@111018

นิยาย - Bakemonogatari 02/18

starsatan View 847

โคโยมิแวมไพร์ บทที่ 2
002


เป็นเพราะว่าผมเข้ากับคนอื่นไม่เก่ง
ไม่ผิดหรอก ผมตั้งใจบอกแบบนั้นแหละ

ย้อนกลับไปในวันเสาร์ที่ 25 มีนาคม ก่อนถึงวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ ช่วงบ่ายหลังจากจบการปัจฉิมนิเทศ
ผมใช้เวลาเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในโรงเรียนเอกชนนาโอเอตสึ
ไม่ใช่ว่าผมกำลังจะไปชมรมใหนหรือไปหาใครหรอกนะ
แค่เดินไปเรื่อยๆเพราะไม่มีอะไรจะทำ...ก็แค่นั้น

แล้วผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับวันหยุดที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้สักนิด
ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นแค่วันหยุดฤดูใบไม้ผลิระยะสั้นๆหรือทำนองนั้น
อย่างที่พูดไป ต่อให้เป็นวันหยุดฤดูร้อนรึหยุดฤดูหนาว แม้แต่วันหยุดโกลเด้นวีคก็เหอะ

นักเรียนทั่วๆไปอาจจะมีความสุขกับมัน

แต่นั่นไม่ใช่ผม...ว่าใงดีล่ะ ผมคงจะมีความสุขมากกว่านี้ถ้าหากว่าผมจบปี 3 แล้ววันถัดไปก็เป็นวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ เวลานั้นแหละวันหยุดนั่นถึงจะเป็นวันหยุดในแบบของผม...แจ่มสุดๆ

ที่สำคัญ...ในวันหยุดฤดูใบไม้ผลินั้นจะไม่มีการบ้านวันหยุดมากวนใจอีกตลอด กาล

แต่ถึงอย่างนั้น...บางครั้งผมก็ไม่ชอบที่จะไปอยู่ที่บ้าน

ถ้าจะให้เทียบก็คงประมาณว่า...อืม...พอจบพิธีปัจฉิม เราก็จะได้รับรายงานผลการเรียนของเทอมนี้มาและในนั้นก็จะมีความเห็นที่ไม่ ค่อยดีนักอยู่...
นั่นล่ะที่ทำให้ผมไม่อยากตรงกลับบ้านแล้วพูดเรื่องนี้...
แต่ผมก็ไม่มีที่จะไปซะด้วย ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือการเดินทอดน่องไปเรื่อยๆรอบๆโรงเรียน นี่แหละ
เพราะผมเองก็ไม่รู้จะทำอะไร
การกระทำของผมถ้าจะพูดไปไม่น่าจะเรียกว่า"ฆ่าเวลา"แต่ควรจะเรียกว่า"ฆ่าเวลา ว่าง"มากกว่า
สารภาพด้วยความสัตย์จริง ผมมาโรงเรียนทุกวันนี้ด้วยจักรยานและดูเหมือนว่าในวันนี้จักรยานของผมก็ ยินดีที่จะจอดอยู่ในโรงเก็บโดยไม่ยอมกลับบ้านเช่นกัน
จะเรียกการกระทำของผมตอนนี้ว่าการเดินเล่นของการเดินเล่นก็น่าจะได้มั๊งนะ
แน่นอน ผมไม่ทำอะไรบ้าๆอย่างการออกกำลังหรอก
บางทีการฆ่าเวลามันคงดูเป็นเรื่องแย่มากๆในโรงเรียนล่ะนะ แต่ถ้าว่ากันตามความรู้สึกผมในตอนนี้ไม่อยู่ในอารมณ์จะกลับบ้านก็จริง...แต่ ก็ไม่อยากกลับไปนั่งขาแข็งฟังอาจารย์ใหญ่กล่าวปัจฉิมอีกน่ะแหละ
แต่ก็มีคนมากมายที่ทำตรงข้ามกับผม...พวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมนี้
ผมไม่ใช่คนที่รับผิดชอบต่องานมากนักหรอก
อืม...ผมไม่คิดหรอกว่ากิจกรรมชมรมในโรงเรียนมันจะน่าสนใจมากนัก...อ้อ...ยก เว้นปีก่อนที่มีนักเรียนตัวใหญ่ยังกะยักษ์เข้ามาในโรงเรียนก่อนจะจับพลัดจับ ผลูไปอยู่ในชมรมบาสเก็ตบอลหญิง...คิดดูเองเถอะว่ามันจะเป็นยังใง...นั่นล่ะ เทอมนั้นแหละที่"การเข้าร่วมกิจกรรม"มันจะมีความหมาย

ตั้งแต่ผมเดินเรื่อยเปื่อยรอบโรงเรียนมา...มันก็กินเวลามานานโขแล้วล่ะนะ ดูท่าว่ามันคงถึงเวลาที่ผมควรจะไปที่โรงเก็บจักรยานแล้วใสหัวเน่าๆของตัว เองกลับบ้านซักที และที่สำคัญ...ผมหิวแล้ว
แต่ยิ่งกว่านั้น...ผมเจอคนที่ผมไม่คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่ตรงนี้นี่สิ...
เมื่อย่างเข้าสู่วันหยุดฤดูใบไม้ผลิ สำหรับนักเรียนที่จะขึ้นปี 3 อย่างผมมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน...แต่ในตอนนี้ ผมจะจดจำใว้เลยว่า นักเรียนที่โด่งดังที่สุดในชั้นปีเดียวกับผม...... "ฮาเนคาว่า สึบาสะ" กำลังเดินอยู่ข้างหน้าผม!!!!

ตอนแรกผมก็แปลกใจที่เธอเอามือทั้งคู่นั้นไปใว้แถวๆท้ายทอยแต่เมื่อสังเกตดีๆ ก็เห็นว่าเธอกำลังเปียผมอยู่ เปียที่ถูกถักนั้นยาวขึ้นและค่อยๆกระหมวดผมที่ยาวของเธอเข้าด้วยกัน และแม้ว่าเธอจะขมวดเปียมาโรงเรียนทุกวันแต่ผมของเธอกลับตรงสวยไม่เปลี่ยน
เธอยังอยู่ในชุดนักเรียน...ไม่แตกต่างจากยามปกติแม้แต่น้อย
กระโปรงสูง 10 เซนต์เหนือเข่า
กระโปรงสีดำ
เสื้อของเธอนั้นถูกสวมทับด้วยเสื้อนอกที่ทางโรงเรียนอนุญาติ
และเธอยังคงใส่ถุงเท้าสีขาวและรองเท้าของทางโรงเรียนตามกฏระเบียบเป๊ะ
ดูราวกับว่าเธอเป็นนักเรียนดีเด่นเลยทีเดียว....
ซึ่งอันที่จริง เธอเป็นอยู่แล้วล่ะนะ
เธอเป็นราวกับต้นแบบของนักเรียนดีเด่น และเป็นเหมือนหัวหน้าห้องอยู่ลึกๆ
ผมอยู่คนละห้องกับเธอตอนปี 1 กับ ปี 2 ...
จึงไม่แปลกที่เธอจะไม่รู้จักผม แต่กลับกันผมกลับรู้เรื่องราวของเธอขนาดที่ว่าเธอดูเหมือนหัวหน้าห้องขนาด ใหน
นับตั้งแต่ที่ผมได้ฟังข่าวลือของเธอมา...ต่อให้ฟังแค่ครึ่งเดียวก็เถอะ เธอก็แทบจะเป็นหัวหน้าห้องที่แท้จริงไปแล้ว
ผมมั่นใจเลยว่าเธอต้องได้เป็นหัวหน้าห้องตอนปี 3 แน่ๆ
แถมเกรดของเธอก็จัดว่าไม่ธรรมดา
ผมคงอธิบายให้ละเอียดไม่ได้เท่าใหร่นักแต่เธอนั้นฉลาดมาก...มากจนเกินปกติ เธอได้คะแนนเต็มทุกการสอบอย่างง่ายๆ ถ้าจะเปรียบเทียบล่ะก็ หากคนฉลาดทั่วไปเข้ารับการสอบ หลังสอบจบลงพวกเขาก็จะหวังให้ชื่อของเขาอยู่ในลำดับที่ 1 อย่างลุ้นระทึก...

แต่ในกรณีของเธอ...ฮาเนคาว่า สึบาสะ เธออยู่ที่ 1 มาตลอด 2 ปีอย่างไร้ข้อกังขา

นั่นแหละคือเกรดแบบคร่าวๆของโรงเรียนเอกชนนาโอเอตสึ ส่วนตัวผมน่ะเหรอ... ชื่อของผมน่ะร่วงไปอยู่ในจุดที่คงไม่มีสายตาคู่ใหนมาเหลียวมองด้วยซ้ำ บางทีมันอาจจะหลุดออกไปจากขอบกระดาษประกาศผลเลยก็ได้...
ไอ้ความต่างนี้มันอะไรกันฟะ
เฮ้อ...
เอาล่ะในตอนนี้ผมควรจะเลิกสนใจเธอซะที

พวกเราสองคนอยู่กันคนละชั้นเรียน...ถึงผมจะรู้เรื่องของเธอมากขนาดใหนแต่ผม ก็ไม่ได้พบกับเธอบ่อยนักหรอก ในตอนนี้ผมก็แค่แปลกใจเล็กน้อยที่เจอคนอย่างเธอยังเดินลอยชายอยู่แบบนี้ทั้ง ที่พิธีจบไปแล้วเท่านั้นแหละ

เอาน่า...มันก็แค่เรื่องบังเอิญที่นานๆจะเกิดขึ้นซักทีล่ะนะ
ดูเหมือนว่าเธอกำลังเดินคิดอะไรซักอย่างออกมาจากประตูโรงเรียนล่ะนะ ...อาจจะเป็นเรื่องลึกลับของโรงเรียนก็ได้...แต่ก็นะ...มันไม่ลึกลับเท่าตัว เธอหรอก
แน่นอนว่าฮาเนคาว่าไม่ทันสังเกตเห็นผมหรอก
เธอกำลังตั้งสมาธิไปที่ผมเปียทั้งคู่ของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะถ้าเกิดว่าฮาเนคาว่าสังเกตุเห็นผมหรือว่าหน้าเห่ยๆของ ผมเข้าไปอยู่ในระยะทำการของฮาเนคาว่าแล้วล่ะก็ เราสองคนก็คงจะทำแค่ก้มหัวทักทายกันพอเป็นพิธีล่ะนะ....
ฮะฮะฮะ...
ผมค่อนข้างจะอึ้งกับความสง่าของฮาเนคาว่าและเกลียดความไร้แก่นสารของตัวเอง ชะมัด(แน่นอน...ผมรู้ตัวดี ไม่จำเป็นต้องบอกหรอก)
เด็กผู้หญิงที่จริงจังอย่างเธอ กับคนที่ไม่มีสาระอย่างผม
คงจะดีกว่าถ้าเราสองคนจะไม่รู้จักกัน
ผมจะก้าวเดินสวนกับเธอไปแบบนี้แหละ
แต่ถึงจะพูดแบบนั้น...ผมก็ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจขนาดจะวิ่งหนีหรอกนะ...
ผมเดินต่อไปด้วยจังหวะเดิมๆ แกล้งทำประมาณว่ามัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยจนไม่ทันได้สนใจเธอ และถ้าเราทั้งคู่เดินไปอีกซักคนละ 5 ก้าว พวกเราก็จะสวนกันไปโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น....

...แต่ทว่า
ผมคงไม่มีวันที่จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ไปไม่ได้ตราบวันตาย แน่ๆ...
โดยไม่มีคำเตือนใดๆ ลมพัดมาอย่างแรงจากข้างหน้าผม
"อ่า..."
ว่าใงดีล่ะ
เป็นครั้งแรกที่ประสาทของผมทำงานเร็วกว่าสมอง
กระโปรงส่วนหน้าของฮาเนคาว่าที่ยาว 10 เซนต์เหนือเข่าพลิกเปิดขึ้นมาอย่างแช่มช้า
โดยปกติเด็กสาวทั่วไปมักจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบทันทีโดยการกดกระโปรงลงไป แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้จะไม่พร้อมสำหรับเธอซักเท่าไหร่
...มือทั้งคู่ของเธอยังคงอยู่ที่ท้ายทอยและกำลังถักเปียอยู่ข้างหลัง
ถ้ามองจากมุมมองของผมแล้ว เธอในตอนนี้ราวกับกำลังโพสท่าของไอดอลบางคนอยู่โดยที่มือของเธอประสานกันใว้ ที่ท้ายทอย
...นั่นล่ะคือสถานการณ์ตอนนี้ของเธอกับกระโปรง
และในตอนนี้ ทุกสิ่งใต้กระโปรงของเธอนั้นสามารถเห็นได้แบบไร้การปิดบัง
ราวกับฟ้าผ่ากลางกบาลของผม
มันเป็นกางเกงในที่งดงาม...ผมไม่สามารถที่จะเบือนหน้าหนีไปจากมนต์สะกดนี้ ได้เลย
มันสะอาดและเป็นสีขาวบริสุทธิ์
นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดของมัน ที่ดูเชื้อเชิญที่สุดก็คือลายลูกไม้ที่ถูกแสดงออกมา และร่องลึกของแนวตะเข็บ ไม่สิ ยังไม่ใช่
ถ้ามองให้ลึกลงไปอีกขั้นหนึ่งแล้วล่ะก็ตอนนี้กางเกงในนั้นกำลังห่อหุ้มสิ่ง หนึ่งอยู่
ที่สำคัญ ผมจำได้ติดตาว่าสีขาวที่ส่องสว่างนั้นมันไม่ได้ราบเรียบแต่อย่างใด
บนพื้นหลังของสีขาวปรากฏลายลูกไม้จางๆ และมีสัดส่วนโค้งรับกับขอบที่อยู่ด้านข้างอย่างสมดุล และกึ่งกลางด้านบนของแผ่นผ้าสีขาวนั้นคือริบบิ้นอันเล็กๆ
ราวกับว่าริบบิ้นชิ้นนั้นจะมีเอกสิทธิพิเศษที่สามารถดึงดูดสายตาของผมไปได้ ก็มิปาน
นอกจากริบบิ้นนั้นแล้ว กางเกงชั้นในของเธอยังรัดเข้ากับโครงร่างด้านล่างของเธอได้อย่างเหมาะเจาะ ชายเสื้อด้านในนั้นถูกพับขึ้นให้อยู่เหนือกางเกงในของเธออย่างชวนให้คิดลามก นิดๆ
มันเป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวผมก็ไม่คิดว่าจะบรรยายได้ขนาดนี้
และอีกอย่าง ผมคิดว่าเนื้อผ้าสีชมพูที่บุอยู่ด้านในลายลูกไม้ของเธอนั้นดูดีรับกับชาย เสื้อของเธอมาก นั่นล่ะคือสิ่งที่ผมคิด
แต่ที่ดีที่สุดก็คือตอนที่กระโปรงถูกลมพัดปลิวไปนั้นมันสวยงามมาก
นอกจากความขาวน่าหลงใหลของเสื้อและกางเกงในของเธอแล้วต้นขาและชายเสื้อสี น้ำเงินของเธอก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่น่าหลงใหล หากจะเปรียบกันในมุมมองของผม ผมว่าการที่มันมาอยู่บนร่างของเธอนั้นชวนให้น่าหลงใหลจริงๆ ทั้งรอยยับ และรอยพับที่ปรากฏบนผิวของเธอนั้นดูราวกับเธอเป็นกำมะหยี่ชิ้นงามก็ไม่ผิด นัก
ถ้าหากว่าผมไม่เข้าข้างตัวเองมากไป...ในตอนนี้ดูราวกับว่าเธอกำลังโชว์ กางเกงชั้นในของเธอให้ผมเห็นยังใงยังงั้น
ตราบตั้งแต่ต้นจนจบ...นับตั้งแต่ลมพัดมาจนจากไป...
เธอ....ฮาเนคาว่า สึบาสะ ไม่ได้ขยับตัวแม้สักนิ้วเดียว...
มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย...
ดูราวกับว่าเวลาของเธอนั้นหยุดนิ่งไปนับตั้งแต่ที่เธออยู่ในท่วงท่านั้นและ กระโปรงเธอถูกลมพัดเปิด...
ผมคิดว่าทั้งหมดมันกินเวลาแค่เพียงไม่กี่วินาที
แต่ในความรู้สึกของผม มันราวกับว่าใช้เวลาเป็นชั่วโมงนับตั้งแต่กระโปรงของเธอเริ่มพลิก มันเหมือนกับอาการประสาทหลอน เหมือนความรู้สึกของคนใก้ลตายที่จะสามารถระลึกเหตุการณ์ทั้งหมดได้ในพริบ ตา....
ผมไม่ได้พูดเกินเลยไปหรอกนะ...
ความรู้สึกของดวงตาที่ไม่ได้กระพริบจนแห้งผากเป็นเครื่องยืนยันได้
ในที่สุดท่อนล่างของฮาเนคาว่าก็หลุดออกจากความสนใจของผมจนได้...
เอ่อ...ผมเข้าใจนะ.......ผมเข้าใจดีเลยล่ะ มันเป็นมารยาทสากลที่ผมควรจะเลื่อนสายตาออกจากท่อนล่างของเธอซักที
แล้วก็รู้ด้วยว่าควรจะทำอะไรต่อไป
มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะทำแบบนั้น
ถ้าเกิดว่ามีสาวน้อยซักคนมาเดินขึ้นบันไดอยู่ข้างหน้าผม ผมก็ควรจะมองไปที่เท้าของตัวเองเพื่อไม่ให้สายตามันซุกซน
แต่ขอโทษที...ผมมันไม่ใช่ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนั้น ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นจริงๆผมไม่มั่นใจหรอกว่าผมจะก้มหน้าดูแต่เท้าของตัว เองได้

...นั่นล่ะคือเหตุผลที่ทำไมภาพกางเกงในของฮาเนคาว่าถึงได้ถูกอินสตอลลงในเร ติน่าของตาผม
ถ้าหากว่าผมเกิดตายขึ้นมาตอนนี้หรือมีอะไรซักอย่างพุ่งมาทะลุเบ้าตาของผม ผมก็คงจะไม่ลืมสีขาวบริสุทธิ์ของกางเกงในฮาเนคาว่าแน่ๆ
นั่นคือการเปรียบเทียบอานุภาพคร่าวๆของกางเกงในของเธอล่ะนะ
ใช่แล้ว....กางเกงในของนักเรียนดีเด่นตลอดกาล
"...................................................."
อา....
แล้วนี่ผมบรรยายสรรพคุณกางเกงในของนักเรียนดีเด่นมานานขนาดใหนแล้วล่ะเนี่ย
ตามที่ตั้งใจใว้แต่ต้น ผมเดินเข้าไปหาฮาเนคาว่าหลังจากที่กระโปรงของเธอพลิกลงมาเป็นปกติแล้ว
มันใช้เวลาไม่นานเลย
และ...ตอนนี้เธอ... ฮาเนคาว่า
เธอผู้นี้กำลังมองมาที่ผมโดยที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรซักอย่างอยู่...
หรือเธอกำลังดูถูกผมอยู่กันนะ
"....เอ่อ..."
เวรล่ะ
สภาพแบบนี้ไม่ว่าจะดูยังใงก็ไม่น่าจะอธิบายกับเธอได้ดีแน่ๆ
ทำไมผมต้องมาทำอะไรแบบนี้ในเวลานี้ด้วยฟะ
"ผม... ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้นล่ะนะ..."
...โอ้....เป็นการตอแหลอย่างเห็นได้ชัด...ชนิดที่ขนาดควายยังรู้
แต่ทว่าดูเหมือนฮาเนคาว่าจะไม่ใส่ใจกับคำพูดของผม เธอยังคงจ้องมองมาที่ผมอยู่
ตอนนี้เธอเปียผมเสร็จแล้วจากนั้นเธอจึงค่อยๆลดมือลงมาตบกระโปรงของเธอเบาๆ
ถึงมันจะช้าไปแล้วก็เถอะ
ตอนนั้นเองที่เธอแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าก่อนจะมองมาที่ผมอีกครั้ง...แล้วริม ฝีปากนั้นก็เผยอก่อนจะเปล่งเสียง
"อ่า...โน...แหะๆ"
รึอะไรทำนองนั้น....
มันเป็นการแก้เขินของเธอเรอะ?
...รึว่าผมควรจะหัวเราะด้วยล่ะเนี่ย
แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อย เป็นเหมือนต้นแบบของนักเรียนดีเด่นจากก้นบึ้ง...ว่าใงดีล่ะ
"เอ่อ...คือผมควรพูดยังใงดีล่ะ...คือว่า"
ตึก ตึก ตึก ...ฉึบ....
ทันที่ที่จังหวะการเดินนั้นจบลง ฮาเนคาว่าก็เข้ามาใกล้ผมด้วยสองขาของเธอ...
จากระยะห่าง 10 ก้าวของเรา 2 เหลือเพียง 3 ก้าวของผมและเธอ....
เป็นระยะห่างที่ใกล้มาก...
"ไม่ว่าเธอจะคิดยังไง กระโปรงตัวนี้ก็มีความปลอดภัยในระดับที่ต่ำเมื่อต้องการที่จะโพรเทคท์ข้อมูล ที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นรับรู้ ฉันคิดว่าบางครั้งไฟร์วอลล์ก็จำเป็นมากสำหรับกรณีนี้ เธอคิดว่ายังใงคะ?"
"อ่า...ผม...ไม่รู้สิ"
...เดี๋ยวสิ...ถ้ามองในมุมมองของเธอที่พูดมาตอนนี้....ผมคือไวรัสงั้นเรอะ
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ.....แต่แถวนี้ไม่มีนักเรียนคนอื่นแม้แต่คนเดียว
มีแค่ผมกับฮาเนคาว่า
นั่นหมายความว่าผมเป็นคนเดียวที่เห็นกางเกงในของเธอ
มันทำให้ผมรู้สึกปลื้มอยู่นิดๆเหมือนกันแฮะ.....ไม่สิ...ไม่ใช่ละ
"ตอนนี้ฉันกำลังทดลองทำอะไรบางอย่างตามทฤษฏีของเมอร์ฟี่ เกี่ยวกับการที่ว่า "หากมือทั้ง 2 ของคุณไม่ว่างหรือกำลังอยู่ด้านหลังโอกาสที่กระโปรงจะถูกเปิดโชว์จะมากขึ้น จากด้านหน้าของคุณ...ตัวอย่างแบบย่อคือ หากคุณมัวแต่พะวงด้านหลัง ด้านหน้าของคุณก็จะกลายเป็นจุดบอด..."
ฮาเนคาว่าพูดยิ้มๆ...ให้ตายเถอะ...
"อา....ก็คงเป็นแบบนั้นล่ะนะ"
ผมน่ะ...ไม่รู้หรอกนะ
...เอ่อ...หรือนี่จะเป็นวิธีแก้เขินของเธอ...
ดูเหมือนฮาเนคาว่าจะไม่ได้คิดอะไรใว้เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้...แต่ถึงยัง งั้นก็เถอะ ผมกลับไม่รู้สึกว่าฮาเนคาว่าอยากจะต่อว่าผมเท่าใหร่นัก...บางทีถ้าเธอพูด อะไรมาซักคำที่ไม่ใช่ประโยคข้างต้นนี่ล่ะก็ผมอาจจะรู้สึกดีกว่าก็ได้...
แต่จะว่าไป...ทำไมผมถึงรู้สึกผิดมากมายกับอุบัติเหตุที่ดูยังใงก็ไม่ใช่ความ ผิดผมล่ะเนี่ย...

เอ่อ...ยิ่งไปกว่านั้นรอยยิ้มของเธอในตอนนี้...
ผมว่าผมไม่ควรปล่อยการสนทนาในตอนนี้ให้มากขึ้นจะดีกว่า
"เอ่อ...ว่าใงดีล่ะ...เอางี้...ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น....ไม่สิ ผมโกหกน่ะ...ก็เห็นนิดหน่อยนะ แต่ไม่ต้องห่วงผมไม่เห็นด้านในมากนักหรอก สบายใจได้"...
...แน่นอนว่าที่พูดไปตอแหลทั้งเพ...
แต่ผมจะรู้สึกว่ามันเป็นอาชญากรรมเลยทีเดียวถ้าผมมอง...
"เอ...อา...อืม"
ฮาเนคาว่าใช้นิ้งเรียวบางของเธอจรดไปที่ศีรษะ...
"ฉันคิดว่าการพูดแบบนี้คงเป็นเรื่องปกติที่จะทำให้ผู้หญิงรู้สึกดีขึ้นสินะ คะ..."
"อ่า..เอ่อ...ผมรู้ว่าบางประโยคที่ผมพูดไปเธออาจจะไม่เชื่อแต่ผมไม่ได้ ตั้งใจจะหลอกเธอหรอกนะ"
"ฉันรู้ค่ะ...รู้ว่าคุณไม่ได้ต้องการแบบนั้น"
"อา...ต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ดี...รวมถึงเรื่องที่โกหกเธอ ด้วย..."
นี่คือคำพูดของผู้ชายที่เอาแต่โกหกมาจนถึงเมื่อกี๊นี้...
"แต่ไม่รู้ทำไม...จู่ๆฉันก็มีความรู้สึกว่ารายละเอียดช่วงที่กระโปรงของฉัน เปิดมันจะกินไปเกือบ 4 หน้ากระดาษเชียวนะ"...
ไม่ใช่ละฮาเนคาว่า...จริงๆต้องบอกว่า 2 หน้ากระดาษกับอีกครึ่งนึงต่างหาก...
"ไม่หรอกมั๊ง...เอ่อ...นั่นมัน นั่นมัน..ว่าใงดี ผมว่ามันคงเป็นแค่การพรรณาโวหารมากกว่านะ"...
...ผมไม่ได้โกหกหรอกนะฮาเนคาว่า...แต่นี่มันเรื่องละเอียดอ่อน...
"เอ่อ...งั้น...ผมไปก่อนนะ..."
โดยการยกมือขึ้นเหนือหัวพอประมาณเป็นการบอกฮาเนคาว่าประมาณว่าไปก่อนนะแล้ว ค่อยเจอกันใหม่แบบแนวพระเอกอนิเมทั่วไป...ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่านี่คงจะจบ บทสนทนานี้ได้ล่ะนะ...
จากนั้นก็หันหลังเตรียมโกยอ้าว...
...อ่าเระ...เดี๋ยวสิ...
...ถ้าผมชิ่งไปตอนนี้ฮาเนคาว่าอาจจะกลับไปบ้านของเธอจากนั้นก็ส่งเมลไปบอก เพื่อนๆของเธอว่าผมเห็น กกน. ของเธอ...ไม่หรอกน่า...ผมไม่คิดว่านักเรียนดีเด่นจะทำเรื่องแบบนี้ หรอก..................
แต่คิดอีกที...เธออาจจะคิดว่านี่เป็นการหยามศักดิ์ศรีนักเรียนดีเด่นของเธอ ก็ได้...แต่คิดอีกที...เธอคงไม่ทำอย่างที่ว่ามาหรอก....มั๊งนะ...
และต่อให้อยากทำ...ก็ใช่ว่าฮาเนคาว่าจะรู้ชื่อของผม....
ผมค่อนข้างมั่นใจล่ะนะว่าแม้แต่คนที่อยู่ห้องเดียวกันก็รู้จักชื่อของผมน้อย มาก...ดังนั้นถึงเธอจะส่งเมลไปก็คงไม่มีผลอะไรมากหรอก...

เมื่อความคิดเข้าที่...ผมก็รู้สึกตัวว่าผมเดินเร็วไป...เพราะงั้นผมจึงค่อยๆ ก้าวให้ช้าลง... และจากนั้น...
"กรุณารอสักครู่สิคะ..."
เสียงนั้นก้องกังวานมาจากทางด้านหลังผม...
มันเป็นเสียงของฮาเนคาว่า...
Shift หาย...เธอตามผมมาเรอะ!!!!!
"ฉันพยายามจะบอกให้เธอหยุดรอหน่อย แต่เธอกลับเดินเร็วมากเลยนะ"
".....เธอไม่ได้จะกลับบ้านเรอะ?"
"หืม?...ไม่นี่คะ ฉันยังไม่คิดที่จะกลับตอนนี้ ว่าแต่เธอนั่นแหละ...ทำไมถึงเดินไปทางโรงเรียนล่ะ?...'อารารากิคุง'..."
"...................................................................................."
เธอรู้ชื่อผม....
เฮ้ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ผมมั่นใจอย่างแน่นอนว่าไม่มีป้ายชื่อหรือเคยบอกชื่อเธอไปแน่ๆ....เต่เธอรู้ งั้นเรอะ?
"ก็อย่างที่เห็น...ผมกำลังจะไปเอาจักรยานน่ะ"
"อืม....เธอมาโรงเรียนด้วยจักรยานสินะ..."
"อา...ก็นะ ทางจากโรงเรียนถึงบ้านผมมันก็ใกลใช่ย่อยนี่นา...เธอก็-------------"
เดี๋ยวสิ...ไอ้เรื่องนี้มันไม่ใช่ประเด็นละ...
".......ทำไมเธอถึงรู้ชื่อผมล่ะ?"
"เอ๋?...ไม่แปลกตรงใหนนี่...ก็พวกเราอยู่โรงเรียนเดียวกันนี่คะ ใช่มั๊ย?"
ฮาเนคาว่าพูดออกมาหน้าตาเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติ...
โรงเรียนเดียวกันงั้นเรอะ....เธอพูดอย่างกับว่าทั้งโรงเรียนมีห้องเรียนห้อง เดียวเลยนะนั่น...
"เอ่อ....เธอคงจะไม่รู้จักฉันหรอกนะอารารากิคุง แต่ว่าชื่ออารารากิคุงน่ะเป็นที่รู้จักมากๆเลยล่ะ"
"หา!!!"
เธอเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ฮาเนคาว่า สึบาสะ...
ไม่ใช่ชื่อของเธอหรอกเรอะที่เป็นที่รู้จักน่ะ...
แล้วอีกอย่าง...คนอย่างผมมันก็ไม่ต่างจากก้อนกรวดริมทางในโรงเรียนเอกชนนาโอ เอ็ตสึด้วยซ้ำ....ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าจะมีเพื่อนร่วมชั้นซักกี่คนที่รู้ ชื่อเต็มๆของผมและวิธีเขียนของมัน....
"หืม?...มีอะไรแปลกรึคะ อารารากิคุง"
"................................................................"
"...ถ้าเราเขียนคำว่า อา (
) มาจาก ( ) ที่มาจาก คา( 可能 ) ที่แปลว่าความเป็นไปได้ รา ( ) สองตัวจาก ( 良い子 ) ที่แปลว่าเด็กดี แล้วก็กิ ( ) จาก ( 樹木 )ที่แปลว่าพณาไพร ก็จะได้คำว่าอารารากิ ( 阿良々木 ) แล้วล่ะ ส่วนชื่อต้นของเธอก็คือโคโยมิ ( ) จาก ( 年月の暦 ) ที่แปลว่าปฏิทินประจำปีใช้ใหมล่ะ ดังนั้น ชื่อทั้งหมดก็จะเป็น อารารากิ โคโยมิ ( 阿良々木 ) ใช่มั๊ยล่ะคะอารารากิ โคโยมิคุง"
"................................................................"
เธอรู้ชื่อเต็มของผมหนำซ้ำยังรู้ว่ามาจากคันจิตัวใหนอีกตะหาก....
ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นใช่มั๊ยเนี่ย....
ตอนนี้เธอก็รู้ทั้งหน้าทั้งชื่อของผมแล้ว...ถ้าเกิดว่าเธอมีเดธโน๊ตอยู่ใน มือล่ะก็ผมคงกลายเป็นศพนอนกองที่ใหนซักที่อย่างไม่ต้องสงสัย
...ยังใงซะ...ผมก็ยังไม่ตายหรอก ถ้าเธอยังอยุ่ที่นี่ล่ะก็นะ...
"เธอคือ....ฮาเนคาว่า...."
ผมตอบกลับไปอย่างคนไม่ยอมแพ้...แกมเป็นการล้างแค้นเธอกลายๆในการที่ไม่ยอม ให้เธอได้เปรียบอยู่ฝ่ายเดียว
"ฮาเนคาว่า สึบาสะ"
"ว้าว!!!"
จู่ๆฮาเนคาว่าก็มองมาที่ผมด้วยแววตาเป็นประกาย
"สุดยอด เธอรู้ชื่อของฉันด้วยเหรอเนี่ย!!!"
"หนึ่งเดียวที่สามารถพิชิตคะแนนเต็มในการสอบปลายภาคทั้งพลศึกษาและทัศนศิลป์ ยังจะมีใครอื่นนอกจากเธออีกล่ะ...ฮาเนคาว่า สึบาสะ..."
"เอ๋...เดี๋ยวสิ...ทำไมเธอถึงรู้ขนาดนั้นได้ล่ะ..."
ฮาเนคาว่าแสดงสีหน้าแปลกใจหนักยิ่งขึ้น
....แล้วผมก็ไม่รู้สึกว่าเธอแกล้งทำแต่อย่างใดด้วย....
"เอ่อ....หรือว่าเธอ...เป็นสโต๊คเกอร์ที่ตามสะกดรอยฉันอยู่กันล่ะอารารากิ คุง....ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็...มันทำให้ฉันกลัวมากๆเลยนะ"
"....มันใช่ซะที่ใหนเล่า...."
...อย่างในกรณีของเธอน่ะ มันเป็นเพราะเธอไม่รู้ว่าเธอ"ดัง"ขนาดใหนต่างหาก
บางทีเธออาจจะคิดว่าเธอเองเป็นพวกธรรมดาก็ได้...
เพราะในมุมมองของผม ผมก็มองว่าเธอเป็นเพียงสาวน้อยทั่วไป...ที่อาจจะจริงจังกับชีวิตไปหน่อยเท่า นั้นเอง....
เหนือสิ่งอื่นใด....ผมคงจะรู้สึกแย่มากๆถ้าเกิดว่าต้องมาหักหาญน้ำใจเธอแบบ นี้ เพราะงั้นผมยินดีที่จะเอาตัวเข้าแลกโดยไม่เสียใจ....
...แน่นอน....ไอ้ที่พูดๆไปข้างบนน่ะไม่มีความหมายลึกซึ้งอย่างที่ว่าหรอก...
ในที่สุดผมก็เลือกคำตอบที่ธรรมดาๆออกไป...
"ผมใด้ยินมาจากเพื่อนที่เป็นมนุษย์ต่างดาวน่ะ..."
"เอ๋....เธอมีเพื่อนด้วยเหรออารารากิคุง?"
"ปกติเขาต้องถามก่อนไม่ใช่เรอะว่าทำไมเป็นเอเลี่ยนน่ะ!!!"
...การพบกันครั้งแรกก็กลายเป็นการตบมุกละเรอะ....
เอาเหอะ อย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้เลวร้ายนักล่ะนะ...."อาเระ เอ..."
จากการสังเกตของผม...ดูเหมือนฮาเนคาว่าเองก็ท่าทางจะอายเหมือนกัน
"นี่...อารารากิคุง ดูหมือนเธอจะเป็นคนประเภทลอยชายนะ"
"ผู้ชายส่วนใหญ่น่ะ มักจะเป็นแบบนี้เสมอๆเหรอ?"
ผมคิดว่าผมรู้จักตัวผมดีพอ...
มันไม่เหมือนกับที่เธอคิดหรอก...ไม่เหมือนเลย
"อา...อย่างที่เธอว่ามาล่ะ...ผมไม่มีเพื่อนหรอก...เธอน่ะเป็นที่รู้จักจากคน มากมายคงไม่มีวันรู้ความรู้สึกของคนที่ไม่มีเพื่อนสินะ"
"เดี๋ยวสิคะ"
ดูเหมือนคำพูดนี้จะทำให้ฮาเนคาว่าไม่พอใจเล็กน้อย...
ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่หัวเราะแบบเจื่อนๆหลังจากที่ต้องโชว์ใต้กระโปรงให้คน อื่นดูอย่างเธอจะมีอาการแบบนี้ได้....
"ฉันไม่ขอบมุกตลกแบบนี้เลยนะอารารากิคุง กรุณาอย่าใช้มันกับฉันอีกนะคะ"
".....โอ๊ส"
ผมก้มหัวเป็นเชิงขอโทษเล้กน้อย...หวังว่าการทำแบบนี้คงให้ผลลัพท์ที่ดีขึ้น ล่ะนะ...
เฮ้อ...ให้มันได้งี้สิ...
ในตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ตรงไฟแดงตรงข้ามกับประตูโรงเรียน....และฮาเนคาว่าก็ อยู่กับผมที่นี่...
................................................
แล้วเธอตามผมมาทำไมล่ะเนี่ย?
หรือเธอจะลืมอะไรบางอย่างใว้ที่โรงเรียน?
"เน่ๆ อารารากิคุง"
โดยไม่คิดไม่ฝัน....
จู่ๆฮาเนคาว่าก็พูดเรื่องที่แหกคอกที่สุดใส่ผม...
"เธอเชื่อเรื่องแวมไพร์รึเปล่า....อารารากิคุง"
".............................................................."
...มุกเรอะ?...
ตอนนี้ในหัวผมคิดแต่ว่า...เธอต้องการพูดถึงอะไรกันแน่....
แล้วผมก็ได้คำตอบในเวลาไม่นาน...
ใช่แล้ว...เธอคงรู้สึกอายมากมายที่ผมเป็นคนเพียงคนเดียวที่ได้เห็นกางเกงใน ของเธอแบบนี้...
...ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน...
ผมไม่ใช่คนที่มีชื่อในหมู่นักเรียนหรอก...แต่พอดีแค่บังเอิญว่าฮาเนคาว่า รู้จักผม แถมยังรู้ด้วยว่าผมไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์เท่าใหร่...(นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ผมไม่มีเพื่อน)
เธออาจจะรู้ข่าวลือที่ไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับผม....
ในกรณีนี้การที่มีอุบัติเหตุให้เธอถูกผมเห็นกางเกงในจึงเป็นเรื่องที่นัก เรียนดีเด่นอย่างเธอรับไม่ได้อย่างแรง....
...ไม่สิ...เรียกว่าความผิดพลาดจะเหมาะกว่าอุบัติเหตุสินะ...
นี่คือต้นเหตุที่ทำให้เธอตามติดผมมาเรื่อยๆ
ถ้าให้เดา...แผนของเธอคงเป็นการอินสตอลความทรงจำในการพูดคุยเรื่องอื่นๆใน หลายๆหัวข้อลงในกบาลผมเพื่อที่จะลบเรื่องกางเกงในของเธอออกไปสินะ...
หึๆๆๆ
คิดง่ายเกินไปแล้ว...คุณนักเรียนดีเด่น....
ความทรงจำของผมเกี่ยวกับกางเกงในของเธอจะไม่มีวันถูกลบต่อให้เธอยกหัวข้อการ พูดคุยแปลกๆอย่างแวมไพร์มาก็เถอะ...
"แล้ว...แวมไพร์ทำไมงั้นเหรอ"
ได้เลย...ฮาเนคาว่า...ตราบเท่าที่เธอต้องการ เชิญเปลี่ยนหัวข้อให้สบายใจเถอะ...ผมไม่คิดจะหลบหรือหนีแน่ๆ ถ้าทำแบบนี้แล้วมันทำให้เธอมั่นใจว่าเธอจะทำให้ผมลืมเรื่องกางเกงในของเธอ ได้ล่ะก็นะ...
"อืม...พอดีเมื่อเร็วๆนี้ฉันเคยได้ยินข่าวลือว่ามีแวมไพร์อยู่ในเมืองนี้ ....ดังนั้นมันคงจะดีกว่าถ้าเธอจะไม่ออกไปใหนตอนกลางคืนล่ะนะ"
"มันดูคลุมเครือนะ....อีกอย่าง...พวกข่าวลือก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือด้วยสิ"
ผมตอบฮาเนคาว่าออกไปตรงๆตามความรู้สึก
"แล้ว...แวมไพร์มาทำอะไรในเมืองนี้ล่ะ"
"ไม่รู้สิคะ"
"แล้วแวมไพร์จะดูดเลือดของปีศาจต่างประเทศได้มั๊ยเนี่ย"
"ฉันคิดว่าเธอเข้าใจความหมายของส่งที่เรียกว่าปีศาจผิดไปนะคะ"
"แต่ว่าถ้าคิดจริงๆล่ะก็...แวมไพร์มันคงไม่เป็นปัญหาหรอกนะถ้าเราไปใหนมาใหน ทีเป็นกลุ่มซัก 10 คนเนี่ย"
"อา...นั่นสินะ..."
ฮาเนคาว่าหัวเราะออกมาเบาๆ....
เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังแล้วเบิกบานใจ....แต่กลับมีความรู้สึกขัดแย้ง
.......ภาพลักษ์ของเธอนั้นต่างจากที่ผมจินตนาการใว้
บางครั้งโปร่งใสแต่ทึบตันชวนอึดอัดในบางคราว....
ตั้งแต่ที่เธอได้รับเลือกให้เป็นนักเรียนดีเด่นและตัวแทนชั้น...ผมก็วางภาพ ลักษ์เธอใว้ว่าค่อนข้างถือตัว....
แต่จริงๆแล้ว...เธอกลับเป็นมิตรอย่างไม่น่าเชื่อ...
"แต่มีคนเห็นหลายคนมากเลยนะ"
"เอาเข้าจริงๆพวกพยานก็สามารถใช้เงินซื้อได้หรือเป็นพวกงมงายในเรื่องนี้ อยู่แล้วนี่"
"อืม...ซื้อได้ด้วยเงินงั้นเหรอ"
ฮาเนคาว่าพูดเหมือนผู้หญิงทั่วๆไปเป็นด้วยเรอะ
"แต่ไม่แค่นักเรียนโรงเรียนเรานะ...คนเดินถนนทั่วไปเองก็พูดถึงเรื่องนี้ เหมือนกัน...ถึงจะมีแค่ผู้หญิงที่เป็นคนปล่อยข่าวลือก็เถอะ"
"...ข่าวลือมีได้แค่ในหมู่ผู้หญิงเหรอ...เหมือนจะเคยได้ยินคำนี้ที่ใหนมา ก่อนชอบกลนะ"
แวมไพร์งั้นรึ...?
แต่ยังใงข่าวลือก็คือข่าวลือ...อยากติดตามแค่ใหนก็จบลงแค่ข่าวลือ
"พวกคนที่ได้เจอส่วนใหญ่บอกว่าเธอเป็นผู้หญิงผมทองที่สวยมาก.....ดวงตาของ เธอราวกับจะสะกดทุกคนให้ไม่สามารถขยับไปใหนได้"
"พวกรายละเอียดอย่างอื่นก็อย่างเช่น...เธอจะบอกได้ทันทีเลยว่าเธอเป็นแวมไพ ร์ ไม่ก็จะสามารถรู้ได้ทันทีเลยว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ปกติ...อา..แล้วก็อีกอย่างผม ของเธอน่ะ...ตรงปลายผมจะเชิดขึ้น"
...ไอ้ปลายผมมันเกี่ยวกะแวมไพร์ตรงใหนล่ะนั่น...
อีกอย่างเขตที่พวกเราอยู่จัดเป็นเขตชนบทด้วยซ้ำ
ว่าให้ถูกก็แถบปลายๆของชานเมือง
แค่คนที่มีผมสีน้ำตาลยังหาดูยากเลย....
"แต่ว่านะ..."
ฮาเนคาว่าพูดต่อ...
"อีกอย่างที่ได้ยินมาเมื่อนานมาแล้ว....ผมสีทองนั้นจะเปล่งประกายจนแม้แต่ เสาไฟที่ส่องทางยังไม่อาจสู้จนต้องกระพริบแสง"
ด้วยน้ำเสียงเงียบงัน...ราวกับไม่ใช่ฮาเนคาว่า
"งั้นเหรอ"
...แวมไพร์...
ถ้าเกิดว่าคุณเคยได้ยินอีกตำนานหนึ่งของแวมไพร์ในด้านมืด...เบื้องลึกของ เบื้องหลัง พวกเขามีสิ่งหนึ่งที่แตกต่าง...
พวกเขาไม่มีเงา
พวกเขาอ่อนแอเมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์
แต่พวกเขามีราตรีเป็นของตน
แต่ในบางทีอาจจะเป็นการเข้าใจผิดก็ได้...เพราะไฟถนนก็ใช่ว่าจะใว้ใจได้ ทุกดวง ...บางทีอาจจะมีใครซักคนเดินอยู่แล้วไฟกระพริบขึ้นมาก็เป็นได้
ก็เหมือนเรื่องตลกราคาถูกนั่นแหละ
"อืม...ก็คงงั้นล่ะ"
อย่างที่พูดไปข้างต้น...ผมไม่อยากทำให้ฮาเนคาว่าเสียความรู้สึก แล้วนี่ก็ดูเหมือนจะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผมเข้าใจเธอด้วย
...ก็ขอให้มันเป็นการพูดคุยและรับฟังที่ดีก็แล้วกัน...
"ใช่แล้วล่ะ...แล้วอีกอย่างถึงมันจะดูเป็นข่าวลือที่งี่เง่าไปหน่อยแต่ก็ ต้องขอบคุณที่ทำให้ไม่ค่อยมีผู้หญิงออกมาข้างนอกตอนกลางคืน ทำให้ฉันซื้อของได้ง่ายขึ้นเยอะเลย"
"อ่า...แค่นั้นเองเรอะ"
ไม่สิ...ฮาเนคาว่าเธอพึ่งเตือนไม่ให้ผมเพ่นพ่านตอนกลางคืนไม่ใช่เรอะ...แต่ เธอดันทำซะเองเนี่ยนะ...
"ก็แค่นั้นแหละค่ะ"
ฮาเนคาว่ายิ้มน้อยๆก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเบาลงกว่าเดิม
"แต่ถ้าแวมไพร์มีอยู่จริง...ฉันก็อยากจะเจอพวกเขา"
"....ทำไมล่ะ?"
เดี๋ยวสิ...
หรือว่าผมจะคิดอะไรงี่เง่าไปคนเดียวกันล่ะเนี่ย
ในตอนแรกผมคิดว่าเธอคงอยากจะใช้หัวข้อการพูดคุยชวนสติแตกมาลบโฟลเดอร์กางเกง ในของฮาเนคาว่าซามะในหัวของผมอยู่หรอก...
แต่ดูจากการพูดคุยในตอนนี้....ฮาเนคาว่าจริงจังกับมันมาก....
อีกอย่าง...ถ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดีๆ...มันแปลกตั้งแต่ที่เธอบอกข่าว ลือลับๆระหว่างผู้หญิงให้ผมที่เป็นผู้ชายฟังแล้ว
"...เธอจะตายถ้าเธอถูกแวมไพร์ดูดเลือดนะ...รู้รึเปล่า"
"อา...ผมน่ะไม่อยากตายหรอกนะ ดังนั้นต่อให้เจอพวกแวมไพร์ได้ ผมก็ไม่ขอเจอหรอก...แต่มาคิดดูอีกทีมันก็คงดีล่ะนะถ้าเกิดว่า...อืม...อยุ่ ดีๆมีพลังเหนือมนุษย์เนี่ย"
"เหนือมนุษย์...เหมือนเทพเจ้างั้นเหรอ?"
"...ผมไม่ได้บอกสักคำว่าอยากเป็นเทพเจ้านะ..."
ฮาเนคาว่าปล่อยให้ความเงียบเข้ามาโอบคลุมคำพูดของเราสองคน...และในที่สุด...
"เอาเถอะ...อย่างน้อยตราบเท่าที่มันยังไม่เกิดขึ้นก็จะไม่มีใครรู้..."
เธอพูดแบบนั้น...
และในตอนนั้นเอง...ไฟจรารก็กลายเป็นสีเขียว...
แต่ทั้งผมและฮาเนคาว่าก็ไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย....
ราวกับมีบางอย่างยึดเราทั้งคู่ใว้ที่ตรงนี้....
ผมคงไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ฮาเนคาว่าพูดมาทั้งหมดเป็นแค่เรื่องงี่เง่า ที่จะมาปั่นหัวผมหรือว่าเป็นเจตนาที่แท้จริงของเธอกันแน่...
ราวกับว่าพวกเรากำลังพยายามทำความเข้าใจกันอยู่...
"อ๊ะ...ขอโทษทีนะคะ"
เธอละล่ำละลักขอโทษผมที่ในตอนนี้กำลังคิดเรื่องที่เธอพูดมาอย่างเก้ๆกังๆ
"เอ่อ...อารารากิคุง...ดูเหมือนเธอจะจริงจังกับการพูดคุยนะแล้วก็...ต้องขอ โทษด้วยที่ฉันพูดอะไรแปลกๆออกไป"
"อ่า....ไม่หรอก...ไม่เป็นไร...ผมไม่ถือ"
"มันแปลกมากเลยนะ...ทั้งๆที่เธอก็ออกจะคุยด้วยง่ายขนาดนี้ทำไมเธอถึงไม่มี เพื่อนล่ะ....หรือว่าเธอไม่อยากมีเพื่อน?"
เธอถามผมมาด้วยคำถามที่ตรงราวกับจะปักอกผมให้ตายเลยทีเดียว...
ผมไม่คิดว่าเธอจะมีเจตนาร้าย...
แต่ทว่าตอนนั้นในหัวผมกลับว่างเปล่า...แม้มีเหตุผลแต่กลับไม่สามารถบรรยาย ได้...แม้ยังลังเล...แต่กลับตอบสนอง...
นั่นคือเหตุผล...ที่ในช่วงเวลานั้นผมตอบเธอกลับไปด้วยถ้อยคำง่ายๆว่า...
"เพราะว่าผมไม่เหมาะที่จะมีเพื่อน"
".........เอ๋?"
ในตอนนี้สีหน้าของฮาเนคาว่านั้น...ว่างเปล่าจนบรรยายไม่ได้เลย...
"ฉัน...ขอโทษนะคะ...ฉันไม่คิดว่า...."
"เอ่อ...ก็อย่างที่เห็น..มันมักจะเป็นแบบนี้ล่ะนะ"
โอ้....ไอ้ควายเอ๊ย....
พูดไปแบบนี้ก็หาทางจบบทสนทนาดีๆไม่ได้น่ะสิ
"เอ่อ...ว่าใงดี...แบบว่า...ถ้าผมมีเพื่อนล่ะก็ ผมก็ต้องเป็นห่วงพวกเขา....แล้วก็ถ้าเกิดว่าเพื่อนเราเจ็บไม่สิๆ...เอาแค่ ว่าถ้าเกิดว่าเพื่อนเราเศร้า...ผมก็จะรู้สึกเศร้าตามด้วย....เอ่อ...ยก เรื่องนี้ใว้ก่อน....การมีเพื่อนมันก็เหมือนกับการสร้างจุดอ่อนขึ้นมา ...เอ่อ...จุดอ่อนของมนุษย์น่ะนะ"
".......แต่ถ้าเพื่อนๆของเรามีความสุข...เธอก็จะมีความสุขไปด้วยนี่ไปด้วย นี่...ถ้าเกิดว่าพวกเขาเฮฮา....เธอก็น่าจะยินดีด้วยไม่ใช่รึใง...ถ้าหากว่า การมีเพื่อนแล้วมันเหมือนกับมีจุดอ่อนแต่ในจุดอ่อนนั้นก็ยังมีจุดดีอยู่ไม่ ใช่รึใงล่ะคะ?"
"เอ่อ...."
ผมเอามือทาบใว้ที่หน้าเป็นเชิงใช้ความคิด...
"ผมจะอิจฉาเพื่อนๆ...หากว่าเขาสนุกสนาน....ผมจะริษยาพวกเขาถ้าพวกเขามีความ สุข...."
"..........มนุษย์เราน่ะ...เป็นแบบนั้น"
"ผมน่ะ...ไม่ใช่คนดีขนาดนั้น...ผมคงจะอิจฉาเพื่อนๆ...หากว่าเขาสนุก สนาน....และผมก็จะริษยาพวกเขาถ้าพวกเขามีความสุข...."
"..........มนุษย์เราน่ะ...เห็นแก่ตัวนะ..."
ฮาเนคาว่าพูดออกมาตรงจุดเลยทีเดียว...
เพราะงั้น...ปล่อยให้ผมเป็นแบบนั้นเถอะ...
"แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...การผูกมิตรนั้นไม่มีคำว่าสูญเปล่าหรอก จริงใหมล่ะ?....ต่อให้มันอาจจะดูไม่มีประโยชน์สำหรับเธอที่ไม่มี เพื่อน...แต่อย่างน้อยๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรในโลกใบนี้นี่... การมองโลกในแง่ลบมันไม่ได้ทำให้อะไรงดงามขึ้นมาหรอกนะ...เธอคิดว่ายังใงล่ะ คะ อารารากิคุง"
"อย่าพูดอะไรที่มันฟังเข้าใจยากๆหรือชวนงงแบบนั้นสิ"
ผมตอกกลับไปเบาๆ....ทำไมเธอถึงพูดเรื่องเครียดๆแบบนี้เหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ กันนะ...
ฮาเนคาว่า...เปลี่ยนประเด็นทีเถอะ...
ผมคิดว่าเราใช้เวลากับประเด็นนี้มามากเกินไปแล้วล่ะนะ...อีกอย่าง....
ผมควรจะรีบๆแก้ไอ้ประเด็นความเข้าผิดนี้ก่อนที่จะไม่ได้แก้ตัวดีกว่า....
"...ว่าใงดีล่ะ...ผมอยากเป็นผัก..."
"...ผัก...รึคะ"
"เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องพูด...รึเคลื่อนใหว..."
"หืม?"
ในตอนนี้...ฮาเนคาว่าเอียงคอเล็กน้อย...
"ตามปกติเธอน่าจะบอกว่าอยากเป็นอะไรที่คนอื่นๆไม่ใส่ใจอบ่างก้อนกรวดหรือ ท่อนเหล็กมากกว่านะ"
...ผมรู้สึกแปลกใจมากที่จู่ๆฮาเนคาว่าก็พูดออกมาแบบนั้น....
ถึงแม้ตัวผมจะบอกว่าอยากจะเป็นผักก็เถอะ...แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใคร มาแนะนำให้ผมเป็นอะไรอย่างอื่น....
อืม.....
เข้าใจล่ะ.....สิ่งที่ไม่มีคุณค่าพอจะให้สนใจงั้นเหรอ...
แต่ว่านะ....อย่างน้อยๆ พืชผักมันก็ยังมีชีวิต....
"ฉันวางแผนว่าจะไปห้องสมุดนะคะ"
"เหอ?"
"ฉันรู้สึกขอบคุณอารารากิคุงจริงๆ...เพราะได้คุยกับเธอแท้ๆเลยล่ะ"
"..............................................................................."
เอ่อ....ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่รึครับฮาเนคาว่าซามะ.....
จริงๆแล้วผมกะใว้ว่าเธอน่าจะพูดว่าถึงเวลากลับบ้านแล้วสิรึขอตัวก่อนอะไร เทือกนั้น....
แต่ก็เอาเถอะ....ท่าทางเธอคงจะไม่ได้วางแผนใว้ว่าจะทำอะไรดีแบบผมไม่ก็มี เวลาว่างมากพอดู....แต่เธอกลับต้องการไปที่ห้องสมุดแทนการเดินฆ่าเวลาแบบผม สินะ....
....ฮะ ฮะ ฮะ ....นี่สินะตัวตนที่แท้จริงของกำแพงแห่งความแตกต่างระหว่างนักเรียนดี เด่นอย่างเธอกับผม
"พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์...ห้องสมุดจะไม่เปิดทำการ...ดังนั้นฉันก็ควรจะไปใน วันนี้ตอนที่ยังพอมีเวลา"
"ก็...นะ"
"อยากจะไปด้วยกันใหมคะ....อารารากิคุง?"
"เห...?"
ผมยิ้มมุมปากเล็กน้อย....
ห้องสมุดเรอะ.....
ผมไมรู้จักสถานที่แบบนั้นในเมืองนี้หรอกนะฮาเนคาว่า
"เธอคิดจะไปทำอะไรที่นั่นงั้นเหรอ?"
"อืม...ก็ต้องศึกษาหาความรู้ต่างๆแน่นอนสิคะ"
"...อ่า....เชิญตามสบายเถอะครับ...."
ในตอนนี้....ผมก็เหมือนกับทำอะไรสักอย่างพลาดไปแล้ว
"ผมน่ะเป็นพวกที่ยังใงก็รับไม่ได้เท่าใหร่กับการที่จะต้องเรียนด้วยตัวเอง ที่บ้านไม่ก็ต้องทำพวกการบ้านปิดเทอมหรอกนะ "
"แต่ปีหน้าพวกเราต้องสอบเอ็นท์แล้วไม่ใช่เหรอคะ"
"จะเป็นการสอบรึอะไรก็ช่างเถอะ...ผลมันก็น่าสยองพอๆกันนั่นแหละ....อีกอ ย่าง...ถึงจะช้ากว่าคนอื่นหน่อย แต่ผมคิดว่าผมจะตั้งใจตอนปี 3 เทอม 2 เอาล่ะนะ..."
"........อืม"
ฮาเนคาว่าครางออกมาเบาๆ....ดูเหมือนเธอจะเกิดอาการเบื่อขึ้นมานิดหน่อยกับคำ ตอบของผม
ราวอยากให้ผมไปห้องสมุดกับเธอชอบกล....
แต่ฮาเนคาว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากกว่านั้น
แต่ผมสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง.....
สำหรับคนที่หาเอกลักษณ์หรือสาระไม่ได้นั้น.....เธอจะทำความเข้าใจได้รึ เปล่า....
ไฟจราจรเปลี่ยนจากสีเขียวกลายไปเป็นสีแดงแล้วก็สลับไปมาหลายรอบแล้ว...
ในตอนนี้มันเป็นสีเขียว....
ครั้งต่อไปที่มันกลายเป็นสีเขียวอีกครั้งผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเวลาที่ดีใน การแยกย้ายกันไป....
ฮาเนคาว่าก็คงคิดแบบเดียวกันกับผม
คนอย่างเธอไม่น่าจะใช่คนที่อ่านสภาพความรู้สึกไม่ออกหรอก
"อารารากิคุงคะ....มีโทรศัพท์มือถือรึเปล่า?"
"อา...มือถือเหรอ....มีสิ"
"ขอฉันยืมสักครู่ได้ใหมคะ?"
เธอพูดแบบนั้น...แล้วก็แบมือออกมาข้างหน้าผม....
ผมไม่รู้หรอกนะว่าเธอคิดจะทำอะไร...แต่ผมก็ทำตามที่เธอขอมา...
หยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าแล้วส่งให้ฮาเนคาว่า...
"ว้าว...รุ่นใหม่ด้วยนี่คะ"
"ก็นะ....แต่พวกอุปกรณ์กับฟังค์ชั่นมันก็เพิ่มเข้ามาเยอะมาด้วย....แถมมัน ยังมากจนเกินความต้องการของผมเลย...แค่ผมไม่ได้เปลี่ยนโทรศัพท์มา 2 ปีไม่คิดเลยว่ามันจะยัดลูกเล่นมาขนาดนี้..."
"แต่ระบบพวกนี้ก็เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของความเป็น"เมืองใหญ่"นะคะ...หากเธอ ไม่สามารถที่จะปรับตัวเข้ากับเรื่องพวกนี้ได้การที่เธอจะใช้ชีวิตทุกวันให้ มีความสุขในเมืองนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้น่ะสิคะ"
"ก็ช่วยไม่ได้นะ...ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆผมคงจะหนีไปซ่อนในภูเขาซักพัก ...รอให้ความเจริญมันผ่านไปก่อนแล้วผมค่อยกลับมาอีกทีละกัน"
"ขอโทษนะคะ...เธอคิดจะอยู่บนภูเขาซักกี่ปีกันล่ะนั่น..."
ฮาเนคาว่าถามผมด้วยน้ำเสียงที่ให้อารมณ์ประมาณว่า...เธอคิดว่าเธอเป็นอมตะ งั้นเรอะ....ราวๆนั้น
ในระหว่างที่ฮาเนคาว่าพูดนั้น...เธอก็กดมือถือของผมไปด้วย....
ผมเองค่อนข้างแปลกใจนิดๆที่นักเรียนดีเด่นอย่างเธอจะสามารถรัวนิ้วลงบนมือ ถือของผมได้ค้วยความเร็วขนาดนั้น....มันเกินคาดกว่าที่นักเรียนหญิงคนอื่น เคยทำซะอีก....
ที่จริงผมก็กังวลนิดหน่อยเกี่ยวกับข้อมุลของผมในมือถือเครื่องนั้น....แต่คน อย่างฮาเนคาว่าน่าจะมีจรรยาบรรณพอที่จะไม่ยุ่งกับส่วนนั้น
ในความคิดของผมคือเธออาจจะสงสัยว่าผมถ่ายรูปกางเกงในของเธอตอนที่กระโปรงเธอ เปิดรึเปล่า...
...ดังนั้นเธอเลยต้องการเช็คมือถือของผมอย่างละเอียด...
โทษทีนะฮาเนคาว่า...ผมอิมพรินท์มันเข้าสู่เซเลบรัมส่วนกลางไปเรียบร้อยแล้ว ล่ะ
ยังใงซะเธอเองก็เป็นผู้หญิง...การที่เธอจะวิตกแบบนั้นก้ไม่ใช่เรื่องแปลก อะไรนัก
"นี่จ้ะ...ขอบใจมาก"
ฮาเนคาว่าส่งมือถือคืนมาให้ผมด้วยรอยยิ้ม
"ฉันไม่มีรูปน่ะ...แต่คงไม่เป็นไรใช่ใหมคะ"
จู่ๆฮาเนคาว่าก็พูดขึ้น....
"เห...?"
ผมเรียบเรียงคำพูดอีกรอบ....
"รูป?"
เฮ้ย....
เมื่อกี๊นี้เธอแค่จะหาอะไรเท่านั้นไม่ใช่เรอะ?
แล้วตอนนี้เธอทำอะไรกันแน่ล่ะเนี่ย?
และในระหว่างที่ผมกำลังสงสัยในเรื่องที่เธอทำลงไปเธอก็ชี้นิ้วมาที่มือถือใน มือ....ซึ่งผมยังไม่ได้เก็บมันลงกระเป๋า....
"ฉันใส่เบอร์ของฉันกับเมลลงในนั้นแล้วนะคะ"
"หา?"
"แย่หน่อยนะคะ...เธอมีเพื่อนซะแล้วล่ะ"
และในตอนนั้น....
ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป...ฮาเนคาว่าเดินผ่านด้านข้างตัวผมก้าวลงสู่ ถนน.....ไฟจราจรในตอนนี้กลายเป็นสีเขียวอีกครั้งโดยที่ผมไม่รู้ตัว
....ผมวางแผนว่าจะแยกกับฮาเนคาว่าใว้ก็จริง....แต่ดูเหมือนจะช้ากว่าฮาเนคา ว่า
เธอคิดจะไปห้องสมุดจริงๆงั้นเหรอ...ไม่สิ...เธอตั้งใจจะไปห้องสมุดหลังจาก ที่ได้คุยกับผมแล้วนี่...นั่นก็หมายความว่าเธอกำหนดมันได้ตั้งแต่เริ่มการ สนทนางั้นเรอะ....
....ฮาเนคาว่าโบกมือให้ผมจากอีกฝั่งเป็นเชิงบอกว่า"แล้วเจอกัน"...ทำนองนั้น ...
ผมโบกมือตอบช้าๆ....
เมื่อเห็นว่าผมโบกมือตอบเธอแล้ว(ด้วยท่วงท่าและหน้าตาเหมือนปลาตาย)...ฮาเน คาว่าก็เริ่มก้าวเท้าไปด้านขวาของประตูโรงเรียน
เธอเดินด้วยท่วงท่าที่ราวกับดีใจกับอะไรสักอย่าง...จนเมื่อเธอเดินลับไปจาก มุมกำแพง...ผมก็ไม่เห็นเธออีกต่อไป....
เพื่อความมั่นใจ...ผมก้มหน้าดูมือถือของผมในตอนนี้....
เป็นอย่างที่เธอพูด...
"ฮาเนคาว่า สึบาสะ" ถูกใส่ใว้ในรายชื่อโทรศัพท์ของผม
เบอร์โทรศัพท์ของเธอ....แล้วก็อี-เมล
ผมไม่เคยใช้ระบบ "ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์" แม้แต่ครั้งเดียว ผมใช้วิธีจำหมายเลขทุกหมายเลขที่ควรรู้เอาเท่านั้น...
ตามที่พูดไป...ความจำผมไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างน้อยผมก็จำเบอร์ของที่บ้านแล้วก็ของผู้ปกครองได้...และเท่าที่ ได้....จนถึงบัดนี้ผมยังไม่เคยโทรไปหาใครซักครั้งเดียว
นั่นเป็นเพราะ...ผมไม่มีเพื่อน
ทั้งที่เป็นแบบนั้น...แล้วทำไม
ทำไม "ฮาเนคาว่า สึบาสะ" ถึงกลายเป็นชื่อแรกที่อยู่ในรายชื่อมือถือของผมกันล่ะเนี่ย....
"..อะไรของเธอกันนะ.............................?"
การกระทำของเธอ....มันอยู่นอกเหนือความเข้าใจของผม
เพื่อน?
เธอบอกว่าผมเป็นเพื่อนสินะ?...
ผมสามารถที่จะเรียกเธอแบบนั้นได้จริงๆงั้นเหรอ?....
...ถ้าเป็นปกติ...ถ้าปกติผมได้คุยกับผู้หญิงอายุราวๆเดียวกับฮาเนคาว่า คนที่สามารถพูดกับผู้ชายที่รู้จักอย่างมากก็แค่ชื่อแล้วเธอก็ให้เบอร์ติดต่อ มาง่ายๆ....ในตอนนั้นผมคงชวนเธอไปออกเดทแล้ว....
แต่ในตอนนี้ผมไม่เข้าใจ....
และที่สำคัญ...ยิ่งกว่าการที่ไม่เข้าใจ...ผมไม่สามารถทำความเข้าใจได้กับอีก เรื่องหนึ่ง...
ฮาเนคาว่า สึบาสะ....
สุดยอดนักเรียนดีเด่น....สุดยอดแห่งนักเรียนเกียรตินิยม
ตัวตนของเธอมันห่างใกลกับผมมาก....
"....เธอนี่สุดยอดจริงๆเลย....ฮาเนคาว่า"
ที่สุดแห่งนักเรียนดีเด่นตลอดกาล
ฮาเนคาว่า สึบาสะ
ผมได้รู้จักกับเธอหลังจากจบพิธีปัจฉิมที่แสนจะน่าเบื่อ...แต่ยังใงก็ตาม... นับจากนี้ต่อไป...ผมไม่คิดว่าวันหยุดฤดูใบไม้ผลิจะเป็นเหมือนเดิมอีก แล้ว....
แม้จะเป็นแค่ความรู้สึกบ้าบอ...
แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนั้น....


เรื่องเล่าอันโหดร้าย...
โคโยมิแวมไพร์ 002 END