@111018

นิยาย - Bakemonogatari 04/18

starsatan View 753

จู่ๆผมก็ได้สติกลับคืนมา...
ว่ากันตามจริงผมรู้สึกเหมือนเกิดใหม่มากกว่า
...ไม่สิ...ต้องบอกว่าตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งจะตรง ที่สุด
"เฮ้อ!....แค่ฝันไปหรอกงั้นเรอะ"
...ก็อยากจะพูดอะไรเทือกนั้นอยู่หรอกนะ
แต่นี่มันไม่ใช่ความฝันนี่สิ............ถ้าเป็นความฝันจริงๆสถานที่ที่ผม ควรจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ควรจะเป็นที่นอนในห้องของผม
แต่ที่นี่ไม่ใช่ห้องของผม
มันเป็นสถานที่ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ
อีกทั้งเหล่าน้องสาวที่คอยมากระทืบปลุกผมทุกเช้าก็ไม่อยู่ที่นี่ด้วย
"..........."
เอ่อ....
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าพึ่งตื่นจากฝัน...เหมือนกับว่าผมพึ่งตื่นจากการ หลับแล้วหลับอีกยังใงยังงั้น
แล้ว....ที่นี่...ที่ใหน?
อาคารร้างเรอะ?
ผมเข้าใจว่าตอนนี้ผมอยู่ในสิ่งก่อสร้างแน่นอน... หน้าต่างรอบๆถูกปิดด้วยแผ่นกระดานตอกตะปู...หลอดไฟบนเพดานทุกหลอดเสียทั้ง หมด...
อีกอย่างหนึ่งที่ผมรับรู้ด้วยตัวเองตอนนี้...
ผมกำลังนอนอยู่บนพื้น...
พื้นที่นี่ถูกปูด้วยเสื่อน้ำมัน
รอยแตกลายงามีให้เห็นอยู่นับไม่ถ้วน
ผมผงกหัวขึ้นมาเพื่อที่จะดูสภาพรอบๆตัวตอนนี้...........ไอ้ที่แขวนอยู่บนกำแพงนั่นมันอะไรล่ะนั่น?
กระดานดำ?
แล้วก็....โต๊ะ?
เก้าอี้?
....นี่มันห้องเรียนรึใง?
แล้วก็......ถึงจะบอกว่าห้องเรียนก็เถอะ.....แต่นี่ไม่ใช่ที่โรงเรียนเอกชนนาโอเอ็ตสึแน่ๆ....ผมพูดได้เต็มปากเลย
ถึงงั้นก็เถอะ............ที่แบบนี้มันให้ความรู้สึกอย่างอื่นไม่ได้นอกจากห้องเรียนนี่นา
...ถึงคนพูดมันจะเป็นนักเรียนที่ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าใหร่ก็เถอะนะ
และแม้ว่ามันจะไม่ใช่โรงเรียนแต่มันก็น่าจะเป็นอะไรซักอย่างที่มีความคล้ายกันมาก...จนทำให้ผมสามารถเข้าใจและตัดสินได้ว่าที่นี่คือโรงเรียนหรืออะไร ทำนองนั้น
แต่ถ้าเกิดไม่ใช่โรงเรียน...แต่ทำไมที่นี่ถึงมีกระดานดำอีกทั้งยังมีโต๊ะกับเก้าอี้เยอะขนาดนี้กันล่ะเนี่ย
...อาเระ...
นี่มันบรรยากาศของโรงเรียนกวดวิชาชัดๆ
ที่นี่คงเป็นโรงเรียนกวดวิชาสินะ
...แต่ก็อย่างที่พูดไป...ไม่ว่าจะมองไปทางใหน นี่ก็คงเป็นแค่โรงเรียนกวดวิชาที่ปิดตัวไปแล้ว
ทั้งหน้าต่างทั้งหลอดไฟ...ดูยังใงก็โรงเรียนกวดวิชาร้าง
คงจะเพราะมันมืดมากละมังผมเลยมองว่ามันเป็นแบบนั้นด้วย............. หืม....มืดมาก?
เฮ้ย...?
ก็แล้วทำไม..........ในห้องที่หน้าต่างทุกบานถูกปิดอย่างแน่นหนาจนไม่มีแสงลอดผ่านมาได้ซักแอะแบบนี้....ทำไมผมถึงมองเห็นล่ะ?
ผมรู้ว่ามันมืดมากๆ
บอกได้เลยว่าไม่มีแสงอะไรเล็ดลอดผ่านมาได้เลย
ตามปรกติในสถานการณ์แบบนี้แค่มองมือตัวเองก็คงแทบไม่เห็นแล้วด้วยซ้ำ....แต่ ...ผมมองเห็น
แถมยังมองเห็นแบบชัดแจ๋วด้วย
...ไม่จริงน่า....นี่มันเรื่องอะไรกัน?
อาจจะเป็นเพราะว่าผมพึ่งลืมตาขึ้นมาละมังความรู้สึกตอนนี้มันก็เลยยังเบลอๆ อยู่...
เอาล่ะ...เอาเป็นแบบนั้นละกันเพราะงั้นตอนนี้ผมควรที่จะลุกขึ้น...........
"....โอ๊ย"
เหมือนกับว่าผมกัดโดนอะไรซักอย่างในปากผม...
หืม....?
แล้วทำไมฟันเขี้ยวของผมมันยาวๆชอบกลล่ะเนี่ย?
ผมตั้งใจจะสอดนิ้วเข้าไปในปากเพื่อตรวจดูฟันของผม....
ซึ่งหมายความว่าถ้าผมจะเอานิ้วเข้าไปในปากผมก็ต้องขยับแขนตามด้วย....ตอนนั้นเองที่ผมพึ่งจะรู้สึกตัว....
บางอย่างที่กำลังนอนหลับทับแขนของผมจนทำให้ขยับแขนไม่ได้....นั่นก็คือเด็กผู้หญิง....
"..............."
เอ๋....
เด็กผู้หญิง?
"....เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยย!?"
เด็กผู้หญิงตัวเป็นๆด้วย
อายุของเธอน่าจะราวๆสิบขวบ....มั๊ง?
เด็กผู้หญิงผมสีทองในชุดที่ดูเข้ากับตัวเธอดี............แล้วก็มีผิวที่ขาวละมุนราวกับโปร่งแสง....
หายใจเบาๆดัง ชูว.........ชูว...........
กำลังหลับอยู่แฮะ....
แถมดูท่าจะหลับยาวด้วยซะงั้น
"............"
แต่ตอนนี้ต่อให้รู้สถานการณ์ทั้งหมดแล้วก็ยังไม่เข้าใจอีกอยู่ดี
ทำไมผมถึงอยู่ที่นี่...แล้วที่นี่ที่ใหน....แล้วยัยเด็กหัวทองนี่เป็นใครผมไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้ซักนิด...แต่อย่างหนึ่งที่ผมรู้ว่าควรทำในตอนนี้ก็ คือ...
ปลุกยัยเด็กนี่ขึ้นมาก่อน
กับยัยเด็กที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนในสถานการณ์ที่ชวนผิดกฏหมายแบบนี้ผมต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น!
"อะ...เฮ้....นี่...ตื่นสิ"
ผมเลือกที่จะจับร่างของยัยเด็กผมทองคนนี้ในส่วนที่ไม่น่าจะผิดกฏหมาย(อย่างแขนเป็นต้น)แล้วเริ่มเขย่าตัวเธอ
"งุ.....เงียมมมมม"
ตอนนั้นเองที่เด็กผมทองคนนี้พูดออกมา...
"ขออีกห้า.......นา....ที...."
เด็กสาวผมทองพูดมาแบบนั้น
จากนั้นเธอก็หลับไปอีกรอบนึง....................
"อะ....ตื่นเซ่...บอกว่าให้ตื่นใง!!!!"
ตอนนี้ผมไม่สนหรอกว่าเธอจะว่ายังใง....ผมยังคงเขย่าตัวเธอต่อไป
".....งุ....อีก....แป๊ป.....นึง...."
"คิดจะนอนไปถึงใหนฟะหล่อนน่ะ?"
"........สี่...พาน...โหก...ร้อย....ล้าน....ปี.................แง่ม...."
"นั่นมันนานพอจะสร้างโลกใหม่ได้เลยนะว้อยนั่น!!!"
ผมแหกปากด่าไปแบบนั้นก่อนจะหุบลงเพราะนึกถึงบางเรื่องได้...
แล้ว...เวลาตอนนี้ล่ะ
เวลาตอนนี้คือ...................... 4.30 น.
ไม่สิ...ถ้าเป็นนาฬิกาแบบนั้นผมจะไม่รู้เลยว่านี่มันช่วงเช้ารึว่าช่วงบ่ายกันแน่
โทรศัพท์....ใช่แล้วโทรศัพท์...เอาล่ะเจอละ
เวลาที่หน้าจอตอนนี้คือ 16.36...
ส่วนวันที่ก็... 28 มีนาคม !?
ผมจำได้ค่อนข้างจะแน่นอนเลยว่าครั้งสุดท้ายที่ผมดูโทรศัพท์มือถือกับเวลามันพึ่งจะเปลี่ยนเป็นวันที่ 26 มีนาเองนี่
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า...ผ่านไปสองวันแล้วงั้นเรอะ?
"......ไม่จริงน่า"
ถ้านี่ไม่ใช่ความฝัน...แล้วมันเป็นความจริงซักกี่เปอร์เซนต์กันล่ะ?
นี่คงยังไม่ใช่เวลาที่จะปลุกยัยเด็กหัวทองนี่หรอก...ผมค่อยๆดึงแขนตัวเองออกจากหัวของเธออย่างเบาๆ
ขั้นแรกคงต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าที่นี่คือที่ใหน....
ผมเดินไปที่ประตูห้อง(ที่น่าจะเป็นห้องเรียน)โดยพยายามไม่ทำเสียงดัง.......ประตูไม่ได้ล็อค...ด้านหนึ่งของมันเปิดอยู่แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีกับดักอะไรอยู่บนประตูด้วย
เป็นไปได้รึเปล่าว่าผมกำลังถูกขังอยู่ในที่ลึกลับเนี่ย(....ก็รู้นะว่ามันฟังดูงี่เง่า...แต่มันน่ากลัวจริงๆนี่)
ก็นะ...ก่อนที่จะไปพูดถึงเด็กสาวน่ารักผมทองที่ลักพาตัวผู้ชายอย่างผมมาโดย ไม่มีอะไรให้เธอแน่นอนแล้ว ก่อนอื่น...
หลังจากก้าวพ้นประตูมาก็จะมองเห็นช่องบันได
มันเขียนใว้ที่ผนังว่า [2F]
ชั้นสองสินะ?
ที่บันไดนั้นมีทั้งทางขึ้นและทางลง...
ผมคิดนิดหน่อยว่าผมควรจะขึ้นหรือลงดี....ก็นะ...ตามปรกติมันก็ต้องลงไปอยู่แล้ว
ถ้าไม่ทำแบบนี้จะออกไปจากตึกนี่ได้ยังใงกันล่ะ
ผมเห็นว่ามีลิฟท์อยู่ระหว่างบันไดด้วยเหมือนกันแต่ถึงไม่ต้องลองดูผมก็ รู้....ลิฟท์มันเจ๊งไปแล้วแหงๆ
ผมก้าวเท้าลงบันไดไป
"...เอ....โตะ... บันทึกสมุดโทรศัพท์ในโทรศัพท์ยังมีเบอร์โทรกับอีเมลของฮาเนคาว่าอยู่...นั่นหมายความว่าการได้พูดคุยกับฮาเนคาว่าตอนพิธีปัจฉิมนั่นเป็นเรื่องจริง....แล้วความทรงจำที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องจริงด้วยเหมือนกัน...แจ่มมาก"
....เพราะงั้นกางเกงในที่ผมเห็นก็ไม่ใช่ความฝัน...
ถึงผมจะรู้สึกเหมือนฝันไปก็เถอะ
"เงินในกระเป๋าเงินร่อยหรอ แล้วก็ใบเสร็จที่อยู่ในนี้.....หมายความว่าเรื่องที่ไปซื้อหนังสือโป๊มาก็เป็นเรื่องจริงด้วยสินะ.."
ผมพยายามที่จะไม่ใส่ใจกับมันก่อนจะพูดต่อ...
"แต่....ไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเนี่ย.........ดูยังใงก็ไม่ใช่ความจริงซักนิดนี่หว่า!!!!"
....ผมฝันร้ายรึใง?
รึผมเข้าใจอะไรผิดไป?
บางที...............อาจจะมีผู้หญิงโดนรถชน....แล้วผมเกิดไปเห็นเข้า...เลย หน้ามืดเป็นลมไป?
เหอ....
มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังใงเล่า....แต่ก็นะ ผมพึ่งเคยเจอเรื่องแบบนี้ครั้งแรกด้วยสิ
แล้ว...ระหว่างที่ผมไม่ได้สติ ก็มีใครบางคนพาผมมาที่นี่....
ไม่น่าเป็นไปได้...ตามหลักแล้วถ้าเจอหมดสติแล้วจะช่วยจริงๆก็น่าจะเรียกรถพยาบาลมาไม่ใช่เรอะ
แต่เวลาที่โชว์บนหน้าจอมือถือของผมตอนนี้ไม่ผิดแน่นอน
เฮ้อ.........ไม่ได้กลับบ้านมาสองวัน...ไม่สิตามความรู้สึกคงต้องบอกว่าสามวันแล้วสินะ
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมออกมาค้างข้างนอกโดยไม่บอกกล่าวกับที่บ้าน แถมระยะเวลาสามวันนี่มันเกือบจะแหกกฏที่บ้านผมวางใว้ให้ด้วยสิ
ถ้าเกิดว่าคนที่ทำเรื่องนี้เป็นน้องสาวทั้งสองของผมตอนกลับมาเธออาจจะดูสมกับเป็นผู้หญิงขึ้นมาบ้างก็ได้...แต่ยังใงซะตอนนี้ผมก็คงต้องกลับไปบอกที่บ้านก่อน
ต้องกลับไปตอนนี้เลย....
ตามปกติในเวลาแบบนั้นผมมักจะคิดเรื่อยเปื่อยลอยชาย.....
แต่ไม่ใช่ตอนนี้...ขณะที่ผมกำลังเดินออกจากอาคารนี่...ไปในทางที่อากาศปลอดโปร่ง 
ผมกระโดดข้ามเศษปูนใกล้ๆเท้า เดินหลบเศษเหล็ก เศษแก้ว แผ่นไม้แล้วก็กระป๋องที่ผมไม่รู้ว่าฉลากของมันอ่านว่าอะไร(แล้วทำไมผมถึงมองในความมืดได้ชัดขนาดนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน) นอกตัวอาคารนี้ปรากฏทิวทัศน์ของหญ้าที่ขึ้นรกเป็นช่วงๆจากนั้นผมก็ก้าวออกนอกตัวตึก................ตอนนั้นเอง...
ร่างกาย.......
ร่างกายของผม............ราวกับโดนแผดเผา
น่าจะรู้....ผมน่าจะรู้อยู่แล้วแท้ๆ....
ตะวันยามเย็นที่เห็นอยู่ทุกวัน............ราวกับมืดลง
ทุกอย่างสายเกินการ.........ร่างกายของผมกำลังใหม้
"อว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!"
ผมกรีดร้องราวกับเสียสติ
มันเจ็บปวดเกินกว่าจะบอกได้
เส้นผม , ผิวหนัง , เนื้อใน , กระดูก , ทุกๆอย่าง.............ถูกแผดเผา
มันกำลังใหม้
.....ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ....มันลุกลาม
"อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!"
แวมไพร์...
อ่อนแอต่อแสงแดดสินะ?
ราตรีคือศาสตราของแวมไพร์.....แต่มันไม่อาจทำลายดวงตะวัน
นั่นคือเหตุผล.....ที่ไร้ซึ่งเงา
แต่ตอนนี้ผมควรจะทำยังใงกับสภาพที่เกิดขึ้นกับผมดี --------
"เขลายิ่งนัก!"
เสียงนั้นดังก้องมาจากในตัวอาคารในระหว่างที่ผมกำลังพยายามกลิ้งตัวลงกับพื้นเพื่อดับไฟโดยการใช้ความรู้เท่าที่พอจะมีอยู่บ้าง (ถ้าจำไม่ผิดผมเคยอ่านมาจากในหนังสือเล่มใหนสักเล่มว่าถ้าโดนไฟคลอกจะต้องทำแบบนี้) 
ผมมองไปยังต้นเสียงนั้น...
ในขณะที่ผมกำลังใหม้...ความชื้นในร่างของผมหายไปอย่างมาก และด้วยสภาพแบบนี้เมื่อมองไปทางต้นเสียง...............ที่อยู่ต่อหน้าผมคงจะเป็นเด็กสาวผมทองขี้เซาคนนั้น
เด็กสาวคนนั้นมองมาที่ผมด้วยดวงตาที่งดงาม....
"เข้ามาข้างในนี้ เร็วๆเข้า!"
เธอร้องบอกแบบนั้น
แต่ถึงจะบอกแบบนั้นก็เถอะ....แต่เพราะความเจ็บมันมากเกินไปจนผมไม่สามารถเคลื่อนใหวได้ตามใจนึกร่างกายผมมันไม่ยอมรับคำสั่งอะไรอีกแล้ว
.......เมื่อเห็นผมเป็นแบบนี้....เด็กสาวราวกับตัดสินใจทันที เธอพุ่งตัวออกมานอกอาคาร
ทันทีที่พ้นตัวอาคาร ตอนนั้นเอง
เช่นเดียวกับผม........ร่างของเด็กสาวผู้มีผมสีทองก็ถูกแผดเผา
แต่ดูเหมือนเธอจะไม่แยแสเลยที่มันเป็นแบบนั้น เธอวิ่งมาที่ผมจากนั้นก็จับตัวผมที่กำลังจะกลายเป็นซาก....แล้วลากทันที
ไฟเริ่มขยายตัวลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับความเร็วที่เธอลากผมด้วยเช่นกัน
ผมสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเธอ....
พลังอันมหาศาลในร่างกายที่ดูราวกับเด็กๆ
เรียวแขนที่ผอมบางแต่เปี่ยมด้วยกำลังที่เหลือล้น........แต่ไม่มากพอที่จะอุ้มผมไป(ที่จริงคงได้แค่แบกล่ะนะ)
ทำได้เพียงแค่ลาก
ลากไปทั้งๆที่กำลังใหม้อยู่....
ราวกับว่าแม้กำลังจะถูกไฟเผาอยู่มันก็ไม่ส่งผลอะไรใดๆกับเธอเลย...........แต่หลังจากที่เด็กสาวลากผมที่กำลังลุกเป็นไฟเข้าไปในตัวอาคารที่แสงแดดส่องไปไม่ถึงซึ่งมันก็กินเวลาชั่วระยะหนึ่งเหมือนกัน
เรื่องที่น่าแปลกใจอีกเรื่องก็เกิดขึ้นกับผม...
ร่างกายของผม....
แล้วก็ร่างกายของเด็กสาวผมทองที่เคยถูกหุ้มด้วยเปลวไฟ ทันทีที่เข้ามาข้างในนี้เปลวไฟกลับอันตรธานไปจนหมด....ราวกับเวทย์มนต์ยังใงยังงั้น....
ไม่ใช่แค่นั้น..........แม้แต่รอยแผลไฟใหม้ก็ไม่มี
อีกทั้งเสื้อผ้าเองก็ไม่มีซักที่ที่ดูเหมือนโดนเผา
อย่างกับว่ากำลังใส่ชุดพรางตัวอยู่ทำนองนั้นเลย
เด็กสาวผมทองในชุดวันพีชบางเบาเองก็อยู่ในสภาพเดียวกันกับผม....
"เอ๋...เอ๋....เอ๋!!!!!!!!!!!"
"ให้ตายสิ"
ท่ามกลางดวงตาที่กำลังฟ้าฟาง....เด็กสาวเริ่มกล่าวคำพูด
"เจ้านึกบ้าอะไรจึงออกไปเดินท่ามกลางดวงตะวันเช่นนั้น......เราเพียงแค่นอนหลับไปชั่วครู่แต่เจ้ากลับทำเช่นนี้ เจ้าอยากจะตายมากนักหรือไร? หากว่าเป็นแวมไพร์ปรกติเจ้าคงจะสลายไปก่อนที่จะรู้สึกตัวแล้วด้วยซ้ำ!"
"เอ๋"
"คราวหลังอย่าแม้แต่จะออกไปข้างนอกหากว่าดวงตะวันยังส่องแสงอยู่ แม้เจ้าจะดูเหมือนเป็นอมตะแต่เจ้าก็ยังจะถูกมันผลาญเผา เจ้าจะคืนชีพ ถูกเผา คืนชีพ ถูกเผา เป็นล้านๆรอบ ตราบจนกว่าพลังในการคืนชีพของเจ้าจะหมดลงหรือดวงตะวันจะลับตาเจ้าจักต้องพบกับนรกเช่นนั้นไปเรื่อยๆ เพราะเจ้าในตอนนี้คือผู้มีพลังแห่งแวมไพร์แล้ว......"
"เอ๋ --------------------!!!!!"
แวมไพร์!?
เอ่อ...เดี๋ยวสิ....นี่ไม่ใช่ความฝันรึการเข้าใจผิดใช่มั๊ย?
"เอ่อ....อ่าโน....แล้ว....คุณ....คุณคือ?"
เรือนผมสีทอง...ชุดขาวบางเบา
และดวงตาที่แสนจะเย็นชา....
ไม่ใช่...อายุต่างกันมากเกินไป.........................เธอที่กำลังจะตายคนนั้นที่ผมเห็น แม้จะกะคะเนอายุไม่ตรงมากซักเท่าไหร่แต่ไม่ว่าจะดูยังใงเธอก็น่าจะอายุยี่สิบเจ็ดปีเป็นอย่างน้อย...
ทั้งหมดมันห่างจากเด็กผู้หญิงอายุสิบขวบคนนี้มากเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้น...อวัยวะ
แขนขวา , แขนซ้าย , ขาขวา , ขาซ้าย...เด็กสาวผมทองคนนี้มีครบถ้วน
ยัยเด็กสิบขวบคนนี้มีอวัยวะพวกนี้เหมือนปรกติ
เทียบกับเธอที่แขนขาถูกสะบั้น......................มันต่างกันโดยสิ้นเชิง...
แต่...
มันมีความคล้ายกันอยู่มาก
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็ตอนที่คุณมองไปในปากของเธอเวลาเธอพูดคุณจะมองเห็นเขี้ยวเล็กๆที่ขาวสะอาด.........แล้วก็ยังมี.......
"อา....แฮ่ม..."
เธอพยักหน้าเล็กน้อย...
จากนั้นด้วยความมั่นใจอะไรซักอย่าง เด็กสาวเชิดอก(ที่ไม่ค่อยจะมี)ขึ้นแล้วกล่าวว่า....
"นี่เราเอง...คิสช็อท - อาเซโรร่าโอไรออน - ฮาร์ทอันเดอร์เบลด อ้อ...เจ้าจะเรียกเราว่าฮาร์ทอันเดอร์เบลดก็ได้"
จากนั้นเธอก็พูดเรื่องที่ชวนอึ้งต่อมาอีกเรื่องหน้าตาเฉย
"ชั่วระยะเวลาสี่ร้อยปีเราเคยสร้างผู้รับใช้เพียงสองตนเท่านั้น....หืม?...หากจะวัดกันที่พลังในการคืนชีพของเจ้านับว่าเจ้าลืมตาตื่นขึ้นมาได้อย่างงดงาม และดูไปแล้วเราก็ไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าจะบ้าคลั่งด้วยเช่นกัน ที่จริงตอนแรกเราก็ค่อนข้างเป็นห่วงเล็กน้อยที่เจ้าไม่ยอมลืมตาขึ้นมาสักทีล่ะนะ"
"ผะ.....ผู้รับใช้เรอะ?"
"ใช่แล้ว เจ้า....อืม จะว่าไปเราก็กำลังนึกได้ เรายังไม่รู้ชื่อของเจ้าเลย...อืม แต่ก็นะ ชื่อของเจ้าที่เคยใช้มาตราบจนบัดนี้มันคงไม่มีความหมายอะไรสำหรับเจ้าอีกแล้ว ใช่ใหมล่ะ ผู้รับใช้แห่งเรา"
เธอหัวเราะน้อยๆ
แต่เป็นการหัวเราะที่แฝงใว้ซึ่งความชั่วร้าย...
"ยินดีต้อนรับ.........สู่โลกายามราตรี

ยินดีต้อนรับ......สู่โลกยามราตรี” 

“.....” 

ชีวิตแสนสั้นเพียง 17 ปี ของ อารารากิ โคโยมิ ควรจะจบสิ้นลงได้แล้ว 

แต่ไม่...ไม่ใช่การจบแบบนั้น 

ผมรู้สึกเหมือนความหมายมันเปลี่ยนไปเล็กน้อย 

เหมือนกับคำที่เรียกว่า....การเกิดใหม่ (Reborn) 

แวมไพร์ 

การ์ตูน...ภาพยนต์...เกม ตำนานที่เล่าขานต่อๆกันมาอย่างไม่สิ้นสุด สำหรับมนุษย์กว่าครึ่งโลกมันคือตัวตนที่มีมาแต่อดีต 

แต่สำหรับผม นักเรียนมัธยมปลาย แวมไพร์เป็นสิ่งที่ได้ยินไม่บ่อยนัก 

อาจพูดได้ว่า ไม่รู้จักเลย เสียมากกว่า 

ก็แค่สมญานาม...ปิศาจดูดเลือด 

อย่างมากที่สุดที่ผมพอจะรู้คือ มันไม่ชอบแสงอาทิตย์ ไม่มีเงา และอีกอย่างหนึ่งที่ผมพึ่งจะรู้ตอนได้คุยกับ ฮาเนคาว่า...อะไรนะ? เกลียดกระเทียม...ล่ะมั้ง

ผมไม่มั่นใจ 

ผมเลยพูดได้ว่า...ไม่รู้อะไรเลย 

เมื่อแวมไพร์ดูดเลือด... เหยื่อจะถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ 

ถ้าเลือดถูกดูดไป...จะกลายเป็นพวกเดียวกัน 

ถ้าเลือดถูกดูดไป...จะกลายเป็นผู้ติดตาม 

การบีบบังคับให้มนุษย์ลืมความเป็นมนุษย์...เรื่องพวกนี้ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย 

พรรคพวก 

ผู้ติดตาม 

ผมคิดว่าผมต้องตายแน่ๆ 

ถ้าใครคนหนึ่งสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมากเขาต้องตาย...เป็นเพราะผมมีเจตนาที่จะตาย ผมจึงยื่นคอของผมไปให้เธอ 

แต่...ใครจะคิดล่ะ 

ความตั้งใจที่จะเป็นแวมไพร์ของผมนั้นไม่เคยมี 

แต่สิ่งที่พูดมานี้ล้วนเปล่าประโยชน์...เหมือนการเสียใจในสิ่งที่ไม่อาจเรียกกลับคืน 

ตัวผมหลังจากที่ถูกเธอดูดเลือด...ได้กลายเป็นแวมไพร์ 

ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานมาพิสูจน์ 

ร่างกายนี้ที่เผาไหม้เมื่อต้องแสงแดด 

ร่างกายนี้ที่ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วหลังการสูญสลาย 

ดวงตาคู่นี้ที่มองเห็นชัดในความมืด 

และฟันแหลมคู่หนึ่งที่อยู่ในปาก...เขี้ยว 

เพียงเท่านี้...ก็พอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ 

หลักฐานอย่าง การมีเงาหรือไม่นั้น...ไม่จำเป็นหรอก 

ที่นี่...ที่ไหน” 

แต่... 

สำหรับอารารากิผู้โง่เขลา ซึ่งก็คือตัวผม ไม่ยอมที่จะเผชิญหน้ากับความจริง แต่กลับเริ่มต้นด้วยคำถามไร้สาระ 

ชั้น

สถานที่ที่ผมฟื้นขึ้นมา...สถานที่ที่พวกเรา 2 คนอยู่ 

อย่างน้อยที่นี่ก็เป็นตึกร้างแน่นอน...หน้าต่างทุกบานถูกปิดตายด้วยแผ่นไม้...ในอีกความหมายหนึ่ง ห้องที่ซึ่งไร้แสงอาทิตย์ 

แม้ว่าตัวผมจะสามารถฟื้นฟูได้...แต่ก็ใช่ว่าผมจะอยากโดนเผาไหม้ 

แต่เธอ...ใช้คำว่า ระเหย” (Evaporate) นี่นา

หืม...” 

ในขณะที่กำลังสะบัดผมสีบลอนด์ยาว เธอก็พูดขึ้น 

ถึงแม้เราจะเรียกมันว่า โรงเรียนสอนพิเศษ ก็เถอะ...แต่ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้มันถูกปิดลง จนกลายเป็นตึกร้างที่เหมาะแก่การซ่อนตัว” 

โฮ่...” 

โรงเรียนสอนพิเศษอย่างนั้นเหรอ 

แล้วก็กลายมาเป็นตึกร้าง 

แต่...ซ่อนตัว?...เป็นคำพูดที่ประหลาดดีแท้ 

เหมือนกับว่าพวกเรากำลังหนีบางอย่างอยู่ 

เพื่อจะดูแลผมตอนหมดสติ...เธอเลยเลือกที่แห่งนี้งั้นเหรอ

งั้น...คิสช็อท...คำถามต่อไป...” 

เดี๋ยวก่อน...” 

คิสช็อท หยุดผมไว้ 

เราจำได้ว่าบอกให้เรียกเรา ฮาร์ทอันเดอร์เบลด นี่” 

ยาวโคตร...ฮาร์ทอันเดอร์เบลด? แค่พูดชื่อเธอผมก็กัดลิ้นไป 2 ทีแล้ว เพราะงั้น คิสช็อท น่ะดีกว่า หรือผมเรียกเธอแบบนั้นไม่ได้เหรอ” 

“...ไม่” 

เหมือนอยากจะพูดบางอย่าง...แต่สุดท้ายเธอก็ส่ายหัว ผมสีบลอนด์ขยับเล็กน้อย 

เจ้าจะเรียกเราว่าอะไรก็ตามใจ...ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธอยู่แล้ว” 

เป็นประโยคที่น่าสงสัยจริงๆ 

อ้อ...ต่างชาติงั้นเหรอ...นาสกุลเธอคือ คิสช็อท หรือ อาเซโรล่าโอไรออน กันนะ? แล้วอยู่ดีๆจะเรียกเธอคิสช็อทแบบนี้มัน...แต่เดี๋ยวสิ สามัญสำนึกของมนุษย์เอามาใช้กับแวมไพร์ได้เหรอ

แล้ว...คำถามต่อไปของเจ้าล่ะ...คืออะไร” 

เอ่อ...ก็...ผมเป็นแวมไพร์ ?” 

คำถามที่สอง...เป็นคำถามที่ผมอยากถามมากที่สุด 

เพื่อการเผชิญหน้ากับความจริง มันเป็นสิ่งที่ผมต้องรู้ ถ้าหากไม่เป็นแบบนั้นล่ะก็...ผมยอมรับไม่ได้หรอก 

“...แน่นอน” 

คิสช็อทตอบอย่างชัดเจน 

ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก...เจ้าในตอนนี้ผู้ติดตามเรา เป็นข้ารับใช้ของเรา ภูมิใจซะเถอะ” 

ข้ารับใช้...” 

ข้ารับใช้งั้นเหรอ...น่าแปลกนะ...ผมไม่ได้รู้สึกเกลียดคำนี้เลย 

แล้ว...ทำไมเธอถึงกลายเป็นเด็กแบบนี้ล่ะ? เมื่อคืน...ไม่สิ สองคืนที่แล้วมั้ง? ตอนที่ผมเจอเธอ...เธอยังดูเป็นผู้ใหญ่อยู่เลย” 

โทษทีนะที่เราเหมือนเด็กน่ะ” 

ไม่ ไม่...ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น” 

เธออยู่ในร่างผู้ใหญ่...ถึงแม้ว่าแขนขาจะถูกตัดออกก็ตาม... 

นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะพูด 

เลือดของเจ้า...เราเอามาจนหมด” 

เธอโชว์ฟันเขี้ยวให้ผมเห็น...แล้วก็หัวเราะ 

ไม่ใช่เรื่องน่าขำสักหน่อย 

แต่เพียงแค่นี้น่ะยังไม่พอ... แค่เราจะรักษาชีวิตของเราไว้ รักษาระดับความอมตะ...พลังที่แท้จริงน่ะถูกจำกัดไว้...แย่จัง” 

เพียงแค่นั้น...เพื่อรักษาชีวิตไว้ 

ไม่อยากตาย... 

ภาพของเธอที่กำลังร้องไห้ เรียกผม...มันผุดขึ้นมาในหัว 

ในน้ำเสียงของคิสช็อทตอนนี้...ผมไม่สามารถจะเห็นภาพนั้นอีก 

ในตอนนี้ผมรู้แล้ว 

ในตอนนี้ผมพึ่งจะรู้... 

ผม...ได้ช่วยผู้หญิงคนนี้ไว้จริงๆ 

ช่วยแวมไพร์... 

ด้วยการสละชีวิตของผม... 

แขนขาของเรามีเพียงรูปร่างเท่านั้นที่กลับคืนมาแต่ข้างในน่ะว่างเปล่า...ก็ เท่านั้นแหละ ไม่น่ามีปัญหาอะไร...เพียงแต่ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับข้ารับใช้นั้นต้องชัดเจน ถึงแม้เราจะเป็นเด็กแบบนี้แต่เราก็เป็นแวมไพร์ที่มีอายุกว่า 500 ปีฉะนั้นการที่เจ้าจะมาพูดแบบเท่าเทียมกันน่ะ...เป็นเรื่องไม่ดี” 

อะ...อ้า...” 

หา? น้ำเสียงลังเลแบบนี้ ตกลงเจ้าเข้าใจหรือเปล่า” 

อะ...อืม...เข้าใจ” 

ดังนั้น...เพื่อเป็นการแสดงออกในความจงรักภักดีต่อเรา...ลูบหัวเราซะ” 

เธอสั่งผม...ช่างน่ายำเกรงยิ่งนัก 

... 

ลูบหัว 

หวา....ผมเธอนุ่มมากเลย 

ถึงจะมีผมเยอะก็เถอะแต่มันนุ่มลื่นจริงๆ 

พอแล้ว” 

“...นั่นคือการแสดงออกถึงความจงรักภักดีงั้นเหรอ” 

เจ้าไม่รู้เหรอ?” 

เธอมองผมอย่างเหยียดหยาม 

กฎเกณฑ์ของแวมไพร์ต่างกับมนุษย์สินะ 

ไร้ความรู้ซะจริง...ถึงเจ้าจะขาดการอบรมที่ดีก็เถอะ แต่เจ้าฉลาดมากที่เลือกจะจงรักภักดีกับเรา...ตัวเรานี่ช่างหาข้ารับใช้ได้ดี จริงๆ...แต่...นี่ เจ้าข้ารับใช้” 

คิสช็อทยังคงพูดต่อไป 

จ้องผมด้วยสายตาที่เย็นเยียบ 

เจ้าช่วยชีวิตเราไว้...ตัวเราที่อ่อนแอและไร้ทางสู้ในตอนนั้นถูกเจ้าช่วย ไว้...ดังนั้นเราจะยอมรับคำพูดจากับมารยาทแย่ๆของเจ้า...และจะยอมให้เจ้า เรียกเราว่าคิสช็อท” 

เรียก...เรียกเธอแบบนั้นมัน....” 

ตกลง เรียก อาเซโรล่าโอไรออน ดีกว่าสินะ 

มันก็ไม่ใช่ชื่อที่แย่นักหรอก....แต่ในเมื่ออณุญาตแล้วก็....นะ 

... 

ผมนึกถึงสิ่งที่คิสช็อทพูดไว้ 

---แขนขาเป็นแบบนี้ 

---เพียงรูปร่างเท่านั้นที่กลับคืนมา 

แน่นนอน...แม้ว่าร่างกายของเด็กสิบขวบนั้นค่อนข้างเล็ก...แต่คิสช็อทในตอนนี้มีแขนขา 

เพียงแค่รูป... 

ข้างในนั้น...ว่างเปล่า 

ยิ่งไปกว่านั้น...ในอนาคต เราอาจต้องยืมพลังของเจ้า” 

หา?” 

อะไรล่ะนั่น 

เอ่อ...จริงๆแล้ว...” 

ไม่...เจ้าไม่ต้องตื่นเต้นไป ข้ารับใช้แห่งเรา แค่เจ้าที่ได้ชื่อว่าเป็นข้ารับใช้นั้นก็เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความภักดี แล้ว เจ้าลูบหัวเราใช่มั้ย แล้วนั่นไม่ได้หมายถึงความเชื่อฟังงั้นเหรอ?” 

เธอพูดพร้อมกับยืดอก(?)ขึ้น 

เอ่อ...ถึงแม้ผมจะพูดว่ายืดอกก็เถอะ มันก็แค่ของเด็กสิบขวบ ไม่มีอะไรเลยสักนิด 

ถึงจะพูดว่ายืดอก...แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ว่าแอ่นหลังมากกว่า 

แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะมาบ่นอะไรตอนนี้... 

ไม่ได้ทำให้อะไรมันกระจ่างขึ้นเลย 

พอ...ผมจะทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อน...ได้เวลาที่ผมต้องถามคำถามที่อยากรู้ที่สุดแล้ว 

ทำไม...ถึงเปลี่ยนผมเป็นแวมไพร์?” 

หืม?” 

ผมตั้งใจว่าต้องตายแน่...ตอนที่ถูกเธอกัดคอ” 

“...ไม่มีอะไรหรอก...ไม่มีเหตุผล...ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครหากถูกดูดเลือดโดยแวมไพร์แล้วล่ะก็...เจ้าก็กลายเป็นแวมไพร์...แค่นั้น” 

เป็นแบบนี้นี่เอง” 

เป็นแบบนี้สินะ 

ผม...ยื่นคอไปให้เธอ 

ตั้งใจไว้ว่าจะต้องตาย 

แต่... 

ความตั้งใจที่จะเปลี่ยนจากมนุษย์เป็นแวมไพร์...ผมมีหรือเปล่านะ

อ้า...สำหรับเราแล้วทุกอย่างก็ลงตัวนะ...เจ้ารู้ไหมว่าทำไม” 

คิสช็อทไม่ได้เปลี่ยนไปเลย...เธอยังคงพูดด้วยน้ำเสียงยโสเช่นเดิม 

สำหรับเจ้า มันเป็นเรื่องที่ต้องทำ” 

“...เหมือนที่เธอพูด ยืมพลังของผมงั้นเหรอ” 

---เรื่องที่เธอต้องยืมพลังของผมไปใช้ 

ใช่...แม้ว่าเลือดของเจ้าจะทำให้ร่างของเราฟื้นฟูได้...แต่ตัวเราในตอนนี้ ยังห่างจากสภาพที่เรียกว่าสมบูรณ์นัก...ฉะนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าต้องเป็นคนที่จัดการทุกอย่าง” 

จากนี้...เป็นต้นไป 

แน่นอน...เสร็จงานแล้วก็จากไป นั่นล่ะตัวเรา แวมไพร์ เลือดเหล็ก(Iron-Blooded) เลือดร้อน และ เลือดเย็น คิสช็อท-อาเซโรล่าโอไรออน-ฮาร์ทอันเดอร์เบลด” 

“...” 

ยาวโคตร 

แค่ชื่ออย่างเดียวเล่นไปกี่ตัวอักษรล่ะนั่น 

ผมว่า แค่เลือดเย็นอย่างเดียวก็น่าจะพอ 

งั้น....” 

ผมอยากจะถามจริงๆ แต่ถ้าถามออกไป ประเด็นของเรื่องที่คุยกันก็จะไปผิดที่ผิดทาง แต่ถ้าคิสช็อทอยากจะทำแบบนั้นล่ะก็...ได้เหมือนกัน...แต่ผมยังมีเรื่องที่ สำคัญต้องถามเธออีก 

ฉะนั้นผมจึงถามสิ่งที่อยากจะถามที่สุดอีกครั้ง 

สิ่งนี้ที่ผมอยากจะได้ยิน 

ผม...” 

การตัดสินใจครั้งสุดท้าย...สิ่งที่ผมจะพูด 

มองเธออย่างแน่วแน่ 

เพื่อค้นหาคำตอบ 

ผม...จะกลับเป็นมนุษย์ไม่ได้ใช่ไหม?” 

หืม” 

คิสช็อท ไม่ได้มีปฏิกริยาตามที่ผมคาดไว้ 

ผมคิดว่าเธอคงจะโมโหหรือคิดว่ามันแปลก อาจจะสับสน....นั่นเป็นปฏิกริยาตอบรับที่ผมคาดไว้แต่เธอเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น 

ใช่...เราคิดว่าเป็นเช่นนั้น” 

การคาดการของผมผิดพลาด แต่สำหรับคิสช็อทเธอเดาถูก 

เรื่องที่ผมอยากจะถาม 

ผมโดนเธอมองได้ทะลุปรุโปร่ง 

เราเองก็เข้าใจที่เจ้ามีความรู้สึกแบบนั้น” 

เข้าใจเหรอ?” 

ตัวตนที่สูงส่ง 

ตามที่ฮาเนคาว่าบอกมา อย่างน้อย...จากมุมมองของคิสช็อทแล้วมนุษย์ก็เหมือนตัวตนที่ต้อยต่ำ 

งั้น... 

เรื่องที่ว่า...ไม่ชอบใจที่กลายเป็นแวมไพร์ 

เรื่องที่ว่า...อยากกลับไปเป็นมนุษย์อีกครั้ง 

ผมคิดว่า...สำหรับคิสช็อทแล้วเรื่องพวกนี้ต้องเป็นเรื่องที่เธอไม่เข้าใจสิ 

เราเข้าใจ” 

คิสช็อทพูด 

ตัวเราเองก็เคยถูกเชื้อเชิญไปเป็น พระเจ้า...แต่เราก็ปฏิเสธ” 

พระเจ้า...?” 

เรื่องอดีตน่ะ” 

ถึงเธอจะพูดออกมาแบบนั้น...แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ผมไม่สมควรพูดถึง 

อยากกลับไปเป็นมนุษย์...หรือก็คือ กลับไปเป็นตัวตนเดิมของเจ้า...ถึงเราจะบอกว่า ข้อต้อนรับสู่โลกยามราตรี- ก็เถอะ...แต่เราไม่คิดหรอกนะว่าเจ้าจะยอมรับมันได้” 

อ้อ...” 

งั้นผมก็...” 

“...กลับเป็นแบบเดิมได้” 

คิสช็อทพูดด้วยเสียงที่บางเบา แต่ดวงตาที่มองผมนั้นก็ยังเย็นเยียบ ราวกับจะทิ่มแทง 

กลับ...เป็นมนุษย์” 

ด้วยสายตาที่จ้องมองผม ราวกับว่าเธอต้องการจะตอกย้ำคำพูดนั้น 

เราขอสาบานด้วยชื่อของเรา” 

“...” 

แน่นอน...ข้ารับใช้แห่งเรา เจ้าจะต้องเชื่อฟังเรา นี่ไม่ใช่คำสั่ง...แต่เป็นคำขู่...ถ้าเจ้าต้องการกลับเป็นมนุษย์ล่ะก็...จง ภักดีต่อเราซะ” 

ตามด้วยเสียงหัวเราะ...ที่แสนจะทนทุกข์นั่น



เรื่องเล่าอันโหดร้าย...

โคโยมิแวมไพร์ บทที่ 4 END