แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Chaos67 เมื่อ 2013-9-17 18:38
Chapter 10 Dear, my enemies
ไกลออกไปจากเมืองแบบสุดลูกหูลูกตา ผ่านข้ามหมู่เกาะไปหลายกิโลเมตร เคออส จอหน์นี่และฮารุกะทั้งสามคนกำลังเดินทางไปยังทะเลทรายแห่งหนึ่งที่คาดว่าเป็นที่ตั้งของโปรเจค D.A.R.T
“ต้องลงทุนถึงขนาดนั่งเครื่องบินส่วนตัวเลยเหรอเนี่ย!”
เคออส ยืนมองทิวทัศน์ข้างล่างด้วยความตื่นเต้นเพราะเขานั้นไม่เคยนั่งเครื่องบินแบบนี้มาก่อน
“คงงั้นมั้ง อย่าลืมสิว่าเรากำลังถูกจับตามองอยู่นะ”
ฮารุกะ ยักไหล่ตอบก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเป็นเสื้อเกาะอกสีดำเพื่อผ่อนคลายหลังจากที่ใส่ชุดนินจามานานแล้ว
“นี่เธอไปเอามาจากไหนเหรอ?” จอห์นนี่ หันไปถามฮารุกะด้วยความสงสัย
“คือว่านะ…ช่างเถอะ..คิดซะว่าฉันเป็นลูกเศรษฐีแล้วกัน.”
ฮารุกะ ตอบกลับจอห์นนี่ไปแบบไม่ค่อยเต็มใจมากนักนั้นเพราะว่าเธอคงไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอนั้นเป็นลูกของท่านประธานาธิบดีแม้ว่าเคออสจะเคยช่วยเธอไว้ในเหตุการณ์เมื่อที่ อเมริกาก็ตาม
“ดูเหมือนว่าเราคงต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน…เพราะตอนนี้มีสิ่งที่สำคัญกว่าการชมวิว”
เคออส หยิบแผนที่ขึ้นมาพร้อมกับปากกาสีแดง แล้ววางบนโต๊ะสนุกเกอร์
“จุดที่เราจะไปต่อจากนี้คือทะเลทรายในแถบตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นจุดที่ฉันคาดการณ์ไว้ว่า S.I.C อยู่ที่นั้นห่างจากที่นี่ระยะ 100 ไมล์ถ้าพวกเธอไม่รีบก็น่าจะไปถึงประมาณพรุ่งนี้ ไม่ก็สองวัน”
เด็กหนุ่มหยิบปากกาสีแดง วงไปที่จุดๆ หนึ่งบนแผนที่ก่อนจะวางปากกาลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจอห์นนี่ทิ้งตัวนั่งไปบนโต๊ะใกล้ๆ ซึ่งเป็นโต๊ะรับแขกภายในเครื่องบินดูจากสภาพเครื่องบินแล้วน่าจะเอาไว้สำหรับพักผ่อนในช่วงฤดูร้อนหน่อย
“เพื่อน…คือว่าฉันขอถามคำถามข้อหนึ่ง ทำไมนายถึงแน่ใจว่ามันถูกตั้งที่ทะเลทรายกันล่ะ?”
จอห์นนี่ ยกมือขึ้น ถามแบบตรงไปตรงมาด้วยความสงสัย ในขณะที่ ฮารุกะกำลังนั่งมองทั้งสองคนอยู่แล้วกระดกน้ำขวด
“เป็นคำถามที่ฉันไม่ค่อยจะรู้มากหรอกนะ D.A.R.T (Dark ArtifactRecon Technology) เป็นโครงการที่เคยเกือบสำเร็จในช่วงปี1960 หรือก่อนสงครามเวียดนาม แต่ทว่าต้องถูกยุบไปเพราะในองค์กรไม่สามารถนำสสารมืดกลับมาได้ การที่ฉันมั่นใจว่า ตั้งที่ทะเลทรายคงเป็นเพราะโครงการนั้นถูกสร้างขึ้นใกล้ๆกับหมู่บ้านคนแถวนั้น แล้วนายลองคิดดูเล่นๆ สิ…ว่าพวกเขาทำอะไรกับคนเหล่านั้น”
เคออส หยิบลูกสนุกเกอร์มาแล้ววางไปบนโต๊ะจากนั้นเดินไปหยิบไม้สนุกเกอร์แล้ววางลูกสนุกฯ สีขาว ฮารุกะลุกขึ้นแล้วเดินไปดูเขา
“ถ้าหากเราไปถึงที่นั้น ฉันเชื่อแน่ๆว่าจะต้องมีหมู่บ้านร้างหรือไม่ก็เป็นตึก…เราอาจไม่รู้เลยว่าพวกเขาทำอะไรกับคนเหล่านั้น อาจจะจับมาทดลองเหมือนการโคลนนิ่ง หรือว่า ใช้แรงงานพวกเขาแบบเคี่ยวเข็ญ”
“เอ่อ…ก็คงงั้น.” จอห์นนี่ทำสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ
“ถ้าหากเราไปถึงก่อนก็มีสิทธิ์ที่เราจะชิงทำลายมันซะก่อนแล้วถ้าหากสำเร็จล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือ สุดยอดทหาร (SuperSoldier) ที่กระหายในสงคราม หรือไม่ก็…”
เคออส แทงลูกสนุกฯ ไปที่จุดกึ่งกลางในแถวที่เรียงกันอยู่ก่อนที่จะแยกออกไปคนละทิศคนละทางจนเกือบจะลงหลุมไปทั้งหมด
“คำตอบสุดท้ายของฉัน คือพวกเขาอาจจะฆ่าพวกเราทั้งหมดจนไม่เหลือซากอะไรเลยทั้งนั้น”
ทุกคนต่างเงียบกริบทันทีในขณะที่เครื่องบินยังคงบินไปแบบต่อเนื่องโดยไม่มีอะไรขัดข้องจอห์นนี่รู้สึกผวาออกมาไม่ใช่น้อยๆ นี่มันบ้าชัดๆ คำว่า “ฆ่า”ในความหมายของจอห์นนี่ คือสิ่งที่เขาไม่สามารถยอมรับมันได้เหมือนกับบาปของตัวเองที่ก่อเอาไว้ที่โรงเรียนไหนจะยังเกือบทำให้ชื่อเสียงของเขาเสียอีกจนชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองเป็นดีเจหรือนักฆ่ากันแน่
“เคออส ฉันขอระบายอารมณ์ทั้งหมดเกี่ยวกับตัวนายได้มั้ย?”
“เอาสิ…ถ้ามันทำให้นายดีขึ้น ฉันก็ยอมรับฟัง”
เคออส รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องพูดออกมาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องของเด็กวัยรุ่นสักเท่าไหร่ที่จะต้องมาพัวพันกับเรื่องที่ซับซ้อนมากขนาดนี้แม้แต่ ฮารุกะเอง ก็รู้สึกแบบเดียวกับจอห์นนี่เพียงแต่เธอก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้ แล้วค่อยหาทางออกเอาเอง
“ตั้งแต่นายเข้าเรียนเข้ามาในห้องครั้งแรกฉันก็รู้สึกได้ว่านายไม่ใช่คนปกติ มันทำให้ฉันกลัวและยอมรับมันไม่ได้…ฉันคิดว่าเราสองคนก็น่าจะมีด้านที่แตกต่างกันนะ เพื่อน”
เคออส ยืนตั้งใจฟัง โดยที่ไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาเลย
“นายไม่รู้สึกเลยเหรอว่าทำไมนายถึงต้องใส่หน้ากากแก๊สนั้นนายเองก็รู้อยู่ไม่ใช่รึไง!!?”
จอห์นนี่ กล่าวพร้อมทั้งน้ำตาแห่งความอัดอั้นของตัวเอง
“นายทำได้ยังไง…นายรอดจากพวกตำรวจนั้น…แล้วนายก็รอดออกมาจากองค์กรโรคจิตนั้นได้ด้วยตัวคนเดียว…นายทำได้ยังไงกันพวก.”
“คงเพราะ…พยายามชินกับมันแหละมั้ง…ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยดีก็เถอะ ยังไงมันก็ไม่สำคัญสำหรับนายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
เครื่องบินเริ่มบินช้าลง คงเป็นเพราะท้องฟ้าเริ่มมืดจนมองไม่เห็นบวกกับวิสัยทัศน์ของนักบินที่ไม่ค่อยดีมากนักทำให้การเดินทางไปที่ทะเลทรายในครั้งนี้ค่อนข้างจะล่าช้าสักนิดก่อนจะหายไปพร้อมกับกลุ่มเมฆสีดำและความรู้สึกระหว่างดีเจหนุ่มผู้รักความสงบกับเด็กหนุ่มผู้สวมหน้ากากแก๊ส
กลับไปดูทางด้านของท่านประธานาธิบดีกันบ้าง…
ที่ทำเนียบขาวยังคงปิดการซ่อมแซมอยู่จนถึง ณ ตอนนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างยังปกติดีภายใต้การดูแลของกลุ่มสหพันธ์ผู้รักชาติอย่างN.Y.P.D หรือตำรวจที่ให้ความร่วมมือกับประชาชนเป็นอย่างดีโดยอยู่ในภายใต้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ดูแลโดยท่านประธานาธิบดีเพียงแค่คนเดียว
แต่ยังไงก็ไม่เท่ากับตอนนี้สภาพของเขานั้นดูแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากในตอนแรก จากชายแก่รูปร่างกำยำในตอนนี้ได้กลายเป็นเพียงแค่ผู้ป่วยในโรงพยาบาลธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ตลอด 3 สัปดาห์เขามักจะเดินอยู่ในโรงพยาบาลเพียงเพื่อพูดคุยกับผู้ป่วยคนอื่นๆโดยที่วางตัวเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
“ท่านครับ…มีคนขออนุญาตพบกับท่านครับ”
บอดี้การ์ดคนหนึ่ง ที่ได้รับคำสั่งให้ดูแลท่านประธานาธิบดี เปิดประตูเข้ามาในห้องของท่านประธานาธิบดีซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่เขานั่งจิบกาแฟแก้ดับกระหายอยู่พอดี
“เชิญเขาเข้ามา”
“ครับ ท่าน”
บอดี้การ์ด เปิดประตูเชิญแขกที่เข้ามา ซึ่งก็คือ แอชเลนนักข่าวสาวจากสำนัก CNN ที่เคยสัมภาษณ์ท่านประธานาธิบดีเมื่อก่อนหน้านี้
“ไง…คุณนักข่าว…เราเจอกันเป็นครั้งที่สองอีกแล้วนะ”
แอชเลน ถึงกับสะดุ้งทันทีเมื่อเดินเข้ามา สิ่งที่เธอได้เห็นนั้นก็คือท่านประธานาธิบดีเรียกเธอว่า “นักข่าว” ทั้งๆ ที่ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในเวลางานเนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์เลยทำให้การแต่งตัวในวันนี้ของเธอไม่เป็นทางการไปสักเท่าไหร่
“เอ่อ…ค่ะ” แอชเลน กล่าวกับท่านประธานาธิบดี
“กาแฟสักหน่อยมั้ย?”
“อ๋อ..ไม่ล่ะค่ะ.” แอชเลนปฏิเสธ
“แล้วมีธุระอะไรกับผมล่ะครับ?” ท่านประธานาธิบดีถามแอชเลนพลางดื่มกาแฟ
แอชเลน เดินไปนั่งบนเก้าอี้โซฟาแล้วหยิบสมุดโน้ตขึ้นมา
“คือว่าวันนี้ดิฉันอยากจะขอรบกวนถามคำถามสักข้อน่ะเกี่ยวกับลูกสาวคุณที่หายตัวไป”
“งั้นก็ถามมาสิ”
ประธานาธิบดี วางถ้วยกาแฟลงทันทีที่ได้ยินคำว่า “ลูกสาว”ของตัวเอง
“ว่าแต่อยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับเธองั้นเหรอ?”
“ดิฉันได้รับข่าวจากทางเฟสบุ๊ค มีคนบอกว่าลูกสาวของท่านกำลังอยู่กับใครบางคนที่คาดการณ์ว่าหน้าจะเป็นชายคนนั้นที่ชื่อว่า ‘ผู้ไม่ควรเอ่ยชื่อ’แล้วดิฉันก็น่าจะคิดว่าท่านคงจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยค่ะ”
แอชเลน เงียบหลังจากบอกคำถามไป เธอรู้ว่านั้นไม่ใช่วิธีการที่ดีนักคำถามนั้นดูเหมือนจะทำเอาท่านประธานาธิบดีนั้นเงียบเลยทีเดียวเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาไม่เคยเจอคำถามแบบนี้มาก่อน
“แล้ว…แหล่งข่าวที่ว่านั้นมันเชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์รึเปล่าล่ะ?”
“จริงแท้แน่นอนเลยค่ะ”
ชายแก่เริ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินมาเปิดผ้าม่านแล้วสูดอากาศให้เต็มปอดเหมือนเป็นการระบายเรื่องทั้งหมดในหัวของตัวเอง
“รู้อะไรมั้ย? ลูกสาวของผมเธอไม่ใช่แค่เด็กสาวธรรมดาๆหรอกนะ”
แอชเลน นั่งงงอยู่สักพัก
“ผมเสียภรรยาไปเมื่อ 1 ปีก่อน ผมเลยต้องดูแลเธอคนนั้นเป็นอย่างดีจนกระทั่งเธอหายไปจนผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลยด้วยซ้ำ”
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะโกรธเธอหรอกนะ”
ชายแก่ ตอบกลับโดยที่ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเกลียดชังอะไรเขาเพียงแค่นั่งจิบกาแฟแล้วมองสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่อยู่ข้างล่างหอพักคนไข้ซึ่งต่างจากทำเนียบขาวที่เขาเคยทำงานอยู่ด้วยอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่แอชเลนเริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ทำให้เธอนั้นต้องหยุดบันทึกมันลงสมุดบันทึกของเธอ
นั่นก็คือแทนที่ผู้เป็นพ่อจะกังวลกับการหายไปของลูกสาวตัวเองแต่เขากลับไม่มีทีท่าที่จะแสดงท่าทางแบบนั้นเลยสักนิด เหมือนกับรู้ว่าเธอดูแลตัวเองได้ แถมยังจิบกาแฟแบบสบายใจซะอีก แสดงว่าการที่เขาพูดแบบนั้นคงจะไม่ได้ใส่ใจอะไรเธอมากนัก
“บางทีผมมาคิดดูแล้ว ผมว่าผมควรจะปล่อยเธอไปหาความสุขให้กับตัวเองดีกว่าอย่างน้อยก็ดีนะ ที่เธอไม่โดนผู้ก่อการร้ายนั้นทำอะไรมิดีมิร้ายเข้า”
แอชเลน เงียบไปชั่วขณะเมื่อได้ยินประโยคหลังก่อนจะเอ่ยถามคำถามต่อไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แล้วทำไมคุณถึงไม่ส่งสายสืบไปตามหาตัวเธอล่ะค่ะ?”
“เพราะว่าผมไม่อยากทำน่ะสิ กลัวว่าชีวิตปกติของเธอจะอยู่ไม่เป็นสุขขืนส่งไปรับรองว่าเธอคงจะจัดการเละแน่” เขา ปฏิเสธ
เวลาผ่านไปจนเริ่มใกล้จะฝนตกแอชเลน กล่าวคำขอบคุณที่ให้ข้อมูลและรวมทั้งกล่าวให้กำลังใจกับ ท่านประธานาธิบดีก่อนกลับไปโดยมีบอดี้การ์ดคอยดูเธอเป็นระยะๆ ด้วยความระแวงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูให้สนิท
“อย่างน้อยเรื่อง ‘สสารมืด’ ในสร้อยนั้นละนะ”
ท้องเมฆสีฟ้าเริ่มกลายเป็นสีเทาทันใดนั้นเหล่าสายฝนก็เริ่มกระโหมออกมาเรื่อยๆ จนหนักขึ้น ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าและฟ้าร้อง
ในที่สุดก็มาถึง นับว่าโชคดีที่วันนี้ไม่มีพายุทะเลทรายเข้ามาเครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่งบินต่ำลงแล้วค่อยลงจอดตรงบริเวณพื้นทะเลทรายก่อนเครื่องบินลำนั้นจะหยุดและกลุ่มวัยรุ่นทั้ง 3 ก็ลงออกจากเครื่องบินฮารุกะ กล่าวขอบคุณนักบินก่อนจะเดินลงมาพร้อมกับสัมภาระของตัวเองก่อนจะเดินทางไปยังสถานที่ๆ S.I.C ทำการทดลองโปรเจคทีว่าไว้
“แถวนี้รู้สึกว่าจะมีหมู่บ้านอยู่แหะ…” เคออสพูดขึ้นพลางหยิบแผนที่ขึ้นมาดู
ไม่นานนักพวกเขาก็เดินทางมาถึง ตามที่เคออสคาดการณ์เอาไว้แต่ปรากฏว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นคือ หมู่บ้านได้ถูกกลุ่มทหาร S.I.C ล้อมเอาไว้แล้ว ทำให้ทั้งสามนั้นถึงกับตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว
“น..นี่มันอะไรกัน…” เคออสตกตะลึงกับภาพที่เขาเห็น
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยน่า…ตอนนี้พวกแกหลับไปก่อนแล้วกัน”
(จบ Chapter 10 Dear, my enemies)
Chapter 10 Dear, my enemies
ไกลออกไปจากเมืองแบบสุดลูกหูลูกตา ผ่านข้ามหมู่เกาะไปหลายกิโลเมตร เคออส จอหน์นี่และฮารุกะทั้งสามคนกำลังเดินทางไปยังทะเลทรายแห่งหนึ่งที่คาดว่าเป็นที่ตั้งของโปรเจค D.A.R.T
“ต้องลงทุนถึงขนาดนั่งเครื่องบินส่วนตัวเลยเหรอเนี่ย!”
เคออส ยืนมองทิวทัศน์ข้างล่างด้วยความตื่นเต้นเพราะเขานั้นไม่เคยนั่งเครื่องบินแบบนี้มาก่อน
“คงงั้นมั้ง อย่าลืมสิว่าเรากำลังถูกจับตามองอยู่นะ”
ฮารุกะ ยักไหล่ตอบก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเป็นเสื้อเกาะอกสีดำเพื่อผ่อนคลายหลังจากที่ใส่ชุดนินจามานานแล้ว
“นี่เธอไปเอามาจากไหนเหรอ?” จอห์นนี่ หันไปถามฮารุกะด้วยความสงสัย
“คือว่านะ…ช่างเถอะ..คิดซะว่าฉันเป็นลูกเศรษฐีแล้วกัน.”
ฮารุกะ ตอบกลับจอห์นนี่ไปแบบไม่ค่อยเต็มใจมากนักนั้นเพราะว่าเธอคงไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอนั้นเป็นลูกของท่านประธานาธิบดีแม้ว่าเคออสจะเคยช่วยเธอไว้ในเหตุการณ์เมื่อที่ อเมริกาก็ตาม
“ดูเหมือนว่าเราคงต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน…เพราะตอนนี้มีสิ่งที่สำคัญกว่าการชมวิว”
เคออส หยิบแผนที่ขึ้นมาพร้อมกับปากกาสีแดง แล้ววางบนโต๊ะสนุกเกอร์
“จุดที่เราจะไปต่อจากนี้คือทะเลทรายในแถบตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นจุดที่ฉันคาดการณ์ไว้ว่า S.I.C อยู่ที่นั้นห่างจากที่นี่ระยะ 100 ไมล์ถ้าพวกเธอไม่รีบก็น่าจะไปถึงประมาณพรุ่งนี้ ไม่ก็สองวัน”
เด็กหนุ่มหยิบปากกาสีแดง วงไปที่จุดๆ หนึ่งบนแผนที่ก่อนจะวางปากกาลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจอห์นนี่ทิ้งตัวนั่งไปบนโต๊ะใกล้ๆ ซึ่งเป็นโต๊ะรับแขกภายในเครื่องบินดูจากสภาพเครื่องบินแล้วน่าจะเอาไว้สำหรับพักผ่อนในช่วงฤดูร้อนหน่อย
“เพื่อน…คือว่าฉันขอถามคำถามข้อหนึ่ง ทำไมนายถึงแน่ใจว่ามันถูกตั้งที่ทะเลทรายกันล่ะ?”
จอห์นนี่ ยกมือขึ้น ถามแบบตรงไปตรงมาด้วยความสงสัย ในขณะที่ ฮารุกะกำลังนั่งมองทั้งสองคนอยู่แล้วกระดกน้ำขวด
“เป็นคำถามที่ฉันไม่ค่อยจะรู้มากหรอกนะ D.A.R.T (Dark ArtifactRecon Technology) เป็นโครงการที่เคยเกือบสำเร็จในช่วงปี1960 หรือก่อนสงครามเวียดนาม แต่ทว่าต้องถูกยุบไปเพราะในองค์กรไม่สามารถนำสสารมืดกลับมาได้ การที่ฉันมั่นใจว่า ตั้งที่ทะเลทรายคงเป็นเพราะโครงการนั้นถูกสร้างขึ้นใกล้ๆกับหมู่บ้านคนแถวนั้น แล้วนายลองคิดดูเล่นๆ สิ…ว่าพวกเขาทำอะไรกับคนเหล่านั้น”
เคออส หยิบลูกสนุกเกอร์มาแล้ววางไปบนโต๊ะจากนั้นเดินไปหยิบไม้สนุกเกอร์แล้ววางลูกสนุกฯ สีขาว ฮารุกะลุกขึ้นแล้วเดินไปดูเขา
“ถ้าหากเราไปถึงที่นั้น ฉันเชื่อแน่ๆว่าจะต้องมีหมู่บ้านร้างหรือไม่ก็เป็นตึก…เราอาจไม่รู้เลยว่าพวกเขาทำอะไรกับคนเหล่านั้น อาจจะจับมาทดลองเหมือนการโคลนนิ่ง หรือว่า ใช้แรงงานพวกเขาแบบเคี่ยวเข็ญ”
“เอ่อ…ก็คงงั้น.” จอห์นนี่ทำสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ
“ถ้าหากเราไปถึงก่อนก็มีสิทธิ์ที่เราจะชิงทำลายมันซะก่อนแล้วถ้าหากสำเร็จล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือ สุดยอดทหาร (SuperSoldier) ที่กระหายในสงคราม หรือไม่ก็…”
เคออส แทงลูกสนุกฯ ไปที่จุดกึ่งกลางในแถวที่เรียงกันอยู่ก่อนที่จะแยกออกไปคนละทิศคนละทางจนเกือบจะลงหลุมไปทั้งหมด
“คำตอบสุดท้ายของฉัน คือพวกเขาอาจจะฆ่าพวกเราทั้งหมดจนไม่เหลือซากอะไรเลยทั้งนั้น”
ทุกคนต่างเงียบกริบทันทีในขณะที่เครื่องบินยังคงบินไปแบบต่อเนื่องโดยไม่มีอะไรขัดข้องจอห์นนี่รู้สึกผวาออกมาไม่ใช่น้อยๆ นี่มันบ้าชัดๆ คำว่า “ฆ่า”ในความหมายของจอห์นนี่ คือสิ่งที่เขาไม่สามารถยอมรับมันได้เหมือนกับบาปของตัวเองที่ก่อเอาไว้ที่โรงเรียนไหนจะยังเกือบทำให้ชื่อเสียงของเขาเสียอีกจนชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองเป็นดีเจหรือนักฆ่ากันแน่
“เคออส ฉันขอระบายอารมณ์ทั้งหมดเกี่ยวกับตัวนายได้มั้ย?”
“เอาสิ…ถ้ามันทำให้นายดีขึ้น ฉันก็ยอมรับฟัง”
เคออส รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องพูดออกมาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องของเด็กวัยรุ่นสักเท่าไหร่ที่จะต้องมาพัวพันกับเรื่องที่ซับซ้อนมากขนาดนี้แม้แต่ ฮารุกะเอง ก็รู้สึกแบบเดียวกับจอห์นนี่เพียงแต่เธอก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้ แล้วค่อยหาทางออกเอาเอง
“ตั้งแต่นายเข้าเรียนเข้ามาในห้องครั้งแรกฉันก็รู้สึกได้ว่านายไม่ใช่คนปกติ มันทำให้ฉันกลัวและยอมรับมันไม่ได้…ฉันคิดว่าเราสองคนก็น่าจะมีด้านที่แตกต่างกันนะ เพื่อน”
เคออส ยืนตั้งใจฟัง โดยที่ไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาเลย
“นายไม่รู้สึกเลยเหรอว่าทำไมนายถึงต้องใส่หน้ากากแก๊สนั้นนายเองก็รู้อยู่ไม่ใช่รึไง!!?”
จอห์นนี่ กล่าวพร้อมทั้งน้ำตาแห่งความอัดอั้นของตัวเอง
“นายทำได้ยังไง…นายรอดจากพวกตำรวจนั้น…แล้วนายก็รอดออกมาจากองค์กรโรคจิตนั้นได้ด้วยตัวคนเดียว…นายทำได้ยังไงกันพวก.”
“คงเพราะ…พยายามชินกับมันแหละมั้ง…ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยดีก็เถอะ ยังไงมันก็ไม่สำคัญสำหรับนายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
เครื่องบินเริ่มบินช้าลง คงเป็นเพราะท้องฟ้าเริ่มมืดจนมองไม่เห็นบวกกับวิสัยทัศน์ของนักบินที่ไม่ค่อยดีมากนักทำให้การเดินทางไปที่ทะเลทรายในครั้งนี้ค่อนข้างจะล่าช้าสักนิดก่อนจะหายไปพร้อมกับกลุ่มเมฆสีดำและความรู้สึกระหว่างดีเจหนุ่มผู้รักความสงบกับเด็กหนุ่มผู้สวมหน้ากากแก๊ส
กลับไปดูทางด้านของท่านประธานาธิบดีกันบ้าง…
ที่ทำเนียบขาวยังคงปิดการซ่อมแซมอยู่จนถึง ณ ตอนนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างยังปกติดีภายใต้การดูแลของกลุ่มสหพันธ์ผู้รักชาติอย่างN.Y.P.D หรือตำรวจที่ให้ความร่วมมือกับประชาชนเป็นอย่างดีโดยอยู่ในภายใต้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ดูแลโดยท่านประธานาธิบดีเพียงแค่คนเดียว
แต่ยังไงก็ไม่เท่ากับตอนนี้สภาพของเขานั้นดูแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากในตอนแรก จากชายแก่รูปร่างกำยำในตอนนี้ได้กลายเป็นเพียงแค่ผู้ป่วยในโรงพยาบาลธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ตลอด 3 สัปดาห์เขามักจะเดินอยู่ในโรงพยาบาลเพียงเพื่อพูดคุยกับผู้ป่วยคนอื่นๆโดยที่วางตัวเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
“ท่านครับ…มีคนขออนุญาตพบกับท่านครับ”
บอดี้การ์ดคนหนึ่ง ที่ได้รับคำสั่งให้ดูแลท่านประธานาธิบดี เปิดประตูเข้ามาในห้องของท่านประธานาธิบดีซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่เขานั่งจิบกาแฟแก้ดับกระหายอยู่พอดี
“เชิญเขาเข้ามา”
“ครับ ท่าน”
บอดี้การ์ด เปิดประตูเชิญแขกที่เข้ามา ซึ่งก็คือ แอชเลนนักข่าวสาวจากสำนัก CNN ที่เคยสัมภาษณ์ท่านประธานาธิบดีเมื่อก่อนหน้านี้
“ไง…คุณนักข่าว…เราเจอกันเป็นครั้งที่สองอีกแล้วนะ”
แอชเลน ถึงกับสะดุ้งทันทีเมื่อเดินเข้ามา สิ่งที่เธอได้เห็นนั้นก็คือท่านประธานาธิบดีเรียกเธอว่า “นักข่าว” ทั้งๆ ที่ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในเวลางานเนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์เลยทำให้การแต่งตัวในวันนี้ของเธอไม่เป็นทางการไปสักเท่าไหร่
“เอ่อ…ค่ะ” แอชเลน กล่าวกับท่านประธานาธิบดี
“กาแฟสักหน่อยมั้ย?”
“อ๋อ..ไม่ล่ะค่ะ.” แอชเลนปฏิเสธ
“แล้วมีธุระอะไรกับผมล่ะครับ?” ท่านประธานาธิบดีถามแอชเลนพลางดื่มกาแฟ
แอชเลน เดินไปนั่งบนเก้าอี้โซฟาแล้วหยิบสมุดโน้ตขึ้นมา
“คือว่าวันนี้ดิฉันอยากจะขอรบกวนถามคำถามสักข้อน่ะเกี่ยวกับลูกสาวคุณที่หายตัวไป”
“งั้นก็ถามมาสิ”
ประธานาธิบดี วางถ้วยกาแฟลงทันทีที่ได้ยินคำว่า “ลูกสาว”ของตัวเอง
“ว่าแต่อยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับเธองั้นเหรอ?”
“ดิฉันได้รับข่าวจากทางเฟสบุ๊ค มีคนบอกว่าลูกสาวของท่านกำลังอยู่กับใครบางคนที่คาดการณ์ว่าหน้าจะเป็นชายคนนั้นที่ชื่อว่า ‘ผู้ไม่ควรเอ่ยชื่อ’แล้วดิฉันก็น่าจะคิดว่าท่านคงจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยค่ะ”
แอชเลน เงียบหลังจากบอกคำถามไป เธอรู้ว่านั้นไม่ใช่วิธีการที่ดีนักคำถามนั้นดูเหมือนจะทำเอาท่านประธานาธิบดีนั้นเงียบเลยทีเดียวเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาไม่เคยเจอคำถามแบบนี้มาก่อน
“แล้ว…แหล่งข่าวที่ว่านั้นมันเชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์รึเปล่าล่ะ?”
“จริงแท้แน่นอนเลยค่ะ”
ชายแก่เริ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินมาเปิดผ้าม่านแล้วสูดอากาศให้เต็มปอดเหมือนเป็นการระบายเรื่องทั้งหมดในหัวของตัวเอง
“รู้อะไรมั้ย? ลูกสาวของผมเธอไม่ใช่แค่เด็กสาวธรรมดาๆหรอกนะ”
แอชเลน นั่งงงอยู่สักพัก
“ผมเสียภรรยาไปเมื่อ 1 ปีก่อน ผมเลยต้องดูแลเธอคนนั้นเป็นอย่างดีจนกระทั่งเธอหายไปจนผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลยด้วยซ้ำ”
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะโกรธเธอหรอกนะ”
ชายแก่ ตอบกลับโดยที่ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเกลียดชังอะไรเขาเพียงแค่นั่งจิบกาแฟแล้วมองสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่อยู่ข้างล่างหอพักคนไข้ซึ่งต่างจากทำเนียบขาวที่เขาเคยทำงานอยู่ด้วยอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่แอชเลนเริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ทำให้เธอนั้นต้องหยุดบันทึกมันลงสมุดบันทึกของเธอ
นั่นก็คือแทนที่ผู้เป็นพ่อจะกังวลกับการหายไปของลูกสาวตัวเองแต่เขากลับไม่มีทีท่าที่จะแสดงท่าทางแบบนั้นเลยสักนิด เหมือนกับรู้ว่าเธอดูแลตัวเองได้ แถมยังจิบกาแฟแบบสบายใจซะอีก แสดงว่าการที่เขาพูดแบบนั้นคงจะไม่ได้ใส่ใจอะไรเธอมากนัก
“บางทีผมมาคิดดูแล้ว ผมว่าผมควรจะปล่อยเธอไปหาความสุขให้กับตัวเองดีกว่าอย่างน้อยก็ดีนะ ที่เธอไม่โดนผู้ก่อการร้ายนั้นทำอะไรมิดีมิร้ายเข้า”
แอชเลน เงียบไปชั่วขณะเมื่อได้ยินประโยคหลังก่อนจะเอ่ยถามคำถามต่อไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แล้วทำไมคุณถึงไม่ส่งสายสืบไปตามหาตัวเธอล่ะค่ะ?”
“เพราะว่าผมไม่อยากทำน่ะสิ กลัวว่าชีวิตปกติของเธอจะอยู่ไม่เป็นสุขขืนส่งไปรับรองว่าเธอคงจะจัดการเละแน่” เขา ปฏิเสธ
เวลาผ่านไปจนเริ่มใกล้จะฝนตกแอชเลน กล่าวคำขอบคุณที่ให้ข้อมูลและรวมทั้งกล่าวให้กำลังใจกับ ท่านประธานาธิบดีก่อนกลับไปโดยมีบอดี้การ์ดคอยดูเธอเป็นระยะๆ ด้วยความระแวงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูให้สนิท
“อย่างน้อยเรื่อง ‘สสารมืด’ ในสร้อยนั้นละนะ”
ท้องเมฆสีฟ้าเริ่มกลายเป็นสีเทาทันใดนั้นเหล่าสายฝนก็เริ่มกระโหมออกมาเรื่อยๆ จนหนักขึ้น ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าและฟ้าร้อง
ในที่สุดก็มาถึง นับว่าโชคดีที่วันนี้ไม่มีพายุทะเลทรายเข้ามาเครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่งบินต่ำลงแล้วค่อยลงจอดตรงบริเวณพื้นทะเลทรายก่อนเครื่องบินลำนั้นจะหยุดและกลุ่มวัยรุ่นทั้ง 3 ก็ลงออกจากเครื่องบินฮารุกะ กล่าวขอบคุณนักบินก่อนจะเดินลงมาพร้อมกับสัมภาระของตัวเองก่อนจะเดินทางไปยังสถานที่ๆ S.I.C ทำการทดลองโปรเจคทีว่าไว้
“แถวนี้รู้สึกว่าจะมีหมู่บ้านอยู่แหะ…” เคออสพูดขึ้นพลางหยิบแผนที่ขึ้นมาดู
ไม่นานนักพวกเขาก็เดินทางมาถึง ตามที่เคออสคาดการณ์เอาไว้แต่ปรากฏว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นคือ หมู่บ้านได้ถูกกลุ่มทหาร S.I.C ล้อมเอาไว้แล้ว ทำให้ทั้งสามนั้นถึงกับตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว
“น..นี่มันอะไรกัน…” เคออสตกตะลึงกับภาพที่เขาเห็น
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยน่า…ตอนนี้พวกแกหลับไปก่อนแล้วกัน”
(จบ Chapter 10 Dear, my enemies)
Chapter 10 Dear, my enemies