หลังจากที่อู้มาเป็นเวลานานผมก็แต่งตอนยี่สิบเสร็จซะทีเย้!!!
Chapter 20: A Man In The Big City
หลังจากที่ผมได้นำทริชกับนาซัสมาที่เมืองดาก้อนผมก็ขับรถเข้าไปในเมืองเพื่อที่จะหาหมอ
แล้วก็มีแวร์วูฟตัวนึงเรียกผมให้ไปหา เธอเป็นแวร์วูฟที่มีขนสีดำเหมือนกับนาซัส
“เจ้าหนู!! มาทางนี้!!”
ผมจอดรถแล้วก็อุ้มนาซัสกับทริชลงไป
“เข้ามาข้างในก่อน แล้วก็เอาพวกนางมานอนที่เตียง”
ผมอุ้มนาซัสกับทริชไปนอนที่เตียงแล้วก็นั่งดูเธอรักษาทั้งสองคนด้วยความเป็นห่วง
พอเสร็จแล้วเธอก็มานั่งพัก
“เกือบไปแล้วนะเนี่ย ดีนะที่เจ้าพามาทันไม่งั้นแย่แน่ๆ”
“มันร้ายเรื่องขนาดนั้นเลยเหรอครับ ที่ผมเห็นก็แค่แผลที่มือเองกับรอยฟกช้ำนิดหน่อยเองนี่ครับ”
“ถ้าแค่นั้นละก็ไม่เป็นไร แต่นี่นอกจากบาดแผลภายนอกแล้วอวัยวะภายในก็ยังบอบซ้ำอย่างรุนแรงด้วยถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้ได้ตายจริงๆแน่”
ได้ยินแบบนั้นทำให้ผมยิ่งแค้นไอ้กาเร็นเข้าไปอีก
“ว่าแต่...ลายสักของเจ้าสวยดีนี่ ไปสักมาที่ไหนเหรอ”
“กลางทะเลทรายนะครับ แต่ว่าถามทำไมเหรอครับ”
“ก็แค่ถามดูนะ เออนี่เจ้าช่วยอะไรข้าอย่างสิ”
“อะไรเหรอครับ”
“กรีดนิ้วของเจ้าซะ”
“หา...อะไรนะครับ”
“กรีดนิ้วของเจ้าแล้วก็เอาเลือดเจ้าไปป้อนให้พวกนางซะ”
“เพื่ออะไรเหรอครับ”
“ข้าต้องการเลือดที่มีพลังวิญญาณเข็มข้นเพื่อเร่งการฟื้นตัวของพวกนาง แล้วเท่าที่ดูเจ้าเป็นอินคิวบัสที่มีพลังวิญญาณอยู่เยอะพอตัวเลย ผมขาวไปเกือบทั้งหัวแล้ว”
“เอ่อ...หัวผมมันหงอกมาตั้งแต่เด็กแล้วละครับ แต่ผมก็เป็นอินคิวบัสนั้นแหละ”
แล้วเธอก็ส่งมีดให้ผม ผมเดินไปที่ข้างๆเตียงแล้วก็ป้อนเลือดให้กับทั้งสองคนหลังจากที่เสร็จแล้วผมก็มานั่งพัก ไอ้การให้เลือดนี่มันทำเอาผมหน้ามืดเลย
“การพักฟื้นคงจะใช้เวลาสักสองสามวัน ระหว่างนี้เจ้าจะนอนที่นี่ก็ได้นะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ผมนั่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมถ้าผมไม่ออกมาเรเน็กก็คงจะไม่ตายและทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นแบบนี้
“มันไม่ใช้ความผิดของเจ้าหรอก”
“นั้นใคร”
“ข้าเองอารอน”
“นี่ชั้นหลับอยู่ใช่มั๊ย”
“ใช่ แต่ว่าเจ้าไม่ควรจะเศร้าหรอกนะมันไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก”
“ทั้งหมดมันคือความผิดของชั้น แกก็เห็น”
“ไม่ใช่หรอก ชั้นรู้จักนายพลกาเร็น ไอ้เวรนั้นนะมันเก่งโคตรชนิดที่ว่าเจ้าตอนนี้เอาชนะมันไม่ได้หรอก”
“นั้นมันไม่แน่หรอก ชั้นยังไม่ได้ลองสู้เลย”
“เชื่อข้าสิเจ้าทำอะไรไม่ได้หรอก ถึงเจ้าอยู่ผลที่เกิดมันก็เหมือนเดิมหรือแย่กว่าคือเจ้าตาย”
“อย่างน้อยชั้นก็ได้ตายเพื่อปกป้องทุกคนที่ชั้นรัก แต่ว่านี่ชั้นไม่ได้ทำอะไรเลยชั้นปล่อยให้พวกเขาตายโดยที่ไม่รู้อะไรเลย...”
“อย่าเศร้าไปเลย เชื่อข้าสิเรเน็กกับโนร่าไม่ได้อยากให้เจ้าเป็นแบบนี้หรอก”
“แล้วแกรู้ได้ยังไง”
“ข้าไปเจอพวกนางมาแล้วยังไงละ”
“ได้ไงวะ”
“ก็ข้าตายไปแล้ว การไปเจอกับคนอื่นที่ตายมันเป็นเรื่องง่าย”
“ถ้าแกเจอพวกเธออีกฝากบอกไปว่าชั้นขอโทษ”
“ได้แล้วข้าจะบอกให้ เออแล้วก็อีกอย่างข้ามาที่นี่เพื่อจะมาสอนเคล็ดในการการพลิกแพลงพลังให้กับเจ้า”
“อ่ะๆ ว่ามา”
“เจ้ารู้แล้วใช่มั๊ยว่าพอเจ้าดูดความชื้นออกจะสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตจนหมดมันก็จะกลายเป็นผงคล้ายๆทราย”
“ใช้ชั้นเคยเห็น”
“ผงนั้นมันจะมีสถานะเหมือนกับทรายและเจ้าสามารถควบคุมมันได้เหมือนกับทราย และก็เจ้าก็เห็นใช่มั๊ยว่าเวลาเจ้าใช้ร่างทรายหากเจ้าบาดเจ็บก็จะมีทรายมาปิดบาดแผลและและหากเจ้าทำอวัยวะขาด เจ้าก็สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ด้วยทรายซึ่งผงที่ได้จากการดูดความชื้นก็สามารถใช้แทนทรายได้”
“โอว...เจ๋งวะ”
“และจำไว้อีกอย่างถ้าเจ้าออกจากทะเลทรายเจ้าจะไม่ได้เจอข้าอีก เอาละไปได้แล้วเจ้าหนู”
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าโดยที่มีผ้าห่มตัวผมอยู่ ผมเดินไปดูทริชกับนาซัสทั้งคู่ยังคงไม่รู้สึกตัวแต่เท่าที่เห็นแผลที่มือนั้นดีขึ้นมากแล้ว ผมเลยคิดว่าปล่อยให้นอนอยู่แบบนี้คงไม่เป็นไร ผมจึงออกไปเดินเล่นในเมือง
ผมเดินมาตามถนนและก็ได้เห็นมอนสเตอร์หลายชนิด ทั้งพวกโฮลส์ทอรัส ลิซาร์ดแมน เอลฟ์
อินาริ แฟร์รี่ แวร์วูฟ แม้แต่สไลม์ก็ยังมีเลย ผมเดินเข้าไปนั่งที่บาร์แห่งนึงผมไปนั่งตรงเคาน์เตอร์แล้วก็สั่งเครื่องดื่มมากระแทกปาก พอนั่งไปสักพักก็มีเอลฟ์มานั่งข้างๆผมเธอสั่งนมมาดื่มแก้วนึง ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจเธอหรอกแต่อยู่ๆก็มีพวกที่แต่งตัวเหมือนกับพวกแก๊งผู้กล้าล่าจอมมารเดินเข้ามาในร้าน แล้วพวกมันก็เดินตรงเข้ามาหาเธอจากนั้นไอ้ตัวหัวโจกก็เริ่มพล่าม
“นี่เจ้าเอลฟ์ดูท่าทางเจ้าจะมีฝีมือในการยิงธนูอยู่บ้าง เจ้าสนใจจะมาเป็นทา...”
“ไปให้พ้น”สามคำสั้นๆเล่นเอาไอ้หัวหัวโจกถึงกับเลือดขึ้นหน้า
“นังนี่ เป็นแค่พวกเลือดผสมบังอาจปฏิเสธข้าอย่างงั้นเหรอ เจ้าไม่รู้ใช่มั๊ยว่าข้าเป็นใคร ข้าคือลีอองอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ที่จะพิชิตวิหารแห่งแอมเชียร์และจะพิชิตฟาโรห์”
อ๋อเหรอ พิชิตฟาโรห์เหรอแหมน่ากลัวเนอะ
“พิชิตฟาโรห์เหรอ น่าขำสิ้นดีอย่างเจ้าแค่เห็นฟาโรห์ก็คงจะกลัวจนฉี่ราดแล้วละมั๊ง”
กัดได้โดนใจป๋ามากเลยหนู
“เจ้าคิดว่าข้ากลัวมันงั้นเหรอ ข้าไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้วฟาโรห์เหรอ แน่จริงก็ออกมาเซ่!! ออกมาเลย!! ข้าไม่กลัวแกหรอกโว้ย”ผมเล็งไปที่ขวดของคนข้างแล้วก็เตรียมตัวคว้ามาฟาดหัวมันสักทีนึง
“น่าสมเพช”เอลฟ์พูดขึ้นมาทำให้มันโกรธจนยกมือขึ้นมาทำท่าจะตบเธอผมเลยรีบคว้าขวดเหล้าของคนข้างๆมาฟาดหน้ามันเต็มๆจนมันหน้าหงายไปเลย
“อยากเจอฟาโรห์เหรอ กุอยู่นี่ไอ้สั_”
อ๊าก!!~หน้าข้า แก...แกต้องชดใช้ เฮ้ย!! เล่นมันเลยสิวะ!!”มันสั่งลูกน้องของมันให้บุกเข้ามา
ผมจัดการสอยลูกน้องคนแรกโดยถีบเข้าเต็มหน้า แล้วก็ต่อด้วยชกไอ้คนที่สองจนล้มแล้วผมหันมาเห็นเอลฟ์กำลังถูกพวกมันล้อมอยู่ผมเลยวิ่งเข้าไปกระโดดถีบหลังมันคนนึงจนเซไปชนโต๊ะล้มระเนระนาด แต่ว่าพอผมหันมาดูอีกที่เจ้าพวกที่เหลือก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นหมดแล้ว
“เก่งดีนี่ เธอน่ะ”
“หุบปากน่า”
ผมเห็นไอ้คนนึงชักมีดออกมาแล้วกะจะฟันเธอจากด้านหลัง
“ระวัง!!”ผมใช้หลังเธอเป็นฐานแล้วกลิ้งผ่านหลังเธอไปชกไอ้หมอนั้นกระเด็นไปเลย
แต่ว่าพอผมหันมาก็ตกใจจนหัวใจแทบวายเพราะยัยนั้นคว้าเก้าอี้แล้วฟาดมาทางผม
“หลบไปเจ้าบ้า”จะบอกช้าไปมั๊ยหนูแต่ถึงยังไงผมก็หลบทันแบบเฉียวเส้นผมไปนิดเดียว
ยัยนั้นฟาดเก้าอี้ใส่ไอ้ลีอองที่วิ่งมาจะเล่นงานผมจากด้านหลัง
ในระหว่างที่ตะลุมบอนกันอยู่ผมก็ลองถามชื่อเธอดู
“นี่...เธอชื่ออะไรเหรอ”
“ใครจะไปยอมบอกชื่อกับคนที่ไม่ยอมบอกชื่อตัวเองก่อนละ”
“ก็ได้ๆ...ผมชื่อฟุกเธอชื่ออะไรเหรอ”
“มินนะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะมินนะ”
“เช่นกัน เจ้าบ้า”
หลังจากที่จัดการพวกลูกน้องจนหมดไอ้ลีอองก็เรียกทหารใส่เกราะหนักติดอาวุธกลุ่มนึงเข้ามา
“เจ้าพวกโง่ พวกแกหาเรื่องผิดคนซะแล้ว”
“ชั้นว่าเราต้องชิ่งแล้วละ ไปกันเถอะ”
“เอ๊ะ เดี๋ยวสิเจ้าบ้า”ผมคว้าแขนมินนะแล้วพาวิ่งขึ้นชั้นสองจากนั้นก็กระโดดออกทางหน้าต่างมาที่หลังร้านแล้วก็วิ่งออกมาที่ถนน หลังจากวิ่งมาสักพักผมก็เห็นทางหนี
“มินนะหลังคา ใช้ลังนั้นเป็นฐานเหยียบขึ้นบนหลังคา”แล้วผมกับมินนะก็ขึ้นมาบนหลังคาได้สำเร็จแล้วก็หยุดพักแต่ว่าไอ้พวกทหารบ้านั้นก็ยังตามขึ้นมาได้
“ตามติดกุเป็นปลิงเลยนะมึ_”ผมเลยต้องวิ่งต่ออีกรอบที่จริงถ้าผมจะสู้ก็สู้ได้แต่ว่าพลังของผมมันเตะตาเกินไปเลยไม่อยากใช้
หลังจากที่วิ่งมาได้อีกสักพักผมก็เห็นทางรอดอีกครั้ง
“มินนะโดดลงไปที่เกวียนนั้น”
แล้วผมกับมินนะก็กระโดดลงไปที่เกวียนที่ขนฟางมาเต็มคัน
แล้วก็ด้านหลังยังมีเกวียนตามมาอีกหลายคันทำให้พวกเรารอดออกมาได้อย่างง่ายดายหลังจากที่หนีพ้นมินนะก็เริ่มบ่น
"เจ้าบ้า ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ"
"เอ่อ...นี่ผมผิดเหรอที่ผมช่วยเธอไว้นะ"
"ผิดสิ เจ้านะผิดเต็มๆเลยเพราะเจ้าดันไปหาเรื่องไอ้พวกนั้นทำให้ข้าต้องพลอยเหนื่อยไปด้วยเลย"นี่ตกลงว่ากุผิดใช่มั๊ยเนี่ย
"แต่ผมแค่อยากช่วยนะ แล้วก็อีกอย่างตอนนี้แขนผมก็เริ่มชาแล้วช่วยลุกขึ้นแปป"มินนะนอนหนุนแขนผมอยู่พักนึงแล้วจนตอนนี้แขนผมชาไปหมด แล้วเธอก็ลุกขึ้นจากนั้นเราก็ลงจากเกวียน
พอลงมามินนะก็เดินหนีผม ผมก็เลยต้องเดินตามเธอไปไม่รู้ทำไมแต่จู่ๆก็รู้สึกอยากถามอะไรขึ้นมา
"นี่...เธอนะจะเดินทางไปที่ไหนเหรอ"
"แล้วเจ้าจะรู้ไปทำไม"
"คือผมแค่...อยากจะหาเพื่อนร่วมทางนะ"
"ข้าไม่สนหรอก ไปให้พ้น"
"แต่..."
"ข้าบอกให้ไปให้พ้นไงเล่า!!"
ผมเลยจำใจต้องถอยแต่ว่าผมยังไม่ถอดใจหรอก
"ชั้นจะไปซิปังกุในอีกสามวันถ้าเธอเปลี่ยนใจก็มาเจอกันที่ท่าเรือนะ"
แล้วผมก็เดินกลับมายังที่พักแต่พอกลับไปถึงผมก็เจอเซอร์ไพร์ดอกใหญ่เต็มๆหน้าเลย...
Chapter 20: END
เป็นไงบ้างครับหนุกไม่หนุกก็เม้นกันหน่อยเน้อ
บาย
แถมหน่อยภาพโดยคร่าวๆของเมืองดาก้อน
Chapter 20: A Man In The Big City
หลังจากที่ผมได้นำทริชกับนาซัสมาที่เมืองดาก้อนผมก็ขับรถเข้าไปในเมืองเพื่อที่จะหาหมอ
แล้วก็มีแวร์วูฟตัวนึงเรียกผมให้ไปหา เธอเป็นแวร์วูฟที่มีขนสีดำเหมือนกับนาซัส
“เจ้าหนู!! มาทางนี้!!”
ผมจอดรถแล้วก็อุ้มนาซัสกับทริชลงไป
“เข้ามาข้างในก่อน แล้วก็เอาพวกนางมานอนที่เตียง”
ผมอุ้มนาซัสกับทริชไปนอนที่เตียงแล้วก็นั่งดูเธอรักษาทั้งสองคนด้วยความเป็นห่วง
พอเสร็จแล้วเธอก็มานั่งพัก
“เกือบไปแล้วนะเนี่ย ดีนะที่เจ้าพามาทันไม่งั้นแย่แน่ๆ”
“มันร้ายเรื่องขนาดนั้นเลยเหรอครับ ที่ผมเห็นก็แค่แผลที่มือเองกับรอยฟกช้ำนิดหน่อยเองนี่ครับ”
“ถ้าแค่นั้นละก็ไม่เป็นไร แต่นี่นอกจากบาดแผลภายนอกแล้วอวัยวะภายในก็ยังบอบซ้ำอย่างรุนแรงด้วยถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้ได้ตายจริงๆแน่”
ได้ยินแบบนั้นทำให้ผมยิ่งแค้นไอ้กาเร็นเข้าไปอีก
“ว่าแต่...ลายสักของเจ้าสวยดีนี่ ไปสักมาที่ไหนเหรอ”
“กลางทะเลทรายนะครับ แต่ว่าถามทำไมเหรอครับ”
“ก็แค่ถามดูนะ เออนี่เจ้าช่วยอะไรข้าอย่างสิ”
“อะไรเหรอครับ”
“กรีดนิ้วของเจ้าซะ”
“หา...อะไรนะครับ”
“กรีดนิ้วของเจ้าแล้วก็เอาเลือดเจ้าไปป้อนให้พวกนางซะ”
“เพื่ออะไรเหรอครับ”
“ข้าต้องการเลือดที่มีพลังวิญญาณเข็มข้นเพื่อเร่งการฟื้นตัวของพวกนาง แล้วเท่าที่ดูเจ้าเป็นอินคิวบัสที่มีพลังวิญญาณอยู่เยอะพอตัวเลย ผมขาวไปเกือบทั้งหัวแล้ว”
“เอ่อ...หัวผมมันหงอกมาตั้งแต่เด็กแล้วละครับ แต่ผมก็เป็นอินคิวบัสนั้นแหละ”
แล้วเธอก็ส่งมีดให้ผม ผมเดินไปที่ข้างๆเตียงแล้วก็ป้อนเลือดให้กับทั้งสองคนหลังจากที่เสร็จแล้วผมก็มานั่งพัก ไอ้การให้เลือดนี่มันทำเอาผมหน้ามืดเลย
“การพักฟื้นคงจะใช้เวลาสักสองสามวัน ระหว่างนี้เจ้าจะนอนที่นี่ก็ได้นะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ผมนั่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมถ้าผมไม่ออกมาเรเน็กก็คงจะไม่ตายและทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นแบบนี้
“มันไม่ใช้ความผิดของเจ้าหรอก”
“นั้นใคร”
“ข้าเองอารอน”
“นี่ชั้นหลับอยู่ใช่มั๊ย”
“ใช่ แต่ว่าเจ้าไม่ควรจะเศร้าหรอกนะมันไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก”
“ทั้งหมดมันคือความผิดของชั้น แกก็เห็น”
“ไม่ใช่หรอก ชั้นรู้จักนายพลกาเร็น ไอ้เวรนั้นนะมันเก่งโคตรชนิดที่ว่าเจ้าตอนนี้เอาชนะมันไม่ได้หรอก”
“นั้นมันไม่แน่หรอก ชั้นยังไม่ได้ลองสู้เลย”
“เชื่อข้าสิเจ้าทำอะไรไม่ได้หรอก ถึงเจ้าอยู่ผลที่เกิดมันก็เหมือนเดิมหรือแย่กว่าคือเจ้าตาย”
“อย่างน้อยชั้นก็ได้ตายเพื่อปกป้องทุกคนที่ชั้นรัก แต่ว่านี่ชั้นไม่ได้ทำอะไรเลยชั้นปล่อยให้พวกเขาตายโดยที่ไม่รู้อะไรเลย...”
“อย่าเศร้าไปเลย เชื่อข้าสิเรเน็กกับโนร่าไม่ได้อยากให้เจ้าเป็นแบบนี้หรอก”
“แล้วแกรู้ได้ยังไง”
“ข้าไปเจอพวกนางมาแล้วยังไงละ”
“ได้ไงวะ”
“ก็ข้าตายไปแล้ว การไปเจอกับคนอื่นที่ตายมันเป็นเรื่องง่าย”
“ถ้าแกเจอพวกเธออีกฝากบอกไปว่าชั้นขอโทษ”
“ได้แล้วข้าจะบอกให้ เออแล้วก็อีกอย่างข้ามาที่นี่เพื่อจะมาสอนเคล็ดในการการพลิกแพลงพลังให้กับเจ้า”
“อ่ะๆ ว่ามา”
“เจ้ารู้แล้วใช่มั๊ยว่าพอเจ้าดูดความชื้นออกจะสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตจนหมดมันก็จะกลายเป็นผงคล้ายๆทราย”
“ใช้ชั้นเคยเห็น”
“ผงนั้นมันจะมีสถานะเหมือนกับทรายและเจ้าสามารถควบคุมมันได้เหมือนกับทราย และก็เจ้าก็เห็นใช่มั๊ยว่าเวลาเจ้าใช้ร่างทรายหากเจ้าบาดเจ็บก็จะมีทรายมาปิดบาดแผลและและหากเจ้าทำอวัยวะขาด เจ้าก็สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ด้วยทรายซึ่งผงที่ได้จากการดูดความชื้นก็สามารถใช้แทนทรายได้”
“โอว...เจ๋งวะ”
“และจำไว้อีกอย่างถ้าเจ้าออกจากทะเลทรายเจ้าจะไม่ได้เจอข้าอีก เอาละไปได้แล้วเจ้าหนู”
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าโดยที่มีผ้าห่มตัวผมอยู่ ผมเดินไปดูทริชกับนาซัสทั้งคู่ยังคงไม่รู้สึกตัวแต่เท่าที่เห็นแผลที่มือนั้นดีขึ้นมากแล้ว ผมเลยคิดว่าปล่อยให้นอนอยู่แบบนี้คงไม่เป็นไร ผมจึงออกไปเดินเล่นในเมือง
ผมเดินมาตามถนนและก็ได้เห็นมอนสเตอร์หลายชนิด ทั้งพวกโฮลส์ทอรัส ลิซาร์ดแมน เอลฟ์
อินาริ แฟร์รี่ แวร์วูฟ แม้แต่สไลม์ก็ยังมีเลย ผมเดินเข้าไปนั่งที่บาร์แห่งนึงผมไปนั่งตรงเคาน์เตอร์แล้วก็สั่งเครื่องดื่มมากระแทกปาก พอนั่งไปสักพักก็มีเอลฟ์มานั่งข้างๆผมเธอสั่งนมมาดื่มแก้วนึง ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจเธอหรอกแต่อยู่ๆก็มีพวกที่แต่งตัวเหมือนกับพวกแก๊งผู้กล้าล่าจอมมารเดินเข้ามาในร้าน แล้วพวกมันก็เดินตรงเข้ามาหาเธอจากนั้นไอ้ตัวหัวโจกก็เริ่มพล่าม
“นี่เจ้าเอลฟ์ดูท่าทางเจ้าจะมีฝีมือในการยิงธนูอยู่บ้าง เจ้าสนใจจะมาเป็นทา...”
“ไปให้พ้น”สามคำสั้นๆเล่นเอาไอ้หัวหัวโจกถึงกับเลือดขึ้นหน้า
“นังนี่ เป็นแค่พวกเลือดผสมบังอาจปฏิเสธข้าอย่างงั้นเหรอ เจ้าไม่รู้ใช่มั๊ยว่าข้าเป็นใคร ข้าคือลีอองอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ที่จะพิชิตวิหารแห่งแอมเชียร์และจะพิชิตฟาโรห์”
อ๋อเหรอ พิชิตฟาโรห์เหรอแหมน่ากลัวเนอะ
“พิชิตฟาโรห์เหรอ น่าขำสิ้นดีอย่างเจ้าแค่เห็นฟาโรห์ก็คงจะกลัวจนฉี่ราดแล้วละมั๊ง”
กัดได้โดนใจป๋ามากเลยหนู
“เจ้าคิดว่าข้ากลัวมันงั้นเหรอ ข้าไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้วฟาโรห์เหรอ แน่จริงก็ออกมาเซ่!! ออกมาเลย!! ข้าไม่กลัวแกหรอกโว้ย”ผมเล็งไปที่ขวดของคนข้างแล้วก็เตรียมตัวคว้ามาฟาดหัวมันสักทีนึง
“น่าสมเพช”เอลฟ์พูดขึ้นมาทำให้มันโกรธจนยกมือขึ้นมาทำท่าจะตบเธอผมเลยรีบคว้าขวดเหล้าของคนข้างๆมาฟาดหน้ามันเต็มๆจนมันหน้าหงายไปเลย
“อยากเจอฟาโรห์เหรอ กุอยู่นี่ไอ้สั_”
อ๊าก!!~หน้าข้า แก...แกต้องชดใช้ เฮ้ย!! เล่นมันเลยสิวะ!!”มันสั่งลูกน้องของมันให้บุกเข้ามา
ผมจัดการสอยลูกน้องคนแรกโดยถีบเข้าเต็มหน้า แล้วก็ต่อด้วยชกไอ้คนที่สองจนล้มแล้วผมหันมาเห็นเอลฟ์กำลังถูกพวกมันล้อมอยู่ผมเลยวิ่งเข้าไปกระโดดถีบหลังมันคนนึงจนเซไปชนโต๊ะล้มระเนระนาด แต่ว่าพอผมหันมาดูอีกที่เจ้าพวกที่เหลือก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นหมดแล้ว
“เก่งดีนี่ เธอน่ะ”
“หุบปากน่า”
ผมเห็นไอ้คนนึงชักมีดออกมาแล้วกะจะฟันเธอจากด้านหลัง
“ระวัง!!”ผมใช้หลังเธอเป็นฐานแล้วกลิ้งผ่านหลังเธอไปชกไอ้หมอนั้นกระเด็นไปเลย
แต่ว่าพอผมหันมาก็ตกใจจนหัวใจแทบวายเพราะยัยนั้นคว้าเก้าอี้แล้วฟาดมาทางผม
“หลบไปเจ้าบ้า”จะบอกช้าไปมั๊ยหนูแต่ถึงยังไงผมก็หลบทันแบบเฉียวเส้นผมไปนิดเดียว
ยัยนั้นฟาดเก้าอี้ใส่ไอ้ลีอองที่วิ่งมาจะเล่นงานผมจากด้านหลัง
ในระหว่างที่ตะลุมบอนกันอยู่ผมก็ลองถามชื่อเธอดู
“นี่...เธอชื่ออะไรเหรอ”
“ใครจะไปยอมบอกชื่อกับคนที่ไม่ยอมบอกชื่อตัวเองก่อนละ”
“ก็ได้ๆ...ผมชื่อฟุกเธอชื่ออะไรเหรอ”
“มินนะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะมินนะ”
“เช่นกัน เจ้าบ้า”
หลังจากที่จัดการพวกลูกน้องจนหมดไอ้ลีอองก็เรียกทหารใส่เกราะหนักติดอาวุธกลุ่มนึงเข้ามา
“เจ้าพวกโง่ พวกแกหาเรื่องผิดคนซะแล้ว”
“ชั้นว่าเราต้องชิ่งแล้วละ ไปกันเถอะ”
“เอ๊ะ เดี๋ยวสิเจ้าบ้า”ผมคว้าแขนมินนะแล้วพาวิ่งขึ้นชั้นสองจากนั้นก็กระโดดออกทางหน้าต่างมาที่หลังร้านแล้วก็วิ่งออกมาที่ถนน หลังจากวิ่งมาสักพักผมก็เห็นทางหนี
“มินนะหลังคา ใช้ลังนั้นเป็นฐานเหยียบขึ้นบนหลังคา”แล้วผมกับมินนะก็ขึ้นมาบนหลังคาได้สำเร็จแล้วก็หยุดพักแต่ว่าไอ้พวกทหารบ้านั้นก็ยังตามขึ้นมาได้
“ตามติดกุเป็นปลิงเลยนะมึ_”ผมเลยต้องวิ่งต่ออีกรอบที่จริงถ้าผมจะสู้ก็สู้ได้แต่ว่าพลังของผมมันเตะตาเกินไปเลยไม่อยากใช้
หลังจากที่วิ่งมาได้อีกสักพักผมก็เห็นทางรอดอีกครั้ง
“มินนะโดดลงไปที่เกวียนนั้น”
แล้วผมกับมินนะก็กระโดดลงไปที่เกวียนที่ขนฟางมาเต็มคัน
แล้วก็ด้านหลังยังมีเกวียนตามมาอีกหลายคันทำให้พวกเรารอดออกมาได้อย่างง่ายดายหลังจากที่หนีพ้นมินนะก็เริ่มบ่น
"เจ้าบ้า ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ"
"เอ่อ...นี่ผมผิดเหรอที่ผมช่วยเธอไว้นะ"
"ผิดสิ เจ้านะผิดเต็มๆเลยเพราะเจ้าดันไปหาเรื่องไอ้พวกนั้นทำให้ข้าต้องพลอยเหนื่อยไปด้วยเลย"นี่ตกลงว่ากุผิดใช่มั๊ยเนี่ย
"แต่ผมแค่อยากช่วยนะ แล้วก็อีกอย่างตอนนี้แขนผมก็เริ่มชาแล้วช่วยลุกขึ้นแปป"มินนะนอนหนุนแขนผมอยู่พักนึงแล้วจนตอนนี้แขนผมชาไปหมด แล้วเธอก็ลุกขึ้นจากนั้นเราก็ลงจากเกวียน
พอลงมามินนะก็เดินหนีผม ผมก็เลยต้องเดินตามเธอไปไม่รู้ทำไมแต่จู่ๆก็รู้สึกอยากถามอะไรขึ้นมา
"นี่...เธอนะจะเดินทางไปที่ไหนเหรอ"
"แล้วเจ้าจะรู้ไปทำไม"
"คือผมแค่...อยากจะหาเพื่อนร่วมทางนะ"
"ข้าไม่สนหรอก ไปให้พ้น"
"แต่..."
"ข้าบอกให้ไปให้พ้นไงเล่า!!"
ผมเลยจำใจต้องถอยแต่ว่าผมยังไม่ถอดใจหรอก
"ชั้นจะไปซิปังกุในอีกสามวันถ้าเธอเปลี่ยนใจก็มาเจอกันที่ท่าเรือนะ"
แล้วผมก็เดินกลับมายังที่พักแต่พอกลับไปถึงผมก็เจอเซอร์ไพร์ดอกใหญ่เต็มๆหน้าเลย...
Chapter 20: END
เป็นไงบ้างครับหนุกไม่หนุกก็เม้นกันหน่อยเน้อ
บาย
แถมหน่อยภาพโดยคร่าวๆของเมืองดาก้อน
[Gray Wolf Legend] Chapter-20