Part 3 – Dangerous Undefined
เสียงปืนพร้อมเสียงตะโกนในโทรทัศน์ ซึ่งปรากฏเป็นโฆษณาของชายวัย 50ที่ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชน กำลังฝึกอบรมให้กับทหารหน้าใหม่หลายๆ คนก่อนที่ภาพจะสลับไปจนมีข้อความเชิญชวนให้เข้าร่วมสมัครมาเป็นทหารพร้อมด้วยบอกรายละเอียดและสิ่งที่ได้รับต่างๆซึ่งนั้นเป็นเพียงแค่คำชวนเชื่อที่มาจากฝีมือของพวกรัฐบาลเท่านั้น
เจคใช้เวลาควานหารีโมทอยู่สักพัก ข้าวของภายในโรงรถที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบและสภาพของโทรทัศน์ที่ฝุ่นเขรอะเหมือนไม่ได้ทำความสะอาดมาหลายปีแล้วทำให้เขาต้องเป็นภารโรงชั่วคราวในการทำความสะอาดภายในโรงรถก่อนที่จะนั่งพักดูกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่เขาชอบ
“เอาล่ะครับ และนี่ก็เป็นการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลในรอบคัดเลือกระหว่างทีมอเมริกันมัซเซิลและ ทีมบลูไวเวิร์นครับ…”
แม้ว่าสัญญาณของภาพและเสียงจะไม่ชัดมากแต่เขาก็ไม่รู้สึกรำคาญมากจนถึงขั้นเสียอารมณ์ตามปกติแล้วเจคชื่นชอบดูการแข่งขันผ่านวิทยุไม่ก็ในโทรทัศน์มากกว่าที่จะเข้าไปดูในสนามจริงๆเพราะเขาไม่มีเงินพอจะซื้อตั๋วเข้าไปดูได้ บวกกับสามารถติดตามข่าวสารต่างๆได้ทันทีในยามมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นในเมือง
“เอาล่ะ! ดูเหมือนช่วงล่างของรถจะเสียหายไม่มากนะครับ”
เจราล ไถลออกมาจากท้องรถ หลังจากซ่อมช่วงล่างเสร็จ
“ฉันหวังว่าฉันคงไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้นายนะ เจราล”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ยังไงมันก็ไม่สำคัญเท่ากับชีวิตของพวกเราจริงมั้ยครับ หัวหน้า?”
เจราล พูดติดตลกเหมือนเป็นการแสดงความเกรงใจ ก่อนเจคจะเดินเข้าไปสตาร์ทรถเพื่อเช็คสภาพเครื่องยนต์ว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่
และไม่นานนักเสียงเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มขึ้นไม่แปลกที่เครื่องยนต์ของรถสปอร์ตส่วนใหญ่จะมีเสียงที่ดังขนาดนี้
“เสียงนุ่มหวานหู” เจค พูดพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ขอบคุณที่ชมครับ ^ ^” เจราล กล่าวตอบกลับไป
“ดูท่าจะใช้น้ำมันเยอะเลยสิท่า”
“หะๆ คงงั้นครับ หัวหน้า”
หลังจากผ่านไปได้ไม่นานพวกเขาทั้งสองก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้งโดยไม่มีจุดมุ่งหมายรถสปอร์ตสีดำวิ่งผ่านถนนในเวลา 06.30 น. ก่อนจะเลี้ยวออกมายังถนนใหญ่ แล้วขับไปตามทางถนนอย่างอิสระ
วิกกี้เริ่มค้นเบาะแส เท่าที่เธอหาได้ หลังจากกลับมาจากบราซิลโดยได้สอบถามข้อมูลจากเพื่อนของเธอที่ทำงานอยู่ฝ่ายสืบสวนฯ ที่ชื่อ “ฟอร์เต้”โดยเธอเล่าว่าเธอได้รับจดหมายจากชายคนหนึ่งที่รู้จักเธอในซองจดหมายมีรูปสัญลักษณ์แปลกๆ คล้ายกับรูปของปีศาจบาโพเมท พร้อมกับภาษาที่เธอไขไม่ออกคาดว่าเป็นฝีมือของ เทอร์รี่ เบนดิกศิลปินผู้คลั่งไคล้ลัทธิแปลกประหลาดที่เคยก่อคดีสะเทือนขวัญเมื่อ 5 เดือนที่แล้ว ก่อนจะถูกปล่อยตัวและได้รับการบำบัดอาการทางจิต
เทอรรี่เป็นศิลปินชาวอเมริกัน เขามักจะชอบเก็บตัวอยู่แต่ในอพารท์เมนต์ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานไปโชว์ในพิพิธภัณฑ์ทุกสัปดาห์ซึ่งจะมีบางครั้งที่จะออกจากอพารท์เมนต์เพื่อเปิดหูเปิดตาฟอร์เต้เจอเขาในขณะที่กำลังดื่มอยู่ใกล้ๆ เธอในบาร์ในช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุฯสะเทือนขวัญใน 5 เดือนต่อมา
“ที่นี่สินะ”
วิกกี้ เดินเข้าไปข้างในก่อนจะทำทีเป็นเพื่อนของเทอร์รี่เพื่อถามหมายเลขห้องของเขา ก่อนจะเดินขึ้นลิฟต์ไปตามหมายเลขห้องแล้วหยุดลงจากนั้นก็เริ่มเคาะประตูเพื่อเรียกเขาให้ออกมาจากห้อง
แต่ทว่า…กลับไม่มีเสียงตอบกลับมาจากในห้องนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
เธอรู้ทันทีว่าเขาไม่อยู่ในห้องแน่ๆเพราะเขามักจะออกจากอพารท์เมนต์ในเวลา 1 ทุ่มครึ่งซึงได้โอกาศเหมาะในการค้นหาเบาะแสขององค์กรที่เธอตามหาอยู่
วิกกี้สะเดาะกลอนประตูแล้วค่อยๆ บิดกลอนประตูช้าๆ จากนั้นก็ลอดเข้าไปข้างในต้องให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็นเธอจริงๆในระหว่างที่เข้าไปเพราะอาจจะถูกเข้าใจผิดได้
หลังจากที่เข้ามาได้แล้วเธอก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่เห็น เทียนกว่า 8 เล่มถูกวางเรียงกันเป็นเส้นตรงยาวไปถึงบริเวณกลางห้องเหมือนทางเดินตรงไปข้างหน้า น่าแปลกที่เทียนทั้ง 8 เล่มกลับไม่มีน้ำเทียนหยดหรือว่าดับเลยแม้แต่น้อยวิกกี้คาดว่าหน้าจะถูกจุดเอาไว้ตั้งแต่เทอร์รี่ออกไปตั้งแต่แรกแล้ว
วิกกี้เดินสำรวจรอบๆ นั้นก่อนเป็นอย่างแรก สังเกตเห็นว่าประตูห้องน้ำถูกเปิดค้างไว้แต่เธอก็ไม่ได้เอะใจอะไรจนกระทั่งเธอสังเกตเห็นว่ามีตัวอักษรอยู่บนกำแพงเธอเลยไม่รอช้ารีบรุดเข้าไปทันที แล้วก็ได้พบกับรอยเลือดบนกำแพงพร้อมกับศพที่นอนตายอยู่ในอ่างอาบน้ำ คาดว่าหน้าจะเป็นฝีมือของเจ้าของห้องเพราะมีมีดถูกวางเอาไว้ใกล้ๆ ซึ่งไม่น่าจะอยู่ในห้องน้ำได้
“ดูเหมือนว่าแกจะฉลาดเหมือนกันดีนี่”
วิกกี้ เข้าไปสำรวจสภาพศพเป็นอย่างแรก ก่อนหันไปอ่านตัวอักษรบนกำแพงที่เขียนด้วยเลือด
“สำนึกผิด และ ให้อภัย คงมีใครสักคนที่บงการเบื้องหลัง”
ได้หลักฐานชิ้นแรกมาเรียบร้อย วิกกี้เดินออกจากห้องน้ำแล้วไปที่ห้องนอนของเขา ซึ่งเป็นห้องที่วิกกี้เชื่อว่าผู้ตายน่าจะตายในห้องนั้น
“กลิ่นแรงชะมัด.”
สภาพในห้องถูกชโลมไปด้วยเลือด พร้อมกับขวดแก้วที่เก็บสัตว์ต่างๆซึ่งเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่มีพิษร้ายแรงสูง สามารถฆ่าคนได้แต่ก็ยังไม่เท่าภาพที่ชวนน่าสะอิดสะเอียนตรงหน้าร่างไร้วิญญาณที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมกับกลิ่นเน่าเหม็นที่เหมือนกับเพิ่งตายไปได้นานพอสมควร
“เธอคงไม่ได้เข้ามาตรวจเลยสินะ ฟอร์เต้”
วิกกี้ ค่อยๆ เดินสำรวจในห้อง พยายามที่จะไม่ตกใจกลัวกับภาพที่เห็นเนื่องจากวิกกี้ไม่ชอบเห็นศพที่นอนตายเหมือนคนไร้วิญญาณเพราะมันทำให้เธอนึกถึงเรื่องในอดีตที่เลวร้ายในสมัยตอนที่เธอฝึกรบเป็นครั้งแรกกับพวกทหารในรัสเซีย
ในขณะที่เดินสำรวจวิกกี้ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังเดินเข้ามาในห้อง
“บ้าน่า…”
วิกกี้เดินถอยหลังเช้าชิดหลังประตูช้าๆพยายามยกส้นรองเท้าขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดเสียงก่อนจะหลอกล่อศัตรูโดยการใช้ด้ามปืนทุบไปที่กำแพงเพื่อหลอกให้เข้ามาซึ่งเธอก็ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาจะต้องเป็นเทอร์รี่ เบนดิกแน่นอน
แล้วก็เป็นไปตามที่เธอคาดไว้ร่างอันซูบผอมที่มาพร้อมกับใบหน้าซีดเผือกเหมือนคนตาย นามว่า “เทอร์รี่ เบนดิก” เดินเข้ามาในห้องพลางมองแล้วรู้สึกเหมือนในหนังสยองขวัญยังไงยังงั้นทำเอาวิกกี้ขนลุกและรู้สึกตะลึงอยู่ชั่วครู่ที่เห็นใบหน้าของเขาแม้ว่าจะไม่ได้เห็นเต็มๆ ก็ตาม
วิกกี้ไม่รอช้ารีบโพล่งเข้ามาพร้อมกับใช้ด้ามปืนซัดไปที่หน้าของเทอร์รี่ทันทีจนเขาสลบโชคดีที่เขานั้นไม่ได้เอาอาวุธอะไรมาเพราะไม่งั้นเธอคงอาจจะใช้เวลานานกว่านี้ในการจัดการน็อคเขาให้สลบลงไป
ผ่านไป 5 นาที เทอร์รี่ตื่นขึ้นมาในห้องของตัวเองที่ถูกตรึงบนเก้าอี้กลางห้องพร้อมกับหญิงสาวที่ควงอาวุธปืนอยู่ตรงหน้าเพื่อรอให้เขาฟื้นขึ้นมาในเวลาต่อมา
“บอกข้อมูลที่แกรู้มาทั้งหมด”
วิกกี้ กล่าวแล้วมองนัยน์ตาของเทอร์รี่เพื่อต้องการเค้นข้อมูลให้ออกมามากที่สุดเท่าที่เขามีซึ่งก่อนหน้านั้นเธอได้ซ้อมเขาไปในระหว่างที่โดนด้ามปืนตบไปเมื่อกี้นี้เอง
“ฉันบอกให้แกบอกข้อมูลที่แกรู้มาทั้งหมด” เธอจ้องตาเขม็งไปที่เทอร์รี่ก่อนจะเอาปืนจ่อไปบนหน้าผากของเขา เป็นการข่มขู่
“เธอเข้ามาในห้องฉันได้ยั-“
วิกกี้ ใช้สันมือตบหน้าเขาไปแรงๆ หนึ่งที โดยไม่ได้ตอบสิ่งที่เทอร์รี่ถาม
“ฉันไม่อนุญาตให้แกถาม บอกข้อมูลที่แกรู้มาทั้งหมดเกี่ยวกับ ThePhobia หรือเท่าที่แกรู้”
เทอร์รี่ นั่งมองวิกกี้ด้วยความหวาดระแวงกลัวจะโดนทำร้ายอีกเป็นครั้งที่สอง เขารู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงทั่วๆ ไป ปืนพกสั้น9 มม. รุ่นบาเร็ตต้า ที่อยู่บนมือของวิกกี้แสดงให้เห็นว่าเธอเองระวังตัวไม่ใช่น้อยๆ
“เงียบแล้วสินะ…งั้นแกช่วยบอกฉันหน่อยเกี่ยวกับเจ้านี่”
วิกกี้ หยิบภาพถ่ายขนาด 5 นิ้วขึ้นมาแล้วยื่นให้เทอร์รี่ดูซึ่งเป็นภาพสัญลักษณ์ที่เธอแอบเอามาจากเจคเมื่อสองอาทิตย์ก่อนซึ่งเธอได้มาจากในกระเป๋าของเขา
“ฉันหวังว่านายคงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ กลุ่มติดอาวุธนามว่า ‘ThePhobia’ ซึ่งน่าแปลกที่พวกเขาถูกกำจัดไปเมื่อ 10 ปีก่อน”
เทอร์รี่ จ้องสัญลักษณ์นั้นตาไม่กะพริบ ยังกับว่าเขาเคยเจอมันมาก่อน
“ถ้าแกบอกได้ว่ามันคืออะไร ฉันจะปล่อยตัวแกไปไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่อำมหิตถึงขนาดนั้น…”
วิกกี้ ยืนรอคำตอบจากชายหนุ่ม พลางกวาดสายตาไปรอบๆ เผื่อว่าจะยังพอมีหลักฐานที่หลงเหลืออยู่บางส่วนเอาไว้เป็นเบาะแสเกี่ยวกับองค์กร S.I.C ที่ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการไปก่อนทำภารกิจ
“เธอได้มันมาจากไหน?” เทอร์รี่ ถามแต่กลับไม่ได้คำตอบอะไรจากเธอเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้! ฉันขอบอกอะไรไว้เลยนะ! ถ้าฉันออกไปได้ล่ะก็…เธอเสร็จฉันแน่!!”
ทันใดนั้น เสียงปืนดังขึ้น เทอร์รี่ถึงกับเงียบกริบไม่ตอบอะไรทั้งสิ้นวิกกี้หันกระบอกปืนไปที่เขาหลังลั่นไกใส่บนพื้น แล้วเตรียมเหนี่ยวไกยิงอีกครั้งหากเขายังคงถามเรื่องที่เธอไม่ต้องการ
“ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งที่สอง ถ้าแกรู้ว่าสัญลักษณ์นี่มาจากไหน?” วิกกี้ กล่าวด้วยน้ำเสียเย็นชา แล้วหันไปมองเวลาในตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 21 นาฬิกา 30 นาที
“สัญลักษณ์นั้น…เป็นสัญลักษณ์ของผู้นับถือซาตาน”เทอร์รี่ กล่าว
“เป็นพวกเดียวกับแกรึเปล่า?”
“ประมาณนั้น…แต่อุดมการณ์พวกเขาต่างกับพวกเรา”
“แกหมายความว่าไง?” วิกกี้ ขมวดคิ้ว
“เราทำไปเพราะความสนุก เพื่อให้สังคมยอมรับหรือ…ต่อต้านโรมันคาทอลิก”เทอร์รี่ พูดเบาๆ ด้วยความสำนึกผิด
“งั้นเหรอ? หมายความว่าแกก็แค่อยากจะต่อต้านพระเจ้าอย่างงั้นใช่มั้ย?” เธอเริ่มซักถามเขาอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่.” เทอร์รี่ ตอบกลับ
“แล้วคดีเมื่อ 5 เดือนก่อนหน้านี้แกรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาบ้างมั้ย?”
“ไม่หรอก ผมแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพวกเขาขนาดชื่อเองยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ”
“สองวันก่อนผมเกือบโดนฆ่า เพราะไปล่วงรู้ความลับของพวกเขาเข้าพวกเขาเลยบอกว่า ‘ถ้าใครก็ตามที่เข้ามาขวางใครก็ตามที่เข้ามาสอดแนม ใครก็ตามที่เห็นพวกเรา เราจะฆ่าทิ้งซะโดยไม่รีรอ’ นั้นล่ะครับ”
วิกกี้ ยื่นนิ่งเหมือนกับเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลอะไรบางอย่างอยู่เทอร์รี่อาศัยจังหวะนั้นค่อยๆ พยายามแก้มัดออกช้าๆ ไม่ให้วิกกี้รู้ตัวถึงจะต้องใช้เวลาอยู่นานในการแก้มัด
“ฉันอยากรู้เหตุผลว่าทำไมแกถึงก่อคดีสะเทือนขวัญนั้นแกมีเหตุผลอะไรถึงต้องทำแบบนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าคุกในอเมริกามีแต่พวกวิปริตทั้งนั้น?!”
เทอร์รี่ นิ่งอยู่สักพักก่อนจะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มที่แฝงความวิกลจริตของตัวเองว่า
“เพราะว่ามันเป็นคำสั่งจากเบื้องบนยังไงล่ะครับ”
เบื้องบน? หมายความว่าไง? วิกกี้เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลในตัวของเทอร์รี่เนื่องจากทีท่าและลักษณะนิสัยของเขาเปลี่ยนผิดไปจากเมื่อตะกี้นี้ซึ่งเธอหวังว่าคงจะไม่มีอะไรแปลกๆ โผล่ขึ้นมาให้เห็นในยามราตรีแห่งนี้
“แก…คงไม่ได้คิดจะทำอะไรแปลกๆ ใช่มั้ย?” วิกกี้ หันไปมองเทอร์รี่ โดยไม่ละสายตา
“แปลกเหรอ? เรื่องนั้นเธอน่าจะถามตัวเองมากกว่า…ว่าเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง”
ยังไม่ทันที่จะพักหายใจเทอร์รี่โผล่งขึ้นมาจากเก้าอี้ รีบวิ่งเข้าหาตัววิกกี้อย่างเฉียบพลันก่อนจะชักมีดสั้นออกมาแล้วฟันเข้าที่คอของเธอทันที
แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้นวิกกี้กระโดดถอยออกมาในระหว่างที่มีดอยู่ห่างจากคอประมาณ 10เซนติเมตร แล้วใช้ปืนยิงสวนไปที่บริเวณหน้าท้องเทอร์รี่ไปสองนัดก่อนจะจบด้วยการถีบเขาออกไปให้กระเด็นจนเสียหลักล้มลงไป
“ฉันจะฆ่าเธอ!!?” เทอร์รี่เริ่มตวาดใส่เธออย่างโกรธเกรี้ยว ราวกับเสือที่สู้กับสิงโตอย่างเอาเป็นเอาตายก่อนจะลากสังขารลุกขึ้นมาด้วยความทรมาน
การทำแบบนั้นแลดูจะยิ่งทำให้มีแต่จะทำให้เธอเริ่มหัวseoิกกี้ลั่นไกไปที่หัวเข่าเทอร์รี่ก่อนจะพุ่งเข้าใส่จนทะลุกระจกแล้วไปติดบนระเบียงที่มีเหล็กกั้นไว้อยู่
“อุ้ก!”
แรงกระแทกที่เกิดจากการโดนพุ่งเข้าใส่ทำให้บริเวณไขกระดูกสันหลังของเขาได้รับความบาดเจ็บสาหัสอย่างหนักซึ่งมันก็มากพอที่จะทำให้เขาเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้
“คิดจะโกหกฉันหน้าด้านๆ โดยที่ตัวเองกำลังจะตายงั้นเหรอ!!!”
วิกกี้ เลือดขึ้นหน้า จ้องมองอีกฝ่ายในขณะที่เทอร์รี่เองก็พยายามจะฝืนสังขารลุกขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ต่างอะไรเลยจากคนไร้ทางสู้ในตอนนี้วิกกี้ดึงตัวเขาขึ้นมาก่อนจะเริ่มถามคำถามเป็นครั้งสุดท้าย
“ว..ว่า…ง..ไง…นะ!” เทอร์รี่แปลกใจในสิ่งที่เขาพูดไปเป็นเรื่องโกหก
“เบื้องบนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับใครทั้งนั้น คนอย่างแกมันจะไปเข้าอะไรได้ไงกันฉันไม่มีทางเชื่อแน่ว่ารัฐบาลจะทำแบบนั้นได้ ว่าแต่ทำไมแกถึงไม่ปฏิเสธพวกเขาไปล่ะ?!”
“เพราะว่าถ้าผมไม่ทำพวกเขาก็จะฆ่าผมน่ะสิ!!” เทอร์รี่ตวาดใส่วิกกี้ ทำเอาเธอถึงกับเบิกตาโพลงขึ้นทันที
“คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ…ว่าในตอนนี้แม้แต่ กองทัพสหรัฐฯเองก็ยังร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายไปซะเอง แล้วก็อ้างนู้นอ้างนั่นอ้างนี่ประโยชน์สารพัดนาๆ ที่บอกว่าจะทำเพื่ออิสรภาพ คุณน่ะ กำลังถูกพวกเขาหลอกใช้อยู่นะ!!”
“แต่แล้วยังไงกันล่ะ ถึงฉันจะถูกหลอกใช้แต่ตราบใดที่ฉันยังทำงานนี้อยู่ฉันก็จำเป็นที่จะต้องทำ เช็คอินโนว์เช็คเอาท์!” วิกกี้กดตัวเขาลงไปบนระเบียงที่สูงพอจะฉีกร่างเป็นชิ้นๆ หากตกลงไปซึ่งคงจะนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไงหากมีคนผลัดตกลงไปข้างล่างนั้น
“บอกความจริงมาว่าตอนนี้พวกมันกำลังคิดอะไรอยู่!!” วิกกี้เริ่มเอ่ยปากถามเป็นครั้งสุดท้าย
“โอเคๆ แต่เธอต้องสัญญานะว่าสิ่งที่ฉันพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงทุกประการ”
“ได้สิ บอกมา”
“พวกเขามีแผนจะสังหารผู้บัญชาการของคุณ”
“ว่าไงนะ!!” วิกกี้ตะลึงเมื่อได้ยินว่ามีใครบางคนต้องการสังหารผู้บัญชาการของเธอ
“ใช่…พวกเขามีแผนที่จะสังหารเขาเพราะถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่ฆ่ากัปตัน กิลเซฟ วิลเลอร์ ทั้งๆที่เรื่องมันเกิดขึ้นจากวงในเอาเท่านั้น!!”
“…”
วิกกี้ เงียบกริบแล้วไม่พูดอะไรแล้วผลักเทอร์รี่ลงไปจากบนระเบียงด้วยความสูงที่พอจะฉีกร่างของเขาเป็นชิ้นๆ
“อ้ากกกก!!!”
เสียงกรีดร้องค่อยๆ เบาลงตามระยะความสูง ศีรษะของศิลปินหนุ่มกระทบบนพื้นอย่างรวดเร็วก่อนสมองและของเหลวสีแดงพร้อมด้วยสภาพของศพที่น่าอนาถกว่าที่มันจะเป็นตาทั้งสองข้างถลึงออกมาจากเบ้าตาจนเกือบจะหลุดออกมามองไปยังข้างบนชิ้นส่วนและเครื่องในร่างกายเละออกมาอย่างน่าสยดสยองทำเอาถึงกับคลื่นไส้เลยทีเดียว
วิกกี้รีบสำรวจห้องพักอยู่สักระยะหนึ่งก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั้นแล้วลงลิฟต์ออกจากอพาร์ทเมนต์แห่งนั้นพยายามไม่ทำเป็นจุดสนใจกับคนอื่นๆและเดินเลี่ยงตำรวจเพื่อไม่เป็นที่แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
(จบ Part 3 Dangerous Undefined)
เสียงปืนพร้อมเสียงตะโกนในโทรทัศน์ ซึ่งปรากฏเป็นโฆษณาของชายวัย 50ที่ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชน กำลังฝึกอบรมให้กับทหารหน้าใหม่หลายๆ คนก่อนที่ภาพจะสลับไปจนมีข้อความเชิญชวนให้เข้าร่วมสมัครมาเป็นทหารพร้อมด้วยบอกรายละเอียดและสิ่งที่ได้รับต่างๆซึ่งนั้นเป็นเพียงแค่คำชวนเชื่อที่มาจากฝีมือของพวกรัฐบาลเท่านั้น
เจคใช้เวลาควานหารีโมทอยู่สักพัก ข้าวของภายในโรงรถที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบและสภาพของโทรทัศน์ที่ฝุ่นเขรอะเหมือนไม่ได้ทำความสะอาดมาหลายปีแล้วทำให้เขาต้องเป็นภารโรงชั่วคราวในการทำความสะอาดภายในโรงรถก่อนที่จะนั่งพักดูกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่เขาชอบ
“เอาล่ะครับ และนี่ก็เป็นการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลในรอบคัดเลือกระหว่างทีมอเมริกันมัซเซิลและ ทีมบลูไวเวิร์นครับ…”
แม้ว่าสัญญาณของภาพและเสียงจะไม่ชัดมากแต่เขาก็ไม่รู้สึกรำคาญมากจนถึงขั้นเสียอารมณ์ตามปกติแล้วเจคชื่นชอบดูการแข่งขันผ่านวิทยุไม่ก็ในโทรทัศน์มากกว่าที่จะเข้าไปดูในสนามจริงๆเพราะเขาไม่มีเงินพอจะซื้อตั๋วเข้าไปดูได้ บวกกับสามารถติดตามข่าวสารต่างๆได้ทันทีในยามมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นในเมือง
“เอาล่ะ! ดูเหมือนช่วงล่างของรถจะเสียหายไม่มากนะครับ”
เจราล ไถลออกมาจากท้องรถ หลังจากซ่อมช่วงล่างเสร็จ
“ฉันหวังว่าฉันคงไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้นายนะ เจราล”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ยังไงมันก็ไม่สำคัญเท่ากับชีวิตของพวกเราจริงมั้ยครับ หัวหน้า?”
เจราล พูดติดตลกเหมือนเป็นการแสดงความเกรงใจ ก่อนเจคจะเดินเข้าไปสตาร์ทรถเพื่อเช็คสภาพเครื่องยนต์ว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่
และไม่นานนักเสียงเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มขึ้นไม่แปลกที่เครื่องยนต์ของรถสปอร์ตส่วนใหญ่จะมีเสียงที่ดังขนาดนี้
“เสียงนุ่มหวานหู” เจค พูดพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ขอบคุณที่ชมครับ ^ ^” เจราล กล่าวตอบกลับไป
“ดูท่าจะใช้น้ำมันเยอะเลยสิท่า”
“หะๆ คงงั้นครับ หัวหน้า”
หลังจากผ่านไปได้ไม่นานพวกเขาทั้งสองก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้งโดยไม่มีจุดมุ่งหมายรถสปอร์ตสีดำวิ่งผ่านถนนในเวลา 06.30 น. ก่อนจะเลี้ยวออกมายังถนนใหญ่ แล้วขับไปตามทางถนนอย่างอิสระ
วิกกี้เริ่มค้นเบาะแส เท่าที่เธอหาได้ หลังจากกลับมาจากบราซิลโดยได้สอบถามข้อมูลจากเพื่อนของเธอที่ทำงานอยู่ฝ่ายสืบสวนฯ ที่ชื่อ “ฟอร์เต้”โดยเธอเล่าว่าเธอได้รับจดหมายจากชายคนหนึ่งที่รู้จักเธอในซองจดหมายมีรูปสัญลักษณ์แปลกๆ คล้ายกับรูปของปีศาจบาโพเมท พร้อมกับภาษาที่เธอไขไม่ออกคาดว่าเป็นฝีมือของ เทอร์รี่ เบนดิกศิลปินผู้คลั่งไคล้ลัทธิแปลกประหลาดที่เคยก่อคดีสะเทือนขวัญเมื่อ 5 เดือนที่แล้ว ก่อนจะถูกปล่อยตัวและได้รับการบำบัดอาการทางจิต
เทอรรี่เป็นศิลปินชาวอเมริกัน เขามักจะชอบเก็บตัวอยู่แต่ในอพารท์เมนต์ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานไปโชว์ในพิพิธภัณฑ์ทุกสัปดาห์ซึ่งจะมีบางครั้งที่จะออกจากอพารท์เมนต์เพื่อเปิดหูเปิดตาฟอร์เต้เจอเขาในขณะที่กำลังดื่มอยู่ใกล้ๆ เธอในบาร์ในช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุฯสะเทือนขวัญใน 5 เดือนต่อมา
“ที่นี่สินะ”
วิกกี้ เดินเข้าไปข้างในก่อนจะทำทีเป็นเพื่อนของเทอร์รี่เพื่อถามหมายเลขห้องของเขา ก่อนจะเดินขึ้นลิฟต์ไปตามหมายเลขห้องแล้วหยุดลงจากนั้นก็เริ่มเคาะประตูเพื่อเรียกเขาให้ออกมาจากห้อง
แต่ทว่า…กลับไม่มีเสียงตอบกลับมาจากในห้องนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
เธอรู้ทันทีว่าเขาไม่อยู่ในห้องแน่ๆเพราะเขามักจะออกจากอพารท์เมนต์ในเวลา 1 ทุ่มครึ่งซึงได้โอกาศเหมาะในการค้นหาเบาะแสขององค์กรที่เธอตามหาอยู่
วิกกี้สะเดาะกลอนประตูแล้วค่อยๆ บิดกลอนประตูช้าๆ จากนั้นก็ลอดเข้าไปข้างในต้องให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็นเธอจริงๆในระหว่างที่เข้าไปเพราะอาจจะถูกเข้าใจผิดได้
หลังจากที่เข้ามาได้แล้วเธอก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่เห็น เทียนกว่า 8 เล่มถูกวางเรียงกันเป็นเส้นตรงยาวไปถึงบริเวณกลางห้องเหมือนทางเดินตรงไปข้างหน้า น่าแปลกที่เทียนทั้ง 8 เล่มกลับไม่มีน้ำเทียนหยดหรือว่าดับเลยแม้แต่น้อยวิกกี้คาดว่าหน้าจะถูกจุดเอาไว้ตั้งแต่เทอร์รี่ออกไปตั้งแต่แรกแล้ว
วิกกี้เดินสำรวจรอบๆ นั้นก่อนเป็นอย่างแรก สังเกตเห็นว่าประตูห้องน้ำถูกเปิดค้างไว้แต่เธอก็ไม่ได้เอะใจอะไรจนกระทั่งเธอสังเกตเห็นว่ามีตัวอักษรอยู่บนกำแพงเธอเลยไม่รอช้ารีบรุดเข้าไปทันที แล้วก็ได้พบกับรอยเลือดบนกำแพงพร้อมกับศพที่นอนตายอยู่ในอ่างอาบน้ำ คาดว่าหน้าจะเป็นฝีมือของเจ้าของห้องเพราะมีมีดถูกวางเอาไว้ใกล้ๆ ซึ่งไม่น่าจะอยู่ในห้องน้ำได้
“ดูเหมือนว่าแกจะฉลาดเหมือนกันดีนี่”
วิกกี้ เข้าไปสำรวจสภาพศพเป็นอย่างแรก ก่อนหันไปอ่านตัวอักษรบนกำแพงที่เขียนด้วยเลือด
“สำนึกผิด และ ให้อภัย คงมีใครสักคนที่บงการเบื้องหลัง”
ได้หลักฐานชิ้นแรกมาเรียบร้อย วิกกี้เดินออกจากห้องน้ำแล้วไปที่ห้องนอนของเขา ซึ่งเป็นห้องที่วิกกี้เชื่อว่าผู้ตายน่าจะตายในห้องนั้น
“กลิ่นแรงชะมัด.”
สภาพในห้องถูกชโลมไปด้วยเลือด พร้อมกับขวดแก้วที่เก็บสัตว์ต่างๆซึ่งเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่มีพิษร้ายแรงสูง สามารถฆ่าคนได้แต่ก็ยังไม่เท่าภาพที่ชวนน่าสะอิดสะเอียนตรงหน้าร่างไร้วิญญาณที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมกับกลิ่นเน่าเหม็นที่เหมือนกับเพิ่งตายไปได้นานพอสมควร
“เธอคงไม่ได้เข้ามาตรวจเลยสินะ ฟอร์เต้”
วิกกี้ ค่อยๆ เดินสำรวจในห้อง พยายามที่จะไม่ตกใจกลัวกับภาพที่เห็นเนื่องจากวิกกี้ไม่ชอบเห็นศพที่นอนตายเหมือนคนไร้วิญญาณเพราะมันทำให้เธอนึกถึงเรื่องในอดีตที่เลวร้ายในสมัยตอนที่เธอฝึกรบเป็นครั้งแรกกับพวกทหารในรัสเซีย
ในขณะที่เดินสำรวจวิกกี้ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังเดินเข้ามาในห้อง
“บ้าน่า…”
วิกกี้เดินถอยหลังเช้าชิดหลังประตูช้าๆพยายามยกส้นรองเท้าขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดเสียงก่อนจะหลอกล่อศัตรูโดยการใช้ด้ามปืนทุบไปที่กำแพงเพื่อหลอกให้เข้ามาซึ่งเธอก็ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาจะต้องเป็นเทอร์รี่ เบนดิกแน่นอน
แล้วก็เป็นไปตามที่เธอคาดไว้ร่างอันซูบผอมที่มาพร้อมกับใบหน้าซีดเผือกเหมือนคนตาย นามว่า “เทอร์รี่ เบนดิก” เดินเข้ามาในห้องพลางมองแล้วรู้สึกเหมือนในหนังสยองขวัญยังไงยังงั้นทำเอาวิกกี้ขนลุกและรู้สึกตะลึงอยู่ชั่วครู่ที่เห็นใบหน้าของเขาแม้ว่าจะไม่ได้เห็นเต็มๆ ก็ตาม
วิกกี้ไม่รอช้ารีบโพล่งเข้ามาพร้อมกับใช้ด้ามปืนซัดไปที่หน้าของเทอร์รี่ทันทีจนเขาสลบโชคดีที่เขานั้นไม่ได้เอาอาวุธอะไรมาเพราะไม่งั้นเธอคงอาจจะใช้เวลานานกว่านี้ในการจัดการน็อคเขาให้สลบลงไป
ผ่านไป 5 นาที เทอร์รี่ตื่นขึ้นมาในห้องของตัวเองที่ถูกตรึงบนเก้าอี้กลางห้องพร้อมกับหญิงสาวที่ควงอาวุธปืนอยู่ตรงหน้าเพื่อรอให้เขาฟื้นขึ้นมาในเวลาต่อมา
“บอกข้อมูลที่แกรู้มาทั้งหมด”
วิกกี้ กล่าวแล้วมองนัยน์ตาของเทอร์รี่เพื่อต้องการเค้นข้อมูลให้ออกมามากที่สุดเท่าที่เขามีซึ่งก่อนหน้านั้นเธอได้ซ้อมเขาไปในระหว่างที่โดนด้ามปืนตบไปเมื่อกี้นี้เอง
“ฉันบอกให้แกบอกข้อมูลที่แกรู้มาทั้งหมด” เธอจ้องตาเขม็งไปที่เทอร์รี่ก่อนจะเอาปืนจ่อไปบนหน้าผากของเขา เป็นการข่มขู่
“เธอเข้ามาในห้องฉันได้ยั-“
วิกกี้ ใช้สันมือตบหน้าเขาไปแรงๆ หนึ่งที โดยไม่ได้ตอบสิ่งที่เทอร์รี่ถาม
“ฉันไม่อนุญาตให้แกถาม บอกข้อมูลที่แกรู้มาทั้งหมดเกี่ยวกับ ThePhobia หรือเท่าที่แกรู้”
เทอร์รี่ นั่งมองวิกกี้ด้วยความหวาดระแวงกลัวจะโดนทำร้ายอีกเป็นครั้งที่สอง เขารู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงทั่วๆ ไป ปืนพกสั้น9 มม. รุ่นบาเร็ตต้า ที่อยู่บนมือของวิกกี้แสดงให้เห็นว่าเธอเองระวังตัวไม่ใช่น้อยๆ
“เงียบแล้วสินะ…งั้นแกช่วยบอกฉันหน่อยเกี่ยวกับเจ้านี่”
วิกกี้ หยิบภาพถ่ายขนาด 5 นิ้วขึ้นมาแล้วยื่นให้เทอร์รี่ดูซึ่งเป็นภาพสัญลักษณ์ที่เธอแอบเอามาจากเจคเมื่อสองอาทิตย์ก่อนซึ่งเธอได้มาจากในกระเป๋าของเขา
“ฉันหวังว่านายคงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ กลุ่มติดอาวุธนามว่า ‘ThePhobia’ ซึ่งน่าแปลกที่พวกเขาถูกกำจัดไปเมื่อ 10 ปีก่อน”
เทอร์รี่ จ้องสัญลักษณ์นั้นตาไม่กะพริบ ยังกับว่าเขาเคยเจอมันมาก่อน
“ถ้าแกบอกได้ว่ามันคืออะไร ฉันจะปล่อยตัวแกไปไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่อำมหิตถึงขนาดนั้น…”
วิกกี้ ยืนรอคำตอบจากชายหนุ่ม พลางกวาดสายตาไปรอบๆ เผื่อว่าจะยังพอมีหลักฐานที่หลงเหลืออยู่บางส่วนเอาไว้เป็นเบาะแสเกี่ยวกับองค์กร S.I.C ที่ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการไปก่อนทำภารกิจ
“เธอได้มันมาจากไหน?” เทอร์รี่ ถามแต่กลับไม่ได้คำตอบอะไรจากเธอเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้! ฉันขอบอกอะไรไว้เลยนะ! ถ้าฉันออกไปได้ล่ะก็…เธอเสร็จฉันแน่!!”
ทันใดนั้น เสียงปืนดังขึ้น เทอร์รี่ถึงกับเงียบกริบไม่ตอบอะไรทั้งสิ้นวิกกี้หันกระบอกปืนไปที่เขาหลังลั่นไกใส่บนพื้น แล้วเตรียมเหนี่ยวไกยิงอีกครั้งหากเขายังคงถามเรื่องที่เธอไม่ต้องการ
“ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งที่สอง ถ้าแกรู้ว่าสัญลักษณ์นี่มาจากไหน?” วิกกี้ กล่าวด้วยน้ำเสียเย็นชา แล้วหันไปมองเวลาในตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 21 นาฬิกา 30 นาที
“สัญลักษณ์นั้น…เป็นสัญลักษณ์ของผู้นับถือซาตาน”เทอร์รี่ กล่าว
“เป็นพวกเดียวกับแกรึเปล่า?”
“ประมาณนั้น…แต่อุดมการณ์พวกเขาต่างกับพวกเรา”
“แกหมายความว่าไง?” วิกกี้ ขมวดคิ้ว
“เราทำไปเพราะความสนุก เพื่อให้สังคมยอมรับหรือ…ต่อต้านโรมันคาทอลิก”เทอร์รี่ พูดเบาๆ ด้วยความสำนึกผิด
“งั้นเหรอ? หมายความว่าแกก็แค่อยากจะต่อต้านพระเจ้าอย่างงั้นใช่มั้ย?” เธอเริ่มซักถามเขาอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่.” เทอร์รี่ ตอบกลับ
“แล้วคดีเมื่อ 5 เดือนก่อนหน้านี้แกรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาบ้างมั้ย?”
“ไม่หรอก ผมแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพวกเขาขนาดชื่อเองยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ”
“สองวันก่อนผมเกือบโดนฆ่า เพราะไปล่วงรู้ความลับของพวกเขาเข้าพวกเขาเลยบอกว่า ‘ถ้าใครก็ตามที่เข้ามาขวางใครก็ตามที่เข้ามาสอดแนม ใครก็ตามที่เห็นพวกเรา เราจะฆ่าทิ้งซะโดยไม่รีรอ’ นั้นล่ะครับ”
วิกกี้ ยื่นนิ่งเหมือนกับเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลอะไรบางอย่างอยู่เทอร์รี่อาศัยจังหวะนั้นค่อยๆ พยายามแก้มัดออกช้าๆ ไม่ให้วิกกี้รู้ตัวถึงจะต้องใช้เวลาอยู่นานในการแก้มัด
“ฉันอยากรู้เหตุผลว่าทำไมแกถึงก่อคดีสะเทือนขวัญนั้นแกมีเหตุผลอะไรถึงต้องทำแบบนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าคุกในอเมริกามีแต่พวกวิปริตทั้งนั้น?!”
เทอร์รี่ นิ่งอยู่สักพักก่อนจะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มที่แฝงความวิกลจริตของตัวเองว่า
“เพราะว่ามันเป็นคำสั่งจากเบื้องบนยังไงล่ะครับ”
เบื้องบน? หมายความว่าไง? วิกกี้เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลในตัวของเทอร์รี่เนื่องจากทีท่าและลักษณะนิสัยของเขาเปลี่ยนผิดไปจากเมื่อตะกี้นี้ซึ่งเธอหวังว่าคงจะไม่มีอะไรแปลกๆ โผล่ขึ้นมาให้เห็นในยามราตรีแห่งนี้
“แก…คงไม่ได้คิดจะทำอะไรแปลกๆ ใช่มั้ย?” วิกกี้ หันไปมองเทอร์รี่ โดยไม่ละสายตา
“แปลกเหรอ? เรื่องนั้นเธอน่าจะถามตัวเองมากกว่า…ว่าเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง”
ยังไม่ทันที่จะพักหายใจเทอร์รี่โผล่งขึ้นมาจากเก้าอี้ รีบวิ่งเข้าหาตัววิกกี้อย่างเฉียบพลันก่อนจะชักมีดสั้นออกมาแล้วฟันเข้าที่คอของเธอทันที
แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้นวิกกี้กระโดดถอยออกมาในระหว่างที่มีดอยู่ห่างจากคอประมาณ 10เซนติเมตร แล้วใช้ปืนยิงสวนไปที่บริเวณหน้าท้องเทอร์รี่ไปสองนัดก่อนจะจบด้วยการถีบเขาออกไปให้กระเด็นจนเสียหลักล้มลงไป
“ฉันจะฆ่าเธอ!!?” เทอร์รี่เริ่มตวาดใส่เธออย่างโกรธเกรี้ยว ราวกับเสือที่สู้กับสิงโตอย่างเอาเป็นเอาตายก่อนจะลากสังขารลุกขึ้นมาด้วยความทรมาน
การทำแบบนั้นแลดูจะยิ่งทำให้มีแต่จะทำให้เธอเริ่มหัวseoิกกี้ลั่นไกไปที่หัวเข่าเทอร์รี่ก่อนจะพุ่งเข้าใส่จนทะลุกระจกแล้วไปติดบนระเบียงที่มีเหล็กกั้นไว้อยู่
“อุ้ก!”
แรงกระแทกที่เกิดจากการโดนพุ่งเข้าใส่ทำให้บริเวณไขกระดูกสันหลังของเขาได้รับความบาดเจ็บสาหัสอย่างหนักซึ่งมันก็มากพอที่จะทำให้เขาเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้
“คิดจะโกหกฉันหน้าด้านๆ โดยที่ตัวเองกำลังจะตายงั้นเหรอ!!!”
วิกกี้ เลือดขึ้นหน้า จ้องมองอีกฝ่ายในขณะที่เทอร์รี่เองก็พยายามจะฝืนสังขารลุกขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ต่างอะไรเลยจากคนไร้ทางสู้ในตอนนี้วิกกี้ดึงตัวเขาขึ้นมาก่อนจะเริ่มถามคำถามเป็นครั้งสุดท้าย
“ว..ว่า…ง..ไง…นะ!” เทอร์รี่แปลกใจในสิ่งที่เขาพูดไปเป็นเรื่องโกหก
“เบื้องบนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับใครทั้งนั้น คนอย่างแกมันจะไปเข้าอะไรได้ไงกันฉันไม่มีทางเชื่อแน่ว่ารัฐบาลจะทำแบบนั้นได้ ว่าแต่ทำไมแกถึงไม่ปฏิเสธพวกเขาไปล่ะ?!”
“เพราะว่าถ้าผมไม่ทำพวกเขาก็จะฆ่าผมน่ะสิ!!” เทอร์รี่ตวาดใส่วิกกี้ ทำเอาเธอถึงกับเบิกตาโพลงขึ้นทันที
“คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ…ว่าในตอนนี้แม้แต่ กองทัพสหรัฐฯเองก็ยังร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายไปซะเอง แล้วก็อ้างนู้นอ้างนั่นอ้างนี่ประโยชน์สารพัดนาๆ ที่บอกว่าจะทำเพื่ออิสรภาพ คุณน่ะ กำลังถูกพวกเขาหลอกใช้อยู่นะ!!”
“แต่แล้วยังไงกันล่ะ ถึงฉันจะถูกหลอกใช้แต่ตราบใดที่ฉันยังทำงานนี้อยู่ฉันก็จำเป็นที่จะต้องทำ เช็คอินโนว์เช็คเอาท์!” วิกกี้กดตัวเขาลงไปบนระเบียงที่สูงพอจะฉีกร่างเป็นชิ้นๆ หากตกลงไปซึ่งคงจะนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไงหากมีคนผลัดตกลงไปข้างล่างนั้น
“บอกความจริงมาว่าตอนนี้พวกมันกำลังคิดอะไรอยู่!!” วิกกี้เริ่มเอ่ยปากถามเป็นครั้งสุดท้าย
“โอเคๆ แต่เธอต้องสัญญานะว่าสิ่งที่ฉันพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงทุกประการ”
“ได้สิ บอกมา”
“พวกเขามีแผนจะสังหารผู้บัญชาการของคุณ”
“ว่าไงนะ!!” วิกกี้ตะลึงเมื่อได้ยินว่ามีใครบางคนต้องการสังหารผู้บัญชาการของเธอ
“ใช่…พวกเขามีแผนที่จะสังหารเขาเพราะถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่ฆ่ากัปตัน กิลเซฟ วิลเลอร์ ทั้งๆที่เรื่องมันเกิดขึ้นจากวงในเอาเท่านั้น!!”
“…”
วิกกี้ เงียบกริบแล้วไม่พูดอะไรแล้วผลักเทอร์รี่ลงไปจากบนระเบียงด้วยความสูงที่พอจะฉีกร่างของเขาเป็นชิ้นๆ
“อ้ากกกก!!!”
เสียงกรีดร้องค่อยๆ เบาลงตามระยะความสูง ศีรษะของศิลปินหนุ่มกระทบบนพื้นอย่างรวดเร็วก่อนสมองและของเหลวสีแดงพร้อมด้วยสภาพของศพที่น่าอนาถกว่าที่มันจะเป็นตาทั้งสองข้างถลึงออกมาจากเบ้าตาจนเกือบจะหลุดออกมามองไปยังข้างบนชิ้นส่วนและเครื่องในร่างกายเละออกมาอย่างน่าสยดสยองทำเอาถึงกับคลื่นไส้เลยทีเดียว
วิกกี้รีบสำรวจห้องพักอยู่สักระยะหนึ่งก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั้นแล้วลงลิฟต์ออกจากอพาร์ทเมนต์แห่งนั้นพยายามไม่ทำเป็นจุดสนใจกับคนอื่นๆและเดินเลี่ยงตำรวจเพื่อไม่เป็นที่แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
(จบ Part 3 Dangerous Undefined)
Part 3 - Dangerous Undefined