@111018

นิยาย - Bakemonogatari 03/18

starsatan View 922

บทที่ 3

เอาล่ะ...
หลังจากที่ผมปล่อยให้ภาพนั้นติดอยู่ในหัวผมมาเกือบทั้งวันแล้ว
...ในช่วงหัวค่ำ
ผมเดินเรื่อยเปื่อยไปรอบๆเมืองเล็กๆแห่งนี้ในช่วงที่ใกล้จะเป็นเวลาดึกสงัด... เพราะหลังช่วงบ่ายเป็นต้นไปผมจะไม่ขี่จักรยาน
...ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะเดินเรื่อยเปื่อยแบบนี้แต่ผมมีสาเหตุแน่นอนที่จะไม่ขี่จักรยาน
ที่บ้านของผมมีจักรยาน 2 คัน
...คันแรกคือจักรยานแม่บ้านที่ผมใช้ขี่ไปโรงเรียนส่วนอีกครันคือจักรยานเมาเท่นไบค์ที่ผมชอบมาก
โดยปกติผมจะเอาเมาเท่นไบค์มาขี่ได้ตามอารมณ์ เพียงแต่ตอนนี้...ไม่สิ"คืนนี้"ผมยังไม่อยากจะขี่มันนัก
ก็นะ...ถ้าจู่ๆมีใครตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วพบว่าจักรยานที่มีแม่กุญแจคล้องใว้หลายๆอันเกิดหายไปอย่างไร้ร่องรอยมันก็เท่ากับป่าวประกาศให้รู้ว่าผมแอบหนีออกไปตอนกลางคืนน่ะสิ...
เอาล่ะ...ขอหยุดการพรรณาถึงอดีตใว้แค่นี้...
ตอนนี้เราจะเข้ามาสู่สภาวการณ์ในปัจจุบัน...
ผมแตกต่างจากน้องสาวทั้งสองคนของผม...
ผมไม่ถูกจำกัดไม่ให้ออกนอกบ้านตอนกลางคืนดังนั้นผมจะไปใหนมาใหนมันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับผมมากนัก (แต่ก็นะ...น้องสาวทั้งคู่ของผมก็ไม่เคยจะทำตามกฏที่ว่านี่ซักที)
แต่เวลานี้ผมไม่อยากจะให้ครอบครัวผมรู้ว่าผมออกมาข้างนอกมากนัก...
ทำไมน่ะรึ...เหตุผลง่ายๆ...
ผมกำลังจะไปซื้อหนังสือโป๊น่ะสิ...
"................................."
เอ่อ...เดี๋ยวนะ...
อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้น เรื่องทั้งหมดมันอธิบายได้
เพราะว่าผมไม่สามารถลืมภาพกางเกงในของฮาเนคาว่าในวันนี้ได้น่ะสิ!!!
....ชิบ....แล้วผมจะขุดหลุมฝังตัวเองทำไมล่ะเนี่ย
แต่มันก็เป็นความจริง...
ผมพูดได้อย่างเต็มปากไปเลยว่าผมคงไม่สามารถลืมมันไปได้ตราบจนวันตายเลยทีเดียว...
บอกตามตรง...ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสมองของผมมันจะจำอะไรได้กระจ่างชัดขนาดนี้...
นับจากวินาทีที่ฮาเนคาว่าเดินหายลับไป ภาพกางเกงในของเธอก็ทิ่มปั๊กเข้ามาในกบาลของผมแบบจังๆชนิดที่ล้างไม่ออก ตอนแรกผมคิดว่าผมน่าจะค่อยๆลืมมันไปได้อย่างช้าๆ...
แต่ดูเหมือนผมจะคิดง่ายไป 10 ชั่วโมงผ่านไปแล้วผมยังคงจำได้อย่างเด่นชัด....
ถ้าตอนนั้นมีใครซักคนมาสับตัวกับผม หมอนั่นจะรู้สึกยังใงที่เห็นกางเกงในของฮาเนคาว่านะ
บัดซบเอ๊ย
แม้ว่าพวกเราจะคุยกันหลายเรื่องหลังจากนั้นแต่สิ่งที่สมองซีกซ้ายของผมจำได้แม่นยำที่สุดคือกางเกงใน!!!
และแม้กระทั่งตอนนี้ที่ผมเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่....อย่างเดียวที่ผมยังคงจำได้อยู่ก็คือกางเกงในของยัยนั่น!!!
...ยัยนั่นน่ะเป็นคนนิสัยดี...
ฮาเนคาว่าน่ะเป็นคนที่เพียบพร้อมมาก...
เพราะแบบนั้นไอ้ความรู้สึกผิดที่ไม่ต้องการนี่มันก็เลยทิ่มปรี๊ดขึ้นกลางอก....
หัวใจผมมันเรียกร้องให้รับผิดชอบ...
ฮาเนคาว่า...เธอน่ะเป็นคนดี...แล้วกับฮาเนคาว่าที่แสนดีคนนั้น...ผมดันเกิดความรู้สึกที่แสนลามกนี่กับเธอ
แล้วจะให้แก้ปัญหานี้ยังใงเล่า?
ถ้าเห็นกางเกงในของใครซักคนมันก็ต้องเอาของที่เหมือนๆกันเข้าไปสู้ด้วยใช่มั๊ย?...เอาล่ะทีนี้เมื่อกางเกงในที่คุณเห็นเป็นของสาวน้อยน่ารักระดับสูงของโรงเรียนเอกชนนาโอเอ็ตสึที่กำลังตามกระแสด้วยการใส่กระโปรงสั้นฉับพลันทันใดดันเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดทำให้เห็นกางเกงในของเจ้าหล่อนทุกซอกทุกมุมล่ะ?
ว่ากันตามตรง...ผมไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนตอน ม.ต้น...
ไม่สิ...มองย้อนไปตอนประถมเรื่องแบบนี้ก็ไม่เคยมีเหมือนกัน
...มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลย
ผมจะพูดยังใงดีล่ะ ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของการ์ตูนตาหวานยุค 80 นิดๆแล้วล่ะ....
ใครจะไปคิดล่ะว่าคนอย่างฮาเนคาว่า สึบาสะจะเป็นคนปักธงลงบนตัวผมได้...
:-)เอ๊ย(คำต้นฉบับมัน...จนใจแปลให้สุภาพครับ)
นี่มันอาชญากรรมชัดๆ
ผมค่อนข้างมั่นใจนะว่าสาวๆทั้งหลายที่เคยเผลอเปิดหวอให้ผู้ชายดูน่ะไม่ได้คิดมากรึจะเข้าใจความรู้สึกตอนนี้หรอก
แต่กับผมมันเป็นความรู้สึกที่สาหัสสากรรจ์มากๆเลย
อ่า...ถ้าจะคิดให้ดีตั้งแต่ที่ผมโดนปักธงมาแล้วเนี่ย...คนอื่นคงมองว่ามันก็เป็นแค่ผลกระทบเล็กๆเองเท่านั้น
จะเรียกว่าเป็นอีเวนท์การพบเจอยังไม่ได้เลย
ยิ่งถ้าพูดถึงฝั่งฮาเนคาว่าเองป่านนี้เธอคงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไปเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ
จะว่ากันตรงๆตอนนี้ก็คือผมไม่อยากจะรู้สึกผิด.....ไม่สิ....แค่ไม่อยากนึกถึงมันเท่านั้นเอง...
อย่างที่รู้ๆกัน ผมมันก็แค่มนุษย์เดินดิน
ตอนที่ผมกินข้าวอยู่ผมเองก็เผลอนึกถึงเรื่องนี้เหมือนกัน...แน่นอน มันเส็งเคร็งสุดๆ
ในระยะเวลาสั้นๆของชีวิตผม ถ้าจะให้ผมแบกรับความผิดแบบนี้ผมเองก็ค่อนข้างกลัวเหมือนกัน
หวาดกลัวที่จะแบกรับมันต่อหน้าคำว่า... "เพื่อน"
นั่นคือหนึ่งในสาเหตุที่ผมค่อนข้างเกลียดมัน... เกลียดในความไม่ชัดเจนของมนุษย์
ผมคงปล่อยวางไม่ได้ถ้ายังมัวแต่คิดถึงเรื่องนี้
แล้วก็เพราะแบบนี้แหละ หลังจากที่ทิวทัศน์ข้างนอกมืดลงผมถึงต้องแอบย่องออกจากบ้านมาแบบนี้ใง
เป้าหมายของผมในตอนนี้มีเพียงการไปร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเล็กๆนี้เพื่อซื้อหนังสือโป๊เท่านั้น...
และผลสำเร็จของมิชชั่นนี้ก็คือหนังสือรวมภาพกราเวียสองเล่มระหว่างกลับบ้าน
แน่นอนว่าผมซื้อหนังสืออย่างอื่นปนมากับหนังสือโป๊ด้วยเช่นกันเพื่อตบตาคนขายที่สักแต่ว่าขายล่ะนะ
แล้วก็...อย่ามาเลียนแบบวิธีนี้ของผมเพื่อซื้อหนังสือโป๊แค่สองเล่มล่ะ มันไม่คุ้มหรอก

ถ้าฮาเนคาว่าเป็นหัวหน้าห้องเหนือหัวหน้าห้อง
ผมก็คงเป็นชายเหนือชาย(มุกนี้ขำไม่ออกแฮะ)
หลังจากตรวจสอบอย่าถี่ถ้วนว่าไม่มีคนรู้จักอยู่ในร้านอย่างแน่นอน
ก็ได้เวลาทำตามแผนการ...ซื้อหนังสือโป๊ จากนั้นก็ค่อยไปจัดการโอเวอร์ไรท์(เขียนทับ)ลงไปในสมองของผม
ผมค่อนข้างแน่ใจว่าฮาเนคาว่าไม่ได้คิดถึงวิธีนี้แน่ๆในตอนที่เธอรั้งตัวผมใว้ แต่ผมตัดสินใจที่จะใช้วิธีนี้เพื่อฮาเนคาว่าเอง เพราะวิธีอื่นดูท่าจะไร้ผลไปแล้ว (จะให้พูดลงลึกก็คงประมาณว่า ฮาเนคาว่าไม่ได้คิดเลยว่าจะใช้วิธีนี้กับผม เพราะผมตั้งใจทำด้วยตัวของผมเอง) 
ความหื่นย่อมต้องถูกเขียนทับด้วยความหื่น นี่ล่ะคือหนทางที่ดีที่สุด...
ดังนั้นถ้าลืมมันไม่ได้ ก็หาอะไรที่หื่นกว่ามาทับมันซะก็สิ้นเรื่อง
วิธีนี้คงพอจะทำให้ผมลืมๆไปบ้างล่ะน่า
แน่นอนว่าการเห็นภาพแบบจะๆกับจ้องเอาจากรูปมันต่างกันอย่างใหญ่หลวง...แต่ผมก็จะกลบความต่างนั้นด้วยจำนวน
และเพื่อจะกลบความต่างนั้น ผมลงทุนซื้อหนังสือโป๊สองเล่มที่เต็มไปด้วยกางเกงในของสาวๆม.ปลาย
...แล้วก็อาจจะเป็นเพราะผมเคยซื้อหนังสือหื่นไปตอนต้นเดือนมีนาแล้วตอนนี้ผมเลยรู้สึกปวดใจกับค่าใช้จ่ายชอบกล...แต่มันก็ไม่ได้มากมายขนาดจะทำให้ผมเครียดจนเป็นแผลในกระเพาะหรอก
ทำไมน่ะรึ...เพราะมันชวนปวดหัวแทนนี่สิ
แต่มันไม่มีทางเลือก
ผมยอมให้ตัวเองมีความรู้สึกแบบนี้กับฮาเนคาว่าไม่ได้
ความรู้สึกผิดสามารถฆ่าคนได้
เหมือนกับที่ความเบื่อสามารถฆ่าคนได้...ผู้คนก็สามารถตายได้เพราะความรู้สึกผิดเช่นกัน
อา...........อา...
เงินพวกนี้จะซื้อของกินได้กี่อย่างกันนะ?
"แต่ว่า......เพื่อน"
ในระหว่างที่ผมถือถุงหนังสือโป๊อยู่ในมือข้างหนึ่ง...ผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยมือที่ว่างอยู่ก่อนจะเช็ครายชื่อในสมุดโทรศัพท์แล้วพึมพัม
"......มันไม่เหมือนตัวผมที่อยากเป็นซักนิด"
ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มตระหนัก
ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าผมจะพูดคำพูดนั้นออกไปได้
ตั้งแต่เมื่อใหร่กันนะที่ผมกลายเป็นคนแบบนี้
ตอนอยู่ม.ต้น ผมเองก็เหมือนคนปกติที่ยังต้องการการพูดคุยกับคนอื่น
ยิ่งตอนอยู่ชั้นประถมยิ่งไม่ต้องพูดถึง...
...ถ้าจะว่ากันจริงๆ คงหลังจากที่ผมกลายเป็นนักเรียน ม.ปลาย...สินะ
ผมกลายเป็นคนแบบนี้หลังจากนั้นงั้นสิ?

คำอธิบายที่ดีที่สุดตอนนี้คงประมาณว่า...

หลังจากที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ผมเลือกที่จะสอบเข้าโรงเรียน ม.ปลายระดับสูง...แล้วเจือกสอบติดอีกต่างหาก
แต่หลังจากที่คว้าโอกาสนั้นใว้ได้....ผู้คนรอบข้างกลับไม่มีใครเป็นอย่างผม
มันเป็นความล้มเหลว
...ไม่สิ....มันไม่น่าใช่แบบนั้น
ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงยังมีโอกาสอีกเยอะแยะที่จะเริ่มต้นใหม่...
รึต่อให้คะแนนผมมันห่วยแตกเกินเยียวยาจริงๆก็ไม่น่าจะใช่สาเหตุที่ทำให้ผมหลุดกระแส... กลับกันเรื่องพวกนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ทำให้ผมพูดคุยกับคนอื่นๆมากขึ้นด้วยซ้ำ
...ผมไม่ได้ถูกกีดกันจากผู้คน...กลับกันผมต่างหากที่ปฏิเสธผู้คน
"อืม"
บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันแฮะ
ถึงจะบอกว่าไม่ต้องการเพื่อน....แต่มันก็เป็นแค่คำที่พูดเอาเองของคนที่ไม่มีเพื่อนซักคนเท่านั้น
ราวกับเป็นการป้องกันตัวเอง
เพื่อน
...สิ่งที่ไม่มีจะทำยังใงมันก็ไม่มีทางที่จะมีหรอก
คนที่ไม่ต้องการเพื่อนกับคนที่ไม่มีเพื่อนมันก็ไม่ต่างกัน....
แต่จริงๆแล้วคนอย่างผมก็ไม่ได้มีคนเดียวหรอกยังมีคนอื่นๆอีก...เพียงแต่ว่าไม่มากเท่านั้นเอง
คนอื่นๆอย่างพวกปีหนึ่งรึปีสองเองก็มีพวกไม่ค่อยชอบที่จะพูดกับคนอื่นๆเหมือนกัน
ต่อให้พวกนั้นอยู่ในที่คนพลุกพล่านขนาดใหนก็เถอะ
แต่ว่านะ
"ถึงบอกว่าไม่อยากจะมีเพื่อนก็เถอะ แต่ผมก็อยากจะมีแฟนกับเขาซักคนเหมือนกัน.....แบบนี้คงไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนลามกหรอกนะ?"
.....ลักลั่นย้อนแย้งดีแท้
ให้ตายสิน่า....ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากางเกงในแบบนั้นจะทำให้ผมต้องมาละลายทรัพย์แบบนี้ได้
ทั้งๆที่จะพูดไปมันก็แค่เศษผ้าชิ้นนึงแท้ๆ
ยิ่งกว่านั้น.... ทำไมพวกผู้หญิงถึงใส่ไอ้ของลามกพรรค์นี้ด้วยตัวเองทั้งๆที่บอกว่าคนที่ดูมันลามกเล่า...ไม่ใช่ว่าพวกเธอเองหรอกเรอะที่ลามกน่ะ....
อยู่ดีๆไอ้ความคิดมุมกลับนี่ก็โผล่งเข้ามาในหัวผมซะงั้น...
จะพูดไปแล้วถ้าคุณอยากได้มันซักตัวคุณก็ซื้อมันได้ทุกที่นี่นะ
....อ่า...ไม่สิ...
ถ้าอยู่ดีๆเดินเข้าไปซื้อมันจะผิดกฏหมายรึเปล่าเนี่ย
...แต่ถึงไม่ผิดมันก็คงเฉียดๆละมัง
จริงๆเล๊ย...ผมน่าจะเป็นพวกพืชผักไปซะก็ดี
ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
ไม่ก็เป็นพวกก้อนดินก้อนหินรึแท่งเหล็กก็ได้....
คนเราเองมันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
"หืม...ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย"
ตอนแรกสุดนั้นผมสาวเท้ายาวๆจนเกือบจะเป็นการวิ่งเพื่อไปที่ร้านหนังสือก่อนที่มันจะปิด
แต่ในตอนขากลับผมค่อนข้างใช้เวลานานพอดูในการเดินทอดน่องเรื่อยเปื่อย... จนเวลาผ่านไป...จากวันเก่าตอนนี้เข้าสู่วันใหม่แล้ว
ตอนนี้เป็นวันที่ 26 มีนาคม
ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป...วันหยุดฤดูใบไม้ผลิได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ผมยัดโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าตัวเองก่อนเร่งฝีเท้าอีกนิดเพื่อกลับบ้าน...
ร้านหนังสือนี่ไม่ถือว่าใกลเท่าไหร่
ถ้าจะเทียบระยะทางกันระยะห่างจากร้านหนังสือถึงบ้านกับระยะห่างจากบ้านไปโรงเรียนก็ไม่ห่างกันมาก
จะใช้จักรยานรึจะเดินไปเรียนซะยังใงก็ถึงเหมือนๆกัน
ต่างกันก็แค่เวลา....
แต่นั่นแหละที่มันสำคัญมากๆ
บ้านผมน่ะไม่มีกฏว่าให้กลับบ้านตามเวลาก็จริง....แต่ผมไม่อยากจะกลับบ้านให้มันช้ามากเหมือนกัน
เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าพวกน้องสาวของผมอาจจะแอบดอดเข้าไปในห้องโดยที่ผมไม่อนุญาตก็ได้
ถ้าไม่เพราะพวกน้องๆของผมป่านนี้ผมคงเอาจักยานมาแล้ว แล้วก็คงไม่ต้องมาเดินคิดอะไรแบบนี้แน่ๆ...
ว่าไปแล้วสำหรับยัยแสบสองคนนั้นแล้วจะมีเรื่องให้คิดแบบนี้รีเปล่าล่ะนั่น
...อ่าฮะ...จะว่าไปก็พึ่งจะคิดได้ ผมเองก็เคยเห็นกางเกงในของน้องสาวผมเหมือนกันนี่นา
เพราะตอนที่พวกนั้นออกมาจากห้องอาบน้ำก็จะใส่แค่ชั้นในเท่านั้นเอง
แต่...เรื่องนั้นมันนอกประเด็น ช่างมันละกัน
ผมไม่รู้ว่าผมจะคิดอะไรไร้สาระแบบนี้ไปทำไม
ในตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว
มันคงจะดูงี่เง่ามากเลยถ้าหากว่าผมโดนรถชนตอนนี้
จริงๆแล้วผมไม่คิดว่าจะเจอพวกอุบัติเหตุหรอกนะ แต่ในระหว่างทางกลับบ้านที่ยังมีหนังสือโป๊อยู่ในครอบครองนี่ผมคิดว่าผมน่าจะระวังตัวใว้หน่อยดีกว่า
เกิดจับผลัดจับผลูเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริงๆ ถึงตอนนั้นของที่อยู่กับตัวผมต้องโดนตรวจสอบแน่ๆ...
"รวมดาวสาว ม.ปลาย : สรวงสวรรค์กางเกงใน"
...เชื่อเหอะว่าถ้าเกิดว่าฮาเนคาว่ารู้เข้าเธอคงไม่คิดกับผมในทางที่ดีแน่ๆ
ไม่นะ...
นี่เป็นหนทางที่จะปกป้องภาพลักษณ์ของเธอในใจผม.....ผมไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
....อึก....แล้วก็เพราะเจ้านี่ผมในตอนนี้เลยรู้สึกเหมือนอยู่กลางเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสวรรค์กับนรกเลย
จริงอยู่ที่ว่าถ้ามันมืดมากๆมันก็อันตราย แต่ดีที่แถวนี้ออกจะบ้านนอกแล้วรถก็มีไม่เยอะเท่าไหร่ ถ้าคอยสังเกตไฟหน้ารถดีๆมันก็ไม่มีปัญหาอะไร
ในตอนที่ผมนึกแบบนั้นขึ้นมาอยู่ๆผมก็เริ่มรู้สึกว่ารอบๆตัวมันมืดลง
เร็วเท่าความคิดผมแหงนหน้าขึ้นมองด้านบนแล้วก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
แสงจากไฟถนนหายไปนี่เอง
ไฟกิ่งตามถนนในรัศมีห้าเมตรรอบๆตัวผมไม่มีแสง.....อ่า....ยังดีที่ไม่ใช่ทุกต้น
หนึ่งในนั้นมีอยู่ต้นนึงที่ยังสว่างอยู่
ว่าแต่พวกไฟกิ่งมันเสียรึใงนะ?
แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกไฟถนนนี่จะเสียพร้อมกันในคราวเดียวแบบนี้....
ไฟดับรึใงกัน...แต่ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมถึงยังมีไฟอีกต้นนึงที่ยังติดอยู่ล่ะ?
ผมครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้....
แต่ก็นะ ถึงผมจะคิดแบบนั้นก็เถอะมันก็ไม่ได้มีอะไรแปลกมากนัก....ผมยังคงพาขาทั้งสองของผมก็ยังก้าวเดินต่อไป
ถึงจะไม่ต้องรีบกลับบ้านก็จริงแต่ในตอนนี้ผมน่าจะรีบๆกลับบ้านไปฉีกถุงพลาสติกออกแล้วทำตามความตั้งใจแต่แรกมากกว่าไม่ใช่เรอะ
ใช่แล้ว...ในตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรจะสำคัญไปมากกว่านี้อีกแล้ว
"เจ้าน่ะ!"
เพราะงั้น...
"เฮ้....เจ้าน่ะ เจ้าคนผู้นั้น"
เพราะงั้น...อย่าพึ่งมาเรียกผมตอนนี้สิ...ช่างเหอะ อย่าไปสนใจเธอเลย....หืม..."เจ้า"งั้นเรอะ?
ไอ้วิธีพูดแนวโบราณนี่มันอะไรฟะ....
ผมไม่สามารถที่จะเมินเสียงนั้นได้อีก
ผมมองไปทางต้นเสียง....ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกเหมือนโดนบางอย่างดึงดูดไป....ราวกับเวลาถูกหยุด
ภายใต้แสงไฟโดดเดี่ยว
ท่ามกลางแสงไฟทั้งมวลบนเส้นทางที่ก้าวเดิน...... "เธอ" อยู่ที่นั่น
"...เรา... เจ้าจะช่วยเราได้หรือไม่?"
เรือนผมสีทองที่ไม่เข้ากับบ้านนอกแบบนี้
บนวงหน้าของเธอ.....ปรากฏสายตาเย็นชา
ชุดที่เธอสวมใส่....ที่มีภาพลักษณ์สูงส่งเกินกว่าที่จะอยู่ในที่แบบนี้
ไม่สิ...เพราะชุดมันอยู่บนร่างกายของเธอต่างหากมันจึงดูสง่า....
ชุดนั้น....มันงดงามเกินจะพูดออกมาได้...แต่ละชิ้นที่ถักทอขึ้นมาล้วนแล้วแต่เป็นเนื้อผ้าชั้นสูง...
แต่ตอนนี้..... พวกมันดูไม่เหลือความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว...
ขาดวิ่นราวถูกฉีกกระชาก
หมองหม่นและเปียกรื้น
ราวกับเป็นเพียงเศษผ้าสกปรกเท่านั้น
บางทีผ้าขี้ริ้วเศษๆอาจจะดูดีกว่าด้วยซ้ำ....มันดูแย่จนผมต้องเบือนหน้าหนี
"ได้ยินรึไม่...ช่วยเราที"
เธอจับจ้องมาที่ผม...
สายตาที่เฉียบคมและเย็นชานั้นราวกับจะทะลวงเข้ามาในร่างของผม....แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในสถานการณ์แบบนี้ผมกลับไม่รู้สึกกลัว
ทำไม
เธอ ถึงอยู่ที่นี่ด้วยสภาพเหนื่อยล้าขนาดนี้
พิงหลังเข้ากับไฟถนน...
นั่งลงบนพื้นผิวยางมะตอย
ไม่สิ......จะเรียกว่านั่งลงกับพื้นคงไม่ได้
มันราวกับว่าเธอติดอยู่บนพื้น
เธอ ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยนอกจากจ้องมองมาที่ผม
....เปล่าเลย...
ต่อให้เหนื่อยแค่ใหนแค่การพยุงตัวเข้ากับเสาไฟบนถนนก็ไม่น่าจะยากนัก...
แต่
เธอไม่สามารถทำแบบนั้นได้...นอกจากการมองมาที่ผมเธอคงทำอะไรไม่ได้อีก
เพราะมือที่จะเกาะเกี่ยวนั้น.....ไม่มี
แขนขวาจนถึงข้อศอก
แขนซ้ายจนถึงหัวใหล่
มันถูกตัดออกไป...
"...............อุ!!!!!"
ไม่เพียงเท่านั้น
ท่อนล่างของเธอก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
ขาขวาจากปลายเท้าถึงหัวเข่า
ขาซ้ายจากปลายเท้าถึงโคนขา
ทั้งคู่ถูกตัดสะบั้น
...เดี๋ยวสิ...มีแค่เท้าขวาเท่านั้นที่รอยตัดชัดเจน......พื้นผิวที่โดนตัดเรียบจนน่าใจหาย...
ส่วนแขนขวาแขนซ้ายและขาซ้ายราวกับถูกสับนับครั้งไม่ถ้วน
หรืออีกในความหมายหนึ่ง
เธอในตอนนี้ได้สูญเสียระยางค์ทั้งสี่ไปแล้ว
เพราะอยู่ในสภาพแบบนี้....เพราะเป็นแบบนี้เธอจึงไปที่ใหนไม่ได้นอกจากอยู่ใต้แสงไฟ...
แบบนี้มันห่างใกลจากคำว่าเหนื่อยเกินไปแล้ว...
มันเรียกได้ว่าใกล้จะตายแล้วซะด้วยซ้ำ
"โอะ....เฮ้....คุณใหวรึเปล่าครับ?"
หัวใจของผมตอนนี้เต้นรัวราวกับนาฬิกาปลุก....พูดได้เลยว่ามันเป็นแบบนั้น
ถึงจะรู้ว่าเป็นแค่การเปรียบเทียบก็เถอะ...แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
หัวใจผมมันเต้นราวกับจะระเบิด
ราวกับมันจะหลุดออกมาจากอก
ราวกับจะบอกว่าอันตรายกำลังคืบคลานมา
เหมือนนาฬิกาปลุกที่ไม่ยอมดับ
"....ใช่แล้ว...ต้อง...ต้องเรียกรถพยาบาล!!!"
แขนขาถูกตัดไปแบบนี้ปริมาณเลือดที่เสียไปย่อมไม่ใช่น้อยๆแน่...
ผมควรจะคิดแบบนั้นแต่ในเวลานี้ผมกลับมัวแต่คิดถึงโทรศัพท์มือถือที่ผมพึ่งยัดลงกระเป๋าไป....
มือของผมสั่นระรัว...แค่กดเบอร์ให้ถูกยังแทบไม่ได้
...แล้วเบอร์ที่เรียกรถพยาบาลมันเบอร์อะไรล่ะวะเนี่ย
117?
115?
ชิบหองเอ๊ย!!!! ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้เม็มเบอร์ลงในสมุดโทรศัพท์ซะก็ดีหรอก
"...รถพยาบาลรึ...ของแบบนั้นเราไม่ต้องการหรอก"
เธอ
ทั้งๆที่อยู่ในสภาพที่แขนขาถูกตัดขาด...สติของเธอกลับยังไม่หลุดลอย
และยังคงใว้ซึ่งเจตน์จำนงค์อันแรงกล้า....เจตน์จำนงค์ที่ผูดกับผมด้วยคำพูดที่ว่า.....
"ดังที่กล่าวไป.....มอบเลือดของเจ้าให้กับเรา"
".............."
มือที่กดอยู่บนโทรศัพท์ของผมหยุดกึก...
จู่ๆผมก็นึกถึงเรื่องที่ฮาเนคาว่าพูดใว้ตอนกลางวันได้....
ข่าวลือในหมู่พวกผู้หญิง
อะไรกันนะ?
เธอว่ายังใงบ้างนะ?
ยามราตรี...
อย่าได้ออกไปข้างนอกตามลำพัง.................
"....เรือนผมสีทอง"
ผมสีทอง
ผมสีทองจะ........
ภายใต้แสงไฟ.....ผมสีทองจะทอประกายลานตา
.....และ....
ไม่มีเงา
ภายในรัศมีนี้ไฟทุกดวงดับทั้งหมด..มีเพียงแค่ดวงที่
เธออยู่ข้างใต้เท่านั้น...ดูราวกับเธอกำลังอาบแสงไฟอยู่เลยทีเดียว
เรือนผมสีทองของเธอส่องประกายภายใต้ไฟนี้...ช่างระยิบระยับ...แต่ทว่า
เธอไม่มี"เงา"
ไม่ใช่ว่าผมมองไม่เห็นเงา....
แต่สิ่งที่เรียกได้ว่าเงานั้นน่ะ...มันไม่มี
"นามของเราคือ..."
จู่ๆ
เธอก็พูดขึ้นมา
"นามของเราคือคิสช็อท - อาเซโรร่าโอริออน - ฮาร์ทอันเดอร์เบลด.......แวมไพร์เลือดเย็นผู้หลงใหลในโลหิตและคมดาบ"
ชุดที่เปรอะเปื้อน
แขนขาทั้งสี่ที่ถูกสะบั้น
ไม่จำเป็นต้องรักษา
ยามเมื่อเธอเผยอริมฝีปาก.....คุณจะมองเห็นเขี้ยวคู่หนึ่ง...
เขี้ยว...........ที่แหลมคม

"เลือดของเจ้าจักกลายมาเป็นเนื้อหนังของเรา.......มอบเลือดของเจ้าให้กับเรา"
"............นั่นเหรอคำพูดของแวมไพร์"
ผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ
"พวกคุณน่ะ.......พวกคุณน่ะเป็นอมตะไม่ใช่รึใง?"
"เราสูญเสียเลือดในร่างมากเกินไป....เราไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองหรือกลายสภาพ ได้อีกแล้ว  หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป.............เราจะดับสูญ"
"...................."
"มนุษย์เอย...แม้จะไม่พึงใจแต่จงรู้สึกเป็นเกียรติเถิดที่จะกลายมาเป็นเลือดเนื้อของเรา"
ขาผมสั่นไม่ยอมหยุด
นี่มันอะไรกัน?
ผมจะเป็นยังใงถ้าผมโดนดูดเลือด?
แล้ว....แล้วทำไมจู่ๆแวมไพร์ถึงมาปรากฏตัวต่อหน้าผม....แถมยังโผล่ออกมาในสภาพที่ใกล้จะตาย?
แวมไพร์ที่ไม่ควรจะมีอยู่กลับมีตัวตน
แวมไพร์ที่เป็มอมตะกำลังจะตาย
มันหมายความว่ายังใงกัน....นี่มันเรื่องจริงงั้นเรอะ?
"นะ.....นี่"
เธอมองมาที่ผมที่กำลังสั่นและพูดอะไรไม่ออก......คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อย
แต่นั่นไม่ใช่การขมวดเพราะความเจ็บปวดแน่ๆ....
ทำไม
เธอถึงถูกตัดแขนและขาไปล่ะ?
"ฉะนั้น..................เพราะฉะนั้น....ช่วยเรา....แม้ที่นี่ เราไม่อาจจะจัดสถานสดุดีแก่เจ้าได้มากนักแต่ขอเพียงเจ้าค้อมหัวลงมาหาเรา เท่านั้น แล้วเราจะจัดการทุกสิ่งเอง"
"..............เลือด.....เลือด.....ไม่มากพอที่จะกลายสภาพสินะ?"
ผมถามออกไปแบบนั้นหลังจากที่สงบสติอารมณ์ลงไปบ้างแล้ว
....มันอะไรกันวะเนี่ย!!!
ไอ้นี่มันเรื่องตลกอะไร!!!
เธอ....คิสช็อท - อาเซโรร่าโอริออน - ฮาร์ทอันเดอร์เบลด ดูเหมือนว่ากำลังจะคิดในสิ่งเดียวกัน....ดังนั้นจึงเธอจึงยังไม่ตอบอะไร
ไม่สิ....
บางทีเธออาจจะไม่เหลือแรงมากพอที่จะพูดตอบแล้วก็ได้
"อ่า...เอ่อ......ต้องใช้มากขนาดใหนล่ะ?"
มันเป็นคำถามที่เจาะจงขึ้น....ซึ่งมันก็ทำให้
เธอตอบมา
".........ขั้นต่ำที่สุด...เราต้องการปริมาณเท่ากับคนหนึ่งคนอย่างเร่งด่วน"
"เข้าใจล่ะ...แค่คนเดียวสินะ.................เฮ้ย!!!"
งั้นผมก็ตายพอดีสินั่น!!!
แต่จะให้ผมกลับคำพูดคงไม่ได้
เธอคนนี้กำลังมองมาที่ผม....
ดวงตาที่เย็นชา
นั่นคือ...................ดวงตาที่มองของสิ่งหนึ่งเป็นเพียงอาหาร
ไม่ใช่การล้อเล่น.................ดวงตานั้นบ่งบอกว่าที่สิ่งพูดทุกคำคือความจริง
และไม่ลังเลเลยที่จะกลืนกิน...................แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นมนุษย์ก็ตาม
เธอคนนี้กำลังจะตาย
แต่....หลังจากที่เธอกินผม....เธอจะยืดชีวิตต่อไปได้
ผมไม่ต้องทำอะไรเลย
แค่ให้เธอกินผมก็พอ
ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ความสามารถอะไรทั้งนั้น....
".................."
เอ่อ...เฮ้ย
ผมพูดอะไรออกไป? ผมคิดอะไรอยู่?
ทำไม....ทำไมผมต้องมาคิดหาเหตุผลในการช่วยยัยนี่ขนาดนี้ฟะ?
บ้าไปแล้วรึใง?
แวมไพร์งั้นเรอะ?
มันก็คือสัตว์ประหลาดดีๆนี่เองไม่ใช่รึใง
ผมไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเขนขาของเธอถูกตัดขาด....แล้วทำไมถึงกำลังจะตาย .......................แต่อย่างหนึ่งที่คิดออก มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
แล้วถ้าโดนดูดเลือด
คนที่จะเป็นอันตรายมันก็น่าจะเป็นผมไม่ใช่เรอะ?
ถึงจะบอกว่าถ้าไม่เสี่ยงดูก็ไม่รู้?
แต่นี่มันไม่ใช่มนุษย์.............นี่คือสัตว์ประหลาด
คือสิ่งที่อยู่เหนือความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
ฮาเนคาว่าพูดใว้แบบนั้นแน่ๆ
"เลือด........มอบเลือดให้แก่เรา....เร็ว....เร็วเข้าสิ ใยเจ้าจึงยังดึงดันโยกโย้เช่นนี้เล่าเจ้าคนเขลา"
"................."
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม
แวมไพร์ตนนั้นพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องปรกติ
ผมก้าวถอยหลังมาเล็กน้อย
ไม่เป็นไร....
ผมหนีได้....ผมควรจะหนีไปซะตอนนี้เลย
ข้างหน้าผมตอนนี้คือแวมไพร์....คือสัตว์ประหลาด
ด้วยสภาพที่แขนถูกตัดขาถูกเฉือนแบบนี้....ผมหนีพ้นแน่ๆ....ต้องเป็นแบบนั้นเพราะเธอไม่มีทางที่จะตามผมมาได้อย่างแน่นอน
ที่ผมต้องทำก็แค่วิ่ง
ผมไม่สามารถปกปิดมันได้อีกแล้ว....
นี่คือความจริงที่ผมไม่อาจจะปฏิเสธได้
ตอนนั้นเอง
ผมใช้ขาอีกข้างก้าวถอยหลังอีกหนึ่งก้าว
"เจ้า....เจ้าลวงหลอกเราใช่ใหม?"
ดวงตาของเธอ............ช่างดูอ่อนแรง
ราวกับกำลังจะปิดลง.......ราวกับกำลังจะหลับไปตลอดกาล
"ช่วย.....ช่วยเราได้รึไม่?"
".............."
ชุดที่ขาดวิ่น
แขนและขาที่ขาดหาย
สัตว์ประหลาดผู้ไร้เงาใต้เงาไฟจากแสงสว่างจอมปลอม
เรือนผมสีทอง....ที่ส่องประกายอย่างงดงามเกินที่ผมจะนึกได้
งดงามเกินพรรณนา
จากความรู้สึกก้นบึ้งของหัวใจ....ผมอยากให้เธอดูดเลือด
ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเธอผู้นี้ได้เลย
ผมไม่สามารถถอนเท้าออกไปได้
ไม่ใช่ความกลัวหรือว่าผมตัวสั่นจนไม่สามารถทำอะไรได้....
แต่ผมไม่สามารถขยับได้ต่างหาก
"....มะ............ไม่"
ทันทีที่คำพูดนั้นออกไปจากปากผม....ราวกับเจตน์จำนงค์ของเธอล่มสลาย
ดวงตาสีทองที่เปล่งประกายเช่นเดียวกับสีผมของเธอนั้นก็มีหยาดน้ำใหลลงมา....
ราวกับเด็กน้อย
เธอผู้นั้นเริ่มร้องให้
"ไม่....ไม่....ไม่นะ.....เรายังไม่อยากตาย...เราไม่อยากตาย...ไม่อยาก ตาย....ไม่อยากตาย! ช่วย....ช่วยเราด้วย...ช่วยเราที...ได้โปรด...เราขอร้อง...ได้โปรดเถอะ  หากว่าเจ้ายอมช่วยเรา เราพร้อมจะตอบแทนด้วยทุกสิ่ง!!!"
เธอร้องให้ราวกับทรมานเหลือแสน
ผมไม่อยู่ในสายตาเธออีกต่อไป
หยาดน้ำใหลริน...เธอส่งเสียงครวญ
ราวกับจะขาดใจ
"ไม่ตายหรอก เธอไม่ตาย อย่าหายไป อย่าหายไปนะ! ไม่นะ! โธ่ว้อย ใครก็ได้ มีใครได้ยินรึเปล่า ใครก็ได้ ใคร....................................."
คนที่อยากจะช่วยแวมไพร์
มันจะไปมีได้ยังใงกัน
ไม่ว่าจะพูดยังใง ไม่ว่าจะกรีดร้องขนาดใหน.....ใช่ว่าจะเปลี่ยนใจผมได้
เพราะว่า....ผมจะต้องตาย
เลือดจำนวนเท่ากับคนหนึ่งคน...มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวเกินไป
จะให้รับไอ้เรื่องแบบนี้น่ะ.......ไม่ใหวหรอก
ขีดจำกัดของมนุษย์ที่จะแบกรับเรื่องราวต่างๆน่ะมันมีไม่มากนัก  สิ่งลึกลับเพียงหนึ่งก็หนักเกินจะรับใหวแล้ว
แล้วยิ่งการจะแบกรับเรื่องราวของแวมไพร์
มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่มนุษย์จะแบกรับมัน....
"อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา"
น้ำตาที่ใหลอาบแก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับเลือด
ไม่รู้เลย....
ผมไม่รู้เลยว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว....
ความตายของแวมไพร์
น้ำตาเลือด...
"ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ............."
จากเสียงกรีดร้องที่จางลง..........คำพูดที่ออกมากลับกลายเป็นคำขอโทษ
เธอขอโทษอะไร?
ใครกันที่เธอขอโทษ?
ไม่มี.....ผมไม่เห็นอะไรเลย
เธอในตอนนี้....ราวกับว่ากำลังขออภัยในสิ่งที่ไม่มีใครรู้
อาจจะ...
อาจจะเป็นอะไรสักอย่างที่เธอเคยทำใว้
เธอ.....ที่กำลังจะตาย
"อุ......อว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!"
ถึงตอนนี้
ผมออกวิ่งๆทั้งๆที่กรีดร้อง
แม้ขามันจะไม่ยอมรับคำสั่งแต่ผมก็ฝืนวิ่งออกมา..........ทิ้งเธอใว้เบื้องหลัง ผมวิ่งออกมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ผมยังคงได้ยินเสียงเธอร้องขอโทษไล่หลังมา
เสียงนี้....มีแค่ผมเท่านั้นรึใงที่ได้ยิน?
คนที่ได้ยินเสียงนี้....ไม่มีสักคนเลยรึใงที่จะออกมาที่นี่?
คิสช็อท - อาเซโรร่าโอริออน - ฮาร์ทอันเดอร์เบลด
ผมควรช่วยเธอรึเปล่า?
..........................ไม่มีทาง
ผมจะตาย
แล้วเธอก็คือสัตว์ประหลาด
เธอคือแวมไพร์
ไม่มีความจำเป็นต้องช่วยเธอเลย....ใช่มั๊ย?
".......รู้แล้วน่า....ไอ้เรื่องแบบนั้นน่ะ"
ผมรู้...
ผมวิ่งมาพักหนึ่งก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าถังขยะจากนั้นก็จับถุงที่ผมถือมาด้วยสองมือ
ในถุงนั้นมีหนังสือโป๊อยู่สองเล่ม....
คนส่วนใหญ่มักจะทิ้งขยะกันในตอนเช้านอกจากวันอาทิตย์เพราะวันนั้นรถขยะจะมาเก็บ
ผมเลือกหยุดอยู่หน้าถังขยะที่ยังมีปริมาณน้อยอยู่
ถ้าชะตานำพาบางทีอาจจะมีนักเรียน ม.ปลายมาเก็บมันไป
แน่นอนว่าบางทีอาจจะไม่เป็นแบบนั้น....แต่ไม่ว่ายังใงตอนนี้ผมก็ไม่ต้องการมันอีกแล้ว
ผมกำลังจะตายเดี๋ยวนี้แล้ว...ดังนั้นไอ้หนังสือโป๊นี่มันก็ไม่มีความหมายแล้วว๊อย.....บ้าเอ๊ย
ถ้าคุณจะซื้อหนังสือโป๊คราวหลังล่ะก็หัดนึกถึงเหตุการณ์นี้บ้างละกัน.......ไม่งั้นคงได้เสียใจภายหลังแน่ๆ
ความภูมิใจในฐานะมนุษย์ของผมตอนนี้มันตกต่ำติดดินไปแล้ว
"...................."
วิ่งกลับไป.....กลับไปที่ข้างใต้ไฟต้นนั้น.....ดวงตาของผม....น้ำตามันเริ่มใหลลงมา
พ่อครับ....แม่ครับ.....
น้องสาวทั้งสองคน
สำหรับคนที่ไม่ยอมคบหาใครอย่างผม แค่เพียงนึกถึงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันคนคนเหล่านี้....ก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผมร้องให้ 
แม้ว่าครอบครัวผมสมาชิกทุกคนจะไม่ค่อยกลมเกลียวกันมากนัก
โดยเฉพาะการที่นักเรียนจนๆแบบผมดันไปเข้าโรงเรียนเอกชนแบบนั้น....ระยะห่างระหว่างผมกับพ่อแม่ก็มากขึ้น
ไม่อยากรบกวนแต่ก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะ
พวกท่านเองก็คงคิดแบบเดียวกัน
มันก็แค่....ระยะห่างระหว่างวัย
เป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
ถ้าเกิดว่าผมเข้าใจอะไรสักนิด....ถ้าหากรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้น  ผมอยากจะพูดกับพวกท่านให้มากกว่านี้
ไม่ใช่ว่าแอบย่องออกจากบ้านมากลางดึกโดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรเลย
อา.....ถึงผมจะทิ้งหนังสือสองเล่มนี้ไปแล้วแต่บางทีพวกน้องสาวของผมอาจจะรู้ก็ได้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับผมในระหว่างที่ซื้อหนังสือโป๊...
แต่ไม่เป็นไรหรอก
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกนั้นก็ไม่มีวันเล่าเรื่องน่าอายแบบนี้ให้ใครฟังแน่ๆ
รักพวกเธอทุกคนเลยจริงๆ.....มายซิสเตอร์
"......................."
น้ำตายังคงใหลริน
ลองนึกดูดีๆ....มีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่คนไม่มีเพื่อนอย่างผมเคยเข้าไปช่วย...แถมยังเป็นการช่วยเหลือที่ผมผละออกไปก่อนที่จะช่วยจนเสร็จอีกต่างหาก
แล้วถ้าคิดในมุมกลับ....บางทีผมคงไม่เหมาะที่จะมีมิตรภาพทั่วๆไป....เพราะงั้นตัวเลือกแบบนี้อาจจะเข้ากับนิสัยของผมก็ได้
เมื่อกลับมาถึง.....ใต้เสาไฟ
แวมไพร์ผู้มีเรือนผมสีทองยังคงอยู่ที่นั่น
เธอไม่ได้ร้องให้อยู่....
เธอไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลย
เธอแค่.....ผล็อยหลับไป
...ยอมแพ้ตอนนี้ก็ยังทันสินะ...
"อย่าพึ่งถอดใจตอนนี้เซ่...บ้าเอ๊ย"
ผมพูดแบบนั้นก่อนจะพยุงร่างเธอมาอยู่ต่อหน้า......จากนั้นก็ค้อมหัวให้เธอ
"จากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.....ฝากด้วยก็แล้วกัน"
"........เอ๋?"
เธอ......ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
มองมาที่ผมราวกับว่าแปลกใจเกินจะกล่าวออกมาเป็นคำพูด
"ดะ......ได้งั้นรึ?"
"ก็เออเซ่ ยัยเบื๊อกเอ๊ย...."
บ้าเอ๊ย บัดซบ เวรเอ๊ย.............
ทำไม?
ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้กัน?
"ทะ.....ทำไม? ทำไมผมถึงเข้าใจทุกอย่างเลยว่าผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากช่วยให้เธออยู่ต่อไปกันเล่า"
ผมพูดออกไปแบบนั้น
ผมพูดออกไปตามความรู้สึกในหัวใจผม
"ต่อให้ยังมีชีวิตอยู่...ก็ไม่มีหน้าจะไปสู้กับใครเขา ต่อให้ตายไป คนอย่างผมก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรเลยกับโลกใบนี้!!!"
ช่างอัปลักษณ์
ช่างน่ารังเกียจ
ชีวิตของผมมันเป็นแบบนั้น
เพื่อจะให้เธอผู้งดงามผู้นี้ยังคงมีชีวิตต่อไป
ผมควรจะตายสินะ
นี่คือข้อสรุป
ผมมันก็แค่มนุษย์เดินดิน
แวมไพร์น่ะเหนือกว่าลิบลับเลยนี่..............ใช่มั๊ยล่ะ
".........ถ้าเกิดใหม่ล่ะก็...ผมจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้ จะต้องมีมิตรภาพที่มนุษย์ควรมี จะไม่รู้สึกผิดกับเรื่องงี่เง่า ทุกสิ่งที่ผมเกลียดจะไม่ใช่ความผิดของใคร ผมอยากจะเกิดใหม่มาเป็นคนแบบนั้น......เพราะงั้น..."
ตามที่ว่าไป
สุดท้ายนี้
พูดด้วยตัวเองสิ.....อย่างน้อยที่สุดนี่ก็เป็นทิฐิมานะอย่างเดียวที่สิ่งมีชีวิตอย่างผมจะมีได้
"ชั้นจะช่วยเธอเอง......ดูดเลือดชั้นสิ!"
"............."
"ทุกอย่างมันเป็นของเธอแล้ว หยดเดียวก็อย่าปล่อยให้มันเสียเปล่าล่ะ..........กลืนกินไปให้หมด"
"........อา"
คิสช็อท - อาเซโรร่าโอริออน - ฮาร์ทอันเดอร์เบลด.....บางทีผมอาจจะคิดไปเองก็ได้แต่ในตอนนี้ผมมีความรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอกำลังกล่าวขอบคุณต่อบางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง
"ขอบคุณมาก........."
ฉับพลันนั้นความรู้สึกเจ็บก็เกิดขึ้นที่ต้นตอของผม.......เธอกำลังกัดผมอยู่สินะ...
สติของผมเริ่มที่จะเลือนลาง....ค่อยๆจางหาย
ตอนนั้นเองจู่ๆผมก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้
ฮาเนคาว่า  สึบาสะ
เรื่องราวของเธอ....
การจะหาใครซักคนที่เรียกว่าเพื่อนจากคนนับล้านโดยการเดาสุ่มน่ะ....มันไม่มีเวลาพอหรอก
มันน้อยมาก...
ถึงผมจะจำอะไรไม่ค่อยได้นักแต่ผมเชื่อว่าเวลาของผมมันมากพอ................แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ
ต่อให้เวลาผมน้อยจริงๆ แต่การที่ตายโดยที่ครั้งหนึ่งเคยได้พูดคุยกับฮาเนคาว่าแล้วเนี่ย.......................มันก็ไม่เลวหรอก
เอ่อ....บอกใว้ก่อนเลยว่าตอนนี้ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ผมเห็นกางเกงในของฮาเนคาว่าหรอกนะ
หลังจากที่ผมคิดแบบนั้น ผมรู้สึกราวกับบรรยากาศรอบข้างค่อยๆมืดลง....
วาระสุดทายนี้ขอผมตายแบบเท่ห์ๆหน่อยเถอะนะ
เพราะฉะนั้น...ผม...อารารากิ  โคโยมิ  ชีวิตสั้นๆในวัย 17 ปี ที่ยอมรับความตายด้วยตัวของตัวเอง....อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยคิดว่ามันเป็นแบบนั้นด้วยเถอะ

เรื่องเล่าอันโหดร้าย...

โคโยมิแวมไพร์ บทที่ 3 END