ระยะทางที่ใกล้ คู่รักจะได้รับความสะดวกในการสร้างความผูกพันให้เป็นไปง่ายขึ้น
ระยะทางที่ไกล คู่รักจะได้ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่อาจมีได้เมื่อยามที่ได้อยู่ใกล้
แต่ไม่ว่าใกล้หรือไกล สิ่งที่สำคัญคือ"ทำ" อะไรไปบ้าง?
ตลอดช่วงเวลาที่ยาวนาน ใช้มันเต็มที่หรือปล่อยให้มันผ่านเฉยๆ
ตลอดเวลาอันน้อยนิด ใช้มันคุ้มค่าหรือใช้แล้วแต่เวลาไม่พอ
แต่ไม่ว่าเวลาจะสั้นหรือยาว ช่วงเวลาที่คบกัน คุณคบด้วย"รูปแบบ"ไหน
เวลาอยู่ใกล้ เอาเวลาที่มีเรียนรู้ หรือเรียกร้อง
เวลาที่อยู่ไกล เอาเวลาจัดการกับภาวะแทรกแซงนั้นอย่างไร?
ดังนั้นที่ถามว่าสิ่งไหนที่จะทำให้เลิกคบกัน?
จึงตอบได้อย่างเดียวว่าทั้งสองอย่างไม่ได้ทำให้เลิกคบได้
แต่ใช้มาเป็นข้ออ้างในการเลิกราเพื่อให้ดูดีมากกว่า
เพราะการตกลงคบกันคือเรื่องของคนสองคน ดังนั้นการเลิกก็เป็นเรื่องคนสองคน
สำหรับเหตุที่่ทำให้อยู่บนเส้นทางแห่งการเป็นคู่รักได้ยืดยาวนั้น มีหลายปัจจัย
แต่ปัจจัยหนึ่งที่จะกล่าวคือความหนักแน่นมั่นคงของบุคคล
ว่าหากมีภาวะเหตุการณ์ต่างๆ เข้ามากระทบจะหวั่นไหวมั้ย อยู่ไกลกันจะคิดห่าง หรือคิดถึงกว่าเดิม
จะใคร่ครวญถึงความสำคัญยามอยู่ใกล้มากขึ้น หรือถือเป็นโอกาสเพื่อเป็นอย่างอื่น,
คนที่รู้จักมานานนั้นนั่นคือตัวตนเขาแน่หรือแค่คิดไปเองว่าแน่ใจ,
แม้แต่ภาวะที่ระยะทางหรือกาลเวลาไม่มาเกี่ยว
อย่างการเข้ามาของใครคนอื่นนั้น จะสามารถสั่นคลอนจิตใจได้หรือไม่
หรือตัวตนของอีกฝ่ายที่ได้รู้มากขึ้นนั่นแหละที่อยากให้บอกลาเอง เป็นต้น
ซึ่งสิ่งที่ยกมานั้นมันก็เหมือนคลื่นที่มากระทบตัว
ส่วนจะแค่เซ ตัวจะลอยไป หรือยังกลับมายืนที่เดิมได้อยู่ก็แล้วแต่คน
เพราะคลื่นที่ว่าทำได้แค่ปะทะเพื่อรบกวนคนทั้งสองซึ่งจะหายไปเองและก็มาเรื่อยๆ
แต่บุคคลต่างหากที่เลือกหายไปกับคลื่นนั่น แถมไม่ค่อยจะกลับมาเหมือนคลื่นอีกต่างหาก
===
"ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน"
ระยะทางการวิ่งของม้าเห็นได้เป็นรูปธรรม กำหนดเวลาเริ่มออกตัวได้ ระบุเส้นทางสุทธิได้
คุณบังคับให้ม้าออกวิ่งได้ แต่บังคับให้ม้าไม่เหนื่อยไม่ได้
กาลเวลาพิสูจน์คน หมายความว่าคุณทำการ"ลงมือ"พิสูจน์จริง และที่สำคัญไม่ได้จ้องพิสูจน์แค่อีกฝ่าย
แต่ต้องพิสูจน์ตนเองให้อีกฝ่ายเห็นด้วย
โดยเงื่อนไขใน'ความเป็นจริง' คุณไม่สามารถกะเกณฑ์ว่าเวลานั้นจะเริ่มขึ้นและสิ้นสุดเมื่อใด
ดังนั้นสิ่งที่ต้องคำนึงตามมาคือ อีกฝ่ายอาจมอบเวลาล่วงคุณไปก่อนแล้วตั้งแต่แรก
หรือ...คุณเริ่มนับเวลาเอาตอนเวลาที่อีกฝ่ายให้มาจวนหมดก็ได้
นั่นคือ เวลาพิสูจน์คนของฝ่ายนึงอาจเริ่มในเวลาที่อีกฝ่ายเลิกพิสูจน์แล้ว
หรือว่าง่ายๆ คือกาลเวลาที่ว่าของบุคคลมีไม่เท่ากัน
ส่วนสาเหตุที่มีไม่เท่ากัน เพราะมันยืดได้ลดได้ตลอดไม่คงที่
เมื่อถูกใจก็ให้เวลาเพิ่มคือการอยากอยู่ต่อ
ไม่พอใจเวลาก็ลดลง ด้วยความรู้สึกอยากเลิกและหาช่องจะชิ่งไวๆ เสียให้ได้
หรือแม้แต่เวลาของการมีชีวิตก็เช่นกัน เพราะคนทั่วไปไม่มีใครรู้เวลาตายตนเอง
คุณอาจเริ่มคิดพิสูจน์ในวันที่เขาจะไม่อยู่บนโลกก็ได้ และยิ่งเอาความรู้สึกมาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
ดังนั้นการนำสิ่งที่ไม่แน่นอนอย่างกาลเวลาเอามาใช้เป็นบรรทัดฐานเพื่อพิสูจน์คนนั้นแน่ใจแล้วหรือ...
ทั้งที่สิ่งที่พิสูจน์คนได้จริงๆ คือช่วงเวลาที่คบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้นคุณได้"รู้"อะไรมาบ้างมากกว่า
โดยเฉพาะความเข้ากันได้ตามความเป็นจริง
แต่ถ้ายังเลือกให้ "กาลเวลา" เป็นตัวกำหนด นั่นก็สื่อถึงว่าไม่ได้คิดจะเรียนรู้จักคนๆ หนึ่งจริงๆ เลย
นอกจากให้"เวลา" กับใครซักคน เพื่ออยากได้สิ่งที่ต้องการกลับมาเท่านั้น
ทำเหมือนการเข้าแถวหน้าโรงหนัง ที่รออย่างไรก็รู้ว่าจะต้องได้ดูเพราะมีตั๋วที่ชื่อว่าเวลาอยู่ในมือแล้ว
และเมื่อหนังไม่สนุกอย่างที่คิด...ก็บอกง่ายๆ ว่า"เสียดายเวลา"
แต่ในชีวิตจริงนั้น สิ่งที่เสียไม่ใช่เวลา แต่หมายถึงโอกาสที่ดีของตัวเองที่เสียไปโดยไม่รู้ตัว
===
"รักแท้แพ้ใกล้ชิด"
ที่ว่า"ใกล้ชิด" ไม่ได้หมายถึงใครคนอีกคนที่เข้ามาในชีวิต มาอยู่ใกล้ให้ได้ผูกพันกันเท่านั้น
แต่หมายถึงใกล้ชิดในลักษณะคนในครอบครัวด้วย
อย่างบางคนรักกัน แต่ครอบครัวไม่ชอบ เขาจึงเลือกครอบครัวตัวเองมากกว่าคนที่รัก
เพราะคิดว่าคนรักนั้น มากที่สุดก็เป็นสิ่งที่จะอยู่ด้วยในช่วงชีวิตที่เหลือ
แต่ครอบครัวคือสิ่งที่อยู่กับเขาตั้งแต่เริ่มชีวิตจนถึงสิ้นชีวิต
ซึ่งเป็นทัศนคติแต่ละคน และธรรมชาติก็ไม่ได้บังคับว่าทุกคนบนโลกต้องเห็นด้วยเหมือนกันหมด
ดังนั้นฝ่ายที่ไม่ถูกเลือกอาจรับไม่ได้ เห็นว่าไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่า ซึ่งก็แล้วแต่คนอย่างที่กล่าวไว้
แต่สำหรับในกรณีถูกแทรกแซงจาก"คนที่ใกล้กว่า" ที่ไม่ใช่ครอบครัว
ก่อนอื่นมองบนโลกนี้ดูซิว่าเปลี่ยนแปลงจากสมัยยังเด็กมั้ย? ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทันสมัยและพัฒนาไม่หยุด
ซึ่งทั้งหมดก็ทำเพื่อสนอง"ความต้องการของมนุษย์"ให้ได้มากที่สุด
แต่ไม่ว่ากี่ปีก็สนองไม่ทันความต้องการที่มากขึ้นได้
รถธรรมดาจุไม่พอก็สร้างรถบรรทุก รถไม่เร็วไม่สะดวกพอ ก็สร้างเครื่องบิน
หรือการสื่อสารที่ทำให้ได้รวดเร็วแค่ไหนแต่ก็ยังบอกห่างอยู่เพราะไม่เห็นหน้า
พอเห็นหน้าได้ก็บอกว่าจับต้องไม่ได้ เป็นต้น
ดังนั้นในแง่ความรู้สึกอย่างความรักก็เช่นกัน อะไรที่ให้ความพึงพอใจกว่าก็หันไปทางนั้น
อย่าง 'รักแท้แพ้คนรวย' ก็มีให้เห็นถมไป
ว่าง่ายๆ ความรู้สึกคนไม่ได้แพ้ระยะทางซักนิด
แต่ "รักแท้แพ้ตัณหา" ต่างหาก
===
ด้วยเหตุนี้ จากข้อสงสัยที่ว่า "ระยะทางหรือกาลเวลา แบบไหนที่ทำให้ร้างลา"
เปลี่ยนเป็นว่า ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะใดๆ ก็สามารถร่วมเดินไปบนเส้นทางของคู่รักด้วยกันได้ทำอย่างไร จะง่ายกว่า
เพียงแค่ให้รู้เสมอว่า"ทุกการกระทำ"ที่มีต่อกัน เป็นหนึ่งในตัวกำหนดว่าจะมีถนนให้เดินต่อได้
หรือไม่มีแม้แต่พื้นที่ให้วางเท้าเพื่อสาวก้าวต่อไปอีก เพราะอีกฝ่ายไม่อยากสร้างหนทางเพื่อเดินด้วยอีกแล้ว
ส่วนตัวกำหนดอื่นๆ ก็จะขอไม่กล่าวถึง
เพราะเป็นสิ่งที่นอกเหนือขอบเขตที่ตนจะทำได้ เพราะมันคือ"ผลเก่า" ที่ต้องรับอย่างเดียว
ระยะทางที่ไกล คู่รักจะได้ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่อาจมีได้เมื่อยามที่ได้อยู่ใกล้
แต่ไม่ว่าใกล้หรือไกล สิ่งที่สำคัญคือ"ทำ" อะไรไปบ้าง?
ตลอดช่วงเวลาที่ยาวนาน ใช้มันเต็มที่หรือปล่อยให้มันผ่านเฉยๆ
ตลอดเวลาอันน้อยนิด ใช้มันคุ้มค่าหรือใช้แล้วแต่เวลาไม่พอ
แต่ไม่ว่าเวลาจะสั้นหรือยาว ช่วงเวลาที่คบกัน คุณคบด้วย"รูปแบบ"ไหน
เวลาอยู่ใกล้ เอาเวลาที่มีเรียนรู้ หรือเรียกร้อง
เวลาที่อยู่ไกล เอาเวลาจัดการกับภาวะแทรกแซงนั้นอย่างไร?
ดังนั้นที่ถามว่าสิ่งไหนที่จะทำให้เลิกคบกัน?
จึงตอบได้อย่างเดียวว่าทั้งสองอย่างไม่ได้ทำให้เลิกคบได้
แต่ใช้มาเป็นข้ออ้างในการเลิกราเพื่อให้ดูดีมากกว่า
เพราะการตกลงคบกันคือเรื่องของคนสองคน ดังนั้นการเลิกก็เป็นเรื่องคนสองคน
สำหรับเหตุที่่ทำให้อยู่บนเส้นทางแห่งการเป็นคู่รักได้ยืดยาวนั้น มีหลายปัจจัย
แต่ปัจจัยหนึ่งที่จะกล่าวคือความหนักแน่นมั่นคงของบุคคล
ว่าหากมีภาวะเหตุการณ์ต่างๆ เข้ามากระทบจะหวั่นไหวมั้ย อยู่ไกลกันจะคิดห่าง หรือคิดถึงกว่าเดิม
จะใคร่ครวญถึงความสำคัญยามอยู่ใกล้มากขึ้น หรือถือเป็นโอกาสเพื่อเป็นอย่างอื่น,
คนที่รู้จักมานานนั้นนั่นคือตัวตนเขาแน่หรือแค่คิดไปเองว่าแน่ใจ,
แม้แต่ภาวะที่ระยะทางหรือกาลเวลาไม่มาเกี่ยว
อย่างการเข้ามาของใครคนอื่นนั้น จะสามารถสั่นคลอนจิตใจได้หรือไม่
หรือตัวตนของอีกฝ่ายที่ได้รู้มากขึ้นนั่นแหละที่อยากให้บอกลาเอง เป็นต้น
ซึ่งสิ่งที่ยกมานั้นมันก็เหมือนคลื่นที่มากระทบตัว
ส่วนจะแค่เซ ตัวจะลอยไป หรือยังกลับมายืนที่เดิมได้อยู่ก็แล้วแต่คน
เพราะคลื่นที่ว่าทำได้แค่ปะทะเพื่อรบกวนคนทั้งสองซึ่งจะหายไปเองและก็มาเรื่อยๆ
แต่บุคคลต่างหากที่เลือกหายไปกับคลื่นนั่น แถมไม่ค่อยจะกลับมาเหมือนคลื่นอีกต่างหาก
===
"ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน"
ระยะทางการวิ่งของม้าเห็นได้เป็นรูปธรรม กำหนดเวลาเริ่มออกตัวได้ ระบุเส้นทางสุทธิได้
คุณบังคับให้ม้าออกวิ่งได้ แต่บังคับให้ม้าไม่เหนื่อยไม่ได้
กาลเวลาพิสูจน์คน หมายความว่าคุณทำการ"ลงมือ"พิสูจน์จริง และที่สำคัญไม่ได้จ้องพิสูจน์แค่อีกฝ่าย
แต่ต้องพิสูจน์ตนเองให้อีกฝ่ายเห็นด้วย
โดยเงื่อนไขใน'ความเป็นจริง' คุณไม่สามารถกะเกณฑ์ว่าเวลานั้นจะเริ่มขึ้นและสิ้นสุดเมื่อใด
ดังนั้นสิ่งที่ต้องคำนึงตามมาคือ อีกฝ่ายอาจมอบเวลาล่วงคุณไปก่อนแล้วตั้งแต่แรก
หรือ...คุณเริ่มนับเวลาเอาตอนเวลาที่อีกฝ่ายให้มาจวนหมดก็ได้
นั่นคือ เวลาพิสูจน์คนของฝ่ายนึงอาจเริ่มในเวลาที่อีกฝ่ายเลิกพิสูจน์แล้ว
หรือว่าง่ายๆ คือกาลเวลาที่ว่าของบุคคลมีไม่เท่ากัน
ส่วนสาเหตุที่มีไม่เท่ากัน เพราะมันยืดได้ลดได้ตลอดไม่คงที่
เมื่อถูกใจก็ให้เวลาเพิ่มคือการอยากอยู่ต่อ
ไม่พอใจเวลาก็ลดลง ด้วยความรู้สึกอยากเลิกและหาช่องจะชิ่งไวๆ เสียให้ได้
หรือแม้แต่เวลาของการมีชีวิตก็เช่นกัน เพราะคนทั่วไปไม่มีใครรู้เวลาตายตนเอง
คุณอาจเริ่มคิดพิสูจน์ในวันที่เขาจะไม่อยู่บนโลกก็ได้ และยิ่งเอาความรู้สึกมาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
ดังนั้นการนำสิ่งที่ไม่แน่นอนอย่างกาลเวลาเอามาใช้เป็นบรรทัดฐานเพื่อพิสูจน์คนนั้นแน่ใจแล้วหรือ...
ทั้งที่สิ่งที่พิสูจน์คนได้จริงๆ คือช่วงเวลาที่คบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้นคุณได้"รู้"อะไรมาบ้างมากกว่า
โดยเฉพาะความเข้ากันได้ตามความเป็นจริง
แต่ถ้ายังเลือกให้ "กาลเวลา" เป็นตัวกำหนด นั่นก็สื่อถึงว่าไม่ได้คิดจะเรียนรู้จักคนๆ หนึ่งจริงๆ เลย
นอกจากให้"เวลา" กับใครซักคน เพื่ออยากได้สิ่งที่ต้องการกลับมาเท่านั้น
ทำเหมือนการเข้าแถวหน้าโรงหนัง ที่รออย่างไรก็รู้ว่าจะต้องได้ดูเพราะมีตั๋วที่ชื่อว่าเวลาอยู่ในมือแล้ว
และเมื่อหนังไม่สนุกอย่างที่คิด...ก็บอกง่ายๆ ว่า"เสียดายเวลา"
แต่ในชีวิตจริงนั้น สิ่งที่เสียไม่ใช่เวลา แต่หมายถึงโอกาสที่ดีของตัวเองที่เสียไปโดยไม่รู้ตัว
===
"รักแท้แพ้ใกล้ชิด"
ที่ว่า"ใกล้ชิด" ไม่ได้หมายถึงใครคนอีกคนที่เข้ามาในชีวิต มาอยู่ใกล้ให้ได้ผูกพันกันเท่านั้น
แต่หมายถึงใกล้ชิดในลักษณะคนในครอบครัวด้วย
อย่างบางคนรักกัน แต่ครอบครัวไม่ชอบ เขาจึงเลือกครอบครัวตัวเองมากกว่าคนที่รัก
เพราะคิดว่าคนรักนั้น มากที่สุดก็เป็นสิ่งที่จะอยู่ด้วยในช่วงชีวิตที่เหลือ
แต่ครอบครัวคือสิ่งที่อยู่กับเขาตั้งแต่เริ่มชีวิตจนถึงสิ้นชีวิต
ซึ่งเป็นทัศนคติแต่ละคน และธรรมชาติก็ไม่ได้บังคับว่าทุกคนบนโลกต้องเห็นด้วยเหมือนกันหมด
ดังนั้นฝ่ายที่ไม่ถูกเลือกอาจรับไม่ได้ เห็นว่าไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่า ซึ่งก็แล้วแต่คนอย่างที่กล่าวไว้
แต่สำหรับในกรณีถูกแทรกแซงจาก"คนที่ใกล้กว่า" ที่ไม่ใช่ครอบครัว
ก่อนอื่นมองบนโลกนี้ดูซิว่าเปลี่ยนแปลงจากสมัยยังเด็กมั้ย? ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทันสมัยและพัฒนาไม่หยุด
ซึ่งทั้งหมดก็ทำเพื่อสนอง"ความต้องการของมนุษย์"ให้ได้มากที่สุด
แต่ไม่ว่ากี่ปีก็สนองไม่ทันความต้องการที่มากขึ้นได้
รถธรรมดาจุไม่พอก็สร้างรถบรรทุก รถไม่เร็วไม่สะดวกพอ ก็สร้างเครื่องบิน
หรือการสื่อสารที่ทำให้ได้รวดเร็วแค่ไหนแต่ก็ยังบอกห่างอยู่เพราะไม่เห็นหน้า
พอเห็นหน้าได้ก็บอกว่าจับต้องไม่ได้ เป็นต้น
ดังนั้นในแง่ความรู้สึกอย่างความรักก็เช่นกัน อะไรที่ให้ความพึงพอใจกว่าก็หันไปทางนั้น
อย่าง 'รักแท้แพ้คนรวย' ก็มีให้เห็นถมไป
ว่าง่ายๆ ความรู้สึกคนไม่ได้แพ้ระยะทางซักนิด
แต่ "รักแท้แพ้ตัณหา" ต่างหาก
===
ด้วยเหตุนี้ จากข้อสงสัยที่ว่า "ระยะทางหรือกาลเวลา แบบไหนที่ทำให้ร้างลา"
เปลี่ยนเป็นว่า ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะใดๆ ก็สามารถร่วมเดินไปบนเส้นทางของคู่รักด้วยกันได้ทำอย่างไร จะง่ายกว่า
เพียงแค่ให้รู้เสมอว่า"ทุกการกระทำ"ที่มีต่อกัน เป็นหนึ่งในตัวกำหนดว่าจะมีถนนให้เดินต่อได้
หรือไม่มีแม้แต่พื้นที่ให้วางเท้าเพื่อสาวก้าวต่อไปอีก เพราะอีกฝ่ายไม่อยากสร้างหนทางเพื่อเดินด้วยอีกแล้ว
ส่วนตัวกำหนดอื่นๆ ก็จะขอไม่กล่าวถึง
เพราะเป็นสิ่งที่นอกเหนือขอบเขตที่ตนจะทำได้ เพราะมันคือ"ผลเก่า" ที่ต้องรับอย่างเดียว