หลังจากที่ผมอาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะขึ้นจักยานที่พึ่งซื้อมาเมื่อเดือนก่อนระยะทาง 15 กิโลเมตรโดยจักยานแล้วถือว่าไม่น้อยเลยยิ่งกับตัวผมที่อยู่ในช่วงฟื้นตัวแล้วยิ่งลำบากใหญ่
เป้าหมายของการเดินทางคือโรงพยาบาลที่พึ่งสร้างมาไม่นานนี้ตั้งอยู่บนบริเวณชานเมืองโทโกโรซาว่าในเขตไซตามะ
บนตึกนั้นเอง... เธอยังคงหลับใหลอยู่
เมื่อสองเดือนก่อนบนชั้นที่ 75 ของ <<ไอคราด>>ผมสามารถเอาชนะ <<ดาบศักดิ์สิทธิ์>>เฮลท์คลิฟและเอาชนะเกมนี้ได้ในที่สุดหลังจากนั้นก็ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลของโลกแห่งความเป็นจริง
แต่ว่าเธอ... คนที่สำคัญที่สุดของผม <<ประกายแสง>> อาสุนะ ยังไม่กลับมา...
มันไม่ยากที่จะถามหาว่าเธออยู่ไหน ทันทีที่ผมได้สติกลับคืนมาในโรงพยาบาลโตเกียวผมก็เดินออกไปจากห้องด้วยผ่าเท้าที่ไม่มั่นคงสักพักก็ถูกนางพยาบาลเจอเข้าและถูกส่งกลับห้อง และหลังจากนั้นราวๆสิบนาทีผู้ชายในชุดสูทก็มาเยี่ยมแล้วแนะนำตัวเองว่ามาจาก <<สำนักงานภายใน – แผนกรับมือสถานการณ์ SAO>>
นี่เป็นองค์กรที่ดูเหมือนจะตั้งขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเมื่อสองปีที่แล้วถึงพวกเขาจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตามแต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นกันเพราะถ้าพวกเขาไปทำอะไรกับเซิฟเวอร์โดยไม่ปลดโปรแกรมรักษาความปลอดภัยของ คายาบะอาคิฮิโกะ หรือผู้อยู่เบื้องหลังก่อนแล้วล่ะก็ สมองของผู้เล่นหนึ่งหมื่นคนจะต้องถูกทำลายและคงไม่มีใครกล้ารับภาระในระดับนั้น
ดังนั้นพวกเขาจึงทำหน้าที่สังเกตและเฝ้าดูอาการของผู้เล่นในโรงพยาบาลแทนความหวังของพวกเขานั้นเป็นเพียงแสงอันน้อยนิดนั้นคือสังเกตข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันกับผู้เล่นและตัวเซิฟเวอร์
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมาสังเกตการณ์ผมที่เป็นหนึ่งในกลุ่มแนวหน้าติดตามเลเวล ตำแหน่ง และบทบาทต่อกลุ่มที่พยายามเอาชนะเกมดังนั้นเมื่อผู้เล่นทั่วญี่ปุ่นตื่นขึ้นมา...เจ้าหน้าที่กระทรวงก็รีบเข้ามาพูดคุยโดยหวังว่าจะได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมได้ทำการต่อรองไปว่าผมจะเล่าทุกอย่างให้เขาฟังแต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเขาต้องบอกในสิ่งที่ผมต้องการจะรู้ด้วย
สิ่งที่ผมต้องการรู้คือที่อยู่ของอาสุนะและไม่กี่นาทีต่อมาหลังจากที่เจ้าหน้าที่คนนั้นคุยโทรศัพท์เสร็จก็หันตอบคำถามผมด้วยความรู้สึกสับสนโดยไม่ปิดบัง
“ยูกิ อาสุนะเพิ่งถูกย้ายไปที่สถานพยาบาลอีกแห่งในโทโกซาว่าแต่ว่าเธอยังไม่ฟื้น... เช่นเดียวกับผู้เล่นอีกสามร้อยคนที่ยังไม่ได้ติเหมือนกัน”
ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าอาจจะมีอะไรขัดข้องในเซิฟเวอร์แต่สำหรับผมแล้วเวลาชั่วโมงได้เปลี่ยนเป็นทั้งวันเมื่อเธอยังไม่ฟื้นขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นเพราะแผนการของ อากิฮิโกะคายาบะ ผู้หายสาบสูญยังคงได้สร้างความวุ่นวายให้กับผู้คนอยู่หรือเพราะว่าผมยังจำภาพไอคราดที่พังทลายในแสงอัสดงก็ตาม...
เขาได้พูดไว้ว่าได้ปลดปล่อยผู้เล่นที่เหลืออยู่แล้วและมันไม่น่าจะมีเหตุผลให้เขาต้องโกหก ดังนั้นผมจึงมั่นใจว่าเขาต้องหายไปพร้อมกับโลกใบนั้นไปแล้วแน่ๆ
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดหรือใครสักคนวางแผนไว้เบื้องหลังเซิฟเวอร์ของ SAO ที่น่าจะรีเซ็ตไปแล้วยังคงทำงานต่อNerve Gear ของอาสุนะเองก็ยังคงทำงานต่อไปและยังคงกักขังดวงวิญญาณเธอไว้ที่ไหนสักแห่งที่ผมเองก็ไม่รู้... แต่... แต่ถ้า...ถ้า... ถ้าผมสามารถกลับไปที่นั่นได้อีกเพียงแค่ครั้งเดียว...
ถ้าเกิดซูกุฮะรู้ว่าผมทำอะไรลงไปเธอคงจะโกรธมากๆ...ในตอนนั้นผมทิ้งกระดาษโน้ตเอาไว้แล้วสวม NerveGear เพื่อที่จะเข้าเกม SAO แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาคือข้อความอันโหดร้ายว่าเกิดข้อบกพร่อง<<Error: Cannot connect to server>>
ตั่งแต่วันที่ร่างกายของผมเริ่มฟื้นฟู...ตั้งแต่วันที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ... และตั้งตอนนั้นจนถึงตอนนี้ผมก็พยายามมาเยี่ยมอาสุนะอยู่เสมอ
สำหรับผมแล้วนี่เป็นเรื่องยากมาก...ความรู้สึกที่อะไรบางอย่างที่สำคัญที่สุดต้องมาถูกช่วงชิงไปอย่างไร้เหตุผลนั้นทรมานยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายหรือทางใจ
หลังจากที่ปั่นจักรยานมาได้สี่สิบนาทีผมก็ออกจากถนนหลักแล้วเลี้ยวเข้าถนนที่มีลมแรงที่อยู่บนเนินสูงชันไม่นานหลังจากนั้นสิ่งปลูกสร้างขนาดมหึมาก็ปรากฏต่อสายตาของผมซึ่งที่นี่ก็คือสถานพยาบาลของเอกชน
เนื่องจากผมได้กลายเป็นที่คุ้นเคยของผู้รักษาความปลอดภัยจึงไม่จำเป็นที่จะต้องถามหาเหตุผลอะไรทั้งนั้นผมได้เอาจักรยานไปจอดในที่จอดรถขนาดใหญ่ก่อนจะไปทำเรื่องเข้าเยี่ยมเพื่อทำบัตรผมติดบัตรนั้นไว้ที่หน้าอกแล้วไปที่ลิฟต์
ในชั่วอึดใจเดียวผมก็มาถึงชั้นบนสุดซึ่งเป็นชั้นที่สิบแปดบนชั้นนี้เป็นชั้นสำหรับผู้ป่วยที่ต้องทำการรักษาในระยะยาวแต่กลับไม่ค่อยมีคนขึ้นมาที่ชั้นนี้มากนักและที่ปลายสุดของทางเดินนั่นเองผมก็ได้พบกับประตูสีเขียวในที่สุด บนกำแพงข้างประตูมีป้ายชื่อเรียบๆติดไว้อยู่
<<ยูกิ อาสุนะ>>
ข้างของใต้ป้ายชื่อนั้นมีช่องบางๆลากยาวเอาไว้ผมถอดบัตรออกจากหน้าอกแล้วเสียบไว้ที่ปลายของช่องนั้นแทนประตูเลื่อนเปิดออกพร้อมกับเสียงเครื่องจักรเบาๆ
เมื่อได้ก้าวเข้ามาผมก็ได้กลิ่นอ่อนๆของดอกไม้มันออกจะดูไม่เข้ากันนักที่ได้เห็นดอกไม้สดวางไว้ในห้องที่ตกแต่งด้วยเครื่องประดับของฤดูหนาวในส่วนกลางห้องนั้นถูกแบ่งกั้นเอาไว้ด้วยผ้าม่านซึ่งผมกำลังเดินเข้าไป
“ได้โปรดเถอะ...ขอให้เธอตื่นขึ้นมา...” ผมเตะที่ผ้าม่านแล้วภาวนาต่อปาฏิหาริย์จากนั้นจึงค่อยๆเปิดผ้าม่านออกจากกัน
อุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยแบบครบชุดเหมือนกับที่ผมเคยมี...แม้แต่ฟูกเตียงก็ยังเป็นแบบเดียวกันแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาฉาบไล้ที่ใบหน้าของอาสุนะนี่ถ้าผมไม่รู้อะไรเลยคงจะคิดว่าเธอกำลังหลับอยู่เสียด้วยซ้ำ
ครั้งแรกที่มาเยี่ยมผมยังอดคิดไม่ได้ว่าเธอจะไม่พอใจหรือเปล่าที่มาหาเธอในขณะที่อยู่ในสภาพนี้?แต่สุดท้ายความกังวลที่ว่าก็จางหายไปเพราะว่าเธอนั้นช่างงดงามเสียเหลือเกิน
ผมสีเกาลัดเข้มแผ่ออกราวกับลายน้ำที่ตัดกับผ้าปูเตียงผิวที่ขาวสะอาดไร้มลทินและสีกุหลาบอ่อนๆที่ระบายอยู่บนแก้ม
รูปร่างของเธอนั้นยังดูเหมือนกับในโลกนั้นไม่มีผิดริมฝีปากที่เป็นสีเชอรี่อ่อน ขนตายาวที่กระเพื่อราวกับจะตื่นขึ้นมาได้ทุกวินาทีถ้าไม่ติดตรงที่เครื่องสวมหัวนั่นละก็...
Nerve Gear... ไฟ LEDทั้งสามจุดยังคงกระพริบอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นหลักฐานว่าตัวเครื่องยังคงทำงานอยู่แม้แต่ในตอนนี้เอง... ดวงจิตของเธอก็ยังติดอยู่ในโลกที่ไหนสักแห่งผมคว้ามือเธอขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อสัมผัสไออุ่นจากเธอสัมผัสอันคุ้นเคยนั้นทำให้ผมต้องกลั่นหายใจเพื่อที่จะห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
“อาสุนะ...”
เสียงนาฬิกาปลุกทำให้ผมตื่นขึ้นมาจากความฝันและกว่าที่ผมจะรู้ตัวก็พบว่าตอนนี้เป็นช่วงบ่ายเข้าไปแล้ว
“ผมไปแล้วนะอาสุนะ...แล้วไว้ผมจะมาใหม่”
พอพูดอย่างนั้นจบผมก็ต้องตกใจเพราะเสียงเปิดประตูและพอผมได้หันไปมองก็พบกับผู้ชายสองคนที่เดินเข้ามาในห้อง
“อ๋อ... คิริกายะคุงนี่เองขอโทษนะที่เข้ามารบกวน”
ชายสูงวัยที่เคร่งขรึมตรงหน้าผมเก็บบัตรเข้ากระเป๋าจากรูปร่างภายนอกนั้นเขาเป็นคนที่ออกจะกระตือรือร้นและมั่นใจในตัวเองแต่ตอนนี้เริ่มมีผมขาวงอกขึ้นมาเพราะความเป็นห่วงลูกสาวตลอดสองปีที่ผ่านมาเขาก็คือ ยูกิ โชวโซวหรือพ่อของอาสุนะซึ่งเธอเคยเล่าให้ผมฟังมาก่อนว่าเขาเป็นนักธุรกิจแต่ต่อมาเธอถึงได้รู้ว่าเขาเป็นถึงเจ้าของบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่เรียกว่า<<RECTO>>
ผมโค้งให้เขาแล้วพูดขึ้นมา
“สวัสดีครับ...ต้องขอโทษที่มารบกวนด้วยนะครับยูกิซัง”
“ไม่เป็นไรๆฉันตะหากที่ต้องขอโทษที่ต้องรบกวนให้เธอมาเยี่ยมอยู่บ่อยๆฉันเชื่อว่าเด็กคนนี้เองก็คงจะดีใจมากที่เธอมา”
เขาเดินไปที่ข้างหมอนของอาสุนะแล้วลูบผมของเธอด้วยสายตาเศร้าๆอีกสักพักต่อมาเขาถึงแนะนำผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“เธอยังไม่เคยรู้จักกับเขามาก่อน...เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยของเราซูโกะคุง”
ความรู้สึกของผมในตอนแรกที่มีต่อคนๆนี้อยู่เรียกได้ว่าดีเขาเป็นคนตัวสูงสวมสูทสีเทาเข้มและใส่แว่นกรอบสีเหลืองแววตาที่อยู่เบื้องหลังเลนและรอบยิ้มที่ปะดับไว้อยู่ตลอดเวลาทำให้ภาพโดยรวมออกมาดีถ้าให้เดาแล้วน่าจะอยู่ในช่วงสามสิบต้นๆเท่านั้น
ผู้ชายที่ว่ายืนมือมาให้ผมแล้วพูดออกมา
“ยินดีที่ได้รู้จัก... ผมชื่อซูโกะโนบุยากิ เธอคงจะเป็นฮีโร่คิริกายะคุงสินะ”
“คิริกายะ คาซุโตะครับยินดีที่ได้รู้จัก”
ผมจับมือกับซูโกะแล้วหันไปที่ยูกิโชวโซว
“ต้องขอโทษเรื่องนั้นด้วยจริงๆเซิฟเวอร์ของ SAO ถูกปิดลงไปแล้วและสถานการณ์ก็เหมือนกับที่เธอเห็นในโทรทัศน์นั่นแหละส่วนเขาคนนี้ก็เหมือนกับลูกชายคนหนึ่งที่ฉันไว้ใจซึ่งตัวเขาไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวมาพักหนึ่งแล้ว...”
“ท่านประธานครับเกี่ยวกับเรื่องนั่น...”
ซูโกะหันไปที่โซวโชวแล้วพูดขึ้นมา
“ผมต้องการประกาศเรื่องนี้ในเดือนหน้าเลย”
“จะเอาอย่างนั้นเหรอ?เธอยังหนุ่มอยู่เลยนะ แล้วก็พึ่งจะ...”
“ผมตัดสินใจแล้วครับผมต้องการที่ใช้ช่วงนี้ในขณะที่อาสุนะยังสวยงามอยู่... และเห็นเธอสวมชุดเจ้าสาว”
“ดูเหมือนเธอจะคิดดีแล้วสินะ...ส่วนฉันคงต้องไปก่อน แล้วเจอกันใหม่นะคิริกายะคุง”
เขาพยักหน้าให้ผมแล้วเดินออกไปพร้อมกบปิดประตูข้างหลังผู้ชายที่เหลืออยู่ในห้องมีแต่ผมกับซูโกะ
ซูโกะโนบุยูกิได้เดินไปที่ฝั่งตรงข้ามของผมเขาเอามือไปลูบผมสีเกาลัดขอเธอแล้วทำจมูกเหมือนกำลังสูดดมไปตามเส้นผมพอได้เห็นภาพนี้แล้วผมก็รู้สึกเกิดความรังเกียจขึ้นมา
“เมื่อตอนที่เธอเล่มเกม SAO อยู่ฉันได้ยินมาว่าเธออยู่ด้วยกันกับอาสุนะสินะ?” โนบุยูกิพูดขึ้นมา
“เอ่อ...”
“ถ้าอย่างนั้นความสัมพันของเราคงจะซับซ้อนสักหน่อย”
ซูโกะมองหน้าผมแล้วนั้นตอนนั้นเองที่ผมรู้ตัวว่าสิ่งที่รู้สึกได้จากชายคนนี้คงจะไม่ผิดจากความจริงนัก
เบืองหลังแว่นคู่นั้น...ม่านตาขนาดเล็กของเขาหรี่ลง ริมฝีปากเผยอยิ้มเล็กน้อย ภาพโดยรวมทำให้ผมสัมผัสได้ถึงจิตใจที่ดำมืดของเขาจนรู้สึกเย็นสันหลัง
“ที่ฉันพูดไปเมื่อกี้...”
เขายิ้มออกมาอย่างท้าทาย
“หมายความว่าอาสุนะจะต้องแต่งงานกับฉัน”
ผมพูดอะไรไม่ออก...หมอนี่พูดอะไรออกมานะ? คำพูดของเขาทำเอาร่างผมถูกห่อหุ้มด้วยไอเย็นที่ระเบิดออกมาในที่สุดผมก็พูดขึ้น “นายคิดว่าฉันจะยอมอยูเฉยๆหรือไงหลังจากที่ได้ยินอย่างนั้น?”
“อ๋อ... แน่นอนสิการได้รับอนุญาตจากเธอในสภาพนี้คงจะเป็นไปไม่ได้แต่ในเอกสารนั้นฉันเป็นลูกบุญธรรมของตระ:Xลยูกิซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาสุนะเองก็ไม่ชอบขี้หน้าของฉันนักหรอก”
เขายื่นมือเข้าไปใกล้ริมฝีปากของเธอ...
“หยุดนะ!”
ผมเข้าไปคว้ามือเขาไว้โดยไม่รู้ตัวแล้วดึงมันออกมาจากใบหน้าของอาสุนะแล้วตะโกนออกมา
“แก... กล้าดียังไงถึงมาเอาเปรียบอาสุนะในสภาพนี้หา!?”
“เอาเปรียบ?เปล่าเลยนะเพราะนี้ถือว่าอยู่ในขอบเขตแล้ว ให้ตายสิคิริกายะคุง...เธอรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทของSAO ที่ชื่อ <<Argus>>?”
“ฉันได้ยินมาว่าล้มละลายไปแล้ว”
“ถูกต้องที่สุด...ค่าพัฒนาเกมกับค่าเสียหายทำให้บริษัทติดหนี้มหาศาลจนต้องล้มละลายดังนั้นหน้าที่ดูแลและควบคุมเซิฟเวอร์ของ SAOจึงต้องตกมาเป็นหน้าที่ของแผนกพัฒนาเทคโนโลยี Full Drive ของบริษัท RECTO หรือก็คือแผนกของฉันเอง”
จากอีกฝังของเตียงซูโกะหันมามองหน้าผมตรงๆและเผยรอยยิ้มชั่วร้าย เขาเคลื่อนตัวเข้าใกล้แก้มของอาสุนะ
“พูดได้อีกอย่างว่าชีวิตของเธอขึ้นอยู่กับว่าฉันพอใจหรือเปล่าเพราะอย่างนั้นเธอไม่คิดว่าฉันควรจะได้อะไรตอบแทนสักหน่อยเหรอสำหรับภาระ? ฉันพูดถูกมั้ย?”
พอได้ยินอย่างนี้ผมยิ่งมั่นใจกว่าเดิม...
เขาใช้โอกาสนี้เปรียบอาสุนะเพื่อที่จะใช้ชีวิตเธอมาเป็นข้ออ้างในการตอบสนองความเห็นแก่ตัว
หลังจากที่หันมามองผมอย่างดูแคลนรอบยิ้มนั้นหายไปจากใบหน้าของเขาแล้ว จากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“ฉันไม่รู้ว่าในเกมนั้นเธอกับอาสุนะจะเป็นยังไงแต่ฉันอยากจะให้เธออยู่ห่างๆเอาไว้ตั่งแต่วันนี้เลยและไม่มาติดต่อกับครอบครัวยูกิอีก”
ผมกำหมัดไว้แน่น...โกรธในความไร้ประโยชน์ของตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้
เวลาแห่งความเงียบงันผ่านไปอีกสักระยะจากนั้นซูโกะถึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“งานแต่งจะจัดขึ้นในอีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้หวังว่านายคงจะพอใจที่ได้พบกับเธอเป็นครั้งสุกท้ายนะฮีโร่คุง”
ผมต้องการดาบ... แทงให้ทะลุหัวใจเชือดคอของเขาซะผมไม่รู้ว่าเขาสัมผัสได้ถึงความโกระนี้หรือเปล่าแต่ก็ยังเข้ามาเตะไหล่ผมก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
พอผมมาถึงบ้าน...ความทรงจำที่ได้เผชิญกันยังฝังอยู่ในหัวผมทิ้งตัวลงนอนและมองไปที่กำแพงอย่างไร้ความหมาย
“หมายความว่าอาสุนะจะต้องแต่งงานกับฉัน”
“ชีวิตของเธอขึ้นกับว่าฉันพอใจหรือเปล่า”
การพบกันกับซูโกะยังคงวนเวียนอยู่ในหัวผมราวกับหนังที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาหัวใจรู้สึกเหมือนกับแท่งเหล็กร้อนๆที่ถูกบิดไปมา
แต่...อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกส่วนตัวของผมเท่านั้นก็เป็นได้...
ซูโกะเป็นคนที่ใกล้ชิดกับครอบครัวยูกิมาโดยตลอดนี่เป็นเหตุผลที่เขาได้เป็นคู่หมั่นของอาสุนะ ได้รับความไว้วางใจจากยูกิ โชวโซว ได้รับตำแหน่งสำคัญในRACTO อาสุนะเองก็คงถูกหมั่นหมายให้แต่งกับเขาเมื่อนานมาแล้วตั่งแต่ก่อนที่เราจะเจอกันในไอคราดเมื่อเทียบกันแล้วเวลาที่ผมกับอาสุนะอยุ่ด้วยกันคงไม่ต่างกับภาพมายา
สำหรับเรา...เมืองลอยฟ้าไอคราดตะหากที่เป็นเรื่องจริง... คำสาบานที่ให้ไว้...คำพูดที่แปลกเปลี่ยนกันที่นั่น...ทุกสิ่งนั้นราวกับประกายอันสุกสว่างของพลอยเม็ดงาม
“ฉันอยากจะอยู่ด้วยกันกับคิริโตะตลอดไป...”
คำพูดและรอยยิ้มของอาสุนะค่อยๆจางหายไป...
“ขอโทษนะ... ขอโทษนะอาสุนะ... ผม...ผมทำอะไรไม่ได้เลย...”
น้ำตาร่วงลงมาจากใบหน้าผม แหมะ...แหมะ... ลงบนที่หลังมือที่กำแน่น...
* * *
“พี่... ห้องน้ำว่างแล้วนะ!”
ซูกุฮะร้องที่หน้าห้องของคาซุโตะบนชั้นสองแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา
หลังจากบ่ายวันนั้นคาซุโตะก็ขังตัวเองไว้ในห้องไม่ยอมออกมาทานข้าวเย็น
ซูกุฮะวางมือลงบนลูกบิดอย่างลังเล ถ้าไม่ใช่ว่าเขาหลับไปแล้วก็อาจจะเป็นไข้ก็ได้...เธอใช้เหตุผลนี้ค่อยๆออกแรงหมุนลูกบิด
แอ๊ด... ประตูเปิดออกเผยให้เห็นห้องที่มืดมิด
คงจะหลับไปแล้ว...เธอคิดอย่างนั้นแล้วตั้งใจจะปิดประตูแต่เธอสัมผัสได้ถึงลมเย็นๆที่พัดเข้ามาที่ทำเอาตัวเธอสั่น น่าจะเป็นเพราะหน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้ซึ่งทำให้เธอไม่มีทางเลือก
เธอค่อยๆย่องไปยังหน้าต่างก่อนที่จะพบกับพี่ชายที่ขดตัวอยู่บนเตียงในสภาพที่ยังตื่นอยู่
“อ้า... ขอโทษนะพี่หนูคิดว่าพี่หลับอยู่ซะอีก”
หลังจากที่เงียบไปสักพักเขาก็ตอบกลับมาอย่างไร้อารมณ์“ขอโทษนะ แต่ช่วยปล่อยพี่ไว้คนเดียวได้หรือเปล่า?”
“แต่... แต่ห้องเย็นมากเลยนะ...”
ซูกุฮะยืมมือมาสัมผัสกับมือของคาซุโตะที่เย็นราวกับน้ำแข็ง
“ไม่ได้การล่ะ...มือพี่เย็นขนาดนี้จะไม่สบายเอานะ รีบไปอาบน้ำเร็วเข้า”
มีแสงจากถนนข้างนอกลออดผ่านหน้าต่างเข้ามาเผยให้เห็นใบหน้าของคาซุโตะในวินาทีนั้นเองเธอถึงเข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพี่ชายของเธอ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“เปล่า...”
เขาตอบกลับแต่ฟังเหมือนเสียงกระซิบ
“แต่ว่า...”
ก่อนที่เธอจะจบประโยคเขาก็ซุกใบหน้าเข้ากับมือเพื่อที่จะไม่ให้เธอเห็นจากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เกียจชังในตัวเอง “พี่มันไร้ประโยชน์สิ้นดี...ทั้งๆที่ไม่นานมานี้เองที่พี่พึ่งจะสาบานว่าจะไม่พูดอะไรอย่างนั้นอีกแล้วแท้ๆ”
หลังจากที่ได้ฟังเพียงครึ่งเดียวซูกุฮะก็พอที่จะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเธอถามขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆที่แอบสั่นไหวเล็กน้อย “คนๆนั้น... อาสุนะซัง... เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
ร่างของคาซุโตะตึงเครียดขึ้นมา...เขาตอบกลับด้วยเสียงต่ำๆที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “อาสุนะ... กำลังจะไป...ไปในที่ๆพี่เอื้อมไม่ถึง”
ในที่สุดเธอก็รู้ตัว...พอได้เห็นคาซุโตะที่กำลังร้องไห้ราวกับเด็กตรงหน้าเธออย่างนี้หัวใจของเธอก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา
เธอปิดหน้าต่างและดึงผ้าม่าน...เปิดเครื่องปรับอากาศและเข้าไปนั่งข้างๆเขาอย่างลังเลเล็กน้อยคว้ามือเย็นๆของเขามาซึ่งทำให้คาซุโตะที่ขดตัวอยู่คลายตัวลงในทันที
ซูกุฮะกระซิบข้างหูเขา
“อย่ายอมแพ้นะ...ถ้าเธอเป็นคนที่พี่รักจริงๆ พี่ก็ไม่ควรที่จะยอมแพ้ง่ายๆ”
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้กล่าวออกมาอย่างง่ายดายหัวใจเธอรู้สึกเหมือนถูกเฉือนด้วยใบมีด ในใจลึกๆนั้นแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดเธอชอบคาซุโตะ... หรือพี่ชายของเธอนั้นเป็นความรู้สึกที่พึ่งจะมาชัดเจนเอาตอนนี้
...เราเองก็เหมือนกัน...จะโกหกตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว...
ซูกุฮะค่อยๆประคองร่างของพี่ชายให้นอนลงบนเตียงจากนั้นก็ค่อยๆห่มผ้าให้..
เธอไม่รู้ว่าอยู่กับเขานานขนาดไหน...แต่เสียงร้องไห้ของเขาค่อยๆจางลงก่อนจะกลายเป็นเสียงลมหายใจสงบๆเมื่อหลับลงไปในที่สุดซูกุฮะค่อยๆปิดตาลงและบอกกับตัวเองในใจ
...ตอนนี้ฉันคงได้แต่ยอมแพ้ไปก่อน...ฝังความรู้สึกนี้ให้ลึกลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้...
เพราะในหัวใจของเขา...มีคนอื่นอยู่แล้ว
น้ำตาของเธอไหลลงมาผ่านแก้มและหยดลงบนผ้าห่มจากนั้นก็จางหายไปโดนถาวร...
* * *
การนอนหลับอันแสนสบายของผมถูกรบกวนด้วยความอบอุ่นที่ค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามา
ผมยังไม่ตื่นเต็มที่แต่ความอบอุ่นนั้นยังคงไหลผ่านเข้ามาเรื่อยๆราวกับแสงอาทิตย์ที่ส่องลงบนต้นไม้
ตาของผมยังไม่ลืมขึ้นมา...และกอดเธอที่ยังหลับใหล เราใกล้กันมากจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจจากนั้นผมถึงลืมตาและพบว่า...
“หวา!?”
ผมร้องแล้วกระโจนถอยหลังไปราวๆห้าสิบเซนติเมตรตัวอยู่ในท่านั่งแล้วรีบมองไปรอบๆ
นี่เป็นภาพที่ผมเห็นบ่อยๆในความฝัน...ไอคราดบนชั้นที่ยี่สิบสองซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านในป่า แต่นี่ย่อมเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริงนั้นผมอยู่ห้องนอน แต่ถึงยังไงก็ตามกลับมีคนนอนอยู่ข้างๆผม
ผมพูดไม่ออก...สติกลับมาอย่างเต็มที่แล้วรีบวางผ้าห่มไว้ที่เดิม ซูกุฮะกำลังนอนอยู่ในชุดนอนผมสั้นสีดำ และคิ้วโก่งได้รูป
“นี่มัน... เกิดขึ้นได้ยัง...”
หลังจากที่ทบทวนดูให้ดีถึงจำเรื่องเมื่อคืนได้ในที่สุดหลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาลแล้วดูเหมิอนผมจะได้คุยกับซูกุฮะอยู่สองสามคำความเจ็บปวดและสิ้นหวังทำให้ผมร้องไห้ออกมาและเธอก็คอยปลอบจนผมนอนหลับ
“ให้ตายสิ... อย่างกับเด็กเลยนะเรา”
หลังจากที่รู้สึกอับอายขึ้นมาผมก็หันไปมองที่ซูกุฮะที่หลับอยู่เธอไม่ควรที่จะมานอนอยู่ตรงนี้
จากนั้นผมถึงนึกขึ้นได้ว่าเคยเกิดอะไรทำนองนี้มาก่อนที่‘โลกนั้น’ ซูกุฮะนั้นคล้ายกับเด็กผู้หญิงที่เป็นผู้ใช้สัตว์ที่ผมเคยเจอบนชั้นสี่สิบในตอนนั้นเธอก็นอนบนเตียงผมซึ่งทำให้ผมต้องลำบากไม่น้อย
ในที่สุดผมก็ยิ้มขึ้นมา...ถึงการพบปะกับอาสุนะและซูโกะ โนบุยูกิยังทำให้ผมไม่สบายใจอยู่แต่ความเจ็บปวดนั้นก็จางหายลงไปมากหลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมา
ความทรงจำบนโลกใบนั้น...ปราสาทลอยฟ้าไอคราด...เป็นความทรงจำที่สำคัญสำหรับผมทั้งความทรงจำที่มีความสุขและเป็นทุกข์นั้นมากมายเกินกว่าจะนับไหวแต่ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องจริง และผมไม่สามารถจัดให้เป็นเรื่องโกหกได้รวมทั้งสัญญาระหว่างผมกับอาสุนะที่จะมาพบกันในโลกนี้ดังนั้นน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ทำได้อยู่
ในระหว่าที่ผมกำลังคิดซูกุฮะก็ละเมอออกมา
“ยอมแพ้... ไม่ได้นะ...”
“ใช่แล้ว... น้องพูดถูกที่สุด”ผมกระซิบกลับไปแล้วนั่งตัวตรง จิ้มแก้มเธอด้วยนิ้ว
“นี่... ตื่นได้แล้ว...ถึงตอนเช้าแล้วนะ”
“อืม...”
เธอครางออกมาเบาๆดังนั้นผมก็เลยยื่นมือไปใต้หมอนแล้วหยิกแก้มเธอ
“ตื่นได้แล้ว นี่สายแล้วนะ”
ในที่สุดเธอก็ตื่นขึ้นมา
“อ้า... อรุณสวัสดิ์พี่ชาย...” เธอพึมพำอย่างขี้เกียจแล้วคลานออกมาจากผ้าห่ม
หลังจากนั้นก็มองผมอย่างตกใจแล้วมองไปรอบๆดวงตาที่ยังครึ่งหลับครึ่งตื่นเบิกกว้างขึ้นมาในทันที หน้ากลายเป็นสีแดงเข้ม
“อ้า!หนู... เอ่อ...”
หูของเธอกลายเป็นสีแดงตัวเกร็งแล้วรีบกระโจนออกจากห้องอย่างเร็วที่สุด
“ให้มันได้อย่างนี้สิ”
ผมส่ายหัวแล้วไปเปิดหน้าต่างสูดลมหายใจเพื่อที่จะไล่ความเหนื่อยล้าออกไปจนหมด
<<ข่าว>>มาถึงหลังจากที่ผมกำลังจะไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า
ไม่นานก็มีเสียงเตือนว่ามีอีเมล์เข้ามาดังนั้นผมถึงได้นั่งลงแล้วเปิด ELterminal
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา...โครงสร้างของคอมพิวเตอร์ได้เปลี่ยนไปหลายต่อหลายครั้ง ตัว HDD รุ่นเก่าได้หายสาบสูญไปโดยถาวรและถูกแทนที่ด้วยSSD (Solid Storage Drive) ที่ทันสมัยมากกว่าเพราะเป็นระบบที่ไม่ทำให้ข้อมูลเสียหาย MRAM ไม่มีการสะดุดในระหว่างโอนย้ายข้อมูลเพราะสมารถแลกเปลี่ยนได้เร็วมากอีเมลฉบับนี้ถูกส่งมาจากผู้ส่งที่ชื่อ <<เอกิล>>
*ผู้เล่นผิวคล้ำหัวล้านที่เปิดร้านขายของในเกม(เผื่อจำกันไม่ได้)
บนชั้นห้าสิบบนถนนสายหลักของไอคราดเป็นที่อยู่ของเอกิลหรือเจ้าของร้านขายของที่อยู่ในเมืองชื่อว่าอัลเกด เราเจอกับครั้งแรกที่ชั้นยี่สิบในโตเกียวจากนั้นก็แลกเปลี่ยนอีเมลแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ติดต่อกันจริงๆหัวข้ออีเมลอ่านได้ความว่า “ดูนี่สิ” และเมื่อผมเปิดอ่านก็พบว่าไม่มีข้อความนอกจากภาพที่แนบมาแค่ภาพเดียว
ผมเลื่อนลงมาแล้วเปิดภาพนั้นดูจากนั้นก็จองที่ภาพนั้น
องค์ประกอบของภาพนั้นยอดเยี่ยมมาก...ถึงจะสามารถบอกว่าจากแสงและสีสันว่านี่ไม่ใช่ภาพถ่ายจากโลกแห่งความเป็นจริงแต่เป็นภาพของโลกเสมือนที่สร้างขึ้นมาโดยคอมพิวเตอร์ในภาพนั้นมีกรงสีทองเป็นฉากหน้า ภายในมีโต๊ะและเก้าอี้สีขาว ผู้หญิงในชุกสีขาวผมต้องเพ่งมองใบหน้าเธอผ่านลูกกรง
“อาสุนะ!?”
ถึงภาพจะไม่ชัดแต่หญิงสาวคนนี้...จากผมยาวสีเกาลัดนั้นเป็นภาพของอาสุนะไม่ผิดแน่ใบหน้าของเธอดูหดหู่และวางมืออยู่บนโต๊ะ และเมื่อมองดูดีๆจะพบกับปีกใสๆที่อยู่ข้างหลัง
ผมรีบหยับโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดหมายเลขลงไปเสียงสัญญาณนั้นดังขึ้นมาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแต่รู้สึกราวกับว่าเป็นชั่วโมงในที่สุดเสียงทุ้มลึกก็มารับโทรศัพท์
“ฮัลโหล...”
“นี่!!ภาพอันนั้นมันอะไรกันน่ะ!?”
“นี่แนะคิริโตะ...อย่างน้อยก็น่าจะแนะนำตัวเองก่อนสิ”
“ฉันไม่มีเวลา! รีบบอกมาเร็วๆเข้า!!”
“เรื่องมันยาวน่ะ...นายมาหาฉันได้มั้ย?”
“เดี๋ยวนี้เลยทีเดียว ฉันจะรีบไป”
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับมาผมวางสายแล้วหยิบชุดมาเปลี่ยน รีบสวมรองเท้าด้วยความรวดเร็วที่สุดในชีวิต จากนั้นก็ขึ้นจักรยานแล้วปั่นออกไปซึ่งถนนนั้นดูยาวไกลกว่าทุกครั้งทั้งๆที่ผมผ่านทางนั้นเป็นประจำ
ร้านของเอจิลนั้นเป็นทั้งบาร์และร้านกาแฟไปในตัวซึ่งตั่งอยู่ในเขตไทโตะโอกะจิมาจิและในช่วงเวลาต่อมาผมก็พบกับป้านร้านที่ทำมาจากเหล็กและประดับไว้ด้วยลูกเต๋าสองลูกที่ชื่อว่า<<ไดซี่ คาเฟ่>>
ผมเปิดประตูเข้าไปซึ่งทำให้กระดิ่งบนประตูสั่นขึ้นมาชายหัวล้านที่เคาน์เตอร์หันมามองและหัวเราะ ในร้านนั้นไม่มีลูกค้าคนอื่นเลย
“โห... นายมาเร็วจริงๆ”
“กิจการยังแย่เหมือนเดิมนะนี่อยู่รอดมาได้ยังไงตั่งสองปี?”
“ตอนนี้อาจจะไม่ค่อนมีคนสักเท่าไหร่แต่ตอนกลางคืนมีคนมาเยอะเชียวล่ะ”
การพูดคุยแบบสบายๆทำให้ผมผ่อนความตึงเครียดลงราวกับว่าได้กลับไปที่โลกนั้นอีกครั้งหนึ่ง
การพบปะของเรานั้นเกิดขึ้นเมื่อสิ้นเดือนที่แล้วตอนนั้นผมได้รับชื่อจริงๆและที่อยู่ของผู้เล่นบางคนมาจากสมาชิกของกระทรวงภายในคนเหล่านั้นคือ ไคลน์ นิชิดะ ซิลิก้า แล้วก็ ลิสเบธ จากจำนวนคนทั้งหมดถึงผมอยากจะพบกับผู้เล่นหลายต่อหลายคนแต่เมื่อกลับมาในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วมันก็ยากขึ้นดังนั้นที่แรกที่ผมเลือกจะมาก็คือร้านนี้
“แล้วนายอยากจะให้ฉันบอกอะไรดีล่ะ!?”
เจ้าของร้านดูไม่ค่อยสบายใจนัก
ชื่อจริงๆของเขาคือ แอนดริว กิลเบิธมิลส์ ซึ่งผมคิดว่าเยี่ยมไปเลยที่ในโลกจริงนั้นเขาก็เป็นเจ้าของร้านด้วย
ถึงแม้ว่าจะเป็นชาวแอฟริกา-อเมริกาโดยเชื้อชาติ แต่พ่อแม่ของเขากลับชอบญี่ปุ่นส่วนตัวเขาเองก็มาเปิดร้านกาแฟกึ่งบาร์ที่นี่ในโอกะจิมาจิเมื่ออายุยี่สิบห้าปีและไม่เพียงเท่านั้น...เขายังได้พบและแต่งงานกับลูกค้าสาวสวยที่ได้พบกันที่นี่อีกด้วยและในช่วงที่เขาติดอยู่ใน SAO เขาก็เตรียมใจที่จะพบกับร้านที่ถูกปิดไปเป็นเวลาสองปีแต่ทว่าภรรยาของเขากลับดำเนินกิจการต่อเนื่องมาโดยตลอดซึ่งเป็นเรื่องที่น่าซาบซึ้งมาก
แต่ที่จริงแล้วที่นี่กลับไม่ค่อยมีคนสักเท่าไหร่ร้านเป็นร้านขนาดเล็กที่เคาน์เตอร์มีเก้าอี้เพียงสี่ตัวแสงและสีสันให้ให้บรรยากาศดูสดใสและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ปุหนังแล้วสังกาแฟมาแก้วหนึ่งก่อนจะถามเอกิลเกี่ยวกับภาพ
“แล้วภาพนั้นมันอะไรกันแน่?”
เจ้าของร้านไม่ตอบในทันที...ผมต้องดูเขาหยิบเอากล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมาจากใต้เคาน์เตอร์แล้วดันมาหาผม
กล่องนั้นเป็นกล่องเกมอย่างเห็นได้ชัดผมสังเกตเห็นตัวอักษรที่พิมพ์ไว้ว่า <<Amusphere>> ที่อยู่บนมุมขวาบนของกล่อง
“ฉันไม่เคยได้ยินชื่อเครื่องเกมน้าก่อน”
“<<Amusphere>>ได้ออกจำหน่ายในระหว่างที่พวกเรายังอยู่ในโลกนั้นเป็นรุ่นที่สองของเทคโนโลยี FullDive หรือก็คือรุ่นที่สองของNerve Gear”
ผมมองโลโกของมันด้วยความรู้สึกหลากหลายเอจิลได้อธิบายต่ออย่างง่ายๆ
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น Nerve Gear ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ชั่วร้ายดังนั้นจึงไม่มีบริษัทไหนที่กล้ามาลงทุนกับเกมที่ใช้เทคโนโลยี FullDive อีก ทว่าหกเดือนต่อมาก็มีบริษัทน้องใหม่ตั้งขึ้นมาโดยอาศัยสโลแกนว่า“ปลอดภัยแน่นอน” ซึ่งบริษัทนี้ได้จำหน่ายเครื่องเล่นเกมที่เป็นรุ่นน้องของ NerveGear ดังนั้นพวกผมที่ติดอยู่ในไอคราดจึงไม่รู้เรื่องนี้
นั่นทำให้ผมพอที่จะเข้าใจขึ้นมาบ้างแต่เพราะผมไม่ได้ติดตามข่าวสารเรื่องเกมอีกหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ดังนั้นผมจึงไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดอยู่ดี
“งั้นเจ้านี่ก็เป็นเกม VRMMO เหมือนกันสินะ?”
ผมหยิบมันขึ้นมาถือไว้แล้วสำรวจอย่างละเอียดภาพบนกล่องเป็นรูปป่าลึกในคืนพระจันทร์เต็มดวงด้านหน้าเป็นเด็กผู้หญิงในชุดแฟนตาซีถือดาบไว้ในมือ ช่วงล่างของกล่องเขียนไว้ว่า <<ALfheim Online>>
"ALfheim...Online? หมายความว่ายังไงน่ะ?"
“ก็หมายความตามชื่อนั่นแหละมันหมายถึงบ้านขิงเอลฟ์”
“เอลฟ์? ฉันไม่ค่อยเห็นภาพเท่าไหร่แต่เกมนี้คงไม่ชีเรียสอะไรนักสินะ?”
“ฟังดูอย่างนั้นสินะ...แต่ฉันได้ยินมาว่ามันค่อนข้างยากเลยล่ะ”
เอจิลวางถ้วยกาแฟร้อนๆตรงหน้าผมแล้วหัวเราะส่วนผมนั้นหยิบถ้วยขึ้นมาแล้วดมกลิ่นหอมกลุ่นของกาแฟก่อนจะตั่งคำถาม
“ที่ว่ายากน่ะหมายความว่ายังไง?”
“ระบบสกิลของเกมนี้เข้มงวดมากผู้เล่นต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง แล้วยังสนับสนุนการพีเค (PK ระบบที่ผู้เล่นสู้หรือฆ่ากันเอง) อีกด้วย”
“เข้มงวด?”
“ในเกมนี้ไม่มีระบบเลเวลระดับสกิลจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนการใช้ช้ำไปซ้ำมาการต่อสู้ก็ขึ้นกับความสามารถในการเคลื่อนไหวของผู้เล่นเองแทนที่จะมีสกิลดาบอย่างในSAOแต่ถึงจะฟังดูแตกต่างทว่าที่จริงแล้วทั้งสองเกมนี้ใช้ระบบเหมือนกัน”
“อืม... ฟังดูน่าสนใจนะ”
ผมพึมพำขึ้นมาอย่างชื่นชมปราสาทลอยฟ้าไอคราดนั้นเป็นผลของการรังสรรค์โดยอัจฉริยะผู้เสียสติอย่างอาคิฮิโกะคายาบะเพียงลำพัง การที่ใครสักคนสามารถสร้างโลกสเมือนในระดับเดียวกันขึ้นมาได้อีกถืงว่าเชื่อได้ยากพอสมควร
“แล้วที่ว่าสนับสนุนการพีเคล่ะ?”
“ในการสร้างตัวละครผู้เล่นสามารถเลือกเป็นเอลฟ์เผ่าต่างๆได้แล้วการพีเคก็สามารถทำได้ถ้าอยู่คนละเผ่าเท่านั้น”
“ยากเกินไปจริงๆ...ถึงจะใช้เทคโนโลยีชั้นสูงยังไงก็ตามระบบเกมเหมือนจงใจสร้างขึ้นมาสำหรับนักเล่นเกมบางกลุ่มเท่านั้นฉันว่ามันคงไม่ดังเท่าไหร่หรอก” ผมพูดออกมาอย่างไม่ยอมรับ
พอเอกิลได้ยินอย่างนั้นก็เลิกทำหน้าเคร่งแล้วยิ้มขึ้นมา
“ตอนแรกฉันก้คิดอย่างนั้นเหมือนกันแต่ตอนนี้ฉันกลับเชื่อว่าเกมนี้เป็นที่นิยมไม่น้อยเลยสาเหตุหลักของเรื่องที่ว่าก็คือความสามารถในการ <<บิน>>”
“บิน?”
“ด้วยปีกของแฟรี่ยังไงล่ะ เพราะในเกมมีจอยสำหรับควบคุมการบินดังนั้นผู้เล่นถึงสามารถบินได้อย่างอิสระ”
ผมเองก็ไม่เคยนึกถึงความเป็นไปได้ในการบินมาก่อนหลังจากที่ Nerve Gear ถูกสร้างขึ้นมาเกมเสมือนจริงหลายเกมก็ถูกพัฒนา แต่นั่นเป็นการบังคับผ่านทางยานพาหนะเท่านั้นการบินด้วยมนุษย์ไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้นเพราะไม่มีใครเคยบินกันจริงๆมาก่อนการควบคุมจึงไม่น่าที่จะเป็นไปได้
ด้วยเหตุผลนี้เองสิ่งที่ผู้เล่นทำได้ในเกมก็ไม่ต่างไปจากสิ่งที่พวกเขาทำได้ในความเป็นจริงหรือในทางกลับกันนั้นเอง สิ่งที่ผู้เล่นทำในโลกนี้ไม่ได้ก็ไม่สามารถทำในเกมได้เพียงแค่สร้างปีกขึ้นมาไม่ใช่เรื่องยากเลยแต่การใช้กล้ามเนื้อควบคุมการเคลื่อนไหวของปีกนั้นไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย
ใน SAOอาสุนะกับผมเองก็มีความสามารถในการกระโดดที่ยอดเยี่ยมราวกับสามารถลอยอยู่กลางอากาศแต่การที่จะบินได้จริงๆนั้นเป็นอีกคนละเรื่อง
“แนวคิดเรื่องการบินนี้ฟังดูดีอยู่หรอกแต่ว่ามันทำได้ยังไงล่ะ?”
“ใครจะไปรู้... คงจะยากเลยล่ะเพราะตอนแรกนายต้องบินด้วยจอยควบคุมมือเดียวซะก่อน”
“...”
ในตอนนั้นผมอยากจะลองท้าทายระบบของเกมนี้ดูแต่ความคิดนั้นได้จางหายไปในทันทีผมได้จิบกาแฟเข้าไปอีกอึก
“เอาล่ะ...ฉันพอจะเข้าใจเกี่ยวกับเกมนี้แล้ว งั้นเรากลับมาที่ประเด็นหลัก...ภาพนั้นมันยังไงกันแน่?”
เอกิลหยิบเอากระดาษขึ้นมาจากใต้เคาน์เตอร์แผ่นหนึ่งแล้ววางไว้ตรงหน้าผมมันเป็นกระดาษสำหรับภาพถ่ายโดยเฉพาะ
“นายเห็นใครในภาพ?”
หลังจากที่ได้ยินคำถามนี้ผมก็จ้องไปที่รูปพักใหญ่ก่อนจะตอบกลับไป
“มันดูเหมือนกับ... อาสุนะ...”
“ก็คิดอยู่แล้วว่านายต้องคิดเหมือนกันนี่น่ะเป็นภาพถ่ายจากในเกม ความละเอียดก็เลยแย่มาก”
“รีบๆอธิบายสักที”
“นี่เป็นภาพที่ถ่ายของเกมนี้ ALfheim Online ยังไงล่ะ”
เอกิลส่งเกมและภาพอีกชุดให้ผมมันเป็นภาพจากถายในเกมที่เป็นแผนที่โดยรวมและแผยที่ของสถานที่ต่างๆตรงกลางของภาพมีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่
“นี่ก็คือต้นไม้โลกหรือก็คือยิกดราซิล”
เอกิลชี้ไปที่ต้นไม้
“เป้าหมายของเกมคือการได้ไปถึงเมืองบนยอดไม้นั้นเป็นเผ่าแรก”
“งั้นก็บินขึ้นไปเลยไม่ได้เหรอ?”
“ถึงต่อให้มีความอึดหรืออดทนแค่ไหนก็ตามก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถบินต่อได้เรื่อยๆแม้แต่จะพยายามไปให้ถึงกิ่งที่อยู่ต่ำที่สุดก็ตามก็ยังถือว่าเป็นไปไม่ได้อยู่ดีแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนที่คิดอะไรบ้าๆโดยการให้คนห้าคนขี่คอกันแล้วบินส่งตัวคนที่อยู่บนสุดขึ้นไปเหมือนกับจรวด”
“ฮ่าๆๆ ถึงจะบอกว่าคิดบ้าๆก็เถอะฉันว่ามันออกจะเข้าท่าดีออก”
“อ้า...แล้วก็ดูเหมือนว่าจะสำเร็จด้วย แต่เพราะกิ่งไม้เปราะมากดังนั้นพวกเขาก็เลยไปไม่ถึงยอดแต่ก็นับว่าไปได้ไกลพอตัวและเพื่อที่จะใช้เป็นหลักฐานพวกเขาก็เลยถ่ายรูปพวกนี้ไว้หนึ่งในนั้นเป็นรูปกรงที่แขวนไว้อยู่บนกิ่งขนาดยักษ์”
“กรงนก...”
คำพูดของผมหลุดออกมาพร้อมความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกแต่ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วความคิดที่คำนึงถึงการถูกกักขังฉายเข้ามาในหัวผม
“ภาพนี้ถูถ่ายหลังจากที่พวกนั้นไปถึง”
“แต่ทำไมถึงเป็นอาสุนะล่ะ?”
ผมหยิบเกมขึ้นมาอีกครั้งแล้วเพ่งมองอย่างจริงจัง...
ในที่สุดสายตาของผมได้หันไปจับจ้องตัวหนังสือที่เขียนว่า<<RECTO Profress>>
“เป็นอะไรไปน่ะคิริโตะ?สีหน้าของนายดูซีดๆลงไปนะ”
“เปล่า...แต่ไม่มีภาพอย่างอื่นแล้วเหรอ? อย่างเช่น <<คนอื่นที่มากจากSAO>> นอกจากอาสุนะที่ยังไม่ได้สติ?”
พอผมถามอย่างนั้นออกไปผู้จักการร้านก็ย่นหน้าแล้วส่ายหัว
“ไม่... ถึงอาจจะมีก็เถอะแต่ภาพทั้งหมดเป็นของเกม <<ALfheim Online>> ดังนั้นมันไม่สามารถอธิบายอะไรได้ทั้งนั้น อย่าตั้งความหวังนักล่ะ”
“ใช่... ฉันรู้ดี”
ผมก้มหน้าลงแล้วนึกถึงผู้ชายคนนั้น...ซูโกะ โนบุยูกิ... เคยพูดไว้กับผม
คนที่ดูแลเซิฟเวอร์ของ SAO ในตอนนี้ก็คือเขาเองแล้วจะว่าไปเขาก็เคยบอกว่าเซิฟเวอร์นั้นเหมือนกับกล่องดำที่ควบคุมอะไรจากภายนอกไมได้เรื่องในส่วนนั้นผมก็พอที่จะเข้าใจ
แต่ถึงจะยังไงก็ตามอาสุนะยังคงไม่ตื่นซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ชายคนนั้นนอกจากนี้ยังมีภาพของผู้หญิงหน้าตาเหมือนเธอติดอยู่ในเกม VRMMO ที่ผู้ผลิตไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น RECTOอีกด้วย เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ
ตอนแรกผมตั่งใจจะติดต่อกับกระทรวงภายในแต่รีบเปลี่ยนใจกะทันหันสิ่งที่ผมคิดยังครุมเครือเกินไปและยังไม่มีหลังฐานอีกด้วย
ผมเงยหน้าขึ้นแล้วมองหน้าเขา
“เอกิล... ฉันขอนี่ได้มั้ย?”
“ไม่มีปัญหา... อยากจะลองเล่นดูเหรอ?”
“อืม... มีอะไรที่อยากตรวจสอบดูน่ะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เอกิลแสดงท่าทีสงสัยออกมาเราทั้งคู่ต่างเคยสัมผัสถึงอันตรายของโลกเสมือนจริงมาแล้ว
ผมยักไหล่แล้วหัวเราะ...
“ดูเหมือนถ้าฉันอยากเล่น เห็นที่ต้องซื้อตัวเครื่องมาซะแล้ว”
“NerveGear ก็สามารถใช้เล่นเกมนี้ได้เหมือนกัน AmuSphere ก็แค่รุ่นปรับปรุงเท่านั้น”
“เยี่ยมไปเลย”
ผมยักไหล่ในขณะที่เอกิลถอนหายใจแล้วยิ้มออกมา
“เอาเถอะ...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายช่วยเหลือคนที่ติดอยู่ในห้วงสติสัมปชัญญะของตัวเองนี่นะ”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าเธอจะติดอยู่อีกสักกี่ครั้งหรืออีกกี่ครั้งที่ฉันต้องทำอย่างนี้”
แต่มันก็อย่างนี้แหละ...อาสุนะกับผมไม่สามารถติดต่อกันได้ด้วยวิธีอื่นนอกจากทางอินเตอร์เน็ตโดยอาศัย Nerve Gear ไม่เคยพูดคุยหรือส่งจดหมายหากันตรงๆ
แต่ช่วงเวลานั้นจะสิ้นสุดลงแล้วผมดื่นกาแฟให้หมดในรวดเดียว เคาน์เตอร์ของเอกิลเป็นแบบสมัยเก่าที่ชวนให้นึกถึงร้านในSAOที่ไม่มีเครื่องคิดเงินและของอื่นๆอย่างนี้ผมหยิบเหรียญขึ้นมาหลายอันแล้ววางไว้บนโต๊ะ
“งั้นฉันจะไปแล้วนะ...ขอบคุณที่ต้อนรับกันแล้วก็สำหรับข้อมูลข่าวสารด้วย”
“ถ้านายจะจ่ายค่าข่าวสารแล้วล่ะก็เอาเป็นว่านายต้องช่วยอาสุนะออกมาให้ได้ เรื่องนี้มันจะได้จบๆลงปักที”
ผมชกผ่ามือตัวเองแล้วเปิดประตูออกจากร้าน...
* * *
ซูกุฮะนอนอยู่บนเตียงก่อนจะกลิ้งไปมาในขณะที่ซุกหน้าไว้กับหมอนขาเตะเตียงอยู่หลายนาที
นี่ก็บ่ายแล้วแต่เธอยังสวมชุดนอนอยู่ตอนนี้เป็นวันจันทร์ที่ยี่สิบมกราคม แล้ววันหยุดฤดูหนาวก็หมดไปแล้วด้วยแต่ในเทอมที่สามของช่วงม.ต้นปีสามนั้นเธอจะเข้าเรียนตอนไหนยังไงก็ได้ดังนั้นเธอจึงไปที่โรงเรียนเฉพาะช่วงซ้อมเคนโด้
ในขณะนี้ความทรงจำของเธอกำลังฉายภาพนั้นซ้ำไปซ้ำมาเมื่อคืนนั้นเธอได้ซุกเข้าไปใต้ผ้าห่มเดียวกับพี่ชายเพื่อที่จะอุ่นร่างกายที่หนาวเย็นของเขาในตอนนั้นร่างกายของทั้งสองใกล้ชิดกันมากก่อนที่เธอจะหลับไปและในตอนนี้เธอก็กำลังนึกอายและสลดใจที่ตัวเองหลับไปง่ายๆอย่างนั้น
“ฉันมันบ้า! บ้า! บ้า!” เธอร้องในขณะที่ซุกหน้าไว้อยู่แล้วก็ทุบหมอนไปด้วย
อย่างน้อยๆฉันก็น่าจะตื่นก่อนเขา...แต่นี่เขากลับตื่นขึ้นมาก่อนแล้วแบบนี้จะมองหน้ากันติดได้ยังไงล่ะเนี่ย?
ความรู้สึกทั้งอายและขายหน้าผสานเข้ากับความรักที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกความปวดใจที่ทิ่งแทงอยู่ไม่ยอมให้หญิงสาวได้หายใจเธอเอามือปิดหน้าของตัวเองก่อนที่จะนึกได้ว่าชุดนอนมีกลิ่นของพี่ชายติดอยู่พอคิดได้อย่างนั้นหัวใจของเธอก็เต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง
เอาเถอะ...ถ้าได้หวดดาบไม้สักหน่อยคงจะช่วยให้ใจเย็นลงได้ในตอนนั้นเธอกำลังประหม่าจึงไม่แน่ใจว่าจะสวมชุกฝึกหรือชุดธรรมดาดีแต่สุดท้ายเธอก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปที่สวน
คาซุโตะออกไปข้างนอกในวันนี้...เธอเองก็ไม่รู้ว่าที่ไหน ส่วนมิโดริแม่ของเธอก็ออกไปทำงานแต่ตอนบ่าย ส่วนมิเนะทากะพ่อของเธอก็กลับอเมริกาหลังวันปีใหม่จึงมีแต่ซูกุฮะคนเดียวที่อยู่บ้านที่โต๊ะอาหารมีมัฟฟินชีสวางไว้อยู่ซึ่งเธอยัดเข้าปากอย่างไม่สมกับเป็นผู้หญิงส่วนมืออีกข้างคว้าเอาน้ำส้มในขณะที่เดินไปตามทางเดิน
ในขณะที่กัดมัฟฟินเข้าไปคำใหญ่เธอก็เห็นคาซุโตะก็กลับมาพอดีและกำลังจะจอดจักยาน
“อึก!!”
ขนมชิ้นใหญ่ติดเข้าที่คอเธอ เธอพยายามที่จะรีบดูดน้ำส้มแต่กลับพบว่าไม่ได้เสียบหลอดลงไป
“อัก... อื้อ!!”
“เฮ่ๆ...”
คาซุโตะเดินมาที่ข้างๆสุกุฮะแล้วเสียบหลอดให้จากนั้นก็ประคองน้ำส้มให้เธอดื่มซึ่งเธอรีบดูดของเหลวเย็นๆอย่างรวดเร็วจนสามารถกลืนเจ้าขนมชิ้นใหญ่ลงไปได้
“อ้า!กะ... เกือบตายแลวมั้ยล่ะ... คิดว่าจะต้องตายแล้วซะอีก”
“ไม่เรียบร้อยเลยนะเรา! ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าต้องกินให้มันช้าๆกว่านี่?”
“อือ...”
ซูกุฮะก้มหน้าลงอย่างอับอายคาซุโตะนั่งลงข้างๆเธอแล้วก้มลงแก้เชือกรองเท้าเธอมองเขาอยู่สักพักแล้วกัดมัฟฟินอีกคำ แล้วจู่ๆเขาก็พูดขึ้นมา
"จริงสิซูกุ... เมื่อคืนน่ะ...”
ซูกุฮะสำลักแล้วรีบดื่มน้ำอึกใหญ่ตาม
“คะ... ค่ะ?”
“คือว่า... มัน... ขอบคุณนะ!”
“เอ๋?”
พอได้ยินในสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดอย่างนั้นเธอก็ได้แต่มองไปที่คาซุโตะ
“เป็นเพราะน้องแท้ๆที่ทำให้พี่มีกำลังใจอีกครั้งพี่จะไม่ยอมแพ้แล้วพาเธอมาพบกับน้องให้ได้”
ซูกุฮะกลั่นความปวดร้าวในใจแล้วตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม“อืม... สู้เขานะพี่ชาย! หนูเองก็อยากจะเจอกับอาสุนะซังเหมือนกัน”
“พวกเธอจะสนิทกันได้แน่ๆ”
คาซุโตะลูบหัวซูกุฮะแล้วยืนตรง...
“เอาล่ะ... เดี๋ยวค่อนเจอกัน”
ในระหว่างที่มองคิริโตะวิ่งขึ้นบันใดชั้นสองซูกุฮะก็โยนเอามัฟฟินที่เหลืออยู่เข้าปาก
...สู้เข้านะ...แล้วก็สำหรับฉันด้วย...?
พอเดินมาถึงบ่อน้ำในสวนซูกุฮะก็เริ่มฝึกดาบ... เธอกำดาบไม้ไผ่ไว้แน่นแล้วเริ่มเคลื่อนไหวด้วยท่าทีที่ราวกับการเต้นระบำมันช่วยให้ร่างกายของเธอเริ่มอุ่นขึ้นมา
ในสมัยก่อน... เพียงแค่เหวี่ยงดาบไม้ของเธอก็ช่วยให้ใจสงบได้แล้วแต่วันนี้กลับไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆซึ่งสิ่งที่อยู่ในใจนั้นไม่สามารถลบทิ้งได้เลยอีกทั้งยังค่อยๆฝังลึกเข้าไปข้างในอีกด้วย
...ที่เราชอบพี่ชาย... มันจะดีจริงๆหรือเปล่านะ?
เมื่อคืนก่อนเธอคิดที่จะยอมแพ้ไปแล้วเพราะในใจของพี่ชายยังคงมีเธอคนนั้นอยู่ และเธอเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดีแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความเจ็บปวดจะจางหายไป
...บางที... เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว...
เธอเริ่มสับสน...ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยึดติดกับเขานักแต่เธอกลับรู้ดีว่าเธอรู้สึกอย่างนี้ครั้งแรกเมื่อไหร่กัน
เมื่อสองเดือนที่แล้วแม่ของเธอได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลเธอรีบไปที่นั้นโดยไม่สนอะไรทั้งนั้นเพื่อที่จะอยู่ข้างๆกับคิริโตะดวงตาของเธอเอ่อด้วยน้ำตาและยิ้มขึ้นมาอย่างยินดีส่วนคาซุโตะเอือมมือขึ้นมาและตอบสนองด้วยความคิดถึงและในช่วงนั้นเองความรู้สึกนี้ก็เริ่มเติบโตในใจของเธอ...
เธออยากใกล้ชิดให้มากกว่านี้...พูดคุยให้มากกว่านี้... หรือแม้แต่ได้โผเข้าไปกอดเขาไว้ซึ่งเรื่องนี้คงจะเป็นไปไม่ได้
เพียงแค่ได้อยู่ข้างๆและมองดูเขาก็ดีพอแล้ว...เธอบอกกับตัวเองอย่างนั้นแล้วหวดดาบไม้ต่อ เธอตั่งใจฝึกจนลืมเวลากระทั่งได้หันไปมองนาฬิกาจนถึงตอนนี้เธอพึ่งเห็นเวลาใกล้จะถึงตอยบ่ายแล้ว
“อ้า ไม่ได้การล่ะอย่างนี้ยิ่งมีนัดอยู่ด้วย”
เธอเลิกหวดอากาศแล้ววางดาบไม้ไว้พิงต้นไม้จากนั้นก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดเหงื่อ และหันไปมองท้องฟ้าผ่านก้อนเมฆที่ปกคลุม
* * *
ผมกลับมาที่ห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าและเปลี่ยนมือถือให้เป็นระบบสั่นจากนั้นผมถึงนั่งลงบนเตียงแล้วเปิกกระเป๋าเพื่อที่จะหยิบเกมที่เอจิลให้ขึ้นมา
<<ALfheim Online>>
ผมไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเกมนักก็เลยลองอ่านคู่มือดูปกติแล้วเวลาผมเล่น MMORPG ผมจะหาข้อมูลนอินเตอร์เน็ตกับนิตยสารก่อนแต่คราวนี้ผมไม่มีเวลาก็เลยไม่คิดที่จะเสียเวลาและเอา ROM ออกมาใส่เข้าไปในNerve Gear หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีไฟสัญญาณก็เลิกกระพริบแล้วส่องแสงออกมาอย่างถาวร
เมื่อนั่งลงบนเตียงเรียบร้อยแล้วผมก็สวม Nerve Gear ลงบนหัวด้วยมือทั้งสองข้าง
เครื่อง Nerve Gear ที่เคยเงาเป็นประกายมีรอบถลอกจนสีลอกเป็นช่วงๆในเวลาสองปีที่ผ่านมามันเป็นทั้งผู้คุมขังและคู่หูที่ร่วมต่อสู้ไปกับผม
...ขอร้องล่ะ...ให้พลังกับฉันอีกครั้ง...
ผมสวมNerve Gear ลงไปอย่างแน่วแน่และสวมสายรัดคางให้เรียบร้อยเลื่อนแว่นลงมาปิดหน้าแล้วผมก็หลับตาลง
ด้วยความรู้สึกกังวลและตื่นเต้นทำให้หัวใจของผมเต้นแรงผมพยายามทำใจให้สงบแล้วพูดว่า"LINK START!"
แสงที่ผ่านม่านตาผมเข้ามาได้หายไปสัญญาณที่ส่งผ่านประสาทตาได้ถูกตัดขาดและภาพที่เห็นจึงมีแต่ความมืดมิด
เพียงพริบตาต่อมาก็มีสีสันของสายรุ้งปรากฏขึ้นมาอย่างไร้รูปคำว่า <<Nerve Gear>> ค่อยๆก่อตัวเป็นโลโก้ขึ้นมาภาพที่เคยมัวมาก่อนได้ชัดเจนซึ่งยืนยันถึงการเชื่อมต่อกับประสาทตาของผมไม่นานก็มีตัวหนังสือยืนยันว่าการเชื่อมต่อนั้นเสร็จสมบูรณ์
ต่อมาเป็นเป็นการทดสอบระบบเสียง ซึ่งตอนแรงยังเป็นเสียงที่คลุมเครือก่อนที่จะไพเราะเป้นทำนองและชัดเจนขึ้นมาเมื่อเรียบร้อยแล้วเสียงนั้นก็ได้เบาลงและจางหายไปในที่สุดพอทุกอย่างจบลงก็มีตัวหนังสือยืนยันว่าการเชื่อมต่อกับประสาทเสียงนั้นเรียบร้อยแล้ว
การเชื่อมต่อเบื้องต้นยังคงดำเนินต่อไปจากนั้นก็เป็นการสัมผัสและแรงโน้มถ่วง ความรู้สึกของเตียงนอนได้จางหายไปการทดสอบได้ดำเนินกับประสาทสัมผัสส่วนที่เหลือ นี่ถ้าเทคโนโลยี FULLDIVE ดีขึ้นมากกว่านี้ขั้นตอนที่ว่าคงจะเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือรอให้ทุกอย่างจบลง
ในที่สุดสัญลักษณ์ OK ตัวสุดถ้าก็ได้ปรากฏขึ้นมาเพื่อยืนยันการเชื่อมต่ออึดใจต่อมาผมก็ร่วงลงออกจากความมืดมิดและเข้าสู้ห้วงสีสันสายรุ้งของโลกมายาหลังจากที่ผ่านเข้าไปในวงแหวนหลายต่อหลายอันผมก็มาถึงอีกโลกหนึ่ง
...ที่จริงแล้วยังเร็วไปหน่อยที่จะพูดอย่างนั้นสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาจากความมืดคือหน้าต่างสำหรับลงทะเบียน โลโก้ของ ALfheim Online ค่อยๆปรากฏขึ้นมาพร้อมกับเสียงผู้หญิงที่ฟังดูนุ่มหู
ผมได้ทำตามขั้นตอนแล้วลงทะเบียนสร้าง Account ขึ้นมาในระดับอกของผมมีคีย์บอร์ดปรากฏขึ้นมาให้ผมใช้ตั้งไอดีและรหัสผ่านผมมีประสบการณ์จาก SAO มาแล้วดังนั้นจึงคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ดีและเพราะว่านี้เป็นเกมที่สามารถ Download ได้ผมจึงต้องเลือกวิธีชำระเงินรายเดือนแต่นี่เป็นเกมที่ชื่อมาก็เลยมีช่วงทดลองให้หนึ่งเดือน
หลังจากนั้นผมก็ตั้งชื่อให้ตัวละครซึ่งใส่ลงไปโดยไม่คิดว่า<<คิริโตะ>>
นี่เป็นชื่อย่อของชื่อจริงผมที่มาจาก คิริกายะคาซุโตะ ซึ่งมีไม่กี่คนที่รู้และคนที่รู้ก็มีแต่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงภายใน แล้วก็คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างประธานของRecto ยูกิ โชวโซว กับซูโกะ แน่นอนว่าเอกิลกับอาสุนะที่ยังไม่ตื่นก็รู้เรื่องนี้แม้แต่ซูกุฮะกับแม่ของพวกเราเองก็ยังไม่รู้
เรื่องที่เกิดขึ้นภายใน SAO ไม่ได้ถูกประกาศออกมาโดยเฉพาะชื่อของผู้เล่นเนื่องจากในโลกนั้นได้มีการต่อสู้กันเองจนเกิดการตายในโลกของความเป็นจริง ถ้ามีการประกาศรายชื่อออกไปย่อมทำให้เกิดการฟ้องร้องในเรื่องนี้เป็นคดีจำนวนนับไม่ถ้วน
เพราะอย่างนั้นการฆ่าฟันใน SAO จึงถูกโยนให้เป็นความผิดของ คายาบะอาคิฮิโกะ ผู้ที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ญาติของผู้เล่นมากมายยังฟ้องบริษัท Argusอยู่สำหรับค่าเสียหายจนบริษัทล้มละลาย แม้ว่าคายาบะจะเป็นคนผิดก็ตามแต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องได้
เมื่อลองคิดดูแล้วชื่อนี้เป็นที่รู้จักของซูโกะ โนบุยูกิ เพราะเป็นชื่อที่เป็นที่รู้จักค่อนข้างดีดังนั้นผมก็เลยเขียนขึ้นมาในรูปของคานะแทน (คิดว่าหมายถึงตัวคาตาคานะ)จากนั้นจึงเลือกเพศซึ่งแน่นอนว่าเป็นผู้ชาย
จากนั้นก้มีเสียงบอกให้ผมสร้างตัวละครผู้เล่นสามารถออกแบบตัวละครของตัวเองได้ค่าต่างๆถูกสุ่มขึ้นมาซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนได้ยังไงที่สำคัญคือผมต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมถ้าจะเปลี่ยนรูปร่างของตัวละครดังนั้นผมก็เลยไม่ได้เรื่องมากอะไรนัก
จากนั้นก็มีเผ่าให้เลือกซึ่งแต่ละเผ่าจะมีข้อดีข้อเสียเป็นของตัวเองเผ่าของภูติอย่าง ซาลาแมนเดอร์ ซิลฟ์ แล้วก็ โนม ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในโลก RPG แต่ เคทซิท กับ เลเปคอนนี้ไม่คอ่ยเป็นที่รู้จักนัก
ผมไม่ได้คิดที่จะเล่นเกมนี้อย่างจริงจังนักดังนั้นจึงแต่ละเผ่าก็เลยมีค่าเท่ากันแต่เพราะผมชอบสีดำก็เลยเลือก <<สปริกแกน>> แล้วตอบ OK
หลังจากที่ตั้งค่าพื้นฐานเรียบร้อยก็มีเสียงคอมพิวเตอร์พูดว่า“โชคดี” แล้วผมก็ถูกส่งเข้าไปที่วังวนแสงอีกครั้งจากเสียงที่ตอบกลับมาทำให้ผมเข้าใจว่าจะถูกส่งไปที่เมืองของเผ่าตัวเองหรือก็คือสปริกแกนหลังจากที่แสงสว่างหายไปผมก็พบกับโลกใบใหม่ซึ่งกำลังร่วงลงไปที่เมืองจากที่สูงในความมืด
หลังจากที่ไม่ได้ใช้ระบบ FULLDIVE มาถึงสองเดือนความรู้สึกคุ้นเคยก็ได้กลับมาหา ซึ่งผมได้ค่อยๆเข้าไปใกล้ปราสาทในเมืองที่ว่า
แต่ในตอนนั้นเอง...
ภาพในเกมเกิดค้างไปดื้อๆรายละเอียดภาพเริ่มปริแตกแล้วโครงสร้างบางอย่างก็สลายไป เสียงเหมือฟ้าผ่าดังก้องทั่วความคมชัดของภาพเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว แล้วโลกทั้งใบก็พังทลายลงตรงหน้า
“อะ... อะไรกันเนี่ย!?”
แม้แต่เสียงร้องของผมก็ยังหายไป...ผมร่วงลงสู่ความมืดไร้ซึ่งแสงสว่าง ดิ่งสู่พื้นดินอย่างควบคุมไม่ได้
“แล้วไงต่อล่ะ!? ว้ากกกกกก!!”
เสียงของผมก้องอยู่ในความมืดมิดก่อนจะจางหายไป...
Credits By. argon