Chapter 11First Blood
“ไม่ๆๆๆ อ้าก!!!”ร่างของชายแก่ไม่ทราบชื่อกรีดร้องออกมาหลังจากถูกนำไปทดลองวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีการสุดโฉดบางอย่างของเหล่านักวิทยาศาสตร์สติฟั่นเฟืองขององค์กรS.I.C ซึ่งร่างดังกล่าวจะถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคที่เรียกว่า“D.A.R.T”
กลุ่มวัยรุ่นทั้ง3 ถูกจับตัวและพามายังแล็ปลับของ S.I.C ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่ใกล้ไม่ไกลหนึ่งในหัวหน้าทีมสั่งลูกทีมให้นำตัว ฮารุกะ และ จอห์นนี่ แยกไปที่ห้องขังส่วนอีกคนจะปล่อยเป็นหน้าที่ของเขาเอง โดยที่เคออสก็ไม่รู้สึกเอะใจเลยว่าทำไมถึงทำแบบนั้น
และใช่…นั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนในองค์กรต่างจับตามองเขาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจและความอำมหิต
หัวหน้าทีมผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นหน่วยสังหารจากแมนทัส ลงมือถีบคนทรยศให้ลงไปนอนบนพื้นดึงตัวเขาขึ้นมาดูสภาพ ถึงจะมองไม่เห็นหน้า แต่ก็พอเดาได้ว่าคงจะเสียโฉมไปไม่น้อย
“เราไม่ได้มาทัศน์ศึกษานะ พวก.” หัวหน้าทีม พูดกับเขา
“คิดซะว่าเป็นบทลงโทษสำหรับคนที่ทรยศให้กับองค์กรแล้วกัน”
เคออสไม่ปริปากพูดอะไรหลังจากนั้นเขากับทหารถือปืนใส่ชุดเกราะพร้อมกับตำแหน่งหัวหน้าทีมเดินคุมเขาไปทุกฝีก้าวเพื่อไม่ให้เป้าหมายหลบหนีไปได้ ซึ่งเคออสก็ไม่ได้ทำแบบนั้นเลยแม้แต่น้อยอันที่จริงก่อนเขาจะหลบหนีมาจากองค์กร เขาเองก็เคยอยู่หน่วยสังหารมาเหมือนกันแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ยศที่ถูกแต่งตั้งเท่านั้นทีมของเคออสถูกสั่งเก็บไปทีละคนจนเหลือเขาคนเดียวที่ต้องทำหน้าที่ต่อไปโดยปราศจากลูกทีม
และสุดท้าย สิ่งที่เขาได้ทำหลังจากนั้นก็คือโศกนาฏกรรมที่ฝากรอยแผลเก่าให้เจ็บใจเล่นๆ ก่อนจะหลบหนีออกมาแต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักของเขาอยู่ดี
ทั้งสองหยุดอยู่ที่ประตูขนาดใหญ่รูปร่างเหมือนถอดแบบมาจากโลกอนาคตประตูถูกเปิดออกและเผยให้เห็นเหล่านักวิทยาศาสตร์ (และนักวิจัย) ทั้งหมดล้วนกำลังทำการวิเคราะห์ทดลอง บันทึกสังเกตการณ์ และอีกหลายๆ อย่างที่พอเดาได้ ตู้แคปซูลแก้วทดลองขนาดใหญ่ข้างในบรรจุของเหลวคล้ายเลือดพร้อมกับร่างคนใส่ชุดคล้ายกับเสื้อเกราะประจำองค์กรหากสังเกตให้ดีๆ จะมีตัวอักษรสลักอยู่บนเสื้อตัวนั้นด้วย
“ส่งเด็กนั้นไปให้ “เลขานุการ’จับตาดูให้ดีๆ ด้วยล่ะ ถ้าพวกมันขัดขืนสั่งเก็บได้ทันที”
เขาเริ่มกำชับพวกลูกทีมผ่านทางวิทยุสื่อสารก่อนจะได้รับการตอบกลับมาว่า “รับทราบครับ หัวหน้า”
“อย่าเพิ่งได้ใจไปนักเด็กน้อย ที่นี่ดูผิวเผินอาจจะคิดว่าระบบรักษาความปลอดภัยต่ำกว่าที่แกคิด แต่จริงๆแล้วมันชั้นสูงพอๆ กับฐานหลัก ตั้งแต่ป้อมปืนกลอัตโนมัติ ยันทหารดัดแปลงและอีกหลายๆ คนที่เหมือนกับแก คงจะรู้นะว่าหมายถึงอะไร” หัวหน้าทีมบอกเขาเป็นนัยๆ เหมือนกับต้องการให้เคออสรู้ว่า หนีไปก็ไร้หนทาง ไร้ประโยชน์
แม้ว่าระยะทางจากที่มาจะไกลอยู่แล้วแต่ที่นี่คงไม่ต่างอะไรจากเรือนจำดีๆ นี่เองแล็ปทดลองถูกตั้งอยู่ที่จุดห่างไกลจากหมู่บ้านร้างไปหลายกิโลเมตรหากนับเส้นทางที่เดินทางมาทั้งหมด คงใช้เวลากว่า 3 วันกว่าจะมาถึงหรือมากกว่านั้นที่นี่ไม่มีพวกนักธุรกิจ มาเฟีย นักค้ายาเสพติด ไม่มีใครสักคนที่มาจากในเมืองเคออสหันไปมองบรรยากาศรอบๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่ แต่ผลที่ได้ก็เสี่ยงเกินไปที่นี่มีกล้องวงจรปิดและป้อมปืนกลอัตโนมัติที่จับการเคลื่อนไหวในกรณีที่มีการแหกคุกออกไป
เห็นทีงานนี้เขาคงจะเพิ่งตัวเองไม่ได้แล้ว
‘เขา” ยังอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”เคออส หันไปถามในขณะกำลังเดินไปทางตามที่หัวหน้าทีมชี้ทางไป
“ใช่ เขายังอยู่และรออยู่ข้างบนนั้นมันคงจะน่าทึ่งขนาดไหน ที่ฉันจะได้รับคำชมจากผู้บัญชาการองค์กรของตัวเองที่นอกจากหน้าตาหล่อเหลาแล้ว ยังมีบุคลิกที่ผู้ชายบนโลกไม่มีด้วยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงติดอันดับ 10 หัวหน้าองค์กรที่ไฟแรงที่สุดในกลุ่มผู้ก่อการร้าย”หัวหน้าทีมที่คุมตัวเขาอยู่ พลางอวดเรื่องต่างๆ นาๆ ให้กับเคออสฟังเหมือนเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มที่สุดภายในองค์กรเลยก็ว่าได้
แต่สำหรับเคออสนั้นเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากพูดถึงมันเลยด้วยซ้ำ
“คงคลั่งเจ้านั่นมากเลยสิ”
“ก็ไม่เชิง…ถึงจะโรคจิตไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็น่าสนใจดีนะ”
ในที่สุดทั้งสองก็หยุดอยู่ตรงที่หน้าประตูลิฟต์ความเร็วสูง20 ชั้น ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการขึ้นไปชั้นบนสุดดูเหมือนว่าลิฟต์นี้จะสามารถมองเห็นได้ทั้งด้านนอกและด้านในแถมยังมีกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้เพื่อความปลอดภัยกับนักวิทยาศาสตร์ที่เข้ามาใช้งาน
และในที่สุดช่วงเวลาที่เคออสต้องการก็กลับมาอีกครั้ง
ลิฟต์หยุดตรงมาชั้นที่ 19 หัวหน้าทีมยังคงสั่งให้เขาเดินขึ้นไปที่ชั้น20 ทางบันได ส่วนตัวเขานั้นจะขอแยกตัวไปหลังจากนั้นซึ่งเคออสก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดเขายังคงเดินขึ้นไปที่ชั้นบนสุดโดยไม่แสดงทีท่าผิดปกติไปสักเท่าไหร่
จนกระทั่งบรรยากาศที่อึมครึมก็มาถึง…
เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงด้วยหน่วยรักษาความปลอดภัยกว่า30 นาย ที่อยู่ในชั้นบนสุด ต่างหันมามองเคออสเป็นตาเดียว เคออสค่อยๆเดินไปด้วยความเร็วปกติไปที่ประตูทางด้านซ้าย หน่วยรักษาความปลอดภัยประจำองค์กรทุกคนล้วนฝึกมาดีกว่าเคออสหลายเท่าตัว แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะจัดการได้จนหมดอาวุธต่างๆ นาๆ ที่อยู่ในมือล้วนเป้นตัวบ่งบอกได้ว่า มันไม่ง่ายนักที่จะจัดการ
“เยี่ยมไปเลยแหะนี่ฉันแทบไม่เชื่อเลยนะว่านายจะสามารถผ่านคนของฉันได้เลยไม่กลัวเนี่ย”
ชายในชุดนักธุรกิจสีดำเอ่ยขึ้นทันทีหลังจากที่เคออสเดินเข้ามา ใบหน้าที่หล่อเหลากับบุคลิกที่ถอดแบบมาจากในหนังพร้อมกับท่านั่งที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้แม้แค่นายกรัฐมนตรียังต้องยอมรับ เคออสมองชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเย็นชาภายใต้หน้ากากแก๊สที่ซ่อนอารมณ์ตัวเขาไว้
“แกมาสายนะ ช้าไปตั้ง 5 นาทีแน่ะ ถ้ามาเร็วกว่านี้ฉันคิดว่าพวกเราสองคงมาทานอาหารทันแน่ๆ เลย”
แมนทัสแสร้งทำหน้ารู้สึกผิดหวัง ก่อนจะเริ่มเบื่อหน่ายกับการที่ต้องรอใครนานๆ
“มันช่วยไม่ได้…ก็ถ้าหากแกไม่บอกที่อยู่มาให้ฉันตั้งแต่แรกฉันคงจะมานั่งกินข้าวกับแกตั้งนานแล้ว”
“ปากดีเหลือเกินนะเคทสึคุง…ถ้าไม่ติดเรื่องอายุป่านนี้ฉันคงจะเชือดนายทิ้งไปแล้วด้วยซ้ำ”
แมนทัส สูงกว่าเขายี่สิบเซนติเมตรผมสีดำ ดวงตาสีดำสนิท เขาผูกเนคไทด้วยสีที่เข้ากับชุดสูทสีน้ำเงินเข้มอายุของเขาเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายที่กำลังเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยต่างจากเคออสที่ตอนนี้เขาเป็นได้เพียงแค่วัยรุ่นตอนต้นเหมือนกับเพื่อนๆของพวกเขาเท่านั้น
“อันที่จริงแล้วฉันเองก็อยากจะปล่อยตัวเพื่อนของนายไปได้ล่ะนะถ้าไม่ติดว่าฉันต้องการของอย่างใดอย่างหนึ่งซะก่อน…”
“อะไร?” เคออส ถามคลายข้อสงสัย
“หนูทดลองยังไงล่ะ เจ้าหนู” แมนทัส ทำตาปริบๆ ด้วยรอยยิ้มไปหา เคออส
“การที่โปรเจคจะดำเนินหน้าต่อไปได้ต้องอาศัยพลังงานจากสสารมืดเพียงแค่นิดเดียวก็สามารถสร้างทหารที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้ตั้งร้อยกว่าคนเชียวนะแต่เพราะว่าพลังงานที่ถ่ายเข้าไปในตัวทหารนั้นกลับรุนแรงกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ทันทีที่เข้าไปร่างกายพวกเขาก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆฉันก็เลยต้องย้ายการทดลองมาที่นี่ เพื่อไม่ให้คนของฉันสติแตกตายไปซะก่อน”
“ลองคิดเล่นๆดูสิว่าฉันถ่ายพลังงานอะไรไปให้พวกนั้น”
“พลังงานจากธาตุกัมมันตรังสี” เคออส ตอบกลับไปแบบส่งๆ
“ใช่…นายก็น่าจะรู้นะว่าธาตุกัมมันตรังสีที่หลงเหลืออยู่ในโลก ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่มันจะสลายออกไปซึ่งฉันไม่ต้องการที่จะให้มันเป็นแบบนั้น”
แมนทัสลุกขึ้นจากเก้าอี้ บิดกล้ามเนื้อเพื่อคลายความเมื่อยล้า ก่อนจะเดินมาสังเกตการณ์ทดลองที่อยู่ลงไปจากจุดที่เขายืนอยู่ข้างนอกกระจกใสจนดูเหมือนไม่ได้ติดกระจกไว้เลย เป็นห้องทรงวงรีสีขาวตรงกลางห้องมีเครื่องจักรแปลกประหลาดตั้งอยู่เครื่องหนึ่ง กับแขนกลที่ยื่นออกมาทั้งซ้ายและขวาพร้อมกับมือจักรกลทั้งสองข้างที่ชโลมไปด้วยเลือดของหนูทดลองที่ตกเป็นเหยื่อ
ชายวัยกลางคนที่ตกเป็นหนูทดลองถูกพาตัวเข้ามาภายในห้องที่เหมือนกับแดนประหาร เหล่าทหารยามประจำองค์กรตรึงตัวเขาบนเครื่องจักรแล้วเริ่มกดปุ่มทำงาน
“อย่าได้โปรด! ฉันยอมทำตามที่แกบอกก็ได้แต่แกต้องปล่อยภรรยาและลูกของฉัน”
“มันสายไปแล้ว…คุณคิดว่าพวกเราจะปล่อยคุณไปหลังจากเสร็จงานเหรอ?” ทหารคนหนึ่งกล่าวน้ำเสียงเย็นยะเยือก แล้วถอยออกมาจากเครื่องจักร ในขณะที่แขนกลทั้งสองข้างเริ่มทำงาน
“ไม่ๆๆๆ ฉ…ฉ..ฉัน…ยัง..ไม่..อ..อ.อยาก”
ทันทีที่มือกลทั้งสองข้างจับไปที่บริเวณหน้าผากจนชายวัยกลางคนเริ่มขยับตัวไม่ได้ เหมือนว่าสมองของเขากำลังถูกบีบให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆและทันใดนั้นเอง
“อ้ากกกกกกก!!!”
เสียงกรีดร้องที่ดังไปทั่วทั้งห้องจนเกือบถึงบริเวณที่พวกนักวิทยาศาสตร์อยู่ภาพอันน่าสยดสยองและขนลุกพองอยู่ต่อหน้าเคออสและแมนทัสพวกเขาเห็นทุกการกระทำของเครื่องจักรนั้น เลือดจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด:Xไปทั่วทั้งห้องจากการแรงดึงของเครื่องจักร สมองของชายวัยกลางคนถูกดึงออกจนเห็นเส้นประสาทที่อยู่ข้างในนั้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นยังไงล่ะ! เคออส…เครื่องเล่นชิ้นใหม่ของฉันที่ฉันคิดค้นขึ้นมาเพื่อฆ่าเวลาในระหว่างที่รอนายมันเจ๋งใช่มั้ย?” แมนทัสยิ้มแสยะด้วยใบหน้าที่รู้สึกปลาบปลื้มกับการกระทำเหล่านั้น นัยน์ตาเบิกโพลงเหมือนกับพวกโรคจิตที่เพิ่งจะได้ฆ่าคนไปหมาดๆ
เคออสพุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อของแมนทัสขึ้นมาทันทีด้วยความโกรธแค้นนัยน์ตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากบ่งบอกอารมณ์เขาในตอนนี้ได้ว่าเขารู้สึกโกรธ แต่ทว่า…
ร่างกายของเขากลับหยุดนิ่งเหมือนถูกมนต์สะกดก่อนที่จะเริ่มอ่อนล้าเรื่อยๆจนแทบไม่มีแรงที่จะต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ข้างหน้าของเขาเคออสคิดว่าสงสัยร่างกายของเขาคงจะไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันเลยทำให้กล้ามเนื้อหลายส่วนนั้นเริ่มอ่อนล้าจนไม่มีแรง แต่นั้นคงไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งจะนอนพักมาก่อนหน้านั้นแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายของเขาจะไม่ตอบสนองตามที่ตัวเขาต้องการ
แต่ดูเหมือนเขาคงต้องคิดใหม่เพราะพลังของเขากับแมนทัส กลับต่างชั้นกันอย่างน่าใจหาย
“จะรีบตายไปไหนล่ะฉันยังไม่ทันได้พูดจบเลยนะ รู้ไหมมันเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมากเลย ที่แกทำแบบนี้”
ในขณะนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ทหารรักษาความปลอดภัยสองคนเดินเข้ามาและได้เห็นทีท่าว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับหัวหน้าตัวเอง เลยตั้งท่าจะพร้อมลงมือแต่ทว่ากลับต้องหยุดชะงักลงเพราะคำสั่งของแมนทัส
“ดูเหมือนแกคงต้องพักสักหน่อยนะ เคท-สึ-คุง”
โดยทุกคนไม่ทันได้คาดคิดแมนทัสชักปืนแมกนั่มออกมาจากในเสื้อ ซึ่งมันยาวกว่าปืนแมกนั่มปกติ 2 เท่า มีลายสลักเส้นสีน้ำเงินประกายแสงบนตัวปืนซึ่งทำจากเหล็กคุณภาพดีสีดำเงางามเหมือนใหม่ภายนอกนั้นถูกตกแต่งมาทำให้ดูเหมือนกับปืนเลเซอร์ ดูแล้วถือว่าเป็นปืนแฮนด์เมดที่ตกแต่งได้สวยในระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้
ชายในชุดนักธุรกิจสีน้ำเงินมองเป้าหมายที่อยู่ข้างหน้าแล้วลั่นไกปืนใส่เคออสไปหนึ่งนัด แท่งเหล็กหนาหนึ่งเซนติเมตร ยาวสามสิบเซนติเมตรที่พุ่งออกมาจากปืนแมกนั่มแทงไปที่หน้าอกซ้ายของเคออส ก่อนจะตามมาด้วยบริเวณเอวด้านซ้าย และเข้ากลางศีรษะจนล้มลงไปนอนหงายด้วยสภาพที่น่าอนาถ โดยที่นัยน์ตายังคงเบิกโพลงอยู่
ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จเขาสามารถฆ่าคนที่เขาตามหาอยู่เกือบ 6 เดือนหลังจากหลบหนีจากองค์กรความคิดนี้เข้ามาในหัวของแมนทัสครั้งแรก แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เขารู้อยู่แล้วว่าแบบนี้มันง่ายไปที่เขาจะจัดการจึงเลยได้สั่งให้การ์ดสองคนที่ยืนอ่ำอึ้งอยู่รีบไปตรวจเช็คสภาพศพเขาเมื่อมั่นใจแล้วค่อยให้ลากศพไปที่ห้องเก็บศพชั้นใต้ดิน เป็นที่ๆพวกเพื่อนของเขาถูกขังไว้อยู่
“หัวใจหยุดเต้น ชีพจรหยุดเดิน ดูจากสภาพแล้วน่าจะเข้าไปที่จุดตายทั้งสองข้างครับโอกาสที่จะฟื้นตัวเร็วคาดว่ามีอยู่น้อยมาก สรุปว่าเขาตายสนิท” การ์ดคนหนึ่ง หันไปยืนยันสภาพศพก่อนที่อีกคนจะเริ่มยกศพขึ้นมา
“อืม…สภาพแบบนั้นคงทำอะไรไม่ได้มากหรอกถึงจะไม่ใช่ร่างปลอมที่สร้างมาจากพลังจิตของเจ้านั่นยังไงก็ไม่มีทางที่เขาจะฟื้นขึ้นมาฆ่าพวกเราได้อีกแล้ว”
“ท่านแน่ใจเหรอครับว่าเขาตายจริง?”การ์ด ถามด้วยความสงสัย แม้ว่าเขาจะไม่ไว้ใจคำพูดของแมนทัสมากนัก
“แน่สิ ต่อให้เขาจะมีแรงลุกมาแค่ไหนถ้าโดนเหล็กขนาดนั้นเสียบเอา มันก็ตายหมดนั่นล่ะ มีอะไรสงสัยอีกไหม”
ศพของเคออสถูกลากออกไปจากห้องเหลือเพียงแค่รอยเลือดที่ทิ้งเอาไว้บนพื้นแมนทัสมองรอยเลือดอยู่สักพักก่อนจะเดินไปนั่งสังเกตการณ์ต่อไปโดยไม่ได้สนใจรอยเลือดบนพื้นนั้นแม้แต่น้อย
ในขณะที่หน่วยรักษาความปลอดภัยกว่า30 คน ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองไปตามปกติ จะมีอยู่เพียงแค่บางคนที่เหลือบไปมองสภาพของศพที่ถูกเหล็กแหลมแทงไปที่จุดสำคัญหลายแห่งบนตัวเคออสด้วยสายตาเหมือนกับว่าได้ชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
จอห์นนี่ และฮารุกะ อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้หลังจากที่แยกทางกับเคออสฮารุกะรู้ว่าการที่เธอเข้ามาพัวพันกับเคออสมักจะนำพาเรื่องเลวร้ายต่างๆ เข้ามาเสมอรวมทั้งครั้งนี้ด้วยเช่นกัน แต่ถึงยังไงเธอเองก็ยังรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ในตอนนี้สิ่งที่เธอคิดได้มีสองอย่าง หาทางออกจากที่นี่ หรือหยุดยั้งโปรเจคนรกของแมนทัส ซึ่งเธอเองก็เลือกที่จะเสี่ยงมากกว่าที่จะหนีแม้ว่าในตอนนี้เคออสจะไม่อยู่แล้วเช่นกัน
ห้องขังสภาพเหมือนสมัยยุคกลางในชั้นใต้ดินถูกออกแบบมาอย่างดีเพื่อให้สามารถกักขังพวกหนูทดลองให้ไม่สามารถออกไปเผชิญโลกภายนอกได้แสงไฟสีเขียวที่ติดอยู่บนผนังส่องลงมาให้ทั่วถึงกันทุกๆ ห้อง นักโทษ(หรือหนูทดลอง) ทุกคนจะถูกขังอยู่ที่นี่รวมกันเป็นห้อง ห้องละ 5 หรือ6 คน ขึ้นไป ซ้ายขวาสลับกันทางเดินที่แยกไปเป็นสี่ทิศทาง ยาวไปจนสุดกับห้องๆหนึ่ง ในทิศตะวันออกซึ่งน่าจะเป็นห้องสำหรับทิ้งศพพวกหนูทดลอง
นักโทษแต่ละคนที่อยู่ในห้องส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ใหญ่ เด็ก หญิงพรหมจรรย์ และอีกหลายๆ คน ทุกคนล้วนแต่งกายที่เข้ากับสภาพอากาศที่ร้อนระอุในทะเลทรายคงจะเป็นคนจากหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ต่างคนในห้องขังต่างสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าช่วยคุ้มครองจนถึงสาปแช่งพวกยามที่อยู่ในนี้ด้วยถ้อยคำที่หยาบคายอีกส่วนหนึ่งนั่งร้องไห้กับการสูญเสียคนในครอบครัว นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสลดใจสำหรับจอหน์นี่และ ฮารุกะ ทุกครั้งที่พวกเขาเดินผ่านคนพวกนั้น
“เฮ้! ตื่นได้แล้ว!เพื่อนเราไม่มีเวลามากนะ!” ฮารุกะรีบปลุกจอห์นนี่หลังจากที่เธอเข้ามาในห้องขังเป็นคนแรก หลังจากตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ
“อ…อืม…ที่นี่ที่ไหนน่ะ” จอห์นนี่ ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าที่รู้สึกเหมือนโดนทำให้สลบเขาเริ่มครางเบาๆ ลุกขึ้นมาถามฮารุกะ เพราะหลังจากที่เขากับเธอลงมาที่นี้ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดสาวออฟฟิศ เข้ามาใกล้ๆเขาแล้วฉีดยาอะไรบางอย่างเข้าไปที่ซอกคอของเขา
“ตอนนี้เรากำลังถูกพวกนั้นพาตัวมาที่ห้องขังใต้ดินนี่น่ะนายถูก ‘เลขานุการ’ ขององค์กรฉีดยาอะไรบางอย่างเข้าไปแล้วนายก็กำลังจะตายอีก 5 ชั่วโมง”
“ตายอีก 5 ชั่วโมงงั้นหรือ!” จอห์นนี่ โพล่งด้วยความตกใจกลัวแต่เมื่อเขาหันไปมองทหารรักษาความปลอดภัยที่หันหน้ามาหาเขาก็ทำให้เขานิ่งเงียบทันที
“ใจเย็นๆ ก่อนสิฉันยังไม่ได้บอกว่ามียาแก้นะ พูดตามตรงตั้งแต่ฉันเพิ่งเข้ามาอยู่ในองค์กรได้ไม่นานฉันไม่เคยจำชื่อยาที่ก่อให้เกิดพิษในร่างกายได้หมดเลยสักครั้งยกเว้นไอ้ยานั่นที่นายโดนเข้าไป มันเป็นยาประเภทหลอนประสาท ซึ่งจะออกฤทธิ์เป็นเวลา5 ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้นเมื่อยาหมดฤทธิ์ นายก็จะตาย หัวใจหยุดเต้นประสาททั้งหมดจะถูกตัดออก”
“อาจจะฟังดูแล้วน่าขนลุกนะแต่จริงๆ แล้วมันก็ดีเหมือนกัน”
ฮารุกะปลอบใจเพื่อนร่วมทีมของตนเอง ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเห็นได้ชัดเลยว่าทันทีที่จอห์นนี่ได้ยินผลของยาที่ถูกฉีดไปเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้สึกกลัวอยู่สักพัก แล้วถอนหายใจโล่งอกเป็นพักใหญ่
“ดี? ดียังไง?เธอกำลังบอกว่ายาที่ฉันโดนไปมีผลทำให้มันเปลี่ยนเซลล์ในร่างกายงั้นเหรอ?”
จอห์นนี่ประชดประชันฮารุกะด้วยสีหน้าที่ไม่เชื่อใจ
“ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้โหดกว่าที่ฉันคิดไว้นะเพราะเท่าที่ฉันทำงานให้กับองค์กรนี้ฉันยังไม่เคยเห็นพวกเขาถือปืนไล่ฆ่าคนมาก่อนเลยสักครั้งแถมบรรยากาศภายในองค์กร มันก็…รู้สึกอบอุ่น…แบบ…บอกไม่ถูกน่ะ ไม่รู้สิ ฉันคิดว่าพวกเขาไม่ได้มีแต่ทหารหน้าโหดๆน่ะ”
บรรยากาศความทุกข์ทรมานภายในรอบๆห้องขังยังคงดำเนินต่อไป ตอนนี้พวกเขาคงมีเวลาพูดคุยสนทนาเรื่องต่างๆ กันสักพักฮารุกะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้จอห์นนี่ฟังเบาๆ ก่อนจะเผลอแอบหอมแก้มเขาจนหน้าแดงแจ๋หยอกล้อกันในหมู่วัยรุ่นทั่วไปทหารรักษาความปลอดภัยเหลือบมองพวกเขาแล้วเดินตรวจตราต่อไปโดยไม่มีท่าทีรู้สึกเอะใจว่าพวกเขาทั้งสองจะทำอะไรกัน
“ฮ…เฮ้…นี่เธอจะเผลอหอมแก้มฉันไปถึงเมื่อไหร่กันเนี่ย” จอห์นนี่เอ่ยขึ้นมาพลางนึกได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาทำแบบนี้
“ก็นะ…ฉันแค่อยากทดสอบว่านายจะมีปฏิกิริยาอะไรกับรอยจูบของฉันมั้ย?”
“ปฏิกิริยา?”
“ใช่” ฮารุกะ พูดพร้อมรอยยิ้ม “รู้มั้ยว่านักลอบสังหารหญิงในองค์กรนี่น่ะทุกคนล้วนผ่านเรื่องนี้มาหมดไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงตัวเป้าหมายโดยใช้วิธีเค้นข้อมูลการเย้ายวนอีกฝ่ายด้วยเรือนร่างหรือจนไปถึงล่อลวงไปทำเรื่องอย่างว่าเพื่อขโมยข้อมูลอีกฝ่ายด้วยนะอย่าเข้าใจผิดล่ะว่านักลอบสังหารหญิงที่นี่เป็นพวกแบบที่นายคิด พวกเราน่ะถูกฝึกมาอย่างดีเพื่อล้วงข้อมูลของอีกฝ่ายมาโดยใช้วิธีการที่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึงกันแต่ไม่ต้องห่วงหรอกนักลอบสังหารหญิงของที่นี่ ป้องกันทุกคน เพราะฉะนั้นถ้านายสนใจอยากจะลองดูก็บอกฉันได้นะ”
เมื่อได้ยินที่ฮารุกะพูดแล้วจอห์นนี่ก็อำอึ้งเหมือนเขาแทบไม่เชื่อเลยว่ามันจะมากขนาดนี้คำพูดของฮารุกะวนไปในห้วงความคิดของเขาทันทีเมื่อพูดจบเขามองฮารุกะเหมือนถามเธอว่า ‘ไม่รู้สึกอายบ้างเลยเหรอที่พูดแบบนั้น’ ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกอายแต่อย่างใดแม้แต่น้อยเรื่องแบบนี้เหมือนเป็นเรื่องทั่วๆ ไปในองค์กร จะติดสักหน่อยตรงที่ว่าทุกคนจะไม่สามารถแต่งงานหรือมีลูกกันได้ก็เท่านั้นซึ่งฮารุกะก็ได้บอกว่าเธอไม่เคยทำเรื่องอย่างว่าแบบนั้นมาก่อนการที่เธอพูดกับเขาเมื่อตอนนั้นอาจจะเพราะว่าต้องการลองใจจอห์นนี่เท่านั้นว่าเขาจะทำอย่างที่เธอพูดรึเปล่า
ซึ่งแน่นอน…เขาไม่ทำเรื่องอย่างว่าโดยที่ปราศจากความรักแน่ๆ
“เอาล่ะ! เข้าเรื่องกันดีกว่า”ฮารุกะ ขยับเข้ามาใกล้ๆ แล้วบอกให้จอห์นนี่เงี่ยหูฟังเธอให้ดีๆเพราะตั้งแต่นี้ไปจะเริ่มวางแผนแหกออกจากห้องขัง
“กรงขังนี่มีไฟฟ้าแรงสูงอยู่อย่าเผลอไปแตะมันเด็ดขาดล่ะ ไม่งั้นนายได้ตายจริงแน่ ตอนนี้พวกยามข้างนอกเหมือนจะงีบหลับสักพักหนึ่งประมาณ30-45นาที เราคงต้องรีบหน่อยฉันจะไปปิดไฟฟ้าแรงสูงก่อนที่พวกทหารจะตื่นขึ้นมา นายใช้อาวุธลับของนายที่อยู่ในแขนเสื้อจัดการพวกเขาซะอย่าให้ใครเห็นเด็ดขาด”
ฮารุกะแบมือข้างซ้ายแล้วเอามือขวาทับ ชูสองนิ้วขึ้นเหมือนกับใช้วิชานินจา โชคดีที่วิชานินจาของเธอยังใช้งานได้ร่างของเธอเริ่มสลายตัวไปเป็นกลุ่มควันสีขาว ก่อนจะโผล่มาที่นอกประตูห้องขังจอห์นนี่รู้สึกพูดอะไรไม่ออกกับภาพที่เขาเห็น นี่ถ้าหากเขาไม่ได้ฝันไปทั้งพลังจิตและสิ่งเหนือธรรมชาตินั้นคือเรื่องจริงใช่มั้ย? ภาพที่เขาเห็นเขาแทบจะบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกเลยทีเดียว
ฮารุกะ รีบจัดการยามที่เดินเข้ามาเจอทันทีเธอเริ่มสับฝีเท้าไปอย่างรวดเร็วในขณะที่ยังคงไม่ลืมวิธีการวิ่งโดยให้เสียงฝีเท้าเบามากที่สุดในขณะที่ยามอีกคนที่มีรูปร่างสันทัดนั้น ตั้งท่าเตรียมป้องกันด้วยมือเปล่าเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ปืนเพราะพวกเขาแค่ได้รับคำสั่งให้เฝ้าระมัดระวัง ไม่ได้ให้ฆ่าหรือสังหาร
ฮารุกะอาศัยจังหวะนั้นเบี่ยงตัวหลบเข้าหลังอย่างรวดเร็ว จนไม่ทันได้สังเกตแล้วเตะไปที่จุดยุทธศาสตร์ ก่อนจะจบลงด้วยการใช้มือทั้งสองข้างหักคอยามนั้นล้มไปนอนกับพื้นโชคดีที่เธอรับร่างของทหารคนนั้นไว้ได้ทัน ก่อนลากเข้ามุมแล้วจัดท่าทางให้เหมือนคนที่กำลังงีบหลับอยู่ให้เนียนที่สุด
หลังจากใช้เวลาไม่นาน ไฟฟ้ากรงขังทั้งหมดก็ถูกตัดออกเสียงสับสวิตซ์ทำให้นักโทษที่กำลังจะเผลอหลับไปตื่นขึ้นมาด้วยสภาพงุนงงยามคนหนึ่งเผลอสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความฝันทันที จอห์นนี่เหลือบไปมองช่องว่างของกรงเพื่อดูว่ามีใครอยู่แถวนั้นรึเปล่าก่อนที่จะเริ่มสะเดาะกุญแจประตูห้องขังต้องขอบคุณเคออสที่สอนให้เขารู้วิธีการสะเดาะกุญแจแบบทุกประเภทให้กับเขา และทุกๆอย่างที่เขาได้สอนไว้ก่อนจะเริ่มแผนการในครั้งนี้
เขาออกมาจากกรงได้แล้ว…ใช่…ในหัวของเขาพูดอย่างนั้น จอห์นนี่พยายามก้าวฝีเท้าเบาๆ แล้วหยุดเป็นระยะๆเพื่อฟังเสียงของพวกยามที่กำลังลุกลี้ลุกลนกันอยู่แล้วอาศัยจังหวะที่พวกเขาไม่ทันระวังตัวใช้อาวุธของตัวเองซึ่งเป็นโซ่ที่มีด้ามติดเป็นมีดขนาดเล็กพอที่จะใช้ต่อสู้ในระยะประชิดได้ เหวี่ยงไปที่พวกยามสองคนนั้นเข้าที่ซอกคอก่อนที่จะดึงมันกลับเข้าแขนเสื้ออีกครั้งด้วยความชำนาญราวกับรู้วิธีใช้มันเป็นอย่างดี
“อโหสิให้ผมด้วยนะ ผมไม่อยากจะทำแบบนี้”
แม้ว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมหรือเป็นบาปที่ร้ายแรงแค่ไหนแต่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้เขาเองก็ยังลังเลใจพักใหญ่ก่อนที่จะเริ่มลงมือเป็นครั้งแรกซึ่งอันที่จริงแล้วนี่น่าจะเป็นครั้งที่สองด้วยซ้ำที่เขาเผลอฆ่าคนไปด้วยอาวุธของตนซึ่งมันถูกสร้างขึ้นมาเป็นมรดกตกทอดมาจากตระ:Xลของจอห์นนี่
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ จอห์นนี่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับอาวุธของเขาให้เพื่อนของเขาฟัง
“อาวุธนี้น่ะตามจริงแล้วฉันได้มาจากตระ:Xลของฉันเองแหละตระ:Xลของฉันเคยเป็นนักลอบสังหารมาตั้งแต่สมัยร้อยปีนู้น ก่อนที่ฉันเกิดซะอีกพวกเขาบอกว่าอาวุธชิ้นนี้ปัจจุบันนับว่ามันแทบจะหาได้ยากแล้วเพราะกลไกการทำงานของมันซับซ้อนเอามากๆ พวกเขาเรียกมันว่า ‘เชน ออฟ สปีริท (Chains of Spirit)’ เพราะว่าเคยมีตำนานเล่ากันว่าโซ่นี้เคยใช้ปราบพวกภูตผีวิญญาณร้ายซึ่งฉันคิดว่ามันน่าจะหมายถึงใช้สำหรับปลิดชีพพวกคนชั่วหรืออะไรประมาณนั้นน่ะ เฮ้อ…แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี…ว่าทำไมฉันถึงต้องใช้ไอ้นี้ด้วยก็ไม่รู้”เขาถอนหายใจพักใหญ่ แล้วมองโซ่ที่อยู่บนมือ
“ตระ:Xลของฉันตั้งแต่ที่ฉันเกิดมาฉันขอสารภาพตามตรงเลยนะว่า ก่อนที่ฉันจะมาเป็นดีเจฉันเองก็เคยผ่านประสบการณ์เรื่องนักลอบสังหารนี่มาพอสมควรเลยล่ะแต่ฉันไม่เคยเอาไปใช้ฆ่าใครอย่างที่พวกนายคิดนะ ตอนห้าขวบฉันเรียนอยู่กับบาทหลวงในโบสถ์แห่งหนึ่งที่ประเทศอังกฤษพ่อของฉันเป็นชาวอเมริกัน แม่ของฉันเป็นชาวอังกฤษพ่อกับแม่ของฉันเพิ่งมารู้ตัวกันทีหลังว่าพวกเขาอยู่ในตระ:Xลเดียวกันแม่ของฉันเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้พ่อเขารับรู้แต่ยังไงฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะรู้เองนั่นละ”
“สรุปว่านายมาจากประเทศอังกฤษแต่ทำไมถึงต้องย้ายมาเรียนมัธยมปลายที่ประเทศญี่ปุ่น ในเมื่อที่อังกฤษก็มีโรงเรียนสอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”เคออส ไต่ไปทีละคำถาม และแสดงความคิดเห็น
“ก็เพราะมันมีอยู่แล้วน่ะสินายน่าจะรู้นะพวก…ว่าที่โรงเรียนมีการแลกเปลี่ยนนักเรียนกันน่ะโดยพวกเขาจะให้เวลาหนึ่งปีแล้วหลังจากนั้นฉันก็จะต้องกลับไปเรียนที่อังกฤษใหม่แต่เอาเข้าจริงๆแล้วฉันคงต้องใช้เวลาเรียนต่อที่นี่อีกหนึ่งปีแล้วไปต่อที่อเมริกาเพื่อที่จะไปทำรายการวิทยุแบบจริงๆจังๆ น่ะ ดูเหมือนคนที่นี่พวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจภาษาแล้วก็เพลงของฉันเท่าไหร่อีกอย่างหนึ่งคือ ฉันพูดญี่ปุ่นได้แค่บางคำเท่านั้นแหละตอนแรกฉันรู้สึกฉันคิดผิดที่เข้ามาเรียนที่นี่ แต่พอนายเข้ามาแล้ว…มันทำให้ฉันรู้สึกสบายใจมากๆ เลยล่ะ!”
จอห์นนี่ยังคงคิดถึงเรื่องที่เขากับเคออสพูดคุยกันก่อนจะนั่งเครื่องบินไป พวกเขามีเวลาเพียงแค่สองวันก่อนเตรียมการและแน่นอนว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้จอห์นนี่จำมันได้ขึ้นใจต่างจากช่วงที่พวกเขานั่งเครื่องบินไปกันตลอดที่ผ่านมาเขากับเคออสร่วมทุกข์ร่วมโศก และผจญภัยอันตรายมาสามครั้งสามครั้งนั้นทำให้ชีวิตของเขาดูวุ่นวายขึ้นมาทันที งานสัมภาษณ์และงานจัดรายการวิทยุทั้งหมดถูกเลื่อนออกไปแบบไม่ต้องสงสัยแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เขาได้รับบทเรียนอย่างใดอย่างหนึ่งที่เขาสมควรจะได้รับ
เพราะโลกก็ไม่ได้สว่างมากจนแสบตาและก็ไม่ได้มืดจนมองไม่เห็น…
(จบ Chapter 11First Blood)
“ไม่ๆๆๆ อ้าก!!!”ร่างของชายแก่ไม่ทราบชื่อกรีดร้องออกมาหลังจากถูกนำไปทดลองวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีการสุดโฉดบางอย่างของเหล่านักวิทยาศาสตร์สติฟั่นเฟืองขององค์กรS.I.C ซึ่งร่างดังกล่าวจะถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคที่เรียกว่า“D.A.R.T”
กลุ่มวัยรุ่นทั้ง3 ถูกจับตัวและพามายังแล็ปลับของ S.I.C ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่ใกล้ไม่ไกลหนึ่งในหัวหน้าทีมสั่งลูกทีมให้นำตัว ฮารุกะ และ จอห์นนี่ แยกไปที่ห้องขังส่วนอีกคนจะปล่อยเป็นหน้าที่ของเขาเอง โดยที่เคออสก็ไม่รู้สึกเอะใจเลยว่าทำไมถึงทำแบบนั้น
และใช่…นั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนในองค์กรต่างจับตามองเขาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจและความอำมหิต
หัวหน้าทีมผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นหน่วยสังหารจากแมนทัส ลงมือถีบคนทรยศให้ลงไปนอนบนพื้นดึงตัวเขาขึ้นมาดูสภาพ ถึงจะมองไม่เห็นหน้า แต่ก็พอเดาได้ว่าคงจะเสียโฉมไปไม่น้อย
“เราไม่ได้มาทัศน์ศึกษานะ พวก.” หัวหน้าทีม พูดกับเขา
“คิดซะว่าเป็นบทลงโทษสำหรับคนที่ทรยศให้กับองค์กรแล้วกัน”
เคออสไม่ปริปากพูดอะไรหลังจากนั้นเขากับทหารถือปืนใส่ชุดเกราะพร้อมกับตำแหน่งหัวหน้าทีมเดินคุมเขาไปทุกฝีก้าวเพื่อไม่ให้เป้าหมายหลบหนีไปได้ ซึ่งเคออสก็ไม่ได้ทำแบบนั้นเลยแม้แต่น้อยอันที่จริงก่อนเขาจะหลบหนีมาจากองค์กร เขาเองก็เคยอยู่หน่วยสังหารมาเหมือนกันแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ยศที่ถูกแต่งตั้งเท่านั้นทีมของเคออสถูกสั่งเก็บไปทีละคนจนเหลือเขาคนเดียวที่ต้องทำหน้าที่ต่อไปโดยปราศจากลูกทีม
และสุดท้าย สิ่งที่เขาได้ทำหลังจากนั้นก็คือโศกนาฏกรรมที่ฝากรอยแผลเก่าให้เจ็บใจเล่นๆ ก่อนจะหลบหนีออกมาแต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักของเขาอยู่ดี
ทั้งสองหยุดอยู่ที่ประตูขนาดใหญ่รูปร่างเหมือนถอดแบบมาจากโลกอนาคตประตูถูกเปิดออกและเผยให้เห็นเหล่านักวิทยาศาสตร์ (และนักวิจัย) ทั้งหมดล้วนกำลังทำการวิเคราะห์ทดลอง บันทึกสังเกตการณ์ และอีกหลายๆ อย่างที่พอเดาได้ ตู้แคปซูลแก้วทดลองขนาดใหญ่ข้างในบรรจุของเหลวคล้ายเลือดพร้อมกับร่างคนใส่ชุดคล้ายกับเสื้อเกราะประจำองค์กรหากสังเกตให้ดีๆ จะมีตัวอักษรสลักอยู่บนเสื้อตัวนั้นด้วย
“ส่งเด็กนั้นไปให้ “เลขานุการ’จับตาดูให้ดีๆ ด้วยล่ะ ถ้าพวกมันขัดขืนสั่งเก็บได้ทันที”
เขาเริ่มกำชับพวกลูกทีมผ่านทางวิทยุสื่อสารก่อนจะได้รับการตอบกลับมาว่า “รับทราบครับ หัวหน้า”
“อย่าเพิ่งได้ใจไปนักเด็กน้อย ที่นี่ดูผิวเผินอาจจะคิดว่าระบบรักษาความปลอดภัยต่ำกว่าที่แกคิด แต่จริงๆแล้วมันชั้นสูงพอๆ กับฐานหลัก ตั้งแต่ป้อมปืนกลอัตโนมัติ ยันทหารดัดแปลงและอีกหลายๆ คนที่เหมือนกับแก คงจะรู้นะว่าหมายถึงอะไร” หัวหน้าทีมบอกเขาเป็นนัยๆ เหมือนกับต้องการให้เคออสรู้ว่า หนีไปก็ไร้หนทาง ไร้ประโยชน์
แม้ว่าระยะทางจากที่มาจะไกลอยู่แล้วแต่ที่นี่คงไม่ต่างอะไรจากเรือนจำดีๆ นี่เองแล็ปทดลองถูกตั้งอยู่ที่จุดห่างไกลจากหมู่บ้านร้างไปหลายกิโลเมตรหากนับเส้นทางที่เดินทางมาทั้งหมด คงใช้เวลากว่า 3 วันกว่าจะมาถึงหรือมากกว่านั้นที่นี่ไม่มีพวกนักธุรกิจ มาเฟีย นักค้ายาเสพติด ไม่มีใครสักคนที่มาจากในเมืองเคออสหันไปมองบรรยากาศรอบๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่ แต่ผลที่ได้ก็เสี่ยงเกินไปที่นี่มีกล้องวงจรปิดและป้อมปืนกลอัตโนมัติที่จับการเคลื่อนไหวในกรณีที่มีการแหกคุกออกไป
เห็นทีงานนี้เขาคงจะเพิ่งตัวเองไม่ได้แล้ว
‘เขา” ยังอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”เคออส หันไปถามในขณะกำลังเดินไปทางตามที่หัวหน้าทีมชี้ทางไป
“ใช่ เขายังอยู่และรออยู่ข้างบนนั้นมันคงจะน่าทึ่งขนาดไหน ที่ฉันจะได้รับคำชมจากผู้บัญชาการองค์กรของตัวเองที่นอกจากหน้าตาหล่อเหลาแล้ว ยังมีบุคลิกที่ผู้ชายบนโลกไม่มีด้วยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงติดอันดับ 10 หัวหน้าองค์กรที่ไฟแรงที่สุดในกลุ่มผู้ก่อการร้าย”หัวหน้าทีมที่คุมตัวเขาอยู่ พลางอวดเรื่องต่างๆ นาๆ ให้กับเคออสฟังเหมือนเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มที่สุดภายในองค์กรเลยก็ว่าได้
แต่สำหรับเคออสนั้นเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากพูดถึงมันเลยด้วยซ้ำ
“คงคลั่งเจ้านั่นมากเลยสิ”
“ก็ไม่เชิง…ถึงจะโรคจิตไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็น่าสนใจดีนะ”
ในที่สุดทั้งสองก็หยุดอยู่ตรงที่หน้าประตูลิฟต์ความเร็วสูง20 ชั้น ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการขึ้นไปชั้นบนสุดดูเหมือนว่าลิฟต์นี้จะสามารถมองเห็นได้ทั้งด้านนอกและด้านในแถมยังมีกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้เพื่อความปลอดภัยกับนักวิทยาศาสตร์ที่เข้ามาใช้งาน
และในที่สุดช่วงเวลาที่เคออสต้องการก็กลับมาอีกครั้ง
ลิฟต์หยุดตรงมาชั้นที่ 19 หัวหน้าทีมยังคงสั่งให้เขาเดินขึ้นไปที่ชั้น20 ทางบันได ส่วนตัวเขานั้นจะขอแยกตัวไปหลังจากนั้นซึ่งเคออสก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดเขายังคงเดินขึ้นไปที่ชั้นบนสุดโดยไม่แสดงทีท่าผิดปกติไปสักเท่าไหร่
จนกระทั่งบรรยากาศที่อึมครึมก็มาถึง…
เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงด้วยหน่วยรักษาความปลอดภัยกว่า30 นาย ที่อยู่ในชั้นบนสุด ต่างหันมามองเคออสเป็นตาเดียว เคออสค่อยๆเดินไปด้วยความเร็วปกติไปที่ประตูทางด้านซ้าย หน่วยรักษาความปลอดภัยประจำองค์กรทุกคนล้วนฝึกมาดีกว่าเคออสหลายเท่าตัว แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะจัดการได้จนหมดอาวุธต่างๆ นาๆ ที่อยู่ในมือล้วนเป้นตัวบ่งบอกได้ว่า มันไม่ง่ายนักที่จะจัดการ
“เยี่ยมไปเลยแหะนี่ฉันแทบไม่เชื่อเลยนะว่านายจะสามารถผ่านคนของฉันได้เลยไม่กลัวเนี่ย”
ชายในชุดนักธุรกิจสีดำเอ่ยขึ้นทันทีหลังจากที่เคออสเดินเข้ามา ใบหน้าที่หล่อเหลากับบุคลิกที่ถอดแบบมาจากในหนังพร้อมกับท่านั่งที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้แม้แค่นายกรัฐมนตรียังต้องยอมรับ เคออสมองชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเย็นชาภายใต้หน้ากากแก๊สที่ซ่อนอารมณ์ตัวเขาไว้
“แกมาสายนะ ช้าไปตั้ง 5 นาทีแน่ะ ถ้ามาเร็วกว่านี้ฉันคิดว่าพวกเราสองคงมาทานอาหารทันแน่ๆ เลย”
แมนทัสแสร้งทำหน้ารู้สึกผิดหวัง ก่อนจะเริ่มเบื่อหน่ายกับการที่ต้องรอใครนานๆ
“มันช่วยไม่ได้…ก็ถ้าหากแกไม่บอกที่อยู่มาให้ฉันตั้งแต่แรกฉันคงจะมานั่งกินข้าวกับแกตั้งนานแล้ว”
“ปากดีเหลือเกินนะเคทสึคุง…ถ้าไม่ติดเรื่องอายุป่านนี้ฉันคงจะเชือดนายทิ้งไปแล้วด้วยซ้ำ”
แมนทัส สูงกว่าเขายี่สิบเซนติเมตรผมสีดำ ดวงตาสีดำสนิท เขาผูกเนคไทด้วยสีที่เข้ากับชุดสูทสีน้ำเงินเข้มอายุของเขาเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายที่กำลังเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยต่างจากเคออสที่ตอนนี้เขาเป็นได้เพียงแค่วัยรุ่นตอนต้นเหมือนกับเพื่อนๆของพวกเขาเท่านั้น
“อันที่จริงแล้วฉันเองก็อยากจะปล่อยตัวเพื่อนของนายไปได้ล่ะนะถ้าไม่ติดว่าฉันต้องการของอย่างใดอย่างหนึ่งซะก่อน…”
“อะไร?” เคออส ถามคลายข้อสงสัย
“หนูทดลองยังไงล่ะ เจ้าหนู” แมนทัส ทำตาปริบๆ ด้วยรอยยิ้มไปหา เคออส
“การที่โปรเจคจะดำเนินหน้าต่อไปได้ต้องอาศัยพลังงานจากสสารมืดเพียงแค่นิดเดียวก็สามารถสร้างทหารที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้ตั้งร้อยกว่าคนเชียวนะแต่เพราะว่าพลังงานที่ถ่ายเข้าไปในตัวทหารนั้นกลับรุนแรงกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ทันทีที่เข้าไปร่างกายพวกเขาก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆฉันก็เลยต้องย้ายการทดลองมาที่นี่ เพื่อไม่ให้คนของฉันสติแตกตายไปซะก่อน”
“ลองคิดเล่นๆดูสิว่าฉันถ่ายพลังงานอะไรไปให้พวกนั้น”
“พลังงานจากธาตุกัมมันตรังสี” เคออส ตอบกลับไปแบบส่งๆ
“ใช่…นายก็น่าจะรู้นะว่าธาตุกัมมันตรังสีที่หลงเหลืออยู่ในโลก ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่มันจะสลายออกไปซึ่งฉันไม่ต้องการที่จะให้มันเป็นแบบนั้น”
แมนทัสลุกขึ้นจากเก้าอี้ บิดกล้ามเนื้อเพื่อคลายความเมื่อยล้า ก่อนจะเดินมาสังเกตการณ์ทดลองที่อยู่ลงไปจากจุดที่เขายืนอยู่ข้างนอกกระจกใสจนดูเหมือนไม่ได้ติดกระจกไว้เลย เป็นห้องทรงวงรีสีขาวตรงกลางห้องมีเครื่องจักรแปลกประหลาดตั้งอยู่เครื่องหนึ่ง กับแขนกลที่ยื่นออกมาทั้งซ้ายและขวาพร้อมกับมือจักรกลทั้งสองข้างที่ชโลมไปด้วยเลือดของหนูทดลองที่ตกเป็นเหยื่อ
ชายวัยกลางคนที่ตกเป็นหนูทดลองถูกพาตัวเข้ามาภายในห้องที่เหมือนกับแดนประหาร เหล่าทหารยามประจำองค์กรตรึงตัวเขาบนเครื่องจักรแล้วเริ่มกดปุ่มทำงาน
“อย่าได้โปรด! ฉันยอมทำตามที่แกบอกก็ได้แต่แกต้องปล่อยภรรยาและลูกของฉัน”
“มันสายไปแล้ว…คุณคิดว่าพวกเราจะปล่อยคุณไปหลังจากเสร็จงานเหรอ?” ทหารคนหนึ่งกล่าวน้ำเสียงเย็นยะเยือก แล้วถอยออกมาจากเครื่องจักร ในขณะที่แขนกลทั้งสองข้างเริ่มทำงาน
“ไม่ๆๆๆ ฉ…ฉ..ฉัน…ยัง..ไม่..อ..อ.อยาก”
ทันทีที่มือกลทั้งสองข้างจับไปที่บริเวณหน้าผากจนชายวัยกลางคนเริ่มขยับตัวไม่ได้ เหมือนว่าสมองของเขากำลังถูกบีบให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆและทันใดนั้นเอง
“อ้ากกกกกกก!!!”
เสียงกรีดร้องที่ดังไปทั่วทั้งห้องจนเกือบถึงบริเวณที่พวกนักวิทยาศาสตร์อยู่ภาพอันน่าสยดสยองและขนลุกพองอยู่ต่อหน้าเคออสและแมนทัสพวกเขาเห็นทุกการกระทำของเครื่องจักรนั้น เลือดจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด:Xไปทั่วทั้งห้องจากการแรงดึงของเครื่องจักร สมองของชายวัยกลางคนถูกดึงออกจนเห็นเส้นประสาทที่อยู่ข้างในนั้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นยังไงล่ะ! เคออส…เครื่องเล่นชิ้นใหม่ของฉันที่ฉันคิดค้นขึ้นมาเพื่อฆ่าเวลาในระหว่างที่รอนายมันเจ๋งใช่มั้ย?” แมนทัสยิ้มแสยะด้วยใบหน้าที่รู้สึกปลาบปลื้มกับการกระทำเหล่านั้น นัยน์ตาเบิกโพลงเหมือนกับพวกโรคจิตที่เพิ่งจะได้ฆ่าคนไปหมาดๆ
เคออสพุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อของแมนทัสขึ้นมาทันทีด้วยความโกรธแค้นนัยน์ตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากบ่งบอกอารมณ์เขาในตอนนี้ได้ว่าเขารู้สึกโกรธ แต่ทว่า…
ร่างกายของเขากลับหยุดนิ่งเหมือนถูกมนต์สะกดก่อนที่จะเริ่มอ่อนล้าเรื่อยๆจนแทบไม่มีแรงที่จะต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ข้างหน้าของเขาเคออสคิดว่าสงสัยร่างกายของเขาคงจะไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันเลยทำให้กล้ามเนื้อหลายส่วนนั้นเริ่มอ่อนล้าจนไม่มีแรง แต่นั้นคงไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งจะนอนพักมาก่อนหน้านั้นแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายของเขาจะไม่ตอบสนองตามที่ตัวเขาต้องการ
แต่ดูเหมือนเขาคงต้องคิดใหม่เพราะพลังของเขากับแมนทัส กลับต่างชั้นกันอย่างน่าใจหาย
“จะรีบตายไปไหนล่ะฉันยังไม่ทันได้พูดจบเลยนะ รู้ไหมมันเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมากเลย ที่แกทำแบบนี้”
ในขณะนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ทหารรักษาความปลอดภัยสองคนเดินเข้ามาและได้เห็นทีท่าว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับหัวหน้าตัวเอง เลยตั้งท่าจะพร้อมลงมือแต่ทว่ากลับต้องหยุดชะงักลงเพราะคำสั่งของแมนทัส
“ดูเหมือนแกคงต้องพักสักหน่อยนะ เคท-สึ-คุง”
โดยทุกคนไม่ทันได้คาดคิดแมนทัสชักปืนแมกนั่มออกมาจากในเสื้อ ซึ่งมันยาวกว่าปืนแมกนั่มปกติ 2 เท่า มีลายสลักเส้นสีน้ำเงินประกายแสงบนตัวปืนซึ่งทำจากเหล็กคุณภาพดีสีดำเงางามเหมือนใหม่ภายนอกนั้นถูกตกแต่งมาทำให้ดูเหมือนกับปืนเลเซอร์ ดูแล้วถือว่าเป็นปืนแฮนด์เมดที่ตกแต่งได้สวยในระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้
ชายในชุดนักธุรกิจสีน้ำเงินมองเป้าหมายที่อยู่ข้างหน้าแล้วลั่นไกปืนใส่เคออสไปหนึ่งนัด แท่งเหล็กหนาหนึ่งเซนติเมตร ยาวสามสิบเซนติเมตรที่พุ่งออกมาจากปืนแมกนั่มแทงไปที่หน้าอกซ้ายของเคออส ก่อนจะตามมาด้วยบริเวณเอวด้านซ้าย และเข้ากลางศีรษะจนล้มลงไปนอนหงายด้วยสภาพที่น่าอนาถ โดยที่นัยน์ตายังคงเบิกโพลงอยู่
ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จเขาสามารถฆ่าคนที่เขาตามหาอยู่เกือบ 6 เดือนหลังจากหลบหนีจากองค์กรความคิดนี้เข้ามาในหัวของแมนทัสครั้งแรก แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เขารู้อยู่แล้วว่าแบบนี้มันง่ายไปที่เขาจะจัดการจึงเลยได้สั่งให้การ์ดสองคนที่ยืนอ่ำอึ้งอยู่รีบไปตรวจเช็คสภาพศพเขาเมื่อมั่นใจแล้วค่อยให้ลากศพไปที่ห้องเก็บศพชั้นใต้ดิน เป็นที่ๆพวกเพื่อนของเขาถูกขังไว้อยู่
“หัวใจหยุดเต้น ชีพจรหยุดเดิน ดูจากสภาพแล้วน่าจะเข้าไปที่จุดตายทั้งสองข้างครับโอกาสที่จะฟื้นตัวเร็วคาดว่ามีอยู่น้อยมาก สรุปว่าเขาตายสนิท” การ์ดคนหนึ่ง หันไปยืนยันสภาพศพก่อนที่อีกคนจะเริ่มยกศพขึ้นมา
“อืม…สภาพแบบนั้นคงทำอะไรไม่ได้มากหรอกถึงจะไม่ใช่ร่างปลอมที่สร้างมาจากพลังจิตของเจ้านั่นยังไงก็ไม่มีทางที่เขาจะฟื้นขึ้นมาฆ่าพวกเราได้อีกแล้ว”
“ท่านแน่ใจเหรอครับว่าเขาตายจริง?”การ์ด ถามด้วยความสงสัย แม้ว่าเขาจะไม่ไว้ใจคำพูดของแมนทัสมากนัก
“แน่สิ ต่อให้เขาจะมีแรงลุกมาแค่ไหนถ้าโดนเหล็กขนาดนั้นเสียบเอา มันก็ตายหมดนั่นล่ะ มีอะไรสงสัยอีกไหม”
ศพของเคออสถูกลากออกไปจากห้องเหลือเพียงแค่รอยเลือดที่ทิ้งเอาไว้บนพื้นแมนทัสมองรอยเลือดอยู่สักพักก่อนจะเดินไปนั่งสังเกตการณ์ต่อไปโดยไม่ได้สนใจรอยเลือดบนพื้นนั้นแม้แต่น้อย
ในขณะที่หน่วยรักษาความปลอดภัยกว่า30 คน ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองไปตามปกติ จะมีอยู่เพียงแค่บางคนที่เหลือบไปมองสภาพของศพที่ถูกเหล็กแหลมแทงไปที่จุดสำคัญหลายแห่งบนตัวเคออสด้วยสายตาเหมือนกับว่าได้ชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
จอห์นนี่ และฮารุกะ อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้หลังจากที่แยกทางกับเคออสฮารุกะรู้ว่าการที่เธอเข้ามาพัวพันกับเคออสมักจะนำพาเรื่องเลวร้ายต่างๆ เข้ามาเสมอรวมทั้งครั้งนี้ด้วยเช่นกัน แต่ถึงยังไงเธอเองก็ยังรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ในตอนนี้สิ่งที่เธอคิดได้มีสองอย่าง หาทางออกจากที่นี่ หรือหยุดยั้งโปรเจคนรกของแมนทัส ซึ่งเธอเองก็เลือกที่จะเสี่ยงมากกว่าที่จะหนีแม้ว่าในตอนนี้เคออสจะไม่อยู่แล้วเช่นกัน
ห้องขังสภาพเหมือนสมัยยุคกลางในชั้นใต้ดินถูกออกแบบมาอย่างดีเพื่อให้สามารถกักขังพวกหนูทดลองให้ไม่สามารถออกไปเผชิญโลกภายนอกได้แสงไฟสีเขียวที่ติดอยู่บนผนังส่องลงมาให้ทั่วถึงกันทุกๆ ห้อง นักโทษ(หรือหนูทดลอง) ทุกคนจะถูกขังอยู่ที่นี่รวมกันเป็นห้อง ห้องละ 5 หรือ6 คน ขึ้นไป ซ้ายขวาสลับกันทางเดินที่แยกไปเป็นสี่ทิศทาง ยาวไปจนสุดกับห้องๆหนึ่ง ในทิศตะวันออกซึ่งน่าจะเป็นห้องสำหรับทิ้งศพพวกหนูทดลอง
นักโทษแต่ละคนที่อยู่ในห้องส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ใหญ่ เด็ก หญิงพรหมจรรย์ และอีกหลายๆ คน ทุกคนล้วนแต่งกายที่เข้ากับสภาพอากาศที่ร้อนระอุในทะเลทรายคงจะเป็นคนจากหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ต่างคนในห้องขังต่างสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าช่วยคุ้มครองจนถึงสาปแช่งพวกยามที่อยู่ในนี้ด้วยถ้อยคำที่หยาบคายอีกส่วนหนึ่งนั่งร้องไห้กับการสูญเสียคนในครอบครัว นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสลดใจสำหรับจอหน์นี่และ ฮารุกะ ทุกครั้งที่พวกเขาเดินผ่านคนพวกนั้น
“เฮ้! ตื่นได้แล้ว!เพื่อนเราไม่มีเวลามากนะ!” ฮารุกะรีบปลุกจอห์นนี่หลังจากที่เธอเข้ามาในห้องขังเป็นคนแรก หลังจากตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ
“อ…อืม…ที่นี่ที่ไหนน่ะ” จอห์นนี่ ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าที่รู้สึกเหมือนโดนทำให้สลบเขาเริ่มครางเบาๆ ลุกขึ้นมาถามฮารุกะ เพราะหลังจากที่เขากับเธอลงมาที่นี้ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดสาวออฟฟิศ เข้ามาใกล้ๆเขาแล้วฉีดยาอะไรบางอย่างเข้าไปที่ซอกคอของเขา
“ตอนนี้เรากำลังถูกพวกนั้นพาตัวมาที่ห้องขังใต้ดินนี่น่ะนายถูก ‘เลขานุการ’ ขององค์กรฉีดยาอะไรบางอย่างเข้าไปแล้วนายก็กำลังจะตายอีก 5 ชั่วโมง”
“ตายอีก 5 ชั่วโมงงั้นหรือ!” จอห์นนี่ โพล่งด้วยความตกใจกลัวแต่เมื่อเขาหันไปมองทหารรักษาความปลอดภัยที่หันหน้ามาหาเขาก็ทำให้เขานิ่งเงียบทันที
“ใจเย็นๆ ก่อนสิฉันยังไม่ได้บอกว่ามียาแก้นะ พูดตามตรงตั้งแต่ฉันเพิ่งเข้ามาอยู่ในองค์กรได้ไม่นานฉันไม่เคยจำชื่อยาที่ก่อให้เกิดพิษในร่างกายได้หมดเลยสักครั้งยกเว้นไอ้ยานั่นที่นายโดนเข้าไป มันเป็นยาประเภทหลอนประสาท ซึ่งจะออกฤทธิ์เป็นเวลา5 ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้นเมื่อยาหมดฤทธิ์ นายก็จะตาย หัวใจหยุดเต้นประสาททั้งหมดจะถูกตัดออก”
“อาจจะฟังดูแล้วน่าขนลุกนะแต่จริงๆ แล้วมันก็ดีเหมือนกัน”
ฮารุกะปลอบใจเพื่อนร่วมทีมของตนเอง ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเห็นได้ชัดเลยว่าทันทีที่จอห์นนี่ได้ยินผลของยาที่ถูกฉีดไปเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้สึกกลัวอยู่สักพัก แล้วถอนหายใจโล่งอกเป็นพักใหญ่
“ดี? ดียังไง?เธอกำลังบอกว่ายาที่ฉันโดนไปมีผลทำให้มันเปลี่ยนเซลล์ในร่างกายงั้นเหรอ?”
จอห์นนี่ประชดประชันฮารุกะด้วยสีหน้าที่ไม่เชื่อใจ
“ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้โหดกว่าที่ฉันคิดไว้นะเพราะเท่าที่ฉันทำงานให้กับองค์กรนี้ฉันยังไม่เคยเห็นพวกเขาถือปืนไล่ฆ่าคนมาก่อนเลยสักครั้งแถมบรรยากาศภายในองค์กร มันก็…รู้สึกอบอุ่น…แบบ…บอกไม่ถูกน่ะ ไม่รู้สิ ฉันคิดว่าพวกเขาไม่ได้มีแต่ทหารหน้าโหดๆน่ะ”
บรรยากาศความทุกข์ทรมานภายในรอบๆห้องขังยังคงดำเนินต่อไป ตอนนี้พวกเขาคงมีเวลาพูดคุยสนทนาเรื่องต่างๆ กันสักพักฮารุกะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้จอห์นนี่ฟังเบาๆ ก่อนจะเผลอแอบหอมแก้มเขาจนหน้าแดงแจ๋หยอกล้อกันในหมู่วัยรุ่นทั่วไปทหารรักษาความปลอดภัยเหลือบมองพวกเขาแล้วเดินตรวจตราต่อไปโดยไม่มีท่าทีรู้สึกเอะใจว่าพวกเขาทั้งสองจะทำอะไรกัน
“ฮ…เฮ้…นี่เธอจะเผลอหอมแก้มฉันไปถึงเมื่อไหร่กันเนี่ย” จอห์นนี่เอ่ยขึ้นมาพลางนึกได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาทำแบบนี้
“ก็นะ…ฉันแค่อยากทดสอบว่านายจะมีปฏิกิริยาอะไรกับรอยจูบของฉันมั้ย?”
“ปฏิกิริยา?”
“ใช่” ฮารุกะ พูดพร้อมรอยยิ้ม “รู้มั้ยว่านักลอบสังหารหญิงในองค์กรนี่น่ะทุกคนล้วนผ่านเรื่องนี้มาหมดไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงตัวเป้าหมายโดยใช้วิธีเค้นข้อมูลการเย้ายวนอีกฝ่ายด้วยเรือนร่างหรือจนไปถึงล่อลวงไปทำเรื่องอย่างว่าเพื่อขโมยข้อมูลอีกฝ่ายด้วยนะอย่าเข้าใจผิดล่ะว่านักลอบสังหารหญิงที่นี่เป็นพวกแบบที่นายคิด พวกเราน่ะถูกฝึกมาอย่างดีเพื่อล้วงข้อมูลของอีกฝ่ายมาโดยใช้วิธีการที่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึงกันแต่ไม่ต้องห่วงหรอกนักลอบสังหารหญิงของที่นี่ ป้องกันทุกคน เพราะฉะนั้นถ้านายสนใจอยากจะลองดูก็บอกฉันได้นะ”
เมื่อได้ยินที่ฮารุกะพูดแล้วจอห์นนี่ก็อำอึ้งเหมือนเขาแทบไม่เชื่อเลยว่ามันจะมากขนาดนี้คำพูดของฮารุกะวนไปในห้วงความคิดของเขาทันทีเมื่อพูดจบเขามองฮารุกะเหมือนถามเธอว่า ‘ไม่รู้สึกอายบ้างเลยเหรอที่พูดแบบนั้น’ ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกอายแต่อย่างใดแม้แต่น้อยเรื่องแบบนี้เหมือนเป็นเรื่องทั่วๆ ไปในองค์กร จะติดสักหน่อยตรงที่ว่าทุกคนจะไม่สามารถแต่งงานหรือมีลูกกันได้ก็เท่านั้นซึ่งฮารุกะก็ได้บอกว่าเธอไม่เคยทำเรื่องอย่างว่าแบบนั้นมาก่อนการที่เธอพูดกับเขาเมื่อตอนนั้นอาจจะเพราะว่าต้องการลองใจจอห์นนี่เท่านั้นว่าเขาจะทำอย่างที่เธอพูดรึเปล่า
ซึ่งแน่นอน…เขาไม่ทำเรื่องอย่างว่าโดยที่ปราศจากความรักแน่ๆ
“เอาล่ะ! เข้าเรื่องกันดีกว่า”ฮารุกะ ขยับเข้ามาใกล้ๆ แล้วบอกให้จอห์นนี่เงี่ยหูฟังเธอให้ดีๆเพราะตั้งแต่นี้ไปจะเริ่มวางแผนแหกออกจากห้องขัง
“กรงขังนี่มีไฟฟ้าแรงสูงอยู่อย่าเผลอไปแตะมันเด็ดขาดล่ะ ไม่งั้นนายได้ตายจริงแน่ ตอนนี้พวกยามข้างนอกเหมือนจะงีบหลับสักพักหนึ่งประมาณ30-45นาที เราคงต้องรีบหน่อยฉันจะไปปิดไฟฟ้าแรงสูงก่อนที่พวกทหารจะตื่นขึ้นมา นายใช้อาวุธลับของนายที่อยู่ในแขนเสื้อจัดการพวกเขาซะอย่าให้ใครเห็นเด็ดขาด”
ฮารุกะแบมือข้างซ้ายแล้วเอามือขวาทับ ชูสองนิ้วขึ้นเหมือนกับใช้วิชานินจา โชคดีที่วิชานินจาของเธอยังใช้งานได้ร่างของเธอเริ่มสลายตัวไปเป็นกลุ่มควันสีขาว ก่อนจะโผล่มาที่นอกประตูห้องขังจอห์นนี่รู้สึกพูดอะไรไม่ออกกับภาพที่เขาเห็น นี่ถ้าหากเขาไม่ได้ฝันไปทั้งพลังจิตและสิ่งเหนือธรรมชาตินั้นคือเรื่องจริงใช่มั้ย? ภาพที่เขาเห็นเขาแทบจะบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกเลยทีเดียว
ฮารุกะ รีบจัดการยามที่เดินเข้ามาเจอทันทีเธอเริ่มสับฝีเท้าไปอย่างรวดเร็วในขณะที่ยังคงไม่ลืมวิธีการวิ่งโดยให้เสียงฝีเท้าเบามากที่สุดในขณะที่ยามอีกคนที่มีรูปร่างสันทัดนั้น ตั้งท่าเตรียมป้องกันด้วยมือเปล่าเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ปืนเพราะพวกเขาแค่ได้รับคำสั่งให้เฝ้าระมัดระวัง ไม่ได้ให้ฆ่าหรือสังหาร
ฮารุกะอาศัยจังหวะนั้นเบี่ยงตัวหลบเข้าหลังอย่างรวดเร็ว จนไม่ทันได้สังเกตแล้วเตะไปที่จุดยุทธศาสตร์ ก่อนจะจบลงด้วยการใช้มือทั้งสองข้างหักคอยามนั้นล้มไปนอนกับพื้นโชคดีที่เธอรับร่างของทหารคนนั้นไว้ได้ทัน ก่อนลากเข้ามุมแล้วจัดท่าทางให้เหมือนคนที่กำลังงีบหลับอยู่ให้เนียนที่สุด
หลังจากใช้เวลาไม่นาน ไฟฟ้ากรงขังทั้งหมดก็ถูกตัดออกเสียงสับสวิตซ์ทำให้นักโทษที่กำลังจะเผลอหลับไปตื่นขึ้นมาด้วยสภาพงุนงงยามคนหนึ่งเผลอสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความฝันทันที จอห์นนี่เหลือบไปมองช่องว่างของกรงเพื่อดูว่ามีใครอยู่แถวนั้นรึเปล่าก่อนที่จะเริ่มสะเดาะกุญแจประตูห้องขังต้องขอบคุณเคออสที่สอนให้เขารู้วิธีการสะเดาะกุญแจแบบทุกประเภทให้กับเขา และทุกๆอย่างที่เขาได้สอนไว้ก่อนจะเริ่มแผนการในครั้งนี้
เขาออกมาจากกรงได้แล้ว…ใช่…ในหัวของเขาพูดอย่างนั้น จอห์นนี่พยายามก้าวฝีเท้าเบาๆ แล้วหยุดเป็นระยะๆเพื่อฟังเสียงของพวกยามที่กำลังลุกลี้ลุกลนกันอยู่แล้วอาศัยจังหวะที่พวกเขาไม่ทันระวังตัวใช้อาวุธของตัวเองซึ่งเป็นโซ่ที่มีด้ามติดเป็นมีดขนาดเล็กพอที่จะใช้ต่อสู้ในระยะประชิดได้ เหวี่ยงไปที่พวกยามสองคนนั้นเข้าที่ซอกคอก่อนที่จะดึงมันกลับเข้าแขนเสื้ออีกครั้งด้วยความชำนาญราวกับรู้วิธีใช้มันเป็นอย่างดี
“อโหสิให้ผมด้วยนะ ผมไม่อยากจะทำแบบนี้”
แม้ว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมหรือเป็นบาปที่ร้ายแรงแค่ไหนแต่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้เขาเองก็ยังลังเลใจพักใหญ่ก่อนที่จะเริ่มลงมือเป็นครั้งแรกซึ่งอันที่จริงแล้วนี่น่าจะเป็นครั้งที่สองด้วยซ้ำที่เขาเผลอฆ่าคนไปด้วยอาวุธของตนซึ่งมันถูกสร้างขึ้นมาเป็นมรดกตกทอดมาจากตระ:Xลของจอห์นนี่
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ จอห์นนี่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับอาวุธของเขาให้เพื่อนของเขาฟัง
“อาวุธนี้น่ะตามจริงแล้วฉันได้มาจากตระ:Xลของฉันเองแหละตระ:Xลของฉันเคยเป็นนักลอบสังหารมาตั้งแต่สมัยร้อยปีนู้น ก่อนที่ฉันเกิดซะอีกพวกเขาบอกว่าอาวุธชิ้นนี้ปัจจุบันนับว่ามันแทบจะหาได้ยากแล้วเพราะกลไกการทำงานของมันซับซ้อนเอามากๆ พวกเขาเรียกมันว่า ‘เชน ออฟ สปีริท (Chains of Spirit)’ เพราะว่าเคยมีตำนานเล่ากันว่าโซ่นี้เคยใช้ปราบพวกภูตผีวิญญาณร้ายซึ่งฉันคิดว่ามันน่าจะหมายถึงใช้สำหรับปลิดชีพพวกคนชั่วหรืออะไรประมาณนั้นน่ะ เฮ้อ…แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี…ว่าทำไมฉันถึงต้องใช้ไอ้นี้ด้วยก็ไม่รู้”เขาถอนหายใจพักใหญ่ แล้วมองโซ่ที่อยู่บนมือ
“ตระ:Xลของฉันตั้งแต่ที่ฉันเกิดมาฉันขอสารภาพตามตรงเลยนะว่า ก่อนที่ฉันจะมาเป็นดีเจฉันเองก็เคยผ่านประสบการณ์เรื่องนักลอบสังหารนี่มาพอสมควรเลยล่ะแต่ฉันไม่เคยเอาไปใช้ฆ่าใครอย่างที่พวกนายคิดนะ ตอนห้าขวบฉันเรียนอยู่กับบาทหลวงในโบสถ์แห่งหนึ่งที่ประเทศอังกฤษพ่อของฉันเป็นชาวอเมริกัน แม่ของฉันเป็นชาวอังกฤษพ่อกับแม่ของฉันเพิ่งมารู้ตัวกันทีหลังว่าพวกเขาอยู่ในตระ:Xลเดียวกันแม่ของฉันเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้พ่อเขารับรู้แต่ยังไงฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะรู้เองนั่นละ”
“สรุปว่านายมาจากประเทศอังกฤษแต่ทำไมถึงต้องย้ายมาเรียนมัธยมปลายที่ประเทศญี่ปุ่น ในเมื่อที่อังกฤษก็มีโรงเรียนสอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”เคออส ไต่ไปทีละคำถาม และแสดงความคิดเห็น
“ก็เพราะมันมีอยู่แล้วน่ะสินายน่าจะรู้นะพวก…ว่าที่โรงเรียนมีการแลกเปลี่ยนนักเรียนกันน่ะโดยพวกเขาจะให้เวลาหนึ่งปีแล้วหลังจากนั้นฉันก็จะต้องกลับไปเรียนที่อังกฤษใหม่แต่เอาเข้าจริงๆแล้วฉันคงต้องใช้เวลาเรียนต่อที่นี่อีกหนึ่งปีแล้วไปต่อที่อเมริกาเพื่อที่จะไปทำรายการวิทยุแบบจริงๆจังๆ น่ะ ดูเหมือนคนที่นี่พวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจภาษาแล้วก็เพลงของฉันเท่าไหร่อีกอย่างหนึ่งคือ ฉันพูดญี่ปุ่นได้แค่บางคำเท่านั้นแหละตอนแรกฉันรู้สึกฉันคิดผิดที่เข้ามาเรียนที่นี่ แต่พอนายเข้ามาแล้ว…มันทำให้ฉันรู้สึกสบายใจมากๆ เลยล่ะ!”
จอห์นนี่ยังคงคิดถึงเรื่องที่เขากับเคออสพูดคุยกันก่อนจะนั่งเครื่องบินไป พวกเขามีเวลาเพียงแค่สองวันก่อนเตรียมการและแน่นอนว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้จอห์นนี่จำมันได้ขึ้นใจต่างจากช่วงที่พวกเขานั่งเครื่องบินไปกันตลอดที่ผ่านมาเขากับเคออสร่วมทุกข์ร่วมโศก และผจญภัยอันตรายมาสามครั้งสามครั้งนั้นทำให้ชีวิตของเขาดูวุ่นวายขึ้นมาทันที งานสัมภาษณ์และงานจัดรายการวิทยุทั้งหมดถูกเลื่อนออกไปแบบไม่ต้องสงสัยแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เขาได้รับบทเรียนอย่างใดอย่างหนึ่งที่เขาสมควรจะได้รับ
เพราะโลกก็ไม่ได้สว่างมากจนแสบตาและก็ไม่ได้มืดจนมองไม่เห็น…
(จบ Chapter 11First Blood)
Chapter 11 First Blood