เนื่องจากมีคนมาขอให้ทำประวัติของ Vocaloid จึงจัดให้ตามคำขอโดยต่อไปนี้ใครต้องการข้อมูลแบบลึกๆของอะไรก็ตามก็สามารถติดต่อขอมาที่บล็อกนี้ได้นะครับ
หากเราพูดถึงดารานักร้องที่กำลังได้รับความนิยมในโลกไซเบอร์แล้ว หลายคนย่อมต้องรู้จักไอดอลดิจิตอลกลุ่มหนึ่งนามว่า “Vocaloid” มีความนิยมขึ้นท็อปฮิตติดชาร์ตมาตลอดพวกเธอ/เขานั้นหน้าตาน่ารัก น้ำเสียงโดดเด่น แต่ไม่แก่หรือมีอายุตามกาลเวลา ใช่แล้วครับพวกเธอไม่มีตัวตน แต่เป็นโปรแกรมยอดนิยมที่สร้างสรรค์ผลงานมากว่า 30,000 เพลง ในเวลาแค่ปีกว่า และในเอ็นทรี่นี้ เราจะมาทำความรู้จักกับพวกเธอที่กำลังจะดับอนาคตอาชีพนักร้องจริงๆกันอยู่…
ไล่เสียงเรียงนาม Vocaloidคือ…?
ย้อนกลับไปสมัยเมโสโปรเตเมีย... (พลั่ก! ย้อนทำพระแสงปืนต้นหรือไงวะ)ตะกี้ล้อเล่นครับคราวนี้ของจริง โปรแกรม Vocaloid (โวคัลลอยด์) ถูกพัฒนาขึ้นจากเอนจิ้น เสียงร้องสังเคราะห์ (Singing Synthesis Technical Engine) ของทาง Yamaha ผู้คร่ำหวอดเรื่องดนตรีและระบบเสียง ซึ่งใช้ในหลักการเอาเสียงของมนุษย์จริงๆ มาตัดออกเป็นคำๆ ตามหน่วยเสียงพื้นฐานภาษาอังกฤษเรียกว่า โฟนีม (Phoneme) หรือ พยางค์เพลง แล้วนำโฟนีมที่ได้มาดัดแปลงให้สามารถเปล่งเสียงมาจนลื่นหู ผลที่ได้ก็คือ เทคนิคนี้เอาไปออกเสียงสูงต่ำตามโน้ตเหมือนมนุษย์ร้อง พอผสานกับทำนองเครื่องดนตรีก็จะกลายเป็นเพลงออกมา
หลังจากที่ Yamaha ทุ่มเทหลับอดนอนทำระบบจนสำเร็จในปี 2003 ทางบริษัท ZERO-G Limitedของอังกฤษก็ได้ซื้อเอนจิ้นที่ว่าไปสร้างเป็น Vocaloid (มาจากคำว่า Vocal + Android) ออกสู่สายตาโลกในวันที่15 มกราคม 2004 โดยมีด้วยกันถึง 3 เวอร์ชั่นได้แก่ LEON, LOLA และ MIRIAM โดยตอนนั้นยังไม่มีมาสค็อตออกมาให้ลุ้น แต่พอทาง Crypton Future Media ของญี่ปุ่นซื้อเอนจิ้นมาเจาะตลาดนักแต่งเพลงตะวันออกดูบ้าง ก็เลยเพิ่มตัวละครมาถึงสองเวอร์ชั่นเป็นหญิงและชาย ได้แก่ MEIKO (เมย์โกะ) ในปี 2004 และ KAITO (ไคโตะ) ในปี 2006
แม้จะมีการตอบรับในระดับพอคืนทุน แต่ดันไม่เจ๋งพอขนาดแพร่หลานในวงกว้าง ทำให้ Crypton ยอมเสียเวลาพัฒนาต่ออีกปีครึ่งโดยปรับปรุงสียงร้องให้เป็นธรรมชาติเหมือนกับมนุษย์จริงๆ แล้วประกาสอัพเดท Vocaloid จากรุ่น 1 ไปสู่ เวอร์ชั่น 2 อีกครั้งในปลายเดือนสิงหาคม 2007 พร้อมกับส่งมาสค็อตสาวโมเอะเข้าประกวดเข้าประกวดอีกทีในชื่อ Hatsune Miku ครั้งนี้แม่สาวผมทวินเทลทำสำเร็จ Vocaloid 2 รุ่นนี้ดังระเบิดระเบ้อเป็นพลุแตกอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นกระแสชนิดที่คนกลุ่มอากิบะเป็นต้องรู้จักเธอคนนี้แทบทุกคน เพลงจำนวนมากถูกแต่งขึ้นออกมาและแจกจ่ายผ่านทางเว็บไซต์ชื่อดังจนได้รับความแพร่หลายไม่ว่าจะเป็น Miku Miku Shite Ageru หรือ MELT รวมไปถึงเพลง J-POP ดังจากค่ายอื่นๆ นับพันเพลง สิ่งนี้เองทำให้ Crypton ยิ้มจนแก้มปริ เมื่อน้ำขึ้นก็ต้องตักรีบคว้าโอกาสต่อเนื่องด้วยการออกซีรีย์ใหม่ออกมาหลังมิกุได้ไม่ถึงปีเป็นคู่แฝดชายหญิง Kagamine Rin/Len วางขายช่วงก่อนปีใหม่โดยมีคอนเซ็ปต์ในการเพิ่มเสียงนักร้องชายที่น่าจะทำให้เกิดความหลากหลายในการแต่งเพลงมากขึ้น รวมไปถึง Vocaloid ตัวที่ 03 Megurine Luka ที่เพิ่งเปิดตัวมาเมื่อต้นปี 2009 ซึ่งควบเสียงญี่ปุ่นและอังกฤษไว้ในแพ็คเกจเดียวแต่ราคาเดิม ชนิดล็อกคอแฟนๆ ไม่ให้หนีไปไหนไกลเลย
สิ่งที่น่าแปลกใจเอามากๆ ข้อหนึ่ง คือในขณะที่ Vocaloid 2 ของฝั่งญี่ปุ่นสามารถกุมหัวใจผู้ใช้จนถึงขนาดผูกประวัติเป็นเรื่องเป็นราว แต่ทางผู้ดีอังกฤษกลับปั้นดาวไม่เก่งเท่าการซื้อขายนักแข่งทีมฟุตบอล โดยออกเวอร์ชั่น 2 ออกมา 3 ตัวคือ Sweet Ann, Prima และ Big-al ของค่าย ZERO-G กลับเงียบกริบ ไม่พีคเท่าไอดอลอาทิตย์อุทัย หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะการนำเสนอที่แตกต่างราวฟ้ากับเหว เพราะขณะที่มิกุถูกพรีเซนต์เป็นเด็กสาววัยรุ่นเปี่ยมไปด้วยรักและเต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ทางฝั่งเมืองผู้ดีดันเสนอ Vocaliod 2 ในฐานะ “ไซบอร์กร้องเพลง” ที่ฟังแล้วนึกภาพออกได้แค่เพียงตุ๊กตาหุ่นยนต์แข็งๆ นอกจากนี้ในเรืองของภาษาญี่ปุ่นที่มีเสียงน้อยกว่า ไม่ซับซ้อนทำให้สามารถแต่งเพลงและเติมเต็มจินตนาการของตนเต็มที่กว่า ยกตัวอย่างเช่นการปรับลุค สวีท แอนที่ชาวญี่ปุ่นขยันปรุงแต่งให้กลายเป็นสาวฝรั่งผมทองชื่อ อามาเนะ (Amane Ann) ที่หมายถึง แอน เสียงหวาน เลียนแบบชื่อเดิมไปซะงั้น
ดังเป็นพลุแตกด้วย Youtube และ NicoNico
สาเหตุที่ทำให้มิกุและผองเพื่อนแจ้งเกิดในวงการไอดอลออนไลน์ได้รวดเร็วถึงขั้นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสังคมไซเบอร์ปัจจุบันซึ่งขยับขยายก้าวล้ำจากภาพวัดมาเป้นมัลติมีเดียเต็มรูปแบบ การที่มี Vocaloid อยู่จึงช่วยเติมเต็มจุดอ่อนของนักแต่งแพลงระดับแต่ดันตกม้าตายตรงเสียงร้อง ให้สามารถที่จะผลิตผลงานต่อไปได้ รวมถึงกระตุ้นไอเดียการพรีเซนต์ของแปลกๆ ในสายเลือดคนญี่ปุ่นให้มากขึ้น อาศัยเว็บไซต์แจกจ่ายมูฟวี่อย่าง Youtube ที่ถูกยักษ์ใหญ่ Google กว้านซื้อไปด้วยวงเงิน 1,650 ล้านเหรียญ และ Nico Nic Douga เว็บไซต์ญี่ปุ่นที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถอัพโหลดคลิปที่ตัวเองทำขึ้นมาแบบไม่จำกัด แถมยังมีการจัดอันดับให้ลุ้นกันอีกด้วย ดังนั้นเมื่อมีช่องทางในการแจกจ่ายมีพร้อมขนาดนี้ เหล่านักประพันธ์เพลงดิจิตอลจึงมีโอกาสในการอวดฝีมือแบบเบากระเป๋า ไม่ต้องเสียเงิน รวมถึงฝ่ายบุคคลของบริษัทเพลงที่อาจจะไขว่คว้าหาคลื่นลูกใหม่มาทำงานในบริษัทดนตรีได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
พักสายตาก่อนอ่านต่อเขาว่ากันว่ามองของสีเขียวจะช่วยผ่อนคลายสายตาเอาภาพนี้ไปดูสักพักละกัน
มองรอบๆด้านหลัคนนั่งม้านั่งนะครับธรรมชาติทั้งนั้น
แฟนอาร์ตคาแรกเตอร์ผุดเป็นดอกเห็ด
ด้วยความโมเอะน่ารักน่าชังของ Vocaloid แต่ละคน ทำให้เกิดมีแฟนๆ เริ่มจับตัวละครมาYกัน…เฮ้ยใช่ที่ไหนเล่า เริ่มนำตัวละครมาวาดเป็นแฟนอาร์ตล้อเลียน มีการสร้างบุคลิกต่างๆให้ และของ(อาวุธ) ประจำกายขึ้นมาเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่ว่าต้นหอมของมิกุ รถบดถนนของริน(- -;) เล็นซึ่งแอบปิ๊งมิกุอยู่ เมย์โกะที่เป็นรุ่นพี่สาวใจดี ไคโตะที่ชอบกินไอติม (ป้า)ลูกะหัวปลาหมึก ฯลฯ รวมไปถึงการแต่งคอสอนิเมข้ามเรื่อง(เท่าที่หาดูK-ONก็โดนไปเรียบร้อย) ซึ่งสร้างสีสันสนุกสนานให้กับเว็บบอร์ดดังในญี่ปุ่นได้ดี และยิ่งมีการขยับขยายต่อไปด้วยการสร้าง แฟนเมด (Fan Made) หรือคาแรกเตอร์ของ Vocaloid ให้แตกหน่อเป็นตัวเป้นตนออกมาตามใจฉัน อวดโชว์โพสดีไซน์ที่อยากจะวาดมาตามบอร์ดรูปภาพเป็นล่ำเป็นสัน มีการประมาณว่าแฟนเมดเหล่านี้มีอยู่มากถึง 500 ตัว(Oh!) แตกต่างกันตามสีผม พฤติกรรม นิสัย เพศ ฯลฯ ซึ่งจะดังหรือดับก็ขึ้นอยู่กับดีไซน์มาโดนใจคนอื่นหรือไม่ ซึ่งตัวที่โดดเด่นก้ได้แก่ โยวาเนะ ฮาคุ ซึ่งล้อเลียนคนที่แต่งเพลงมิกุได้จืดชืด อากิตะ เนรุ ที่เป็นมิกุขี้เบื่อแต่งเพลงครึ่งๆกลาง ไม่เสร็จ ไคโกะ ไคโตะเวอร์ชั่นผู้หญิง(- -‘) ซาคิเนะ เมย์โกะ หรือเมย์โกะสมัยวัยรุ่นอฯลน เรียกว่าเยอะมากจนจำกันไม่หวาดไม่ไหวกันทีเดียว
กระแสไหลเกินคาด บริษัทน้อยใหญ่ขอแจม!!
แม้ว่า Vocaloid 2 เดิมจะเป็นโปรแกรมเฉพาะกลุ่มซึ่งเล่นกันแค่คนสายดนตรีหรือคนที่ชอบคาแรกเตอร์ตัวละคร แต่ในปัจจุบันบริษัทหลายเจ้าในญี่ปุ่นกำลังพาพวกเธอและเขาไปเป็นดารารับเชิญในฐานะไอดอลที่มาพร้อมสินค้ารูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมมิก ของ Kadokawa Shoten ซึ่งเอาชีวิตของมิกุมาแปลงเป็นการ์ตูน 4 ช่องจบ ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร Cope Ace อนิเมของ SHAFT ที่นำมิกุมาออกทีวีในเรื่อง Zoku Sayonara Zetsubou Sensei (หรือรู้จักกันในชื่อ “ลาก่อน ครูสิ้นหวัง”) เกมแนวrhythmบนเครื่อง PSP อย่าง Hatsune Miku : Project DIVA ซึ่งทำออกมาเกาะกระแสดนตรีครองเมืองโดย SEGA (ทำให้คนที่ไม่มีPSPอย่างผมหนักใจมากที่ไม่ได้เล่นเกมนี้OTL) ฟิกเกอร์ของ Good Smile Company ที่หยิบยืม Vocaloid ทั้งสองรุ่นมากลายเป็นสินค้าชั้นดีอย่างเน็นโดรอยด์และฟิกม่า ประโคมข่าวให้เปิดจองและขายกันกระหน่ำ (จนถึงเกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค พลั่ก!! ปรากฏการณ์เน็นโดรอยด์มิกุขาดตลาดมาแล้ว) และไม่เว้นแม้แต่(ป้า)ลูกะที่เพิ่งวางขายก็โดนลัดคิวปั้นเป็นสินค้าฟันเงินในกระเป๋าสาวกอีกเต็ม ไม่เว้นแม้แต่ Microsoft ของประเทศที่เริ่มตระหนักถึงความโมเอะ จนถึงกับปลุกโครงการจับมือกับ Nico Nico Douga ซื้อตัวมิกุมาเป็นพรีเซ็นเตอร์แนะนำผลิตภัณฑ์ Window Live Messenger ในตึกไมโครซอฟท์กันเลย
กลับมาดูทางพ่อแม่ตัวจริงอย่าง Yamaha บ้างที่เริ่มหวั่นเกรงความน่ากลัวของเอนจิ้นตัวเอง บวกกับกุมขมับว่าทำไมเราถึงไม่ออกสินค้ากับเค้าซะเลยฟะ? ทำให้สุดท้ายเลยต้องยอมตามน้ำ ออกสินค้าคาแรกเตอร์ควบคู่สินค้าอย่าง แก๊กปอยด์ (Gackpoid) มาโดยทำระบบให้ดีกว่าคนอื่น แปลงเสียงต้นฉบับมาจากนักร้องหนุ่ม Gackt มาใช้ มีคนวาด Berserk มาดีไซนืปกให้ แถมยังดูแล้วแผ่รังสีม่วงกระจายชนิดเบียดรุ่นแรกอย่าง KAITO กระเด็นตกขอบ พอมาผสมกับอานิสงค์ความฮิตของ Vocaloid แล้วจึงทำให้อยู่ในครอบครัวไอดอลได้เช่น (หรือที่บางคนมองว่า เพราะ Vocaloid 2 ขาดแคลเสียงผู้ชายเต็มทนแล้ว- -‘)
นอกจากตัวโปรแกรม Vocaloid ของเจ้าต้นแบบ Crypton แล้ว ยังมีแฟนคลับหลายคนพยายามนำเทคโยโลยีและแนวคิด “โปรแกรมเกือบกึ่งสำเร็จ” ของ Vocaloid นี้ไปดัดแปลง ตัวอย่างเช่น Miku Miku Dance โปรแกรมเรนเดอร์ 3D ซึ่งมีโมเดลเป็นมาสค็อตของ Vocaloid ผู้ใช้สามารถนำตัวละครเหล่านี้มาขยับท่าทาง เปลี่ยนอารมณ์ หรือเอาฉากเสริมเพิ่มเติมเพื่อเพื่อให้กลายเป็นคลิปมูฟวี่หรือบทละครโรงเล็กได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมานั่งปั้นโพลิก้อนเอง ปัจจุบันมีการพัฒนาให้ใช้ฟรีถึงเวอร์ชั่น 3.41 (มั้ง?) โดยมีทั้ง Vocaloid Official และเแฟนเมดดังๆ อยู่ครบ นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมสมัครเล่นอย่าง VocaListen ซึ่งสามารถดักจำเสียงนักร้องเพลงทั่วไป แล้วแปลงให้กลายเป็นเสียงร้องของมิกุได้อย่างนุ่มนวล ลดภานะในการแต่งเพลงลงไปได้ หรือแม้แต่เกมแนวจีบสาวมิกุ(- -‘) Mirai no Kimi to Subete no Uta ni (แปลได้ใจความว่า “อนาคตเคียงคู่เธอ,ด้วยเสียงเพลง”) ซึ่งงางจำหน่ายไปในงานคอมิเกะ C73 โดยจะเป็นเรื่องราวของผู้เล่นกับมิกุในบ้านหลังเดียวกัน
บทสรุป…อนาคตของ Vocaloid
จากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นเครื่องยืนยันที่ดีซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของ Vocaloid ของสังคมออนไลน์ ซึ่งไม่น่าจะจางหายไปง่ายๆ ตราบใดที่ยังมีคนชื่นชอบและหลงใหลอยู่(เช่นจขบ.) แม้ในวันนี้พวกเธอ/เขายังมีตัวตนแค่ในโลกสองมิติบนจอคอมพิวเตอร์แต่หากวันหนึ่งข้างหน้าซึ่งเทคโนโลยียังมีโอกาสก้าวหน้าขึ้นไปสูงกว่าที่เป็นอยู่นี้ วันหน้า Vocaloid อาจจะมีตัวตนออกมาบนท้องถนน และมีบทบาทสำคัญต่อโลกแห่งเสียงเพลงต่อก็ได้…นะ? (แต่ได้ยินแว่วๆมาว่าทำหุ่นเคลื่อนไหว ร้องเพลงได้ มีทวินเทล ผมสีเขียวออกมาโชว์แล้ว)
ไว้คราวหน้าจะมาลงประวัติ Vocaloid แต่ละคนแบบค่อนข้างละเอียดให้ ตอนนี้ขอพักนิ้วให้หายเมื่อยก่อนนะ
อ่านจบต่อด้วยมาสค็อตเรียกคอมเม้นทร์เหมือนเดิมแต่ครั้งนี้ช่วยกด ดาวแดงให้ด้วยจะประเสริฐที่สุด
ไหนๆก็ทำเกี่ยวกับVocaloidแล้วมาสค็อตก็ต้องเป็นVocaloid ถึงจะถูก
ประวัติของ Vocaloidมาอ่านกันเทอะ