใครส่งช้าเกินสองนาทีไม่รับตรวจ คะแนนเต็ม 100 คะแนน ถูกสองข้อได้หนึ่งคะแนน ตอบผิดหนึ่งข้อหักหนึ่งคะแนนและข้อสุดท้ายถ้าตกไม่มีซ่อม”คำพูดตามแบบฉบับอาจารย์สุดโหดดังขึ้นเหมือนปกติ แต่ทุกครั้งทีได้ยินแบบนั้นก็ทำให้ทุกคนในห้องรู้สึกเย็นวาบที่สันหลังทุกครั้ง แม้ในทุกการสอบที่ผ่านๆมาจะไม่เคยมีใครตกเลยก็ตาม หลังจากจบคำขู่เขาก็ยกปึกข้อสอบให้คนด้านหน้าสุดเพื่อให้ส่งต่อไปด้านหลัง
ทันทีที่กระดาษมาถึงมือฉันก็รีบกวาดสายตาไล่อ่านข้อสอบทุกข้อทุกหน้ากระดาษก่อนเป็นอันดับแรกและเริ่มทำข้อที่ง่ายที่สุดก่อนก่อนที่จะไล่ไปยังข้อที่ยากที่สุดของข้อสอบเพื่อย่นเวลาในการทำให้ใช้เวลาน้อยที่สุด เพราะกว่าอาจารย์จะพูดจบรวมเวลาก่อนกระดาษจะมาถึงมือนั้นเหลือเวลาให้ทำอีกไม่ถึง 40 นาที
ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาไม่มีแม้แต่เสียงอื่นใดจะดังเล็ดลอดออกมานอกจากเสียงของปากกานั้น เสียงปากกาที่เขียนลงไปบนแผ่นกระดาษดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นจังหวะราวกลับคนในห้อง 2-D นั้นกำลังบรรเลงบทเพลงผ่านปลายปากกา
ในที่สุดฉันก็ทำข้อสอบเสร็จสักที ความเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นผ่านการเกร็งถูกผ่อนคลายลงด้วยการยืดตัว ยืดแขน เหลือเวลาอีกสิบนาที…ฉันก้มมองนาฬิกาคนอื่นๆในห้องเองก็ดูจะเสร็จกันหลายคนแล้ว บางคนก็ตรวจทานข้อสอบบางคนก็เท้าคางมองกระดานเหมือนพยายามจะมองข้ามไปอีกห้อง บางคนนั้นถึงกับฟุบหลับไปเลยก็มี ฉันหยิบกระดาษคำตอบมาตรวจทานอีกครั้งเพื่อกันความผิดพลาด มีบางข้อที่ฉันตัดสินใจละว่างไว้เพราะว่าไม่มั่นใจในคำตอบและไม่อยากเสี่ยงที่จะถูกหักคะแนนเพราะคำตอบผิด
“เหนื่อยชะมัดเลย~~ ข้อสอบบ้าอะไรล่ะนั่นน่ะ ยากชะมัด”เสียงบ่นงึมงำของทิมดังขึ้นหลังจากกระดาษคำตอบทั้งหมดถูกส่งคืนอาจารย์ที่ตอนนี้ออกจากห้องไปเรียบร้อยแล้ว “ฉันต้องทิ้งว่างไว้ตั้งหลายข้อเลยนะนั่นน่ะ ไม่งั้นเสร็จไม่ทันแหงมๆ”
“ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกน่า”ฉันพูดไปตามตรง เสียงพูดคุยของคนในห้องมันดังอื้ออึงไปหมด ดูหลายคนเองก็คงจะเซ็งกับข้อสอบวันนี้มากพอตัวเหมือนกัน “แล้วไง ไอข้อสุดท้ายตอบอะไรเหรอ ฉันหาคำตอบไม่ได้สักที”
“ไอข้อที่ว่า sinα±sinβ=2sin12α±βอะไรนั่นน่ะนะ ไม่รู้สิเห็นโจทย์ยาวๆฉันก็เลิกอ่านแล้ว”คำตอบที่ออกมาอย่างทีเล่นทีจริงทำเอาฉันถึงกับตีหน้าบึ้งใส่เพราะว่ากำลังถามเป็นงานเป็นการอยู่และดูทิมเองก็จะสังเกตเห็นเช่นกันจึงรีบขอโทษเสียยกใหญ่ “อ้าว ถามจริงๆเหรอเนี่ย ขอโทษๆ เอาหนังสือมานี่สิด้วยสอนให้”
คาบหลังจากคาบคณิตก็เป็นคาบที่ค่อนข้างจะผ่อนคลายอารมณ์ได้มากพอสมควรเพราะว่าอาจารย์ที่สอนเองก็เข้าใจอารมณ์ของนักเรียนดีจึงไม่ได้เข้มข้นทางเนื้อหามากนัก กระทั่งคาบสุดท้ายสิ้นสุดลงเหล่านักเรียนก็เริ่มทยอยกันออกจากห้องไป ส่วนฉันหลังจากแยกกับทิมที่ถูกพวกสภาลากตัวไปก็เดินลงไปที่ห้องพักอาจารย์
“อาจารย์ไลท์…ผมมาแล้วครับ”ฉันเอ่ยทักเรียกให้ร่างที่นั่งอยู่หลังเก้าอี้ต้องหมุนหันมามอง อาจารย์ไลท์ในตอนนี้ไม่ได้สวมเสื้อโค๊ทเหมือนในคาบเรียน โค๊ทตัวนั้นตอนนี้ถูกแขวนไว้ที่ผนังห้อง ดวงตาสีแดงหม่นภายใต้กรอบแว่นมองมาที่ฉันอย่างลอยๆดูเหมือนเขาจะอารมณ์เย็นลงจากการถูกหักอกแล้ว
“มาช่วยฉันจัดกองเอกสารตรงนั้นที เสร็จแล้วก็กลับไปได้แล้ว”ว่าจบเขาก็หันกลับไปตรวจข้อสอบที่กองกันเป็นภูเขาบนโต๊ะอย่างเงียบๆ ฉันเองก็ไม่อยากรบกวนแถมบรรยากาศเวลาอาจารย์แกตั้งใจทำงานมันก็ไม่ชวนพิสมัยให้เข้าใกล้สักเท่าไหร่ (ถึงปกติก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้อยู่ก็เถอะนะ…)
แต่พอเริ่มงานจริงๆฉันพบว่าตัวเองอยากไปนั่งทำข้อสอบ 500 ข้อมากกว่า…เพราะว่าเอกสารที่ฉันต้องจัดนั้นมีปริมาณที่มากชนิดที่ว่าแค่เห็นก็เหนื่อยแล้ว เล่นเอาจากตั้งแต่สี่โมงเย็นกว่าจะเสร็จล่อไปเกือบหกโมงเย็น…
“ขอบใจมาก ช่วยได้เยอะเลย เอาอะไรหน่อยไหม?”คำถามของอาจารย์วัยหนุ่มดังขึ้น ตรงหน้าของเขาคือตู้กดน้ำซึ่งตั้งอยู่บริเวณโรงอาหาร ตอนนี้นักเรียนในสถาบันเริ่มบางตาลงจะมีบางส่วนที่เป็นนักกีฬาที่ยังคงฝึกซ้อมอยู่ เสียงเพลงที่เกิดจากการบรรเลงของเหล่านักดนตรียังคงดังแว่วจากชั้นบนก็ไม่น่าตกใจเท่าไหร่ เพราะว่าอีกไม่กี่อาทิตย์จะมีการแข่งขันการแสดงทางดนตรีของสถาบันชายทั้งหมดในสหพันธรัฐกลางแล้วนินะ
“ไม่ดีกว่าครับ ขอบคุณครับ”
“น้ำส้มสินะ”ดูเหมือนคำพูดของฉันจะไร้ความหมายเพราะอีกฝ่ายได้ทำการเลือกเมนูให้เป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่อาจารย์ไลท์ได้ทำการซื้อกาแฟของตัวเองก็เดินมายื่นน้ำส้มกระป๋องให้ “ฉันเลี้ยง…”
‘ที่ถามนี่สรุปถามตามมารยาทสินะคะ…’ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆแล้วรับน้ำผลไม้กระป๋องนั้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ย่ะ…เย็นจัง!”
“เอาล่ะ รีบกลับไปได้แล้ว หกโมงครึ่งแล้ว”อ.ไลท์ พูดพลางมองนาฬิกาข้อมือ “ให้ตายสิ ดูท่าฉันคงจะต้องไปส่งแล้วสินะ”
“ม่ะ ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองได้”ฉันรีบออกตัวก่อนที่อีกฝ่ายจะทันพูดอะไร “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ!”
“เดี๋ยวก่อนสิ ไปซะแล้ว…ให้ตายสิเป็นแบบนี้ทุกทีเลย”อาจารย์หนุ่มถอนหายใจพลางยกดื่มกาแฟในกระป๋องจนหมดก่อนจะโยนทิ้งลงถังไป “ฉันเองก็กลับบ้างดีกว่า”
…
“แฮ่ก…แฮ่ก…..แฮ่ก…..คงจะไม่ตามมาแล้วล่ะ”เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับได้ ฉันจึงตัดสินใจที่จะใช้เส้นทางปกติ ฉันหันกลับไปมองด้านหลังเพื่อดูว่ามีใครตามมาหรือไม่แต่ทว่าก็มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ในชั่วขณะนั้นฉันรู้สึกเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่ฉันอย่างชัดเจน ทำเอาร่างกายถึงกับหนาวเย็นวาบไปถึงสันหลัง ฉันรีบหันไปมองยังทิศทางที่ถูกจ้องมองมาแต่ทว่าก็ไม่พบว่ามีใครอยู่ตรงนั้น ด้วยความรู้สึกที่ไม่ไว้วางใจฉันจึงตัดสินใจที่จะรีบตรงกลับไปที่ห้องพักทันที
ในที่สุดภาพของอาคารบ้านพักก็ปรากฏที่ปลายทางของสายตา ฉันรีบขึ้นไปที่ชั้นสองซึ่งเป็นที่ตั้งของห้อง แต่ทว่าเมื่อขึ้นมาถึงชั้นบนก็ได้พบว่าข้างห้องที่ปกติไม่มีใครอยู่อาศัย วันนี้กลับมาแสงไฟเปิดออกมาจากข้างในห้องว่างนั้น แถมยังมีกลิ่นอาหารที่กำลังปรุงอยู่ลอยโชยออกมาทำเอาท้องที่ว่างอยู่ของฉันส่งเสียงร้องเบาๆ
‘มีคนมาอยู่แล้วงั้นเหรอ? ไว้พรุ่งนี้เช้าไปทักทายดี หรือว่าจะไปทักตอนนี้เลยดีนะ’ระหว่างที่กำลังยืนคิดอยู่ท้องเจ้ากรรมก็ส่งเสียงโวยวายออกมามากกว่าเก่าเพราะกลิ่นของอาหารนั้น ‘ไว้วันหลังก็แล้วกัน!’
ฉันรีบกลับเข้าไปในห้องจากนั้นก็ถอดชุดนักเรียนโยนใส่ตะกร้าผ้าไป จากนั้นก็รีบเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าแบบปกติแทน ก่อนจะเดินไปเปิดกระเป๋าเงินที่เก็บอยู่ในลิ้นชักออกมาดูว่าเหลือเงินเท่าไหร่
“สงสัยจะได้เวลาไปทำงานพิเศษอีกแล้วสินะ”พอมองเงินในกระเป๋าแล้วจิตใจก็ยิ่งเฉามากขึ้นไปเสียอีก ฉันตัดใจที่จะออกไปซื้ออาหารกล่องที่มินิมาร์ท และเดินไปเปิดดูตู้เย็นแทนว่าเหลืออะไรให้เอามากินประทังชีวิตได้บ้าง ข้างในตู้เย็นนั้นเหลือไข่ไก่กับผักอีกนิดหน่อย ข้าวสารในถังก็ยังพอมีอยู่…ทำข้าวผัดก็แล้วกัน
ภายหลังจากการลงมือทำอาหารหลังจากว่างเว้นมาหลายวัน ข้าวผัดไข่ก็เสร็จสิ้นในที่สุด กลิ่นของมันนั้นชวนให้ความหิวในท้องส่งเสียงมากยิ่งขึ้นไปอีก ฉันรีบตักข้าวผัดนั้นใส่จานก่อนจะยกไปนั่งทานที่โต๊ะ
“ข่าวมีแต่ข่าวเดิมๆ…ให้ตายสิ จะอะไรกันนักกันหนานะ”ฉันมองข่าวที่ถ่ายทอดในโทรทัศน์พลางถอนหายใจ ข่าวที่แสดงในช่องโทรทัศน์นั้นเป็นข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งที่ชายแดนรอยต่อสหพันธรัฐและนครเหนือซึ่งยังคงมีอย่างต่อเนื่องและดูจะมีความรุนแรงมากขึ้นทุกๆวัน
ภายหลังจากการปฏิวัติของกลุ่มสตรีเพศเมื่อร้อยปีก่อนซึ่งได้ทำการล้มล้างระบบปกครองเก่าก่อนทำการก่อตั้งสหพันธรัฐขึ้นที่เมืองหลวงเก่าของประเทศ โดยที่กลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับระบบปกครองใหม่ได้ทำการแบ่งภาคเหนือของประเทศออกมาเป็นประเทศใหม่เพื่อต่อต้านระบบการปกครองที่ไร้ซึ่งความเท่าเทียมทางเพศและสังคม แต่ทว่าเพราะสหพันธรัฐนั้นมีการสนับสนุนที่ดีกว่าจากประเทศมหาอำนาจทางจะวันตกความพยายามของนครเหนือจึงไร้ผลและพ่ายแพ้ในสงครามหลายครั้งจนประเทศใหม่ที่ถูกตั้งขึ้นนั้นประชาชนต้องอยู่ในสภาวะที่อดอยากและยากจน
ในที่สุดหลังจากเปลี่ยนไปดูช่องอื่นก็มีแต่เรื่องซ้ำๆกัน ฉันก็ตัดสินใจปิดมัน เป็นจังหวะเดียวกับที่ข้าวเม็ดสุดท้ายถูกกวาดจนหมดจานพอดี หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จเครื่องครัว อุปกรณ์ และสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ถูกเก็บทำความสะอาดก่อนจะนำไปไว้ในที่ที่มันควรอยู่
‘วันนี้ไม่มีการบ้าน…อาบน้ำเสร็จแล้ว อ่านหนังสือต่อให้จบดีกว่า’ความคิดที่ถูกเรียบเรียงนี้เกิดขึ้นระหว่างที่ฉันกำลังเดินตรงไปที่ห้องอาบน้ำ เสื้อผ้าที่ถูกสวมใส่อย่างรีบเร่งในตอนแรกถูกถอดออกและแขวนเอาไว้ที่ด้านนอก ก่อนที่ฉันจะเลื่อนประตูเข้าไปและเริ่มอาบน้ำด้วยฝักบัวแทนการแช่ในอ่างอาบน้ำ เพราะว่ามันเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายไปในตัว
“ฮึบ…ฮ๊า…การได้อาบน้ำนี่คือความสุขของชีวิตจริงๆล่ะนะ”ฉันฮัมเพลงอย่างสบายใจหลังจากได้ทิ้งตัวลงบนเตียงพร้อมกับหนังสือเล่มหนาที่หยิบยืมมาจากห้องสมุด มันเป็นนวนิยายแปลของต่างประเทศซึ่งฉันนั้นชอบพอมันมากพอสมควรถึงขนาดที่มีความคิดที่จะเก็บเงินเพื่อซื้อมันมาเก็บสะสมไว้เลยทีเดียว
แต่ทว่าความเหนื่อยล้าจากงานเอกสารก็ทำให้หนังตาของฉันไม่ฟังคำสั่งของเจ้านายและเปิดๆปิดๆ ฉันยกมือป้องปากเล็กน้อยพลางขยี้ตาเบาๆ ดูท่าวันนี้คงจะไม่ได้อ่านอีกแล้ว…แต่ว่าไม่ไหวจริงๆ ทำไมมันถึงได้ง่วงขนาดนี้นะ…
หลังจากที่เอาหนังสือกลับไปวางบนโต๊ะทำงาน ฉันก็จัดการดับไฟทุกดวงในห้องก่อนเดินโซซัดโซเซมาที่เตียง ทิ้งตัวไปบนฟูกนุ่มๆดึงผ้าห่มขึ้นมาก่อนจะหลับตาลงทิ้งทุกความรู้สึกให้จมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความฝัน…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Tips
1.สมาพันธ์รัฐไทย ซึ่งปกครองพื้นที่แบ่งมาตั้งแต่ จังหวัด ตาก สุโขทัย และอุตรดิตถ์ในอดีต ยาวไปจนถึง ประจวบคีรีขันธ์ เป็นเขตการปกครองซึ่งชายแดนถูกกั้นแบ่งด้วยกำแพงเหล็กความสูงกว่า 5 เมตร ซึ่งตัดขาดภาคเหนือตอนบนและภาคใต้โดยสิ้นเชิง การเข้าออกไม่ว่าจะด้วยทางด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือการโดยสารโดยพาหนะเอกชน(อากาศยาน รถโดยสาร รถไฟ เรือ)จะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งนอกเหนือจากการท่องเที่ยวและการศึกษาต่อจะไม่สามารถทำได้หากทางสถานกงสุลไม่เซ็นยินยอม การขนส่งสินค้าเข้านั้นมีค่าภาษีนำเข้าที่สูงมาก เรียกได้ว่า สมาพันธ์รัฐนั้นเกือบจะกลายเป็นประเทศปิดโดยสมบูรณ์ ภาษาราชการที่ใช้นั้นนอกจากภาษาอังกฤษแล้วก็มีภาษาจีนอีกภาษารวมไปถึงภาษาไทย กฎหมายของประเทศนั้นมีความรุนแรงในระดับที่สูงมาก แม้แต่ความผิดที่เล็กน้อยก็สามารถได้รับโทษสูงสุดคือการล้างสมองแล้วถูกส่งไปที่เดธโซนในฐานะแรงงานทาสตลอดชีวิต ซึ่งย่ำแย่ยิ่งกว่าความตายเสียอีก
1.2 เดธโซน เป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ใต้ดิน เป็นพื้นที่ซึ่งถูกขุดขยายพื้นที่ของเมืองลงไปชั้นใต้ดิน ความเป็นอยู่ของแรงงานทาสนั้นเรียกได้ว่ามีชีวิตไม่ต่างไปจากสัตว์ที่ถูกกดขี่ให้ทำงานตลอด 24 ชม. ผู้ที่ถูกส่งไปเดธโซนนั้น จะถูกล้างความทรงจำในสมองจนหมดสิ้นและจะถูกป้อนคำสั่งให้มีหน้าที่คอยรับคำสั่งจาก มาสเตอร์(ผู้คุม) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่จำกัดแค่เพียงเพศชายเท่านั้น และไม่จำกัดอายุ แม้แต่เด็กเล็กหรือคนแก่ก็สามารถถูกส่งไปพื้นที่นี้ได้หากกระทำความผิดของกฎหมาย
2.แดนเหนือ เป็นพื้นที่ภาคเหนือตอนบนซึ่งเป็นดินแดนของเพศชายและเพศหญิงที่ไม่ยอมรับระบบการปกครอง ผู้ที่อยู่ในเขตแดนเหนือนั้น หน่วยทหารของรัฐซึ่งประจำอยู่ที่ชายแดนสามารถทำการสังหารได้ทันทีโดยไม่ต้องได้รับการอณุญาติจากเบื้องบนหากคนจากแดนเหนือก้าวเข้ามาในแขตสีแดงซึ่งอยู่ห่างไปจาก กำแพง 1 กิโลเมตร เพราะข้อมูลภายนอกนั้นถูกจำกัดจากรัฐบาลเรื่องของโลกภายนอกนั้นจึงรับรู้ได้ในปริมาณที่จำกัดเท่าที่ภาครัฐจะอนุญาตให้เผยแพร่ คนของสมาพันธ์รัฐนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปที่แดนเหนือโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนโทษนั้นคือการเนรเทศลงเดธโซน
3.อณุสมาพันธ์ เป็นพื้นที่ของภาคใต้ทั้งหมดของประเทศไทยในอดีต รวมไปถึงมาเลเซียและสิงค์โปร์ ซึ่งมีความแตกต่างกันทางศาสนาจึงแบ่งประเทศออกจากกัน มีรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ศาสนาหลักคืออิสลาม ประชาชนจากทวีปอื่นสามารถเข้ามาในสมาพันธ์รัฐไทยได้โดยเส้นทางจาก อนุสมาพันธ์ นี้เท่านั้น