วันนี้ผมคงจะไม่มีอะไรอยากจะพล่ามมากนักหรอก
นอกจากอยากจะถามว่า “ตอนนี้ผมกลายเป็นคนที่มีโรคทางประสาทไปหรือเปล่า?”
ผมยังคงนั่งเขียนนิยายควบคู่ไปกับสิ่งนี้ ซึ่งไอ้อย่างที่สองก็ไม่ได้อยู่ในลิสต์ที่ผมกำหนดเอาไว้หรอก ก็แค่จู่ๆ ก็อยากจะเขียนมันขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่ไม่ต้องการมัน
ผมกำลังนั่งมองหน้าจอสี่เหลี่ยม แล้วลองนั่งนึกถึงเรื่องราวที่เคยผ่านๆ มาในชีวิต ทุกวันนี้ผมแทบไม่รู้เลยว่าเป้าหมายที่วางไว้นั้นมันดูยิ่งใหญ่ไปมากแค่ไหน สำหรับผมมันอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ เหมือนกับเกมส์ที่ให้เราเข้าไปตีกับบอส แล้วเราก็ชนะ เย้! Congratulations!
แต่ทว่าชีวิตจริงของผมกลับไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ทุกอย่างนั้นย่อมแฝงข้อคิดและแง่คิดที่สามารถทำให้ผมฉุกคิดได้ตลอดเวลา นั้นก็หมายความว่า ไม่ว่าการที่ผมจะเขียนบันทึกนี้หรือจะเป็นการนั่งเขียนนิยาย แง่คิดนั้นก็จะเปรียบเสมือน NPC ที่อยู่ในระหว่างทางที่ทำหน้าที่พูดคุยกับเรา และมันได้สอนแง่คิดหลายๆ อย่างให้กับเราก่อนจะไปลุยกับบอสนั้นก็ได้
บางทีบทความดีๆ สักบทความหนึ่ง ก็สามารถที่จะเปลี่ยนวิธีการคิดและชีวิตของเราไปได้ตลอด และทุกเวลา ทุกวินาที…
ผมหวังเช่นนั้น แล้วก็จะยังคงหวังต่อไป…
ผมกำลังนั่งเรียบเรียงความทรงจำทั้งหมดตั้งแต่ในวัยเยาว์ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เพื่อดูว่าตัวเองนั้นได้ทำสิ่งในหล่นหายไปในชีวิต แล้วจากนั้นก็ค่อยนำมันออกมาแยกออกมาจาก ‘เศษเสี้ยวของความรู้สึก’ ที่ตกหล่นไปในก้นบึงของ ‘วิญญาณ’ และ…ความสับสนวุ่นวาย