Part 2 - Psychogenesis
ตำรวจท้องถิ่นของเมืองบราซิล ได้นำกำลังเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มที่รอดชีวิตมาจากเหตุโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของเหล่าบรรดาญาติพี่น้อง บ้างก็เป็นแขกที่มากินเลี้ยงและอีกหลายๆ คนที่ตกเป็นเหยื่อ
เจคและลูกทีม ถูกนำตัวไปยัง สหรัฐอเมริกาเพื่อนำศพของเชงโกเมซไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเนื่องจากเชงโกเมซนั้นมีเชื้อสายอเมริกันมาก่อน และเคยอาศัยที่นี้เป็นเวลานานจนกระทั่งเขาย้ายไปทำงานที่ประเทศบราซิล
ที่สุสานหลุมศพของเชงโกเมซ ถูกตกแต่งด้วยช่อดอกไม้อย่างสวยงาม เพื่อเป็นการไว้อาลัยสำหรับครอบครัวของเชงโกเมซบรรดาญาติพี่น้องและคนสำคัญต่างๆ ที่เคยเป็นหุ้นส่วนกับเขาก็ได้ร่วมมาทำพิธีกรรมนี้ด้วยเช่นกัน ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก เจคได้บอกให้ลูกทีม นำโลงศพที่บรรจุเชงโกเมซไว้ ก่อนที่จะเริ่มทำการฝังศพของเขาซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก ก่อนที่บาทหลวงจะเริ่มกล่าวคำไว้อาลัยให้แด่เศรษฐีผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของบราซิลที่ได้จากไปอย่างสงบ
“ผมขอแสดงความเสียใจ เรื่องของสามีของคุณด้วยนะครับ”
เจค กล่าวขอโทษกับภรรยาเชงโกเมซที่ปล่อยมือสังหารหลบหนีไปภรรยาของเชงโกเมซ เธอมีอายุราวๆ 40 ปี สวมเดรสกระโปรงยาวลายลูกไม้สีดำพร้อมกับถือร่มสีดำกันฝนสีดำ เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่เมฆดำปกคลุมมากเธอจึงเลยไม่ลืมที่จะนำมันมาด้วย
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกค่ะ.คุณทหาร” ภรรยาของเชงโกเมซ กล่าวคำอภัยโทษกับเจค เพราะเธอรู้ว่าเจคนั้นได้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อที่จะปกป้องสามีของเธอแม้ว่าในบางครั้งเธอเองก็รู้สึกโกรธหรือเสียใจก็ตาม
เหล่าบรรดาญาติของเชงโกเมซและเพื่อนร่วมงาน ยังคงรู้สึกเสียใจกับการจากไปของเขา บางคนก็ทำใจไม่ได้บางคนก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความเศร้าโศก ในขณะที่บาทหลวงนั้นก็ยังคงทำพิธีต่อไป
“ยังไงผมก็ขอบคุณลูกทีมของคุณมากนะครับเจค ที่มาตามคำขอที่ผมเขียนไปให้ถึงแม้ว่า คุณจะพยายามสุดความสามารถแล้วก็ตาม ถ้าไม่มีพวกคุณล่ะก็ผมก็คงจะลาออกไปตั้งนานแล้วน่ะครับ”
บอดี้การ์ดประจำตัวเชงโกเมซ ที่รอดมาจากเหตุการณ์ได้ พูดปลอบใจตัวเองพร้อมกับขอบคุณความช่วยเหลือจากเจค และลูกทีมของเขาเองแม้ว่าพวกเขาจะทำไม่สำเร็จก็ตาม
“ไม่เป็นไร อย่างน้อยถึงเขาจะตายไป แต่ยังไงแค่พวกคุณปลอดภัยก็ดีที่สุดแล้ว”
เจค พูดปลอบใจเพื่อให้บอดี้การ์ดทำใจให้สบายๆซึ่งอย่างน้อยก็น่าจะทำให้เขานั้นพอมีกำลังใจบ้าง
“ครับ…ขอบคุณ”
หลังจากเสร็จพิธี เจค เดินออกมาจากบรรยากาศความโศกเศร้าของญาติๆ เชงโกเมซเพราะเขาไม่อยากจะอยู่ไปนานมากกว่านี้
ลูกทีมของเจคซึ่งประกอบไปด้วย วิกกี้ เจราล และคอนสแตรงค์ ส่วนแรนด้าเนื่องจากติดธุระจึงเลยไม่
สามารถมาได้แต่นี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่พวกเขาต้องมาสงสัยกัน
“ฉันขอโทษ ที่จับคนร้ายไม่ได้” วิกกี้ เดินไปหาเจคในขณะที่แต่ละคนก็เริ่มตามกันมา
“ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก” เจค ก้มหน้ารู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ในขณะนั้นเองเมฆฝนก็ได้ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า และเริ่มมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมาก่อนที่จะจบลงด้วยเม็ดฝนตกโหมลงมาอย่างหนัก เจราล และ คอนสแตรงค์ เดินเข้ามากางร่มกันฝนให้กับเจคส่วนอีกคนก็กางร่มให้กับวิกกี้
“ผมว่าพวกเรารีบกลับกันดีกว่านะครับ ขืนอยู่นานกว่านี้คงจะแย่เอา”
เจราล บอกกับพวกพ้องด้วยความเป็นห่วง
“เดี๋ยวก่อน…” จู่ๆ วิกกี้โพล่งขึ้นมาก่อนที่จะหันไปหาเจค
“นายจะไปไหน?"
“ตอนนี้ พวกเราไม่รู้ว่าคนร้ายอยู่ที่ไหนแล้วอีกอย่างเราก็ถูกรัฐบาลจับตามองพวกเราด้วย” วิกกี้พูดเป็นนัยเหมือนกับว่า ต้องการซักถามเจคเรื่องแผนการต่อไป
แต่ปรากฏว่าเจคไม่ตอบคำถามของวิกกี้เขาเพียงแค่พูดขึ้นว่า “เธอต้องการจะสื่อถึงอะไร?”ซึ่งนั้นเป็นคำพูดที่ทำเอา วิกกี้รู้สึกหัวเสียไปไม่น้อย
“นี่คุณคิดจะปล่อยพวกเขาไปงั้นเหรอ? ตอนนี้พวกเรากำลังทำอะไรอยู่?เรามีหน้าที่ที่ต้องทำตามภารกิจที่ ร็อคฟอร์ด ได้สั่งเอาไว้แต่นายกลับทำเป็นไม่สนใจงานนั่น มองว่าไม่ใช่งานของนาย”
วิกกี้ โพล่งเรื่องขึ้นมาเกี่ยวกับภารกิจที่ทำในตอนนี้ เพื่อหวังว่าจะช่วยเตือนสติของเจคได้บ้าง
“ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถ้านายต้องการแบบนั้นแต่ไม่คิดเลยเหรอว่าพวกคนร้ายจะตามมาสังหารพวกเขาอีก? ”
เจค เงียบกริบด้วยคำพูดของวิกกี้ที่เธอรู้สึกเป็นห่วงว่าคนร้ายนั่นอาจจะตามสังหารครอบครัวของเชงโกเมซ ซึ่งเขาเองก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้อยู่
แต่นั้นก็แค่ความคิดชั่ววูบเจค ใช้ความคิดของเขาในระยะสั้นเพื่อที่จะโต้ตอบออกไปด้วยความมั่นใจ
“ไม่…พวกเขาคงไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นหรอกเพราะถ้าพวกเขาทำจริงเขาคงไม่มีเหตุผลมากพอที่จะกราดยิงคนบริสุทธิ์โดยที่บอกว่าเผลอหรอกนะ.”
เป็นไปตามคาดวิกกี้ นิ่งเงียบกับคำตอบของหัวหน้าตนเองที่ตอบออกมาอย่างไม่น่าเชื่อแม้ว่าเธอจะไม่รู้สึกเห็นด้วยกับเจค
“เธอก็น่าจะรู้ดีนะว่า ตอนนี้พวกเรากำลังเจอกับอะไร?” เจค เตือนด้วยความหวังดี
“ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่ระแวง พวกเราเองก็เช่นกัน”
เจค เดินไปขึ้นรถที่เจราลได้เตรียมเอาไว้ เป็นรถสปอร์ตสีดำรุ่น DodgeSRT8 ของเจราลเอง โดยเขานั้นได้มาจากการที่ก่อนหน้านี้เขาอยู่หน่วยกองรบพิเศษของประเทศออสเตรเลียและก็ได้เข้ารับภารกิจร่วมมือกันระหว่างประเทศในการจัดการกับผู้ก่อการร้ายไปทั่วโลกหรือชื่อย่อคือ“Against, Protect and Offensive (A.P.O)”
A.P.O เป็นโครงการที่ทางสหประชาชาติจัดขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องประเทศในยามที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจเป็นภัยต่อประเทศชาติโดยจะมีการอา:Xมัครจากหน่วยต่างๆ เช่น MI6, SEAL, US Ranger, SAS หรือแม้กระทั่งกลุ่มทหารรับจ้างต่างๆ โดยผู้ที่อา:Xมัคร เข้ามาจะได้รับการมอบหมายภารกิจที่เหมือนๆกัน คือยับยั้ง ปกป้อง และจัดการกับผู้ก่อการร้าย
เจราลขับรถออกไปจากสุสาน แล้วจากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังถนนทางด่วนเพื่อหลีกเลี่ยงพวกตำรวจและสายที่ถูกรัฐบาลจ้างมาเพื่อจับตาดูพวกเขารวมทั้งรถคันอื่นๆ
“อีกกี่ชั่วโมง?” เจค ถามระยะเวลาที่จะไปถึงที่หมาย
“คงจะราวๆ 2 ชั่วโมงครับ.หัวหน้า”เจราล เปิดเพลงร็อคฟังในขณะขับรถด้วยความเร็ว 80 ไมล์
สำหรับเจคสองชั่วโมงของการติดอยู่ในเมืองนั้นเป็นเรื่องที่เขาไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่เจราลใช้เวลาในการต่อคิวรอขึ้นทางด่วนในเวลา 30 นาทีซึ่งถือว่าวันนี้โชคดีหน่อยที่เป็นวันที่ฝนตกหนักและเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่จะกลับบ้านกันเพราะบนทางด่วนนั้นมักจะเกิดอุบัติเหตุในช่วงที่ฝนตกหนักๆ บ่อยจึงเลยทำให้คนมักหลีกเลี่ยงทางนี้เป็นประจำ
หลังจากที่ขึ้นมาถึงเจคก็ต้องพบกับความประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อมีรถตำรวจราวๆ 2-3คัน วิ่งตามหลังมา ซึ่งแต่ละคันนั้นไม่ซ้ำกันเลย คันแรกเป็นฟอร์ดคันที่สองเฟอร์รารี่ และคันสุดท้ายคือปอร์เช่น่าแปลกที่ปกติแล้วไม่มีรถตำรวจคันไหนที่จะผ่านมาในช่วงเวลาที่ฝนตกหนักขนาดนี้และที่น่าแปลกไปมากกว่านั้น…
คนขับทั้งสาม กลับมีฝีมือในการขับรถที่ถือว่าอยู่ในระดับมืออาชีพเลยก็ว่าได้
เจคบอกให้ลูกทีมตนเอง เหยียบคันเร่งรถให้เร็วขึ้นเพราะเขาเองก็รู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่การถ่ายทำหนังหรือฉากแอคชั่นใดๆ ไม่มีทีมงานช่างภาพ ผู้กำกับ หรือแม้กระทั่งกล้องที่ซ่อนเอาไว้
“ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกไป” เจค พูดขึ้นมา ในขณะที่รถอีกสามคันก็วิ่งตามมาอย่างไม่ลดละเหมือนกับว่าต้องการอะไรบางอย่างจากพวกเขา
หากจะให้พูดถึงเรื่องของรถแล้วสมัยที่เจราลยังไม่ได้เข้าในหน่วยกองรบพิเศษเขามักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการแข่งรถทั้งในและนอกสนามเป็นประจำจนทำให้เขานั้นเคยได้รางวัลชนะเลิศการแข่งขัน Tournamentมาแล้ว 3 รอบ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเจราลก็ได้เข้าร่วมกับหน่วยกองรบพิเศษ ในประเทศออสเตรเลียที่มีชื่อว่า“S.A.S.R”
ไม่มีใครรู้ว่าเขามีเหตุผลอะไรถึงต้องมาเข้าร่วมกับหน่วยกองรบพิเศษเขาเพียงแค่พูดว่าตัวเองอยากจะลองเป็นดูสักครั้ง ซึ่งตอนที่เข้ามาเป็นครั้งแรกคนในหน่วยต่างก็ต้องรู้สึกประหลาดใจซึ่งอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีเด็กใหม่เข้ามา แต่ปรากฏว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น
เจราลเริ่มมีอาการบกพร่องทางจิตอย่างรุนแรง หลังจากที่กลับมาจากประเทศอัฟกานิสถานซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับในสงครามกลางเมืองแบบนี้เขากลับได้ยินเสียงของวิญญาณที่ตายในสนามรบ และเห็นภาพหลอนต่างๆมากมายซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติมากสำหรับเขาเจราลไม่เคยมีปัญหาเรื่องยาเสพติด เขาปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บัญชาการมาตลอดและเขาเองก็ไม่เคยฆ่าคนเลยแม้แต่นิดเดียว
“หัวหน้าครับ…จะเอายังไงต่อดีล่ะครับ?” เจราล สลัดเรื่องอดีตในหัวของเขาออกไป ก่อนที่จะเอ่ยปากถามถึงแผนการของเจคต่อไป
ในขณะนั้นเองรถฟอร์ดที่นำหน้ามาก็ได้วิ่งแซงหน้ารถของเจราลขึ้นมาทำให้เจราลต้องรีบหยุดรถกะทันหันทันทีด้วยความตกใจ
“เหยียบให้มิด” แม้จะเป็นคำพูดเรียบๆ แต่เจราลก็ยังคงปฏิบัติตามเช่นเดียวกับทุกๆครั้ง
รถของเจราล พุ่งชนไปที่บริเวณท้ายของรถฟอร์ด ทำให้รถนั้นเสียหลักเลี้ยวทางด้านขวา
รถอีกสองคันยังคงวิ่งตามมาติดๆ เจราลเร่งความเร็วอยู่ที่ประมาณ 135ไมล์ คอยพยายามขับรักษาระยะห่างของรถอีกสองคันไว้ให้ดี
ระหว่างนั้นเองรถปอร์เช่ที่มาทางด้านซ้ายก็ได้ชนไปที่ท้ายรถเจราล ทำให้เจราลนั้นเสียหลักเลี้ยวหักหลบไปด้านขวาแต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเจราลใช้ทักษะจากการเป็นนักแข่งรถมากว่า 3 ปีผ่อนความเร็วรถลงแล้วจากนั้นก็ขับจี้ท้ายรถเฟอร์รารี่ที่อยู่ทางด้านหลังของปอร์เช่โดยใช้โอกาสที่รถทั้งสองแซงหน้าเขาไป
“ดูเหมือนว่าจะเจอปัญหาใหญ่ซะละ” เจราลสบถในใจด้วยความรำคาญ
สถานการณ์ดูท่าจะย่ำแย่ยิ่งขึ้นตอนนี้เจคไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งคิดแผนการตอนนี้แล้วรถตำรวจทั้งสามคันยังคงวิ่งตามเจราลไปอย่างไม่คลาดสายตา แถมยังเป็นช่วงที่ฝนตกหนักอีกด้วยซึ่งถือว่าเป็นอุปสรรคอย่างมากในการขับรถบนถนนโดยเฉพาะบนทางด่วน
ระหว่างนั้นเองเจคก็ได้สังเกตไปที่ถนนที่มีทางกั้นอยู่ ซึ่งหน้าจะเป็นจุดผ่านทางด่วนสำหรับเจราลเขารู้ว่าการขับรถทางตรงมักจะเน้นเรื่องความเร็วและการเข้าเกียร์เป็นหลักแต่สำหรับเขา ความเร็วอาจไม่ใช่หนทางแห่งชัยชนะเสมอไป
เจราล อาศัยจังหวะที่รถทั้งสามกำลังแซงหน้าหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าที่ทางจุดผ่านทางด่วน หลังจากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปในเมืองทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงการชนและอาศัยในช่วงนั้น หลบหนีไปยังที่ปลอดภัย
แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด…
รถตำรวจ 5 คัน ที่มาพร้อมกับกลุ่มคนติดอาวุธหนักได้ใช้อาวุธกราดยิงใส่รถของเจราลทันที โดยที่ไม่ทันตั้งตัว
“บ้าเอ้ย!” เจราล ก้มหลบกระสุนด้วยความตกใจแล้วจากนั้นก็พยายามขับทะลุออกไปจากจุดนั้น แล้วตรงเข้าเมืองทันทีส่วนทางด้านเจคเอง อาศัยจังหวะที่เจราลขับรถชน ใช้ปืนพกตัวเองยิงสวนกลับไปที่รถอีกสามคันรวมทั้งกลุ่มคนติดอาวุธหนักพวกนั้นด้วย
“ตั้งสติเอาไว้ ทหาร!” เจค รีบลงออกจากรถแล้วไปหยิบปืนของมันมาใช้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้ทำนักเนื่องจากอาวุธของศัตรูมักจะเป็นอาวุธที่มักไม่ค่อยเสถียร และมีปัญหาเรื่องการขัดลำกล้องบ่อยแต่เขาไม่มีเวลาที่จะคิดเรื่องแบบนั้น
เจราลลดความเร็วลง เปิดประตูรถรอให้เจคเข้ามา ก่อนที่จะรีบปิดเพราะเกรงว่าตัวเองอาจจะได้รับลูกหลงไปด้วย
“เอาล่ะ!” เจคเช็คกระสุนของปืนไรเฟิลจู่โจมที่ได้มาจากผู้โชคร้ายรายหนึ่ง
“ถือซะว่า นี่เป็นการระบายอารมณ์แล้วกัน”
เจราลเร่งเครื่องแล้วขับหลบหนีไปทันที ในขณะที่กลุ่มคนที่ยังเหลือรอดต่างก็ขึ้นรถแล้วขับตามเจราลไปด้วยเช่นกัน
“หัวหน้าครับ…นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?” เจราล ถามเจคอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันว่าพวกบ้านั่นคงจะเป็นคนที่ถูกส่งมาเก็บพวกเรา”
เจค ตอบกลับไปด้วยความไม่แน่ใจ
“เก็บเหรอ? เฮ้ๆนี่มันเป็นเรื่องที่ฉันคาดไม่ถึงเลยนะเนี่ย.”
“ใช่…คาดไม่ถึงเลยจริงๆ นั้นแหละ”
ในขณะที่เจราลกำลังขับรถหนีอยู่นั่น รถของกลุ่มติดอาวุธประมาณ 3-4 คันก็ได้วิ่งตามมาด้วยเช่นเดียวกัน พร้อมกับอาวุธที่อยู่ในมือ ซึ่งเป็นปืนยิงจรวดอาร์พีจีแบบหัวรบสังหารทั่วไปที่ใช้กันในสงครามเย็นอานุภาพร้ายแรงพอที่จะระเบิดรถถังได้กระจุย
พวกมันพูดเป็นภาษารัสเซียบอกให้เล็งอาร์พีจีไปที่เจราล แล้วยิงไปทันที แต่โชคดีที่เจราลตั้งตัวทันเขารีบหักหลบไปทันทีจนทำให้เป้านั้นพลาดไปโดนที่พื้นถนนทำให้เศษหินไปกระจายโดนรถของเจราลไปเต็มๆ
“บ้าเอ้ย!” สะเก็ดระเบิดไปโดนที่กระจกรถเล็กน้อยแต่นั้นก็ไม่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บมากนัก
เจคไม่รอช้าใช้โอกาสที่พวกมันกำลังบรรจุกระสุนนัดถัดไป ใช้ปืนยิงสวนกลับไปทันทีอย่างรวดเร็วทำให้พวกมันเสียชีวิตไปพร้อมกับคนขับรถด้วยเช่นเดียวกัน
“หลับไปหนึ่ง…” เจค เช็คกระสุนในตลับปืนไรเฟิลจู่โจมตอนนี้เขาเหลือกระสุนไปประมาณ 25 นัดเขาจำได้ว่าตัวเองนั้นยิงไปประมาณ 5 นัดซึ่งถือว่าไม่มากนักที่จะจัดการกับพวกมันได้หมด
“เจราล! มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้”
“ครับ”
เจราลเลี้ยวไปที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปในตัวเมืองเพื่อหลบการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธไร้สังกัด
“หัวหน้าครับ! ข้างหน้ามีด่านสกัดกั้นเอาไว้อยู่เราผ่านไปไม่ได้แน่”
“งั้นแกก็ใช้สมองของแก จัดการพวกมันซะสิ!” เจคตะโกนใส่เจราล ในขณะที่กำลังยิงสวนกลับไปที่พวกศัตรู
เจราลเร่งความเร็วเครื่องยนต์สูงสุด พุ่งชนเป้าหมายไปที่ท้ายรถตำรวจที่อยู่ทางด้านซ้ายอย่างรวดเร็วโดยเขาจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงความเสียหายของรถให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เฮ้! ฉันบอกแล้วไงว่า ให้ใช้สมองน่ะ!” เจค กล่าว
“ขอโทษครับ! พอดีว่าผมชอบแบบนี้อ่ะนะ” เจราล ตอบกลับไป
“เอาเถอะ! ยังไงฉันก็ไม่ถือสาอยู่แล้วล่ะ!”
“แต่ว่าอย่าเพิ่งได้ใจไปนัก…ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะมีแผนอะไรอยู่ก็ได้”
หลังจากผ่านมาได้ประมาณ30นาที เจราลขับรถของตัวเองเข้าไปหลบซ่อนในซอกตึกแคบๆซึ่งพอที่จะเอารถเข้าไปได้คันหนึ่ง นับว่าโชคดีที่เป็นช่วงที่ฝนตกหนักมากจึงเลยทำให้การตามล่าของกลุ่มติดอาวุธดูจะรู้สึกหัวเสียกันไปบ้างเป็นบางส่วน
เจราลขับออกไปจากซอกตึกอย่างช้าๆ โดยใช้ความเร็วที่ปกติเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยคอยขับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าไปในโรงรถ ก่อนที่ทั้งสองจะลงออกมาจากรถและนอนพักด้วยความเหนื่อยล้า
“ดูท่าทางจะเหนื่อยไม่เบาเลยแหะ” เจค พูดขึ้น
“นั้นสินะครับ..”
(จบPart 2 Psychogenesis)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Chaos67 เมื่อ 2013-3-3 13:23
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Chaos67 เมื่อ 2013-3-3 13:28
Part 2 - Psychogenesis