@111018

นิยาย - Bakemonogatari 05/18

starsatan View 875

ดราม่าเทอร์กี้ (Dramaturgie) 

เอพิโสด 

กิโยตินคัตเตอร์ 

นั่นคือชื่อของผู้ที่เอาแขนขาคิสช็อตไป...ประมาณนั้น 
อย่างน้อย คิสช็อตก็ได้ยินวีรกรรมของทั้งสามคนนี้มาอีกที แต่ยังไงซะมันก็ยังยากที่จะทำความเข้าใจ 
ฟังแล้วเหมือนต่างชาติ...ผมรู้สึกมึนกับชื่อของพวกนั้นจริงๆ แต่ก็พอจับใจความได้คร่าวๆ 

ดราม่าเทอร์กี้...เอาขาขวาของเธอไป 

เอพิโสด...เอาขาซ้ายของเธอไป 

กิโยตินคัตเตอร์...เอาแขนทั้งสองข้างไป 

แต่ละคนเอาชิ้นส่วนของเธอไปคนละอย่าง 

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงอยู่ในสภาพใกล้ตายแบบนั้น...สภาพที่ หากไม่ดื่มเลือดผมล่ะก็ เธอต้องตายแน่ 
แม้จะเป็นร่างกายที่อมตะ 
แต่มันก็ตายได้... 
ในจุดนี้คนที่เข้าใจดีที่สุดคงเป็นตัวเธอเอง 
ความตายของเธอในตอนนั้นมันช่างแน่นอน...ใช้สภาพร่างกายแบบนั้น หนีจากคนพวกนั้น ผมว่ามันไม่ง่ายเลย 

ทำไม...” 

ในระหว่างที่ผมกำลังฟังเธออธิบาย...ก็เผลอหลุดคำถามออกไป 

ทำไมต้องขโมยแขนขาของเธอไปด้วยล่ะ...” 

ตัวเราคือแวมไพร์ สามคนนั้นเป็นมนุษย์...อืม แต่ตัวเจ้าก็ไม่ใช่แล้วซะด้วย ยังไงก็เถอะ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าปิศาจไงล่ะ” 

คิสช็อตพูด...ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว 

กำจัดปิศาจคือสิ่งที่เที่ยงธรรม” 

“...” 

สามคนนั้นคือมืออาชีพในการล่าแวมไพร์...เลี้ยงชีพตนเองด้วยการฆ่าเรา ด้วยชื่อเสียงแบบนั้น...เจ้าคงเคยได้ยินมาบ้างสินะ” 

คงเคย...งั้นเหรอ 

แวมไพร์ที่พึ่งจะเป็นแวมไพร์ได้สามวันอย่างผมเนี่ยนะ... 

ลองคิดๆดูแล้วจะว่าไม่รู้ ก็ไม่รู้...แต่จะว่าเคย ก็เคยได้ยินนะ 

งั้น...พวกเราต้องเอาชนะทั้งสามคนนั้นสินะ” 

เจ้านี่ไร้สมองเสียจริง...นั่นเท่ากับวิ่งไปหาที่ตายเลยไม่ใช่รึ แม้ว่าการโดนตัดแขนขามันช่างทรมานใจก็เถอะ ตัวเราในตอนนี้มีพลังฟื้นฟูไม่มาก...ในสถานการณ์แบบนี้ จะให้เราสู้ได้ยังไง” 

ก็แบบนั้นแหละ...อย่างที่เราบอก...” 

คิสช็อตพูดต่อไปราวกับเป็นเรื่องที่แสนธรรมดา 

ก็แค่ให้เจ้าปะทะกับพวกนั้น...แล้วเอาชิ้นส่วนของเราคืนมา” 

ห๊ะ....?” 

เงียบ....พูดไม่ออก...ตามไม่ทัน 

แล้ว...มันง่ายอย่างนั้นเลย?” 

ฮึ่ม...ดูเหมือนว่าเราจะอธิบายอะไรต่อมิอะไรให้เจ้ายังไม่กระจ่างนะ...ถ้าเจ้าอยากกลับเป็นมนุษย์ก็ต้องอาศัยพลังของเราในร่างที่สมบูรณ์...เพื่อการนั้น แขนขาของเราจึงเป็นสิ่งจำเป็นไงล่ะ” 

แต่...แต่เรื่องต่อสู้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตความถนัดของผมนี่...” 

ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้โกหก...แต่ทำไมฟังดูเหมือนผมกำลังหาข้อแก้ตัวยังไงไม่รู้ 

ด้านกีฬาของผมน่ะไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกนะ แต่มันก็ไม่ได้ดีมาก...ส่วนเรื่องสภาพร่างกาย ก็อย่างที่เธอเห็นอยู่ เรื่องชกต่อยน่ะไม่เคยเลย...แล้วก็ถ้าซี้ซั้วขึ้นมา ผมก็จะโดนเก็บซะเองน่ะสิ” 

เจอกับนักล่าแวมไพร์...ผมเองตอนนี้ก็เป็นแวมไพร์อยู่นะ 

ความเป็นไปได้นี่สูงสุดๆเลย 

เพราะคู่ต่อสู้ของผมเป็นคนที่ชำนาญการล่าแวมไพร์...ยิ่งไปกว่านั้น ถึงพวกเขาจะไม่ฆ่าผมเพราะเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่การเอาชิ้นส่วนของคิสช็อตคืนนี่ฝันไปได้เลย 

เจ้าบ้า...นั่นเฉพาะตอนที่เจ้าเป็นมนุษย์ต่างหาก” 

ท่าทางเธอจะเริ่มเหนื่อยใจกับผมแล้ว 

เจ้าคือข้ารับใช้แห่งเรา...แม้ว่าจะอยู่ในสถานภาพที่อ่อนแอที่สุด แต่เจ้าในตอนนี้ก็สามารถฆ่าเราได้” 

“...? งั้นหมายความว่า...ถึงเธอจะเป็นแวมไพร์แต่ความจริงแล้วเธอกระจอกมากเลยสินะ” 

ไม่!!!” 

ทำเธอโกรธซะแล้ว 

เป็นคนที่ยั่วโมโหง่ายยิ่งนัก 

เจ้าคิดแบบนั้นก็เพราะสิ่งที่เราพูดไปเมื่อกี้สินะ...เราจะเปลี่ยนความเข้าใจของเจ้าซะใหม่...ในบรรดาแวมไพร์ เราคือผู้ที่แกร่งที่สุด จนเรียกได้ว่าเราคือ Kaii Killer เลยล่ะ” 

“Kaii Killer...” (ไคอิ คิลเลอร์)

มันคืออะไรน่ะ Kaii 

ปิศาจ...อสูรกายงั้นเหรอ 

ช่างมันเถอะ... 

อืม...ถึงตอนนี้เธอจะไม่แข็งแกร่งเท่าผมก็เถอะ...ถึงเธอจะแกร่งกว่า แต่สามคนนั่นก็เอาแขนขาของเธอไปได้แม้จะอยู่ในร่างสมบูรณ์เหรอ? งั้นก็หมายความว่า...” 

เราโดนซุ่มโจมตีต่างหาก...เราประมาทพวกนั้นเกินไป...ประเมิณมันต่ำไป...ความจริงแล้วต่อให้ทั้งสามคนรวมพลังกันก็สู้เราไม่ได้หรอกนะ” 

หา?” 

โดยพื้นฐานแล้ว...” 

คิสช็อตพูด...ด้วยความยโส 

ตราบใดที่เป็นหนึ่งต่อหนึ่งล่ะก็...สามคนนั้นสู้เจ้าไม่ได้หรอก มันเป็นงานง่ายนะ การที่เจ้าจะกลับเป็นมนุษย์มันง่ายจริงๆ” 

แน่นอน...ผมไม่โดนหลอกด้วยคำพูดลอยๆแบบนี้หรอก 

ด้วยเหตุนี้...ผมเลยลองเดินรอบๆเมืองตอนกลางคืนดู 

ช่วงหลังพระอาทิตย์ตกเล็กน้อย...ในที่สุดผมก็ได้ออกจากโรงเรียนร้างนี่ซะแล้วก็ได้รู้ที่อยู่ของตัวเอง 

โรงเรียนร้างแห่งนี้ตั้งอยู่ขอบชานเมืองที่ผมอาศัยอยู่...ก็อย่างที่ว่ามา...ในสถานที่แบบนี้มีรงเรียนสอนเสริมพิเศษที่ถูกทิ้งร้างไว้แบบนี้...ผมไม่เคยรู้มาก่อน 

คงโดนอิทธิพลของโรงเรียนพิเศษแถวๆหน้าสถานีเลยต้องเจ๊งล่ะมั้ง 

จากนั้นผมก็กดโทรศัพท์ต่อสายถึงที่บ้าน...โชคดีที่คนรับคือน้องสาวคนโตของผม...ตอนนี้พี่ชายกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางในวันหยุดฤดูใบไม้ผลิเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงอยู่นะ ช่วยบอกทุกคนด้วยล่ะ...ผมพูดกับเธอแบบนั้น 

น้องสาวผมตกลงซะด้วย... 

แต่...ด้วยประการฉะนี้ เลยทำให้น้องสาวคิดว่า ผมเป็นพี่ชายที่อยู่ๆก็ออกเดินทางค้นหาตัวเองแบบไม่ดูเวล่ำเวลา... 

ผมนี่ช่างไร้ประโยชน์ซะจริงๆ 

หลังจากนั้น น้องสาวคนเล็กก็ส่งข้อความมาหาผม 

น้องสาวมัธยมต้นที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ...ดังนั้นพวกเธอคงใช้คอมพิวเตอร์ในห้องนั่งเล่นส่งข้อความหาผม 

ถึง พี่ชาย...บางครั้งคนเราก็หลงทางได้...แต่เมื่อพี่จิตใจสงบลงแล้วก็คิดให้ดีๆนะ...ว่า ทิลทิล กับ มิททิล หานกสีฟ้าเจอจากไหนน่ะ” 

*** Maeterlinck's Blue Bird: Tyltyl and Mytyl's Adventurous Journey เป็นอนิเมกำกับโดย ฮิโรชิ ซาซากาว่า ฉายเมื่อปี 1980 โดยใช้พื้นเรื่องคือ ละคร ของ มอร์ริส มีเทอร์ลิงก์ (Maurice Maeterlinck) *** 

........ 

ผมโดนน้องสั่งสอน... 

ได้รับข้อความแบบนี้...แถมยังเปลืองแบตโทรศัพท์ฟรีๆอีกต่างหาก...ชักฉุนแล้วแฮะ 

แต่ จะว่าไปแล้ว ผมจะชาร์จแบตมือถอจากที่ไหนล่ะเนี่ย...ที่ชาร์จอยู่บ้านซะด้วย...งั้นคงต้องซื้อที่ร้านสะดวกซื้อแล้วล่ะ 

เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะใช้ไปฟ้าจากตึกร้างนั่น...งั้นคงต้องซื้อแบตเตอรี่เลยสินะ 

งั้นถ้าหากว่าทุกอย่างสามารถจบลงก่อนที่ แบตผมจะหมด ผมก็สามารถข้ามปัญหานี้ไปได้ 

เผลอตัวหนีความจริงอีกแล้วแฮะ 

พวกนั้นไม่ใช่คู่มือของเราหรอก...แล้วก็สู้เจ้าไม่ได้ด้วย...” 

เอ่อ...มันง่ายแบบนั้นเลยเหรอ

ถึงแม้ตอนแรกผมจะเชื่อครึ่งนึงก็เถอะ...แต่พลังในฐานะแวมไพร์ของผมเป็นของจริง...แต่ถ้าจะพิสูจน์มันล่ะก็ ผมคงโดนจับเข้าคุกในข้อหาทำลายของสาธารณะแหงๆเลย 

แต่ก็นะ...ยังไงก็เป็นตึกร้าง 

สักตูมสองตูมคงไม่เป็นไรมั้ง 

ประมาณนั้น... 

แต่ยังมีบางเรื่อง...ที่ยังคาใจอยู่แฮะ” 

จากคำพูดของคิสช็อต 

งั้น...สามคนนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ เธอรู้หรือเปล่า” 

ไม่รู้” 

เฮ้ย...ไม่รู้...?” 

ความวิตกที่เกินกว่าเหตุนั้นไม่จำเป็นเลย...แค่เดินรอบๆเมืองดู ศัตรูก็จะมาหาเจ้าเอง...ฝั่งนั้นเป็นถึงนักล่าแวมไพร์นะ แค่หาแวมไพร์ตัวเดียว มันง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ” 

งั้นเหรอ...” 

อืม...จะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ที่นี่ก็ตามใจเจ้า แต่ตอนกลางคืนที่พลังของแวมไพร์ขึ้นสูงสุด จงออกไปข้างนอกซะ...ก็เหมือนแมลงที่บินเข้าหากองไฟนั่นแหละ พวกนั้นจะต้องมาหาเจ้าแน่นอน” 

“.....” 

แมลงบินเข้ากองไฟ...แมลงนั่นคือสามคนนั้นใช่ไหม...ไม่ใช่ผมนะ 

ในตอนนี้...พวกนั้นคงตามหาเราแบบพลิกเมืองเลยล่ะ...ถ้าดวงดีล่ะก็ คืนนี้คงได้เจอ” 

หึ หึ หึ หึ 

คิสช็อตหัวเราะชนิดคุมไม่อยู่...ส่งเสียงแปลกๆออกมาด้วยแฮะ 

ก็นะ...การที่ไม่ต้องไปตามหาพวกนั้นช่วยได้มากโขทีเดียว 

แต่..ผมรู้สึกว่าตัวเองตัวเองไม่ได้ให้ความสนใจกับความลงตัวทั้งหมด(Rhythm) เท่าไหร่นัก 

ผมควรจะถามเรื่องพวกนี้บ้างบางครั้งใช่ไหม

เรื่องความจริงที่ว่าผมเป็นแวมไพร์ 

เรื่องที่ว่าผมสามารถกลับเป็นมนุษย์ได้ 

ผมมั่นใจได้มั้ยว่าคิสช็อตไม่ได้โกหกผมอยู่ 

หลอกใช้ผมให้เอาชิ้นส่วนของเธอกลับมา...ไม่ได้มองผมเป็นอาหาร แต่มองผมเหมือน เบี้ย ตัวหนึ่ง 

แต่สำหรับเรื่องนั้น...คิสช็อตบอกผมตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่ใช่คำสั่ง...แต่เป็นคำขู่ 

...เพื่อที่ให้ผมไม่คิดว่า มันคือการเสียเวลา- ใช้การกลับเป็นมนุษย์มาหลอกผม 

โดยใช้เหยื่อล่อ...เธอโกหกผม 

มีความเป็นไปได้ที่คิสช็อตจะคิดแบบนั้น 

“......” 

ไม่... 

ทำให้ผมกลายเป็นข้ารับใช้ เธอไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้ แค่คำสั่งก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ

....อืม.... 

ไม่... 

ในตอนนี้เธออยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้ฟลังแวมไพร์ได้...เพราะฉะนั้น ถ้าไม่หลอกผม เธอก็ทำให้ผมเชื่อฟังไม่ได้ 

อืม มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ 

ภายนอกเธอดูเหมือนเด็กสิบขวบ แต่ผมจะคิดว่าเธอเป็นเด็กไม่ได้ 

นึกภาพตอนที่พบเธอในร่างโต เธอดูฉลาดทีเดียว 

อย่างน้อยถ้าเป็นตามที่ได้ยิน เธอก็อยู่มา 500 ปีแล้ว 

ความคิดของเธอไม่ได้ช้ากว่าผมแน่นอน 

แล้วก็... 

ผมยังไม่ได้รู้เรื่องที่เป็นกุญแจหลักเลย 

ผมคิดถึงแต่การกลับเป็นมนุษย์ จนลืมเรื่องสำคัญไป...ผมลืมถามคิสช็อต ว่าเหตุใดกันที่เธอมาอยู่ในเมืองเล็กๆแบบนี้ 

ปิศาจน่ะมักจะตลกๆแบบนี้แหละ 

แต่เธอเป็นแวมไพร์ของโลกตะวันตกไม่ใช่เหรอ... 

แล้วสามคนนั่นก็ถูกคิสช็อตพามาเหมือนกัน 

อืม...” 

ไม่ว่าผมจะพูดยังไง...ก็ยังน่าสงสัยอยู่ดี 

ไม่ว่าคิสช็อตจะวางแผนอย่างไรไว้...ผมก็ยังเชื่อเธอไม่ได้ 

แต่ตอนนี้ผมต้องทำตามที่เธอสั่งไปก่อน...เธอยังมีอำนาจคุมเกมมากกว่าผมอยู่ 

เริ่มจากเอาแขนขาของเธอกลับมา...ผมจะทิ้งทุกอย่างเอาไว้ก่อน 

ไม่ว่าผมจะผิดแค่ไหนก็ตาม...เรื่องของนักล่าแวมไพร์สามคนนั้นยังไงก็ไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน 

ตามที่คิสช็อตบอก...ผมยอมทำตัวเป็นเหยื่อล่อ...เดินไปที่ทางสามแยก 

ในตอนนั้นแหละ... 

ทำให้ผมรู้ว่า... 

แวมไพร์ผู้มีชื่อ คิสช็อต อาเซโรล่าโอไรออน ฮาร์ทอันเดอร์เบลด ถึงแม้จะอยู่มา 500 ปีแล้ว แต่ความคิดของเธอยังตื้นอยู่นัก 

ตราบใดที่สู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง สามคนนั้นไม่มีทางชนะผมงั้นเหรอ...ถึงเธอจะพูดแบบนั้นก็เถอะ...แล้วสมมติฐานนั่น เอาหลักฐานไหนมาพิสูจน์ล่ะ 

แล้วเธอก็โดน สามคนนั้นปราบด้วยไม่ใช่เหรอ

ด้วยความรู้สึก...สมองผมคงพังไปแล้วล่ะ 

แต่...มันสายไปเสียแล้ว 

หนึ่งวินาทีก่อนสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น...คือช่วงเวลาที่ผมพึ่งจะนึกของพวกนั้นได้ 

ทำให้ดีล่ะ แล้วทุกอย่างจะจบภายในคืนนี้...คือสิ่งที่คิสช็อตบอกผม 

แต่ลองคิดๆดูแล้ว...ความเป็นไปได้ที่ชีวิตผมจะจบภายในคืนนี้นั้นมีสูงกว่า 

การตายครั้งที่สองของผม 

ด้วยฝีมือของนักล่าสามคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้... 

จะ...จะทำยังไงดีฟะเนี่ย...

ผมจะเริ่มจากทางขวาก่อนก็แล้วกัน 

ยักษ์ใหญ่ที่ตัวสูงกว่า 2 เมตร มือทั้งสองข้างถือดาบคดเคี้ยวขนาดใหญ่...กำลังเดินตรงมาทางนี้ 

ด้วยร่างกายที่ใหญ่โต กางเกงยีนส์นั่นน่าจะมาใช้เป็นถุงนอนของผมได้เลย เสื้อเชิ้ตนั่นถ้าแผ่ออกมาล่ะก็ประมาณ 5 เท่าของเสื้อผมล่ะมั้ง 

บนหัวยุ่งๆนั่นก็ใส่ที่คาดผมไว้อันหนึ่ง 

ผู้ที่มีร่างกายเหมือนก้อนกล้ามเนื้อ ใบหน้าจริงจังและริมฝีปากปิดสนิท กำลังถือดาบใหญ่ 2 อัน จ้องมาที่ผม 

ตามที่ผมได้รับรู้มา...ชายคนนี้คือ ดราม่าเทอร์กี้ 

ผู้ที่ขโมยขาขวาของคิสช็อตไป 

ฮึ่มมม.....” 

แล้ว...ที่ด้านซ้ายของผม 

แตกต่างกับดราม่าเทอร์กี้โดยสิ้นเชิง...ชายที่รูปร่างผอมเพรียว ใบหน้าที่ดูซื่อๆแต่สายตาที่จ้องมาที่ผมนั้นคมกริบ 

ถ้าผมอุปมาว่า สายตาสามารถฆ่าคนได้ล่ะก็ ... ผมคงตายทันทีที่โดนสายตาคู่นี้จ้อง... 

ดวงตาเหลือกขึ้นเล็กน้อยมองเห็นตาขาวด้านล่าง ชุดนักเรียนสีขาว เมื่อมองดูแล้ว อายุท่าจะน้อย 

แต่เหนืออื่นใดคือไม้กางเขนขนาดใหญ่ที่แบกอยู่บนบ่า...มันช่างขัดกับภาพพจน์ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง 

ขนาดมันใหญ่เท่าร่างของคนทั่วไปประมาณ 3 เท่า...น้ำหนักก็เช่นกัน...ไม้กางเขนแบบนี้มันท้าทายพระเจ้าชัดๆ 

มันไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไว้บูชาแน่นอน...มันดูเหมือนอาวุธซะมากกว่า 

ชายผู้ที่มีสายตาจ้องผมจนทะลุกับรอยยิ้มบางๆ และไหล่ที่แบกไม้กางเขน... 

ตามที่รู้มา...เขาคือ เอพิโสด 

คนที่ขโมยขาซ้ายของคิสช็อต 

“...แล้ว...จะยังไงดีล่ะทีนี้” 

ข้างหลังผม... 

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...ที่ชายสวมผ้าคลุมคล้ายนักบวช เมื่อเทียบกับอีกสองคนแล้ว คนนี้ดูจะซื่อกว่ามาก ด้วยทรงผมที่ดูเหมือนขนเม่น...ทำให้บรรยากาศตึงเครียดน้อยลง 

ผมไม่สามารถมองเห็นอารมณ์ในดวงตาคู่นั้นที่ไม่รู้ว่าปิดหรือเปิดอยู่ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าดาบคู่ยักษ์หรือไม้กางเขนนั่น ชายคนนี้ไม่ถืออาวุธ... 

แต่อย่างไรก็ตาม เขาคือผู้ที่เอาชิ้นส่วนของคิสช็อตไปมากที่สุด 

ชายที่เหมือนนักบวช...ใบหน้าที่ไม่บ่งบอกความอันตราย...ในมือไม่มีอาวุธ...กำลังเดินเข้าหาผมด้วยท่าทีสบายๆ 

ชายผู้นี้คือ...กิโยตินคัตเตอร์ 

เอาแขนทั้งสองข้างของคิสช็อตไป...ซ้าย และ ขวา 

บางทีฉันอาจจะไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้นะ...” 

ผู้ชำนาญในการล่าแวมไพร์ 

ดราม่าเทอร์กี้...เอพิโสด...กิโยตินคัตเตอร์ 

ทั้งสามคนนั้น...ล้อมผมไว้ 

ไม่มีทางหนี...เหมือนหนูในกรง 

อ๋า...นาย...” 

คนที่เปิดปากก่อนคือชายที่แบกไม้กางเขนไว้บนบ่า...เอพิโสด 

น้ำเสียงเหมือนกับรูปลักษณ์...ยุ่งเหยิง 

ไม่ใช่ฮาร์ทอันเดิร์เบลดนี่น่า...แล้วใครกันล่ะ” 

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■” 

ดราม่าเทอร์กี้มองข้ามหัวผมที่อยู่ตรงกลาง เพื่อตอบเอพิโสด 

แต่ผมไม่เข้าใจคำพูดของเขาสักนิด 

นี่พวกเขาเมินผมเหรอ... 

ไม่...ไม่ดีเลย ดราม่าเทอร์กี้” 

นักบวชข้างหลังผม...กิโยตินคัตเตอร์ พูดขัดขึ้น 

ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวล 

ถ้านายกำลังทำภารกิจอยู่ที่นี่...นายก็ต้องใช้ภาษาของที่นี่สิ” 

“.....” 

แน่นอน ผมอยากหันกลับไปมองคนพูด แต่นั่นหมายความว่าผมจะต้องหันหลังให้ เอพิโสด กับ ดราม่าเทอร์กี้ 

กิโยตินคัตเตอร์...เหมือนอีกสองคน เขาไม่สนใจผมและพูดต่อไป 

แต่ก็ตามที่นายบอกนั่นแหละดราม่าเทอร์กี้...บางที...ไม่สิ ต้องใช่แน่นอน...เด็กหนุ่มคนนี้คือผู้ติดตามของ ฮาร์ทอันเดอร์เบลด” 

จริงเหรอ” 

เอพิโสดพูดขึ้น...ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ 

เจ้าแวมไพร์นั่นถือคติไม่สร้างทาสรับใช้นี่นา” 

ก่อนหน้านี้ฉันเคยได้ยินว่าเธอก็มี 1 คนนะ” 

““
■■■…… บางทีอาจเป็นเพราะเราไล่ต้อนเธอจนไม่มีหนทางอื่นแล้วยังไงล่ะ” 

ครั้งนี้ดราม่าเทอร์กี้ พูดด้วยภาษาญี่ปุ่น 

เพราะร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ทำให้ผมคิดว่าเขาอาจเป็นพวกที่ใช้แต่กำลัง...แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย 

แล้วมันหมายความว่ายังไงล่ะ” 

เอพิโสด ยิ้มบางๆแล้วพูดขึ้น 

เขาขยับกางเขนบนใหล่เล็กน้อย 

ปกปิดพลังที่มี...ต้องตามหา ฮาร์ทอันเดอร์เบลดอย่างด่วนที่สุด...สิ่งที่เราจะทำได้คือถามเจ้าหนุ่มนี่” 

ก็คงต้องเป็นแบบนั้น” 

หลังจากฟังสิ่งที่เอพิโสดพูด ดราม่าเทอร์กี้พยักหน้า...กิโยตินคัตเตอร์ก็เช่นกัน 

ถ้าฉันจัดการเด็กหนุ่มคนนี้ได้ ฉันคงได้รางวัลเป็นที่อยู่ของฮาร์ทอันเดอร์เบลด” 

บางทีพวกเขาอาจไว้ชีวิตผมที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อนล่ะมั้ง

อย่างน้อยผมก็ต้องมองด้านบวกซะมั่ง 

คนเหล่านี้...ตั้งแต่แรก ทำกับผมเหมือนผมไม่ใช่คู่มือ 

เมินผม 

ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่าผมเป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่ 

ตัวตนของผม...ดูไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกนั้น 

เอ...” 

กิโยตินคัตเตอร์พูดขึ้น 

ตามที่เอพิโสดพูด...ถ้าเด็กคนนี้รู้ที่อยู่ของฮาร์ทอันเดอร์เบลดล่ะก็...มันก็มีปัญหานิดหน่อยนะ” 

เชื่อมือฉันเถอะน่ะ..” 

เอพิโสดพูด พร้อมกับหัวเราะ 

ฆ่ามันแบบไม่ให้เหลืออะไรที่จะส่งผลกระทบกับเราเลยไงล่ะ” 

ไม่...ข้าจะจัดการเอง” 

ดราม่าเทอร์กี้พูด 

ให้ข้าทำ...เพราะข้าเป็นคนที่เข้าใจตัวตนของแวมไพร์มากที่สุด” 

ฉันก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ...ถ้าจะให้ฉันทำน่ะ” 

กิโยตินคัตเตอร์บอกอีกสองคน 

พวกนายสองคนคงจะเหนื่อยแล้ว...” 

อย่า...อย่าซี้ซั้วพูดกันแบบนี้เซ่!!!!!” 

รวบรวมความกล้า...ผมคำรามออกไป 

ไม่ได้มองหน้าใคร... 

ไม่สบตากับใคร... 

ผมตะโกน 

พวกนายพูดอะไรกันน่ะ...พวกนาย อยู่ดีๆก็พูดเรื่องที่จะฆ่าผม...ผมเป็นมนุษย์นะ...” 

“...” 
“......” 
“.....” 

อย่างน้อยมันก็สร้างความเงียบได้ทันที 

คำพูดผมจะส่งถึงพวกเขาไหมนะ... 

แต่ก็เพียงแค่นั้น... 

สิ่งที่ส่งถึงมีเพียงเสียง...แต่ความหายนั้นไม่เลย 

ไม่มีใคร...จอบผมเลยสักคน 

งั้น ก็เอาแบบเดิมละกัน” 

ทันใดนั้น...ดราม่าเทอร์กี้ก็พูดขึ้น 

ได้เลย...ใครเร็วใครได้สินะ” 

ตามด้วย เอพิโสด 

ดี...ยุติธรรมดี...จะได้พิสูจน์ฝีมือเลย” 

ปิดท้ายด้วย กิโยตินคัตเตอร์ 

หลังจากนั้น...นักล่าแวมไพร์ทั้งสาม 

เกือบจะช่วงเวลาเดียวกัน...ผมเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสามทางที่พุ่งเข้าหาผม...นี่สินะ สายตาของแวมไพร์ 

มองเห็นในที่มืด...และการจับภาพที่แสนพิเศษ...แต่ 

ถึงผมจะมองเห็นก็เถอะ...ผมจะทำยังไงดีล่ะ 

อะ...อ้าาาา” 

การเคลื่อนไหวของผม...บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่โง่ที่สุดในสถานการณ์แบบนี้ บังหัวด้วยมือสองข้าง ก้มตัวลงเหมือนลูกบอล 

ขดตัวลงอยู่กับที่... 

ยอมแพ้ที่จะต่อสู้...แต่มันไม่ได้เรียกว่าป้องกัน...มันก็เป็นแค่การหลีกหนีความเป็นจริง 

ผมไม่ได้ล้อเล่น... 

นี่คือนิสัยที่ไม่ว่าจะเป็นตัวละครของ การ์ตูน หนัง หรือ เกม ไหนก็ไม่ควรจะมี 

แค่นักเรียนมัธยมปลายธรรมดา จะสู้กับนักล่าแวมไพร์สามคนได้ยังไงกัน... 

นี่มันอะไรกัน ? สามพลังป่วนพิทั**โลก เหรอ

ผมจะไปชนะได้ยังไง... 

ถ้าผมทำลายกำแพงคอนกรีตได้...แล้วไงล่ะ... 

ถ้าผมกระโดดสูงขึ้น หรือเคลื่อนไหวเร็วขึ้นได้...แล้วไงล่ะ... 

ผมจะใช้พลังพวกนั้นทำอะไรได้บ้าง... 

ผมไม่เคยต่อสู้...ไม่เคยชกต่อยด้วย 

อะไรกัน... 

จะตายอีกแล้วเหรอเนี่ย 

ชีวิตนี้ที่มอบให้คิสช็อต... 

ไม่!!!!! 

“..........................” 

........... 
.......... 
.......... 

แต่...ไม่ว่าผมจะรอนานแค่ไหน...การโจมตีของทั้งสามคนนั้นก็ไม่ถึงตัวผม 

หรือเป็นเพราะพวกนั้นกลัว... 

หรือบางทีเพราะผมมันไร้ค่าเกินไป...พวกเขาเลยกลับไปแล้ว...ไม่ เป็นไปไม่ได้ 

ผมเงยหน้าที่ซุกอยู่กับหัวเข่าขึ้นมา 

แล้ว.... 

“....ฮ่ะ ฮ่ะ” 

ผมได้ยินเสียงหัวเราะที่ดูสบายๆ 

กลางที่อยู่อาศัยแบบนี้...ตวัดดาบ...แกว่งไม้กางเขน...ส่งสียงเอะอะ...พวกนายนี่คึกคักกันจังเลยน้าาา....” 

ดราม่าเทอร์กี้ กระชับดาบในมือทั้งสองข้าง... 

เอพิโสดพิงกางเขนไว้กับขาขวา... 

กิโยตินคัตเตอร์สะบัดมือซ้ายขึ้นโจมตีอย่างฉับไว...แต่มันถูกหยุดไว้ ก่อนที่จะแตะถูกตัวเป้าหมาย 

ใครกันน่ะ... 

ตาลุงคนนึงที่เดินผ่านมา 

ยืนด้วยท่าสบายๆ...พร้อมพูดขึ้นว่า... 

นี่...มีอะไรดีๆเกิดขึ้นงั้นเหรอ?” 


เรื่องเล่าอันโหดร้าย...
โคโยมิแวมไพร์ บทที่ 5 END