ดราม่าเทอร์กี้ (Dramaturgie)
เอพิโสด
กิโยตินคัตเตอร์
นั่นคือชื่อของผู้ที่เอาแขนขาคิสช็อตไป...ประมาณนั้น
อย่างน้อย คิสช็อตก็ได้ยินวีรกรรมของทั้งสามคนนี้มาอีกที
แต่ยังไงซะมันก็ยังยากที่จะทำความเข้าใจ
ฟังแล้วเหมือนต่างชาติ...ผมรู้สึกมึนกับชื่อของพวกนั้นจริงๆ
แต่ก็พอจับใจความได้คร่าวๆ
ดราม่าเทอร์กี้...เอาขาขวาของเธอไป
เอพิโสด...เอาขาซ้ายของเธอไป
กิโยตินคัตเตอร์...เอาแขนทั้งสองข้างไป
แต่ละคนเอาชิ้นส่วนของเธอไปคนละอย่าง
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงอยู่ในสภาพใกล้ตายแบบนั้น...สภาพที่
หากไม่ดื่มเลือดผมล่ะก็ เธอต้องตายแน่
แม้จะเป็นร่างกายที่อมตะ
แต่มันก็ตายได้...
ในจุดนี้คนที่เข้าใจดีที่สุดคงเป็นตัวเธอเอง
ความตายของเธอในตอนนั้นมันช่างแน่นอน...ใช้สภาพร่างกายแบบนั้น
หนีจากคนพวกนั้น ผมว่ามันไม่ง่ายเลย
“ทำไม...”
ในระหว่างที่ผมกำลังฟังเธออธิบาย...ก็เผลอหลุดคำถามออกไป
“ทำไมต้องขโมยแขนขาของเธอไปด้วยล่ะ...”
“ตัวเราคือแวมไพร์ สามคนนั้นเป็นมนุษย์...อืม
แต่ตัวเจ้าก็ไม่ใช่แล้วซะด้วย ยังไงก็เถอะ
มันเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าปิศาจไงล่ะ”
คิสช็อตพูด...ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว
“กำจัดปิศาจคือสิ่งที่เที่ยงธรรม”
“...”
“สามคนนั้นคือมืออาชีพในการล่าแวมไพร์...เลี้ยงชีพตนเองด้วยการฆ่าเรา
ด้วยชื่อเสียงแบบนั้น...เจ้าคงเคยได้ยินมาบ้างสินะ”
คงเคย...งั้นเหรอ
แวมไพร์ที่พึ่งจะเป็นแวมไพร์ได้สามวันอย่างผมเนี่ยนะ...
ลองคิดๆดูแล้วจะว่าไม่รู้ ก็ไม่รู้...แต่จะว่าเคย
ก็เคยได้ยินนะ
“งั้น...พวกเราต้องเอาชนะทั้งสามคนนั้นสินะ”
“เจ้านี่ไร้สมองเสียจริง...นั่นเท่ากับวิ่งไปหาที่ตายเลยไม่ใช่รึ
แม้ว่าการโดนตัดแขนขามันช่างทรมานใจก็เถอะ
ตัวเราในตอนนี้มีพลังฟื้นฟูไม่มาก...ในสถานการณ์แบบนี้ จะให้เราสู้ได้ยังไง”
“ก็แบบนั้นแหละ...อย่างที่เราบอก...”
คิสช็อตพูดต่อไปราวกับเป็นเรื่องที่แสนธรรมดา
“ก็แค่ให้เจ้าปะทะกับพวกนั้น...แล้วเอาชิ้นส่วนของเราคืนมา”
“ห๊ะ....?”
เงียบ....พูดไม่ออก...ตามไม่ทัน
“แล้ว...มันง่ายอย่างนั้นเลย?”
“ฮึ่ม...ดูเหมือนว่าเราจะอธิบายอะไรต่อมิอะไรให้เจ้ายังไม่กระจ่างนะ...ถ้าเจ้าอยากกลับเป็นมนุษย์ก็ต้องอาศัยพลังของเราในร่างที่สมบูรณ์...เพื่อการนั้น
แขนขาของเราจึงเป็นสิ่งจำเป็นไงล่ะ”
“แต่...แต่เรื่องต่อสู้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตความถนัดของผมนี่...”
ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้โกหก...แต่ทำไมฟังดูเหมือนผมกำลังหาข้อแก้ตัวยังไงไม่รู้
“ด้านกีฬาของผมน่ะไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกนะ
แต่มันก็ไม่ได้ดีมาก...ส่วนเรื่องสภาพร่างกาย ก็อย่างที่เธอเห็นอยู่
เรื่องชกต่อยน่ะไม่เคยเลย...แล้วก็ถ้าซี้ซั้วขึ้นมา ผมก็จะโดนเก็บซะเองน่ะสิ”
เจอกับนักล่าแวมไพร์...ผมเองตอนนี้ก็เป็นแวมไพร์อยู่นะ
ความเป็นไปได้นี่สูงสุดๆเลย
เพราะคู่ต่อสู้ของผมเป็นคนที่ชำนาญการล่าแวมไพร์...ยิ่งไปกว่านั้น
ถึงพวกเขาจะไม่ฆ่าผมเพราะเคยเป็นมนุษย์มาก่อน
แต่การเอาชิ้นส่วนของคิสช็อตคืนนี่ฝันไปได้เลย
“เจ้าบ้า...นั่นเฉพาะตอนที่เจ้าเป็นมนุษย์ต่างหาก”
ท่าทางเธอจะเริ่มเหนื่อยใจกับผมแล้ว
“เจ้าคือข้ารับใช้แห่งเรา...แม้ว่าจะอยู่ในสถานภาพที่อ่อนแอที่สุด
แต่เจ้าในตอนนี้ก็สามารถฆ่าเราได้”
“...? งั้นหมายความว่า...ถึงเธอจะเป็นแวมไพร์แต่ความจริงแล้วเธอกระจอกมากเลยสินะ”
“ไม่!!!”
ทำเธอโกรธซะแล้ว
เป็นคนที่ยั่วโมโหง่ายยิ่งนัก
“เจ้าคิดแบบนั้นก็เพราะสิ่งที่เราพูดไปเมื่อกี้สินะ...เราจะเปลี่ยนความเข้าใจของเจ้าซะใหม่...ในบรรดาแวมไพร์
เราคือผู้ที่แกร่งที่สุด จนเรียกได้ว่าเราคือ Kaii Killer เลยล่ะ”
“Kaii Killer...” (ไคอิ คิลเลอร์)
มันคืออะไรน่ะ Kaii
ปิศาจ...อสูรกายงั้นเหรอ
ช่างมันเถอะ...
“อืม...ถึงตอนนี้เธอจะไม่แข็งแกร่งเท่าผมก็เถอะ...ถึงเธอจะแกร่งกว่า
แต่สามคนนั่นก็เอาแขนขาของเธอไปได้แม้จะอยู่ในร่างสมบูรณ์เหรอ? งั้นก็หมายความว่า...”
“เราโดนซุ่มโจมตีต่างหาก...เราประมาทพวกนั้นเกินไป...ประเมิณมันต่ำไป...ความจริงแล้วต่อให้ทั้งสามคนรวมพลังกันก็สู้เราไม่ได้หรอกนะ”
“หา?”
“โดยพื้นฐานแล้ว...”
คิสช็อตพูด...ด้วยความยโส
“ตราบใดที่เป็นหนึ่งต่อหนึ่งล่ะก็...สามคนนั้นสู้เจ้าไม่ได้หรอก
มันเป็นงานง่ายนะ การที่เจ้าจะกลับเป็นมนุษย์มันง่ายจริงๆ”
แน่นอน...ผมไม่โดนหลอกด้วยคำพูดลอยๆแบบนี้หรอก
ด้วยเหตุนี้...ผมเลยลองเดินรอบๆเมืองตอนกลางคืนดู
ช่วงหลังพระอาทิตย์ตกเล็กน้อย...ในที่สุดผมก็ได้ออกจากโรงเรียนร้างนี่ซะแล้วก็ได้รู้ที่อยู่ของตัวเอง
โรงเรียนร้างแห่งนี้ตั้งอยู่ขอบชานเมืองที่ผมอาศัยอยู่...ก็อย่างที่ว่ามา...ในสถานที่แบบนี้มีรงเรียนสอนเสริมพิเศษที่ถูกทิ้งร้างไว้แบบนี้...ผมไม่เคยรู้มาก่อน
คงโดนอิทธิพลของโรงเรียนพิเศษแถวๆหน้าสถานีเลยต้องเจ๊งล่ะมั้ง
จากนั้นผมก็กดโทรศัพท์ต่อสายถึงที่บ้าน...โชคดีที่คนรับคือน้องสาวคนโตของผม...ตอนนี้พี่ชายกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางในวันหยุดฤดูใบไม้ผลิเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงอยู่นะ
ช่วยบอกทุกคนด้วยล่ะ...ผมพูดกับเธอแบบนั้น
น้องสาวผมตกลงซะด้วย...
แต่...ด้วยประการฉะนี้ เลยทำให้น้องสาวคิดว่า
ผมเป็นพี่ชายที่อยู่ๆก็ออกเดินทางค้นหาตัวเองแบบไม่ดูเวล่ำเวลา...
ผมนี่ช่างไร้ประโยชน์ซะจริงๆ
หลังจากนั้น น้องสาวคนเล็กก็ส่งข้อความมาหาผม
น้องสาวมัธยมต้นที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ...ดังนั้นพวกเธอคงใช้คอมพิวเตอร์ในห้องนั่งเล่นส่งข้อความหาผม
“ถึง พี่ชาย...บางครั้งคนเราก็หลงทางได้...แต่เมื่อพี่จิตใจสงบลงแล้วก็คิดให้ดีๆนะ...ว่า
ทิลทิล กับ มิททิล หานกสีฟ้าเจอจากไหนน่ะ”
*** Maeterlinck's Blue Bird: Tyltyl and Mytyl's Adventurous Journey เป็นอนิเมกำกับโดย ฮิโรชิ ซาซากาว่า ฉายเมื่อปี 1980 โดยใช้พื้นเรื่องคือ ละคร ของ มอร์ริส มีเทอร์ลิงก์ (Maurice
Maeterlinck) ***
........
ผมโดนน้องสั่งสอน...
ได้รับข้อความแบบนี้...แถมยังเปลืองแบตโทรศัพท์ฟรีๆอีกต่างหาก...ชักฉุนแล้วแฮะ
แต่ จะว่าไปแล้ว
ผมจะชาร์จแบตมือถอจากที่ไหนล่ะเนี่ย...ที่ชาร์จอยู่บ้านซะด้วย...งั้นคงต้องซื้อที่ร้านสะดวกซื้อแล้วล่ะ
เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะใช้ไปฟ้าจากตึกร้างนั่น...งั้นคงต้องซื้อแบตเตอรี่เลยสินะ
งั้นถ้าหากว่าทุกอย่างสามารถจบลงก่อนที่ แบตผมจะหมด
ผมก็สามารถข้ามปัญหานี้ไปได้
เผลอตัวหนีความจริงอีกแล้วแฮะ
“พวกนั้นไม่ใช่คู่มือของเราหรอก...แล้วก็สู้เจ้าไม่ได้ด้วย...”
เอ่อ...มันง่ายแบบนั้นเลยเหรอ ?
ถึงแม้ตอนแรกผมจะเชื่อครึ่งนึงก็เถอะ...แต่พลังในฐานะแวมไพร์ของผมเป็นของจริง...แต่ถ้าจะพิสูจน์มันล่ะก็
ผมคงโดนจับเข้าคุกในข้อหาทำลายของสาธารณะแหงๆเลย
แต่ก็นะ...ยังไงก็เป็นตึกร้าง
สักตูมสองตูมคงไม่เป็นไรมั้ง
ประมาณนั้น...
“แต่ยังมีบางเรื่อง...ที่ยังคาใจอยู่แฮะ”
จากคำพูดของคิสช็อต
“งั้น...สามคนนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ เธอรู้หรือเปล่า”
“ไม่รู้”
“เฮ้ย...ไม่รู้...?”
“ความวิตกที่เกินกว่าเหตุนั้นไม่จำเป็นเลย...แค่เดินรอบๆเมืองดู
ศัตรูก็จะมาหาเจ้าเอง...ฝั่งนั้นเป็นถึงนักล่าแวมไพร์นะ
แค่หาแวมไพร์ตัวเดียว มันง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ”
“งั้นเหรอ...”
“อืม...จะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ที่นี่ก็ตามใจเจ้า
แต่ตอนกลางคืนที่พลังของแวมไพร์ขึ้นสูงสุด
จงออกไปข้างนอกซะ...ก็เหมือนแมลงที่บินเข้าหากองไฟนั่นแหละ
พวกนั้นจะต้องมาหาเจ้าแน่นอน”
“.....”
แมลงบินเข้ากองไฟ...แมลงนั่นคือสามคนนั้นใช่ไหม...ไม่ใช่ผมนะ
“ในตอนนี้...พวกนั้นคงตามหาเราแบบพลิกเมืองเลยล่ะ...ถ้าดวงดีล่ะก็
คืนนี้คงได้เจอ”
หึ หึ หึ หึ
คิสช็อตหัวเราะชนิดคุมไม่อยู่...ส่งเสียงแปลกๆออกมาด้วยแฮะ
ก็นะ...การที่ไม่ต้องไปตามหาพวกนั้นช่วยได้มากโขทีเดียว
แต่..ผมรู้สึกว่าตัวเองตัวเองไม่ได้ให้ความสนใจกับความลงตัวทั้งหมด(Rhythm)
เท่าไหร่นัก
ผมควรจะถามเรื่องพวกนี้บ้างบางครั้งใช่ไหม ?
เรื่องความจริงที่ว่าผมเป็นแวมไพร์
เรื่องที่ว่าผมสามารถกลับเป็นมนุษย์ได้
ผมมั่นใจได้มั้ยว่าคิสช็อตไม่ได้โกหกผมอยู่
หลอกใช้ผมให้เอาชิ้นส่วนของเธอกลับมา...ไม่ได้มองผมเป็นอาหาร
แต่มองผมเหมือน เบี้ย ตัวหนึ่ง
แต่สำหรับเรื่องนั้น...คิสช็อตบอกผมตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่ใช่คำสั่ง...แต่เป็นคำขู่
...เพื่อที่ให้ผมไม่คิดว่า –มันคือการเสียเวลา-
ใช้การกลับเป็นมนุษย์มาหลอกผม
โดยใช้เหยื่อล่อ...เธอโกหกผม
มีความเป็นไปได้ที่คิสช็อตจะคิดแบบนั้น
“......”
ไม่...
ทำให้ผมกลายเป็นข้ารับใช้
เธอไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้ แค่คำสั่งก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ ?
....อืม....
ไม่...
ในตอนนี้เธออยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้ฟลังแวมไพร์ได้...เพราะฉะนั้น
ถ้าไม่หลอกผม เธอก็ทำให้ผมเชื่อฟังไม่ได้
อืม มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ภายนอกเธอดูเหมือนเด็กสิบขวบ แต่ผมจะคิดว่าเธอเป็นเด็กไม่ได้
นึกภาพตอนที่พบเธอในร่างโต เธอดูฉลาดทีเดียว
อย่างน้อยถ้าเป็นตามที่ได้ยิน เธอก็อยู่มา 500 ปีแล้ว
ความคิดของเธอไม่ได้ช้ากว่าผมแน่นอน
แล้วก็...
ผมยังไม่ได้รู้เรื่องที่เป็นกุญแจหลักเลย
ผมคิดถึงแต่การกลับเป็นมนุษย์
จนลืมเรื่องสำคัญไป...ผมลืมถามคิสช็อต
ว่าเหตุใดกันที่เธอมาอยู่ในเมืองเล็กๆแบบนี้
ปิศาจน่ะมักจะตลกๆแบบนี้แหละ
แต่เธอเป็นแวมไพร์ของโลกตะวันตกไม่ใช่เหรอ...
แล้วสามคนนั่นก็ถูกคิสช็อตพามาเหมือนกัน
“อืม...”
ไม่ว่าผมจะพูดยังไง...ก็ยังน่าสงสัยอยู่ดี
ไม่ว่าคิสช็อตจะวางแผนอย่างไรไว้...ผมก็ยังเชื่อเธอไม่ได้
แต่ตอนนี้ผมต้องทำตามที่เธอสั่งไปก่อน...เธอยังมีอำนาจคุมเกมมากกว่าผมอยู่
เริ่มจากเอาแขนขาของเธอกลับมา...ผมจะทิ้งทุกอย่างเอาไว้ก่อน
ไม่ว่าผมจะผิดแค่ไหนก็ตาม...เรื่องของนักล่าแวมไพร์สามคนนั้นยังไงก็ไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน
ตามที่คิสช็อตบอก...ผมยอมทำตัวเป็นเหยื่อล่อ...เดินไปที่ทางสามแยก
ในตอนนั้นแหละ...
ทำให้ผมรู้ว่า...
แวมไพร์ผู้มีชื่อ คิสช็อต อาเซโรล่าโอไรออน ฮาร์ทอันเดอร์เบลด
ถึงแม้จะอยู่มา 500 ปีแล้ว
แต่ความคิดของเธอยังตื้นอยู่นัก
ตราบใดที่สู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง
สามคนนั้นไม่มีทางชนะผมงั้นเหรอ...ถึงเธอจะพูดแบบนั้นก็เถอะ...แล้วสมมติฐานนั่น
เอาหลักฐานไหนมาพิสูจน์ล่ะ
แล้วเธอก็โดน สามคนนั้นปราบด้วยไม่ใช่เหรอ?
ด้วยความรู้สึก...สมองผมคงพังไปแล้วล่ะ
แต่...มันสายไปเสียแล้ว
หนึ่งวินาทีก่อนสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น...คือช่วงเวลาที่ผมพึ่งจะนึกของพวกนั้นได้
ทำให้ดีล่ะ แล้วทุกอย่างจะจบภายในคืนนี้...คือสิ่งที่คิสช็อตบอกผม
แต่ลองคิดๆดูแล้ว...ความเป็นไปได้ที่ชีวิตผมจะจบภายในคืนนี้นั้นมีสูงกว่า
การตายครั้งที่สองของผม
ด้วยฝีมือของนักล่าสามคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้...
“จะ...จะทำยังไงดีฟะเนี่ย...”
|