กุมชะตา ฝ่าลิขิตซาตาน III

Akira_Asarashi View 433
Normal 0 false false false MicrosoftInternetExplorer4 /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;}

บทที่3ตามหา

ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างเขาลุกขึ้นพรวดอย่างไม่ดูสังขารด้วยความรวดเร็วอาการวิงเวียงก็ย้ายเข้ามาอยู่ในโสตประสาทแทนความเจ็บปวดเขาเอามือกุมหน้าผากในขณะที่มีคนวิ่งมาประคองตัวเขาไว้

อย่าเพิ่งขยับตัวรุนแรงสิคุณกำลังมีไข้ขึ้นสูงอยู่นะ...

นี่...นี่ผมอยู่ที่ไหนกันอากิถามโดยที่มือยังคงปิดตาอยู่คนที่เข้ามาประคองเขาไว้กำลังรินน้ำดื่มใส่แก้วให้เขา

ดื่มนี่ก่อนสิ...มันเป็นยาจะทำให้ไข้คุณหายเร็วขึ้นอากิมองน้ำสีฟ้าใสๆในแก้วสักครู่แล้วรับมาอย่างหวาดๆเขารู้สึกเข็ดกับการดื่มน้ำแปลกๆที่คนไม่รู้จักให้มาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเสียแล้ว

...หนุ่มนัยน์ตาสีฟ้ายังคงจ้องน้ำสีฟ้าใสๆในแก้วอย่างไม่กล้าดื่ม

ดื่มได้แน่นอนครับ...คนที่ช่วยคุณเขาเป็นคนฝากมาให้อากิวางมันลงอย่างรวดเร็ว...

เอ่อ...คนที่หน้าเข้มๆดูท่าทางไม่น่าไว้วางใจน่ะเหรอครับแล้วเสียงหัวเราะเบาๆก็ดังขึ้น...อากิเกาหัวตัวเองแกรกๆ

มันน่าตลกตรงไหน...

ไม่ใช่เจียลแน่นอนครับเห็นเขาบอกว่ายานี่หายากมากและอันตรายต่อการค้นหามากดังนั้นเขาไม่ให้คุณง่ายๆแน่ครับเขาบอกผมว่ามันหล่นออกจากกระเป๋าเสื้อของคุณตอนที่คุณสลบไปน่ะ

ตอบที่ผมสลบ...!!นั่นสิ...ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่รู้สึกว่ามีคนท่าทางแปลกๆมาช่วยผมไว้อีกที

.

.

.

ในขณะที่คมเขียวกำลังจะถูกฝังลงบนคอของหนุ่มผู้กำลังถูกพิษของซอมบี้เข้าควบคุมร่างกายมีแสงประหลาดเกิดขึ้นซึ้งแม่แต่อากิที่ตาพร่ามัวก็มองเห็นแต่แสงนั้นไม่ใช่แสงสว่างกลับเป็นแสงสีม่วงดำที่ดูน่ากลัวและไม่น่าเข้าใกล้จากนั้นร่างกายของอากิก็ค่อยๆดีขึ้นตัวที่เคยเป็นจ้ำๆสีม่วงก็ค่อยๆกลายเป็นสีขาวอมส้มอ่อนๆอย่างที่เคยเป็นปากสีม่วงกลับกลายเป็นสีชมพูระเรื่อตามเดิมตาที่เป็นสีแดงก่ำและพร่ามัวกลายเป็นสีฟ้าอย่างเดิมและมองเห็นทุกอย่างการเต้นของหัวใจและจังหวะการหายใจกลับเป็นปกติเว้นแต่ตัวเขานั้นรู้สึกเหมือนตัวเองเหนื่อยและปวดหัวจัด...

เหล่าปีศาจและโครงกระดูกหลายร้อยค่อยๆถูกไอสีดำเกาะกินและสลายลงไปทีละนิดละหน่อยจนหายไปในที่สุด

การมองเห็นของอากิยังคงเลือนรางไม่ใช่เพราะพิษซอมบี้แต่เป็นเพราะพิษไข้เขารู้สึกอ่อนเพลียจนลุกแทบไม่ขึ้นอากิมองเห็นคนๆหนึ่งเป็นเงาลางๆเขาเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆในขณะที่เขาพยายามจะยกค้อนขึ้นป้องกันแต่แขนไม่มีแรงมากพอเงาตรงหน้านั้นใส่ชุดคลุมยาวแต่มองไม่เห็นใบหน้าเขายื่นขวดบางอย่างเล็กๆให้กับอากิแต่ทว่า...แม้แต่แขนอากิยังขยับไม่ได้เงาปริศนาจึงเอาขวดน้ำสีน้ำเงินนั้นใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อของเขาแล้วพูดว่า

หายไวๆนะ...จากนั้นทุกๆอย่างก็กลับเป็นปกติผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์บนต้นไม้กรังๆเห็นแค่เพียงว่าจู่ๆเหล่าโครงกระดูกละผีดิบก็ค่อยๆสลายไปแต่เขากระโดดลงมาอย่างรวดเร็วแล้วใช้ดาบยาวพาดลงบนคอของอากิ!

แกเป็นอะไรกับมัน...ทำไมเจ้าปีศาจต้องมาช่วยแกไว้!!!”ดาบที่พาดอยู่บนรอเรียกเลือดซิบๆออกมาเล็กน้อยอากิรู้สึกหนักที่ศีรษะแม้แต่แขนก็เริ่มประคองตัวเองไม่ไหว...

ในที่สุดก็ล้มลงไป...

.

.

.

ผมชื่อว่าโจเซฟเกรลิอาร์เดียนท์เป็นนักบวชที่อยู่ในปราสาทคุณล่ะ...จะได้เรียกถูก

ผมชิอากิ...โระคุโตะ ชิอากิแต่จะเรียกอากิเฉยๆก็ได้โจเซฟพยักหน้ารับแล้วเขาก็ยื่นน้ำเปล่าธรรมดาๆให้กับอากิอีกแก้ว

คุณควรจะดื่มยานั่นนะ เมื่อผสมน้ำแล้วสรรพคุณจะดีที่สุดก่อนเวลาผ่านไป 15 นาที...อากิมองลงไปในแก้วน้ำสีฟ้าใสแล้วเอ่ยปากถาม

ผสมน้ำเหรอ...?

ใช่...สิ่งนั้นเขาเรียกว่าน้ำตานางฟ้าเป็นยาที่รักษาโรคที่ดีที่สุดในสามโลกเลยก็ว่าได้แต่ว่าลำพังมนุษย์อย่างเราดื่มมันไม่ได้หรอกครับเพราะมันอันตรายเกินไป

แล้วเอามาให้ฉันดื่ม...

เขาคิดกับตัวเอง

เพราะน้ำตาของนางฟ้ามีพลังรักษาสูงเกินไปร่างกายของมนุษย์จึงรับพลังไม่ไหวแล้วทำงานหนักเกินไปหัวใจอาจวายได้จึงต้องเจือน้ำแต่ว่าน้ำตานางฟ้าที่ถูกเปิดขวดแล้วผ่านไป 15 นาทีก็จะกลายเป็นน้ำเปล่าธรรมดาๆอากิยกน้ำตานางฟ้าขึ้นดื่มพิษไข้ค่อยๆจางหายไปทีละนิดทีละน้อยจนเกือบเป็นปกติ

คุณโชคดีมากเลยนะที่ไม่ตายเพราะพิษซอมบี้ส่วนใหญ่คนที่หลงมาที่นี่ก็ตายตั้งแต่ทางเดินหน้าปราสาทกันทั้งนั้น...

ว่าแต่ว่า..ที่นี่มันที่ไหนผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรโจเซฟเงียบไปสักพักแล้วหยิบเก้าอี้ที่มีอยู่ตรงโต๊ะใกล้ๆมานั่งคุยอย่างจริงจัง

ที่นี่คือมิติที่ขั้นระหว่างโลกมนุษย์กับยมโลกเรียกว่าปราสาทแห่งโชคชะตาเป็นที่ตัดสินว่าใครควรไปยังที่ใดนรกสวรรค์หรือกลับไปยังโลกที่ตัวเองอยู่...อากิฟังมันอย่างไม่เชื่อหูตัวเองเขาคงไม่เชื่อแน่ๆว่าเรื่องที่พูดนี่จะเป็นเรื่องจริง...ถ้าไม่เจอทุกอย่างกับตัวเอง...

แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่...

เรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบจริงๆ...มันคงเป็นลิขิตของพระเจ้ากระมังครับโจเซฟยิ้มนิดๆแล้วเขาก็พูดต่อ

ที่นี่มีทั้ง ภูติ ผี วิญญาณรวมถึงปีศาจมากมายมีแค่ห้องนี้ห้องเดียวที่ปราศจากเหล่าสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงอากิมองไปรอบๆห้องมันมีลักษณะเป็นเหมือนโบสถ์กระจกโมเสจบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบตั้งแต่จุดเริ่มต้นของปราสาทจนถึงวันที่เกิดความยุ่งเหยิงอะไรสักอย่าง...ซึ่งเขาก็ดูไม่ค่อยรู้เรื่องโต๊ะยาวที่ใช้ในการประกอบพิธีสวดวางเป็นแถวยาวเรียงรายออร์แกนโบสถ์คันโตวางอยู่ไม่ไกลมากด้านหน้ามีรูปสลักของพระเจ้าที่ถูกตรึงกางเขนเหมือนโบสถ์ปกติทั่วๆไป

แล้วคุณอาศัยอยู่ที่นี่ได้ไงไม่มีทั้งอาหารไม่มีทั้งน้ำ...อากิหันไปถามด้วยความสงสัย

จริงอยู่ที่ห้องนี้ไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดๆแต่เคยมีอยู่วันหนึ่งที่ซาตานเข้ามาในห้องนี้แล้วก็พบผมโดยบังเอิญ...เขาเป็นคนเดียวที่เข้าออกห้องนี้ได้ตลอดเวลาผมก็ได้อาหารได้น้ำมาจากซาตานนี่แหละเขาชอบเอาใส่ถุงร้อนมาให้ผมคราวละ 40-50ถุงแนะผมกินจนตัวจะเป้นโอ่งอยู่แล้วล่ะครับแล้วโจเซฟก็หัวเราะกับความบ้าจี้เล็กๆของซาตานแต่อากิก็ยังคงนั่งเงียบถึงแม้เขาจะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้นิดหน่อยแต่เข้าก็ไม่เข้าใจ...ทำไมต้องเป็นเขา!!!

ผมก็ตอบไม่ได้จริงๆว่าผมมาที่นี่ได้อย่างไรผมจำได้แค่ว่าช่วงสงครามผมเดินหน้าปราบปีศาจที่ปะปนเข้ามาในหมู่มนุษย์มีคืนหนึ่งที่ผมเจอสิ่งแปลกประหลาดคือผมเห็นซาตานตัวเป็นๆ...ผมจำวันนั้นได้เป็นอย่างดีวันที่ 6 เดือน 6จากนั้นผมก็ถูกทำให้หลับไปแล้วก็ตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่พบว่าผมอยู่ที่นี่แล้ว

6 เดือน 6ผมก็มาที่นี่วันนั้นเหมือนกัน...แต่เดี๋ยว!!!สงครามมันจบไปหลายสิบปีแล้วนี่ทำไมคุณถึง...

เวลาของที่นี่จะช้ากว่าเวลาที่โลกมนุษย์นะซาตานถึงจำถึงเอาอาหารมาให้ครั้งละ 50 ถุงมานี่ล่ะเท่าที่คุณจากมาเวลาที่นั่นก็คงผ่านไปร่วมเดือนได้แล้ว

ร่วมเดือน...!!!แล้วๆผมจะออกจากที่นี่ได้ยังไงผมไม่อยากอยู่ที่นี่!!!”โจเซฟส่ายหน้าอย่างหมดหวัง

มีเพียงปีศาจชั้นสูงเท่านั้นที่เปิดประตูมิติได้แต่ตอนนี้คงจะยาก...ตั้งแต่ซาตานเริ่มเข้าๆออกที่นี่กับโลกมนุษย์ผู้ดูแลที่นี่ก็ครองตัวเองเป็นใหญ่ไม่เปิดมิติให้คนออกไปมีแต่จะให้เข้ามาตายที่นี่เรื่อยๆถึงจะไม่ได้ตายที่หน้าปราสาทก็ตายที่ห้องอื่นแล้วเขาทั้งคู่ก็ต่างเงียบไปมีเพียงความคิดของอากิที่ยังคงสับสนวุ่นวายอยู่ข้างใน

เขาจะต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปอย่างนั้นน่ะหรือ?

คุณใช้ชีวิตอยู่ทีนี่ได้ยังไงผมคิดภาพไม่ออกโจเซฟยิ้มให้เขานิดๆ

ก็ไม่ยากเหรอ...ซาตานอุตส่าห์หาเครื่องมือประหลาดมาให้ผมใช้นะมีกล่องวิญญาณอะไรสักอย่างทำให้อาหารอยู่ได้นานมากกว่าเขาจะมาอีกทีกับกล่องลูกไฟอะไรสักอย่างทำให้อาการเย็นๆกลายเป็นอาหารสดได้ด้วยล่ะผมใช้ชีวิตอยู่ที่นี้สบายมากอากิขมวดคิ้วเล็กแล้วเขาก็พึ่งสังเกตตู้เย็นกับเตาไมโครเวฟที่อยู่ข้างๆเขา...

ตู้เย็นกับ...ไมโครเวฟเนี่ยนะ!”  ซาตานนี่บางทีก็...  หัวทันสมัยกว่าที่คิด

อ๋อสิ่งนี้เรียกว่าตู้เย็นกับไมโครเวฟเหรอ...แล้วข้างในมันมีวิญญาณอะไรทำไมมันเย็นนัก...

เอาเป็นว่าผมไม่ได้ถามเรื่องอาหารแต่ถามเรื่องคุณอยู่ที่นี่ได้ยังไงมันทั้งอันตรายและน่ากลัว...เขาเริ่มพากลับประเด็นหลัก...

ผมบอกคุณแล้วไงว่าในนี้ไม่มีสิ่งชั่วร้ายอะไรผมเองก็ไม่อยากพาตัวเองออกไปเสี่ยง...

แล้วคุณจะนั่งคอยซาตานเอาอาหารมาแช่ตู้เย็นให้ให้จิ้มไมโครเวฟอุ่นให้คุณเหรอ!”

ไม่นะเขาสอนผมใช้ไอ...ไม่โครเวฟนี่เป็นแล้วล่ะอากิเอามือกุมขมับ

วันนี้จะคุยกันรู้เรื่องไหม...

อ๊ะ...!มีอยู่อยู่ทางหนึ่งอากิหันไปรวดเร็วอย่างมีความหวัง

คุณต้องเป็นฝ่ายเข้าไปเจรจากับผู้ดูแลซึ่งเขาพร้อมจะต่อรองอยู่แล้ว...แต่เขาจะขออะไรจากคุณก็เท่านั้นที่เป็นปัญหา

แล้วผมจะไปที่นั่นได้อย่างไร...ผมไม่รู้ทางไม่มีอาวุธไม่มีอะไรเลย...แล้วเขาก็ก้มหน้าก้มตาอย่างหมดหวัง...

เรื่องทางผมก็พอจะบอกคุณได้แต่เรื่องอาวุธ...ผมเพิ่งให้ค้อนของผมกับเจียลไปได้ไม่นานขอโทษด้วยนะแต่นั่นเป็นอาวุธชิ้นสุดท้ายที่ผมทำขึ้น

คุณคือนักบวชผู้กล้าหาญ!!!”โจเซฟยิ้มอย่างอายๆนักบวชผู้กล้าหาญก็คือผู้ชายที่ไม่ค่อยเต็มตึงคนนี้น่ะหรือ...

อย่าเรียกผมแบบนั้นเลย...ผมเองก็ไม่กล้าหาญอะไรเท่าไร่หรอกแค่ผมแรงเยอะแล้วเขาก็หัวเราะกับแก๊กเล็กๆของเขาเองผมรู้แค่ว่าผู้ดูแลจะอยู่ในห้องของซาตานคือหอคอยที่สูงที่สุดของปราสาทส่วนเรื่องแผนที่คุณต้องตามหาเจียลให้เจอถ้าเขาเต็มใจจะช่วยคุณแล้วล่ะก็เขาจะให้คุณเอง...

แล้วอาวุธล่ะ...ผมจะออกไปด้านนอกได้ยังไงกันถ้าไม่มีอาวุธโจเซฟนั่งคิดอยู่สักพัก...แล้วเขาก็นึกขึ้นได้

อาวุธดีๆเห็นจะยากสักหน่อย...เพราะถึงคุณเจอเจียลเขาก็ไม่ให้อาวุธที่เขารักเท่าชีวิตกับคุณหรอกแต่ก็ยังมีอีกคนในปราสาทนี้ที่พอจะช่วยคุณได้

ใครเหรอครับ...

เทพธิดาแห่งสงครามคุณต้องไปที่ห้องพักด้านในสุดของปราสาทบนจุดสูงสุดของหอคอยเธอจะอยู่ที่นั่นแต่ถึงยังไงคุณก็พักผ่อนอยู่ที่นี้ให้สบายก่อนเถอะเพราะคุณยังไม่หายดีข้างนอกอันตรายมากสำหรับคนที่ไม่แข็งแรง...!ส่วนเรื่องอาวุธระดับธรรมดาที่นี่ก็พอจะมีบ้างล่ะนะ

ที่โรงเรียนทุกอย่างดำเนินไปตามปกติไม่มีอะไรแปลกไม่มีอะไรพิเศษถึงแม้จะมีคนหายไปแล้วเดือนกว่าๆหนึ่งคนแต่อาจจะเป็นเพราะอากิไม่ค่อยได้ไปให้เพื่อนที่โรงเรียนเห็นหน้าเห็นตาอยู่แล้วทุกคนเลยไม่คิดอะไรเว้นแต่...

นายยังไม่เจออากิอีกเหรอ...เสียงชิงช้าแกว่งดังเอี๊ยดอ๊าดฟุกุนั่งอยู่บนนั้นเธอนั่งมองพื้นแววตาเศร้าสร้อยใกล้ๆกับอีกหนึ่งหนุ่มที่ยืนพิงเสาชิงช้าอยู่

ไม่..เสียงตอบสั้นๆแต่ได้ใจความ

ฟุกุนั่งอยู่บนชิงช้าของสนามเด็กเล่นตรงข้ามกับโรงเรียนแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาที่ต้องเข้าเรียนแต่หัวหน้าห้องที่ไม่เคยขาดเรียนอย่างเธอกลับกำลังโดดเรียนมานั่งใช้เท้าเขี่ยเศษดินเศษหินอย่างเปล่าประโยชน์ไม่ว่าเขาและเธอจะพยายามตามหาอากิขนาดไหน ก็ยังไม่มีวี่แววไม่ได้ข่าวของอากิแม้แต่น้อยหลังจากวันที่ 6 เดือน 6 ห้องของอากิก็ไม่เคยถูกเปิดอีกเลยป้าที่ดูแลหอบอกว่าไม่มีใครเข้าไปในห้องนั้นอีกเลยตั้งแต่วันนั้น...แม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่เคยติดต่อได้จนเริ่มหมดความหวัง

ปิ๊บปุริบ ปี๊ปปุริบ...เสียงโทรศัพท์ของสาวที่นั่งชิงช้าดังขึ้นเธอหยิบมันขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยความหวังที่ว่าสายของบุคคลที่เธอรอคอยจะโทรมาแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาจากชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆเลยแม้แต่น้อย

สวัสดีค่ะ...จามุจังเองหรอ...เสียงแห่งคามหวังเปลี่ยนเป็นเสียงที่ค่อนข้างผิดหวังจนสายเรียกเข้ารู้สึกได้...

อะไรกำลังรอใครงั้นเหรอแล้วทำไมวันนี้ไม่มาเรียนเป็นอะไรหรือเปล่า

อ๋อเปล่า...ไม่มีอะไรหรอกแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะกำลังจะออกไปโรงเรียนเดี๋ยวนี้แล้วล่ะ

โอ๊ยไม่ต้องมาแล้วล่ะ!!!วันนี้งดเรียนอีกแล้วเสียงตอบสวนมาทันควัน

อ้าวเหรอ...ขอบคุณมากนะ...

ไม่เป็นไรๆติ๊ดติ๊ดตี๊ดสายถูกตัดไปจิยะหันมามองที่ฟุกุ

ไม่มีอะไรหรอก...แค่ตอนบ่ายไม่มีเรียนอีกแล้ว...

อย่างนั้นเหรอ...แล้วเธอจะไปไหนต่อไหม?หญิงสาวส่ายหน้า...

ฉันกลับดีกว่า...ไว้เจอกันวันหลังนะจากนั้นเธอก็ลุกขั้น

ให้ฉันไปส่งไหม...จิยะถามเธอด้วยความเป็นห่วงแล้วก้าวขาเข้าไปหาเธอ

ไม่ต้องหรอก...ฉันไปเองได้ไม่ต้องห่วงจิยะยืนโบกมืออยู่ด้านหลังในขณะที่ฟุกุเดินออกมาจากสนามเด็กเล่นเธอเดินตรงกลับบ้านทันทีเธอเดินไปทางศาลเจ้าแต่จริงๆแล้วมันเป็นทางอ้อมเพราะถนนที่ปรับปรุงสภาพเป็นเดือนแต่ก็ยังไม่เสร็จจนชาวบ้านเดือดร้อนและเริ่มโวยวายเธอเดินไปเรื่อยๆในมือถือกระเป๋าใส่หนังสือใบเล็กๆเธอเดินมาถึงหน้าศาลเจ้าแล้วมองขึ้นไปบนนั้นจากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหาชิอากิ...

แต่

หมายเลขที่...สายถูกกดตัดไปอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงของเครื่องตอบรับอัตโนมัติตามเคยแล้วเธอก็กดโทรออกอีกครั้ง

แม่เหรอคะ...พอดีที่โรงเรียนเลิกแล้วแต่หนูจะกลับเย็นสักหน่อยธุระนิดหน่อยน่ะค่ะ...ค่ะแล้วก็จะพยายามกลับให้เร็วๆนะคะสายถูกวางไปเธอเดินขึ้นไปบนศาลเจ้าอย่างเหนื่อยหน่ายบนนี้มีคนเล็กน้อยประปรายแต่ก็ยังมีคนที่เธอรู้จักอยู่ในนั้น

อ้าว ฟุกุจังมาทำอะไรน่ะ

...จามุจังทำไมมาเร็วจังเพิ่งโทรมาเมื่อกี้นี้เองนี่...

อ๋อ...พอดีว่าอยากมาเล่นมิคุจิน่ะเดี่ยวนี้ดวงตกก็เลยรีบวิ่งมาสาวดวงตกหัวเราะเสียงดังแล้วรีบเดินไปที่ซุ้มมิคุจิที่อยู่ไม่ไกลเธออธิฐานแล้วก็เริ่มเขย่ากระบอกไม้ไผ่

แก๊กๆๆๆเสียงไม้เหลากระทบกับกระบอกไม้ไผ่เป็นจังหวะจากนั้นไม้เหลา 1 แท่งก็ออกมาเธอหยิบมันขึ้นมาดูแล้วก็เก็บมันใส่เข้าไปในกระบอกเหมือนเดิมจากนั้นก็ส่งให้กับฟุกุฟุกุยืนมองมันอย่างงงๆแล้วหันขึ้นไปมองจามุที่กำลังยืนยิ้มอยู่

เอาน่าไหนๆก็มาแล้ว...ฟุกุยื่นมือออกไปรับกระบอกไม่ไผ่แต่เธอไม่คิดว่ากระบอกมิคุจิธรรมดาๆจะชวยอะไรใครได้เธอยังคงสำรวจซุ้มมิคุจินั่นแล้วก็ได้สะดุดกับป้ายที่อากิเคยยืนมองมันอยู่นานแต่มีคำบางคำที่ต่างออกไปอนาคตของคุณจะเจอคนที่คุณปรารถนาจะพบหรือเปล่า

จะได้พบกับอากิคุงอีกไหม...

เธอหลับตาลงแล้วเริ่มอธิฐาน...

ขอร้องล่ะขอให้เจอกับอากิคุงอีกครั้งขอร้อง...

ฟุกุเริ่มเขย่ากระบอกมิคุจิเป็นจังหวะเธอยืนเขย่าอยู่นานมากแต่ก็ไม่มีอะไรออกมาจนกระทั่งเธอเลิกล้มความตั้งใจ...และวางมันลงที่เดิม

สงสัยฉันคงไม่มีดวงด้านนี้ละมั้ง...ฟุกุหันไปยิ้มเฝื่อนๆให้กับจามุที่ยังยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างๆ

ไม่ใช่!หรอกนะจามุกระแทกเสียงลงไปที่คำว่าไม่ใช่จนฟุกุตกใจเล็กๆเธอยิ้มอย่างมีเลศนัยสายตาแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ฟุกุมองเธออย่างแปลกๆเหมือนกับนี่ไม่ใช่เพื่อนที่เธอเคยรู้จักจากนั้นลมก็พัดแรงเหมือนพายุจะเข้าจามุใช้มือปิดกระโปรงที่กำลังจะเปิดในขณะที่ฟุกุใช้กระเป่าของเธอปิดกระโปรงของตัวเองเสียงกระดิ่งดังระงมเหมือนกำลังร้องเรียกอะไรสักอย่างจนในที่สุดลมแรงก็แผ่วลง...ฟุกุใช้มือปัดผมที่ปรกหน้าของเธอออกดวงตาเบิกออกด้วยความตกใจเล็กน้อยกระบอกไม่ไผ่นั้นร่วงลงมาแตกกระจายไม้เหลาทุกอันหักหมดจนไม่เหลือชิ้นดีเว้นแต่ไม้หนึ่งที่ตกอยู่ตรงปลายเท้าของเธอฟุกุก้มลงหยิบมันขึ้นมาแล้วหันไปคุยกับเพื่อนสาวที่ยังยืนอยู่ข้างๆ

ทำยังไงดีละจามุจัง...อ้าวฟุกุหันซ้ายหันขวาจามุไม่อยู่ซะแล้วเธอเดินตามหาเพื่อนอยู่สักครู่หนึ่งตามที่ต่างๆในศาลเจ้าแต่ก็ไม่พบเธอก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออก

ว่าไงฟุกุ...จามุรับโทรศัพท์

จามุจังเธออยู่ไหนเนี่ย...

อ๋อฉันอยู่ที่โรงเรียน...มีอะไรเหรอ...ฟุกุเงียบไปสักครู่หนึ่งจนคู่สนทนาต้องเอ่ยปากถาม

ฟุกุเป็นอะไรหรือเปล่า?

อ๋อเปล่าฉันแค่นึกว่าเธอจะอยู่แถวศาลเจ้านี่ซะอีก...

งั้นเหรอ...ไม่ใช่หรอกขอโทษนะถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันวางก่อนนะพอดีกำลังช่วงงานอาจารย์อยู่เสร็จพอดี...เดี๋ยวฉันไปหาแล้วกัน...

ไม่เป็นไรๆกลับบ้านเถอะแค่นี้นะ... ติ๊ดติ๊ดติ๊ดฟุกุรู้สึกงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนจะใช่แต่กลับไม่ใช่หรือเธอจะทักคนผิด หรือจามุแค่จะแกล้งหยอกเธอเล่น...

ฟุกุเลิกคิดถึงเรื่องจามุแล้วเดินกลับไปตรงซุ้มมิคุจิอีกครั้งเธอเก็บกระบอกไม่ไผ่ที่แตกขึ้นมารวมถึงไม้ไผ่เหลาที่หักหมดแล้วขึ้นมาด้วยจากนั้นเธอก็หย่อนเหรียญ 500 เยนลงในกล่องสีดำข้างๆเป็นค่าเสี่ยงทายและค่าเสียหายในฐานะที่เธอใช้มันเป็นคนสุดท้ายเธอเดินไปที่ลิ้นชักที่เก็บคำทำนายเบอร์ 13ไว้แต่พอเธอเลื่อนลิ้นชักออกมาข้างในกลับมีกระดาษเสี่ยงทายที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรถูกเขียนหรือจารึกไว้เธอหยิบมันขึ้นมาอย่างงงๆจากนั้นเธอก็เริ่มเปิดทุกลิ้นชักปรากฏว่าไม่มีกระดาษผลเสี่ยงในตู้ลิ้นชักเลยสักตู้เดียว...

เพราะแบบนี้ล่ะมั้งถึงไม่มีใครเก็บเบอร์ 13 ไปเธอพูดอยู่คนเดียวแล้วเก็บคำทำนายไว้ถึงมันจะไม่มีอะไรในนั้นก็ตาม

แต่แล้ว...!!!

เธอก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าสีดำที่ดูคุ้นตาวางอยู่ที่แคร่ข้างๆซุ้มเธอรีบวิ่งเข้าไปดูแล้วรื้อค้นกระเป๋านั้นอย่างรีบร้อนกระดาษ 2-3 แผ่นที่มีร้อยเปื้อนนิดหน่อยถูกดึงออกมากหัวกระดาษเขียนชื่อ

โระคุโตะชิอากิ...

เธอหยิบกระเป๋านั้นแล้วรีบวิ่งกลับไปหาจิยะเพื่อบอกถึงเบาะแสหนึ่งที่จะพาพวกเขาไปหาอากิ...

เก็บนี้ติดตัวเอาไว้โจเซฟยื่นกริชทีเงินให้กับอากิ...เขารับมันอย่างว่าง่ายแล้วเหน็บมันไว้กับเข็มขัดสภาพของเขาตอนนี้คล้ายๆคนที่พร้อมออกรบหน่อยๆมีดาบยาวที่ชื่อว่าคุนิซึนะที่หลงเหลืออยู่ในห้องสวดมนต์ปืนพกหนึ่งกระบอกมีดสั้นหนึ่งเล่มเสื้อคลุมปกฮู้ดสีดำและแหวนอีก 1 วง

จำไว้ว่าของทุกๆอย่างที่หาได้จากปราสาทนี้มีพลังในตัวของมันเองคุณต้องศึกษาว่าของแต่ละอย่างใช้อย่างไรโดยเฉพาะเครื่องประดับโปรดอย่าละเลยพวกมันนะครับอากิพยักหน้าทำความเข้าใจ

สุดท้ายนี้ขอให้พระเจ้าคุ้มครองนะครับคุณชิอากิประตูห้องสวดมนต์ถูกปิดลงอากิเดินออกมาข้างนอกเขามองลงไปด้านล่างเขาอยู่สูงกว่าพื้นดินประมาณ 8 ชั้นแต่ถึงอย่างนั้นมันมีเป็นบันไดวนสูงขึ้นไปจนมองไม่เห็นว่าสิ้นสุดที่ตรงไหนเขาเดินขึ้นบันไดวนไปเรื่อยๆด้านนอกมันช่างต่างจากห้องสวดมนต์มากมันทั้งผุพังทั้งรกร้างและแตกหักอย่างไม่เหลือชิ้นดีเขาเดินขึ้นไปเรื่อยๆจนสุดทางที่เขาจะไปได้เพราะบันไดขาดและเกินกว่าความสามารถที่เขาจะกระโดดข้ามมันไปใกล้ๆกันมีห้องกว้างๆห้องหนึ่งเขาเดินเข้าไปในนั้นด้านในไม่ต่างจากด้านนอกมีราวบันไดที่แตกหักทอดยาวไปถึงซุ้มประตูอีกบานมันเป็นบันไดโค้งไปตามผนังรับกับรูปทรงของห้องแต่บันไดบางขั้นก็ผุพังจนแทบจะเดินไม่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องบุบสลายแล้วดูอึมครึมมีเศษของรูปปั้นหินอ่อนเกลื่อนกลาดระแกะระกะซากไม้ของโต๊ะยาวที่เหมือนในห้องสวดมนต์แต่มากกว่าเป็นเท่าตัวผุแตกหักอย่างไม่เหลือชิ้นดีรอบข้างเป็นกระจกโมเสจเหมือนที่อยู่ในห้องสวดมนต์รวมถึงออร์แกนโบสถ์ที่ใช้การไม่ได้แต่ไม่มีหินสลักกางเขนเขาเดินขึ้นไปบนบันไดที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่ฝืนกระโดดข้ามขั้นบันไดที่ก้าวไม่ได้แม้รู้ว่ามันจะมีโอกาสพังโครมลงมาก็ตามเสียงขั้นบันไดหินอ่อนดังกรอบแกรบเนื่องจากแผ่นหินนั้นเริ่มแตกร้าว...และเมื่อใกล้ถึงบันไดขั้นสุดท้ายประมาณ 5 ขั้น...

เปรี๊ย!!!’แค่ก้าวขาลงไปแต่ก้าวเดียวเท่านั้น...

แย่ล่ะสิ!!!”

ครืน....โคร่ม!!!’บันไดหินที่ผุพังถล่มตูมลงมากับพื้นห้องดังตูมใหญ่อากิคว้าเอาบันไดอีกขึ้นไว้ทันก่อนที่เขาจะร่วงตามซากบันไดลงไปเขาห้อยต่องแต่งอยู่กับแผ่นหินอ่อนผุๆที่ไว้ใจไม่ได้ค่อยๆดันตัวเองขึ้นมาเขาแหงนมองลงไปข้างล่างแว๊บหนึ่งแล้วหันกลับไปอย่างรวดเร็ว...

เกือบไปแล้วไหมล่ะ

เขาคิดในใจอย่างโล่งอกแต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นสิ่งที่เขาดีใจที่ได้วิ่งเข้าหามากกว่าฝูงซอบบี้และโครงกระดูกนับร้อยเสียอีก

เขายืนขึ้นแล้วรีบเดินออกห่างจากซากบันไดที่เหลือก่อนมันจะถล่มลงไปอีกรอบปัดฝุ่นที่เกาะบนเนื้อตัวและเรือนผมสีดำออกเขายืนอยู่ตรงหน้าประตูไม้บานสีเขียวทึมๆขนาดใหญ่เขามองมันอย่างใช้ความคิดแล้วยื่นมือออกไป

แอ๊ด!!!’ประตูใหญ่ทั้งฝืดแล้วก็หนักเขาใช้แรงทั้งหมดที่มีดันประตูนั้นมันค่อยๆแง้มออกทีละนิดจนในที่สุดก็เปิดออก...ด้านในเป็นทางเดินที่เป็นห้องยาวไปเรื่อยๆสองข้างทางมีหุ่นที่เป็นเหมือนเกราะนักรบตั้งตระหง่านอยู่ยาวขนาบไปกับห้องหน้ากระจบรับเอาแสงสีแดงสดจากดวงจันทร์เข้ามาทำให้ห้องพอสว่างแต่ถึงอย่างนั้นในห้องก็มีเชิงเทียนสูงวางเรียงยาวขึ้นระหว่างหุ่นเกราะแต่ละตัวอากิกระชับดาบในมือแน่นเขาเดินพร้อมๆกับสอดส่ายดวงตาสีฟ้าไปอย่างระแวดระวังเขาเดินไปเรื่อยๆจนถึงกลางห้อง

กึก...เสียงบางอย่างดังขึ้นเขาหันกลับไปทางเสียงนั้นแล้วก็พบกับลูกตุ้มเหล็กขนาดใหญ่ที่พุ่งเข้ามา!!!