Chapter 9 - Tears
3 วันต่อมา ตำรวจก็ได้ควบคุมผู้ต้องหา 3 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีหนึ่งในผู้ก่อการร้ายลำดับ 3 ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย นับว่าเป็นหนึ่งในข่าวที่อือฉาวไปเกือบทั่วโลกก็ว่าได้ ข่าวถูกเผยแพร่ไปสู่โลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอย่างรวดเร็วจนแทบไม่สามารถควบคุมได้ ภายในข่าวนั้นมีเนื้อหาที่กล่าวถึงการจับกุมเคออสและดีเจชื่อดังอย่าง จอห์นนี่ ที่ทำเอาเขานั้นเสียชื่อเสียงของตัวเองเป็นครั้งใหญ่เลยก็ได้ แต่ก็นับว่ายังมีส่วนดีอยู่บ้างสำหรับพวกเขา ที่ได้ช่วยกวาด
ล้างพวกอาญชากรไปในตัว แต่นั้นกลับไม่ทำให้เคออสยิ้มออกมาได้เลยสักนิด
หลังจากนั้นข่าวก็ได้จำกัดลงในประเทศ เหตุเพราะทางการนั้นเกรงว่าอาจจะเกิดก่อการร้ายขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง...
ฮาเรส ได้เสียชีวิตลงในระหว่างปฏิบัติงาน ส่วนมิโกะ ได้ถูกคุมตัวไปสอบสวนในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ ก่อนที่จะถูกไล่ออกพร้อมกับลูกทีมอีกประมาณ 3-4 คนที่ร่วมมือกับเธอ นับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ความฝันของเธอนั้นต้องพังทลายลงแบบไม่สามารถ:X้มันขึ้นมาใหม่ได้เลย แต่นั้นคงไม่เสียใจเท่ากับน้องชายของเธอ และเพื่อนร่วมงานอีก 1 คนที่เสียชีวิตไป ซึ่งก็รวมไปถึง เจฟรอส รุ่นน้องของฮาเรสที่เคยทำงานร่วมกันด้วย
2 สัปดาห์ผ่านไป งานศพได้ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการให้เกียรติแด่เกรเทอร์ ฮาเรส และรวมไปถึงฟินลิท งานศพทั้งสองจัดขึ้นในเวลาเดียวกันและที่เดียวกัน แต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ส่วนพวกเคออสได้ถูกปล่อยตัวไปพร้อมทั้งสามคนและให้ใช้ชีวิตได้ตามปกติ เว้นเคออสกับฮารุกะที่ต้องได้รับการจับตาดูเป็นพิเศษจากเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้พวกเขาไปทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง
"หวังว่าคงจบแล้ว...สินะครับ" จอห์นนี่ มองไปยังป้ายหลุมศพทั้งสองที่วางเรียงติดกันที่สลักชื่อและวันเดือนปีไว้อย่างประณีต ท่ามกลงเสียงสวดไว้อาลัยให้กับทั้งสอง
มิโกะ กลั้นนํ้าตาแห่งความเสียใจไว้ เพื่อไม่ต้องการให้ใครมาเห็นเธอในสภาพที่นั่งร้องไห้ในงานศพรวมทั้งน้องชายของเธอเองก็เช่นกัน แต่เธอก็อดไม่อยู่ที่จะปล่อยความเสียใจนั้นต่อหน้าหลุมศพของน้องเธอ
"ชีวิตของฉัน...นี่คงเป็นความผิดของฉันเองสินะ...ฟินลิท..ฮาเรส" มิโกะ กล่าวพร้อมทั้งนํ้าตา
ในขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในบรรยากาศแห่งความเสียใจนั้น กลับมีเคออสเพียงแค่คนเดียวที่กลับไม่แสดงทีท่าความเสียใจเลยสักนิด เหมือนกับว่าเขายังคงครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในโลกส่วนตัว ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลาชั่วครู่ เขาก็เดินไปที่มิโกะเพื่อปลอบใจเกี่ยวกับน้องชายของเธอที่ตายไป
"ฉันขอโทษเรื่องน้องชายของเธอ รวมถึงฮาเรสด้วย." เคออส เดินมาตบไหล่มิโกะเบาๆ
มิโกะ ลุกขึ้นมาโดยที่คราบนํ้าตายังคงค้างอยู่บนตาทั้งสองของเธอ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า
"นั้นไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก เจ้าหนู." เธอ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดคราบนํ้าตาอย่างรวดเร็ว
"เป็นความผิดของฉันที่ปล่อยให้พวกเขาทำตามใจชอบ ถ้าฉันย้อนกลับไปได้ล่ะก็...คงไม่ต้องมาเป็นแบบนี้หรอก จริงมั้ย?"
ดูเหมือนคำพูดนั้นจะทำเอาเคออสอึ้งอยู่สักพัก ก่อนที่จะเริ่มบทสนทนาต่อไปด้วยท่าทีที่ต่างจากเดิม
"อาจจะจริงของคุณ ผมเองถ้าเป็นไปได้ผมคงอยากจะกดปุ่ม Reverse ย้อนกลับไปใหม่นั้นล่ะนะ"
เขาเริ่มถอนหายใจ สายตาจ้องมองไปยังเบื้องหน้าที่หญิงสาวแล้วเอ่ยด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นไป
"แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะต้องแบกรับความทุกข์ไว้คนเดียวไม่ใช่เหรอครับ!"
"!?"
ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งลง นัยน์ตาสีนํ้าตาลคู่ของมิโกะจับจ้องไปที่เคออสด้วยความรู้สึกประมาณว่าอึ้งและทึ่งในตัวเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอได้แบกรับความรู้สึกเกือบทุกอย่างที่แม้กระทั่งเธอเองก็ไม่รู้ตัว รวมถึงความรู้สึกของทุกคนที่รวมอยู่ในนั้น
"ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีครับ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำมาทั้งหมดนั้นน่ะ ก็เพื่อที่จะปกป้องพวกเขาทุกคนเอาไว้แต่การที่คุณแบกรับสิ่งนั้นไว้"
"มันก็เท่ากับทำให้พวกเขาเจ็บปวดกว่าเดิมหรอกครับ!"
มิโกะ ไม่เอ่ยคำพูดอะไรต่อจากนั้น ได้แต่ก้มหน้าแล้วโผเข้ากอดเคออสทันที แล้วก็ร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง ทำเอาอีกฝ่ายได้แต่นิ่งเงียบปล่อยให้กอดไป
"ฉันขอบคุณเธอนะ ที่เตือนสติฉันกลับมา เจ้าหนู."
เคออส เริ่มตกอยู่ในภวังค์ชั่วคราวเหมือนกับจิตกำลังล่องลอยไปที่ไหนสักแห่ง ก่อนที่จะผละตัวออกมาด้วยความเขินอาย
"เอ่อ..ไม่ต้องหรอกครับ...ผมเองก็เป็นเพียงแค่ผู้ก่อการร้ายที่ไม่มีแม้กระทั่งความเป็นมนุษย์ด้วยซํ้า."
เคออส ก้มหน้าลงแล้วทำนัยน์ตาแบบเศร้าๆ แม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าของเขาก็ตาม
บรรยากาศยังคงดำเนินต่อไปจนจบ เหล่าบรรดาเพื่อนร่วมงาน ที่เข้ามาสืบคดีในประเทศนี้ต่างก็แยกย้ายกันไปที่รถก่อนจะขับออกไป เหลือเพียงแค่ มิโกะ ฮารุกะ เคออส และจอหน์นี่ ที่ยังคงยืนไว้อาลัยหน้าหลุมศพทั้งสองอยู่
"หลังจากนี้พวกเราจะทำยังไงต่อ?" จอห์นนี่ เดินเข้ามาถามเคออส ด้วยความจริงจัง ในขณะที่กำลังถูกจับตามองอยู่ แต่กลับว่าเคออสกลับเดินผ่านเขาไป เหมือนไม่ได้อยู่ในสายตาตั้งแต่แรก
"ฮารุ.." เสียงฝีเท้าหยุดลงมายังตรงหน้านินจาสาว ก่อนที่จะกล่าวด้วยนํ้าเสียงนิ่งๆ แบบแข็งกระด้าง
"มีอะไรเหรอ?" ฮารุกะ หันมาหาเคออสหลังจากรวบผมเสร็จ ได้แต่ทำหน้านิ่งไม่พูดอะไร
"สวมนี้เอาไว้." เคออส หยิบสร้อยคอสีดำจากในกระเป๋าเสื้อคลุม แล้วจากนั้นก็เริ่มร้อยบนคอของฮารุกะอย่างนุ่มนวล แบบไม่แตะเนื้อต้องตัวใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะปล่อยให้เธอยืนงงกับสร้อยคอเส้นนั้นต่อไป
"เธอพร้อมสำหรับภารกิจต่อไปมั้ย?"
"ค่ะ!" แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเขานั้นหมายถึงอะไร แต่เธอก็ตอบไปแบบไม่ลังเล
"เฮ้ๆ แล้วฉันล่ะ?" จอหน์นี่ เข้ามาแทรกในระหว่างบทสนทนา
"นายเองก็เตรียมตัวให้ดีด้วยล่ะ..."
เคออส หันไปมองค้อนใส่จอห์นนี่ซึ่งเป็นการบอกแบบนัยๆ กับจอหน์นี่เหมือนไม่ยอมแสดงออกมาทางโดยตรง
"อ..อืม! เชื่อมือฉันได้เลยล่ะ!"
ครั้งแรกที่ความสัมพันธ์ของเขากับเคออส ดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจกันได้ดีทั้งสองฝ่ายในระดับหนึ่ง จอห์นนี่เริ่มตระหนักแล้วว่าในตอนนี้สิ่งที่เขาทำมีเพียงแค่ต้องรับมือกับสถานการณ์ข้างหน้านั่นเอาไว้ให้ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาทั้งสามก็ได้เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เมื่อได้ล่วงรู้ว่าโปรเจค D.A.R.T นั้นได้ถูกตั้งอยู่ในที่ๆ ห่างออกไปจากญี่ปุ่นหลายร้อยไมล์ ซึ่งมันก็ไม่ไกลนักพอที่จะใช้เวลาเพียงแค่ 1 วันหรือน้อยกว่านั้นในการเดินทางไปถึง โดยได้รับความอนุเคราะห์จากใครคนหนึ่งที่รู้จักเธอในฐานะลูกของท่านประธาณาธิปดี คอยส่งพวกเขาไปยังสถานที่นั้นด้วยเครื่องบินส่วนตัว พร้อมทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากมิโกะอย่างสุดกำลัง เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับสิ่งที่ S.I.C ได้ทำไว้กับน้องชายของเธอจนทำให้เขาเปลี่ยนไป โดยที่เธอเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาก็ตามที
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง โปรเจค D.A.R.T ก็ได้เริ่มดำเนินการไปเสร็จสิ้นไปแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งเหลือเพียงแค่นำมันไปทดสอบและทำการาโอนถ่ายพลังงานผ่านเข้าตัวมนุษย์เป็นอย่างที่สอง
"หึ! เสร็จไปหนึ่ง" แมนทัส ยืนชื่นชมผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ หลังจากที่ใช้เวลาไปกว่า 4 วัน ในการที่เขาควบคุมมันอยู่ตลอดทั้งวันในระหว่างที่ดำเนินการ
"บอสครับ." เสียงของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มคนหนึ่ง เดินเข้ามาด้วยความลุกลี้ลุกลนพร้อมกับรายงานวิจัยอันหนาเตอะของตัวเอง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ข้างหลังแมนทัส
"ตอนนี้โปรเจคจะทำการเตรียมพร้อมในอีก 50 นาทีนี้ครับ แลดูเหมือนว่าจะเริ่มเข้าสู่ขั้นการถ่ายทอดพลังงานไปยังตัวทหารแล้วด้วยครับ"
แมนทัส คว้ารายงานการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์คนนั้นมาดูทันที ทำเอานักวิทยาศาสตร์หนุ่มสะดุ้งโหยงไปพักใหญ่ ก่อนที่จะกลับมารักษารูปลักษณ์ตัวเองไว้เป็นอย่างเดิม
"ยัง...ยังไม่ได้" แมนทัส กล่าวพร้อมยื่นรายงานคืนให้กับนักวิทยาศาสตร์ พลางทำสีหน้าที่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
"ทำไมล่ะครับ?!" นักวิทยาศาสตร์อุทานออกมาด้วยความตกใจ
"นั้นเป็นเหตุผลส่วนตัวของฉัน แกเพียงแค่รับคำสั่งแล้วก็ปฏิบัติตามซะ!"
แมนทัส ตวาดใส่นักวิทยาศาสตร์ด้วยความรำคาญ จนนักวิทยาศาสตร์ถึงกับล้มลงไปนั่งบนพื้นด้วยความเกรงกลัว
"ค..ครับ"
แมนทัส หันหลังแล้วเดินหายวับออกไปจากห้องแห่งนั้น เหลือไว้เพียงแค่คำถามที่ยังคงค้างคาใจของนักวิทยาศาสตร์พร้อมกับสายตาที่จ้องมองมาที่ตัวเขา เหมือนกับต้องการจะข่มขู่ให้กลัว
เหล่ากำลังพลขององค์กร S.I.C จากหลายๆ ที่ที่เข้ามาทำงานให้กับในองค์กร ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่แมนทัสเดินออกมาจากห้องทดลองแห่งนั้นพร้อมด้วยบอดี้การ์ดสองคนที่เข้ามาสมทบด้วยหลังจากนั้น
"สวัสดีทุกท่าน!"
เสียงลำโพงดังไปทั่วทั้งบริเวณนั้น ซึ่งเป็นลานที่ใช้ขนส่งอาวุธสงครามและผลิตภัณฑ์ที่ทางองค์กรเป็นสร้างขึ้น มีความกว้างเท่ากับสนามฟุตบอลสองสนามมารวมกัน และยาวพอๆ กับลานบินของสนามบินซะอีก
"ในวันนี้ พวกเราคงจะรู้แล้วว่าเรามาทำอะไรที่นี่ แล้วฉันเองก็รู้ด้วยว่าพวกแกมาเพื่ออะไร?"
แมนทัส ยืนบนเวทีกล่าวกับ พวกทหารและมือสังหารจำนวนหนึ่งที่มาเพราะคำสั่งของเขา มองไปรอบๆ เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยสักพักแล้วเตรียมกล่าวประโยคต่อไป
"พวกแกทุกคนคงรู้แล้วว่า มีมือสังหารหนึ่งคนในองค์กรนี้ได้ทรยศพวกเราไว้ เขาเป็นคนมีฝีมือมากกว่าพวกแกหลายๆ คนที่ยืนอยู่ที่นี่ ซึ่งเขา...ได้หลบหนีไป."
"คงจะรู้ใช่มั้ย? ในองค์กรนี้หากแกต้องการที่จะลาออก จะต้องได้รับการล้างสมองก่อนเสมอเพื่อไม่ให้ความลับของเรารั่วไหลออกไป หวังว่าคงรู้นะว่าหากมีใครที่คิดทรยศฉัน..."
และทันใดนั้น แมนทัสก็ชักปืนขึ้นมาแล้วยิงขึ้นไปบนฟ้าหนึ่งนัด สร้างความตกใจเป็นบางส่วนเพื่อเป็นการเตือนสติให้กับทุกคนที่คิดจะทรยศเขา
"พวกแกได้กลายเป็นอาหารให้กับนกที่อยู่บนฟ้าแน่!"
ไม่นานนัก เสียงโห่ร้องที่มาจากจิตใต้สำนึกของพวกทหารก็ดังขึ้น เสมือนเป็นการโห่ร้องเพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้กับแมนทัสที่กำชีวิตของพวกเขาไว้ แม้ว่าเจ้าตัวเองจะไม่คิดเช่นนั้นก็ตาม
"ฉันรู้ว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกแกได้มีชีวิตอยู่บนโลก แกอาจจะไม่รู้ว่านกที่อยู่บนฟ้านั่นจะโฉบแกไปกินเมื่อไหร่!?"
"แต่มันก็ไม่เท่ากับว่า พวกแกจะทำยังไงหากนกตัวนั้นจะฉีกพวกแกเป็นชิ้นๆ"
แมนทัส เดินลงจากเวทีปล่อยให้พวกทหารโห่ร้องเรียกขวัญกำลังใจตัวเองไปสักพัก ก่อนจะเริ่มสั่งให้ทุกคนเริ่มออกเดินทางไปยังที่ไหนสักแห่ง...
ไม่นานนักเครื่องบินขนส่งกว่า 10 ลำ เริ่มบินขึ้นเหนือพื้นดินพร้อมกัน ซึ่งมีรูปร่างที่แตกต่างจากเครื่องบินในสมัยปัจจุบันมาก คงเป็นเพราะว่าที่องค์กรแห่งนี้มีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลกว่าเทคโนโลยีสมัยปัจจุบัน บวกกับได้รับการสนับสนุนจากองค์กรย่อยอีกหลายแห่ง เครื่องบินทั้งหมดเริ่มทยอยบินออกไปทีละลำ โดยแมนทัสประจำอยู่ที่ลำแนวหน้าซึ่งเป็นลำหลักในการเดินทางภายในครั้งนี้
"บอสครับ...ท่านแน่ใ-" บอดี้การ์ดคนหนึ่ง กระซิบข้างหูแมนทัสในระหว่างที่ยืนประกบข้างอยู่
"ไม่ต้องห่วงหรอก...เจ้านั่นน่ะ ยังไงก็ตามมาอยู่แล้ว ฉันเชื่อแบบนั้น."
เครื่องบินยังคงบินไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะหายวับไปบนท้องฟ้าทั้งหมด โดยไม่มีใครรู้ชะตากรรมของพวกเขา...
(จบ Chapter 9 Tears)
3 วันต่อมา ตำรวจก็ได้ควบคุมผู้ต้องหา 3 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีหนึ่งในผู้ก่อการร้ายลำดับ 3 ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย นับว่าเป็นหนึ่งในข่าวที่อือฉาวไปเกือบทั่วโลกก็ว่าได้ ข่าวถูกเผยแพร่ไปสู่โลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอย่างรวดเร็วจนแทบไม่สามารถควบคุมได้ ภายในข่าวนั้นมีเนื้อหาที่กล่าวถึงการจับกุมเคออสและดีเจชื่อดังอย่าง จอห์นนี่ ที่ทำเอาเขานั้นเสียชื่อเสียงของตัวเองเป็นครั้งใหญ่เลยก็ได้ แต่ก็นับว่ายังมีส่วนดีอยู่บ้างสำหรับพวกเขา ที่ได้ช่วยกวาด
ล้างพวกอาญชากรไปในตัว แต่นั้นกลับไม่ทำให้เคออสยิ้มออกมาได้เลยสักนิด
หลังจากนั้นข่าวก็ได้จำกัดลงในประเทศ เหตุเพราะทางการนั้นเกรงว่าอาจจะเกิดก่อการร้ายขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง...
ฮาเรส ได้เสียชีวิตลงในระหว่างปฏิบัติงาน ส่วนมิโกะ ได้ถูกคุมตัวไปสอบสวนในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ ก่อนที่จะถูกไล่ออกพร้อมกับลูกทีมอีกประมาณ 3-4 คนที่ร่วมมือกับเธอ นับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ความฝันของเธอนั้นต้องพังทลายลงแบบไม่สามารถ:X้มันขึ้นมาใหม่ได้เลย แต่นั้นคงไม่เสียใจเท่ากับน้องชายของเธอ และเพื่อนร่วมงานอีก 1 คนที่เสียชีวิตไป ซึ่งก็รวมไปถึง เจฟรอส รุ่นน้องของฮาเรสที่เคยทำงานร่วมกันด้วย
2 สัปดาห์ผ่านไป งานศพได้ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการให้เกียรติแด่เกรเทอร์ ฮาเรส และรวมไปถึงฟินลิท งานศพทั้งสองจัดขึ้นในเวลาเดียวกันและที่เดียวกัน แต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ส่วนพวกเคออสได้ถูกปล่อยตัวไปพร้อมทั้งสามคนและให้ใช้ชีวิตได้ตามปกติ เว้นเคออสกับฮารุกะที่ต้องได้รับการจับตาดูเป็นพิเศษจากเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้พวกเขาไปทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง
"หวังว่าคงจบแล้ว...สินะครับ" จอห์นนี่ มองไปยังป้ายหลุมศพทั้งสองที่วางเรียงติดกันที่สลักชื่อและวันเดือนปีไว้อย่างประณีต ท่ามกลงเสียงสวดไว้อาลัยให้กับทั้งสอง
มิโกะ กลั้นนํ้าตาแห่งความเสียใจไว้ เพื่อไม่ต้องการให้ใครมาเห็นเธอในสภาพที่นั่งร้องไห้ในงานศพรวมทั้งน้องชายของเธอเองก็เช่นกัน แต่เธอก็อดไม่อยู่ที่จะปล่อยความเสียใจนั้นต่อหน้าหลุมศพของน้องเธอ
"ชีวิตของฉัน...นี่คงเป็นความผิดของฉันเองสินะ...ฟินลิท..ฮาเรส" มิโกะ กล่าวพร้อมทั้งนํ้าตา
ในขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในบรรยากาศแห่งความเสียใจนั้น กลับมีเคออสเพียงแค่คนเดียวที่กลับไม่แสดงทีท่าความเสียใจเลยสักนิด เหมือนกับว่าเขายังคงครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในโลกส่วนตัว ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลาชั่วครู่ เขาก็เดินไปที่มิโกะเพื่อปลอบใจเกี่ยวกับน้องชายของเธอที่ตายไป
"ฉันขอโทษเรื่องน้องชายของเธอ รวมถึงฮาเรสด้วย." เคออส เดินมาตบไหล่มิโกะเบาๆ
มิโกะ ลุกขึ้นมาโดยที่คราบนํ้าตายังคงค้างอยู่บนตาทั้งสองของเธอ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า
"นั้นไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก เจ้าหนู." เธอ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดคราบนํ้าตาอย่างรวดเร็ว
"เป็นความผิดของฉันที่ปล่อยให้พวกเขาทำตามใจชอบ ถ้าฉันย้อนกลับไปได้ล่ะก็...คงไม่ต้องมาเป็นแบบนี้หรอก จริงมั้ย?"
ดูเหมือนคำพูดนั้นจะทำเอาเคออสอึ้งอยู่สักพัก ก่อนที่จะเริ่มบทสนทนาต่อไปด้วยท่าทีที่ต่างจากเดิม
"อาจจะจริงของคุณ ผมเองถ้าเป็นไปได้ผมคงอยากจะกดปุ่ม Reverse ย้อนกลับไปใหม่นั้นล่ะนะ"
เขาเริ่มถอนหายใจ สายตาจ้องมองไปยังเบื้องหน้าที่หญิงสาวแล้วเอ่ยด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นไป
"แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะต้องแบกรับความทุกข์ไว้คนเดียวไม่ใช่เหรอครับ!"
"!?"
ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งลง นัยน์ตาสีนํ้าตาลคู่ของมิโกะจับจ้องไปที่เคออสด้วยความรู้สึกประมาณว่าอึ้งและทึ่งในตัวเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอได้แบกรับความรู้สึกเกือบทุกอย่างที่แม้กระทั่งเธอเองก็ไม่รู้ตัว รวมถึงความรู้สึกของทุกคนที่รวมอยู่ในนั้น
"ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีครับ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำมาทั้งหมดนั้นน่ะ ก็เพื่อที่จะปกป้องพวกเขาทุกคนเอาไว้แต่การที่คุณแบกรับสิ่งนั้นไว้"
"มันก็เท่ากับทำให้พวกเขาเจ็บปวดกว่าเดิมหรอกครับ!"
มิโกะ ไม่เอ่ยคำพูดอะไรต่อจากนั้น ได้แต่ก้มหน้าแล้วโผเข้ากอดเคออสทันที แล้วก็ร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง ทำเอาอีกฝ่ายได้แต่นิ่งเงียบปล่อยให้กอดไป
"ฉันขอบคุณเธอนะ ที่เตือนสติฉันกลับมา เจ้าหนู."
เคออส เริ่มตกอยู่ในภวังค์ชั่วคราวเหมือนกับจิตกำลังล่องลอยไปที่ไหนสักแห่ง ก่อนที่จะผละตัวออกมาด้วยความเขินอาย
"เอ่อ..ไม่ต้องหรอกครับ...ผมเองก็เป็นเพียงแค่ผู้ก่อการร้ายที่ไม่มีแม้กระทั่งความเป็นมนุษย์ด้วยซํ้า."
เคออส ก้มหน้าลงแล้วทำนัยน์ตาแบบเศร้าๆ แม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าของเขาก็ตาม
บรรยากาศยังคงดำเนินต่อไปจนจบ เหล่าบรรดาเพื่อนร่วมงาน ที่เข้ามาสืบคดีในประเทศนี้ต่างก็แยกย้ายกันไปที่รถก่อนจะขับออกไป เหลือเพียงแค่ มิโกะ ฮารุกะ เคออส และจอหน์นี่ ที่ยังคงยืนไว้อาลัยหน้าหลุมศพทั้งสองอยู่
"หลังจากนี้พวกเราจะทำยังไงต่อ?" จอห์นนี่ เดินเข้ามาถามเคออส ด้วยความจริงจัง ในขณะที่กำลังถูกจับตามองอยู่ แต่กลับว่าเคออสกลับเดินผ่านเขาไป เหมือนไม่ได้อยู่ในสายตาตั้งแต่แรก
"ฮารุ.." เสียงฝีเท้าหยุดลงมายังตรงหน้านินจาสาว ก่อนที่จะกล่าวด้วยนํ้าเสียงนิ่งๆ แบบแข็งกระด้าง
"มีอะไรเหรอ?" ฮารุกะ หันมาหาเคออสหลังจากรวบผมเสร็จ ได้แต่ทำหน้านิ่งไม่พูดอะไร
"สวมนี้เอาไว้." เคออส หยิบสร้อยคอสีดำจากในกระเป๋าเสื้อคลุม แล้วจากนั้นก็เริ่มร้อยบนคอของฮารุกะอย่างนุ่มนวล แบบไม่แตะเนื้อต้องตัวใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะปล่อยให้เธอยืนงงกับสร้อยคอเส้นนั้นต่อไป
"เธอพร้อมสำหรับภารกิจต่อไปมั้ย?"
"ค่ะ!" แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเขานั้นหมายถึงอะไร แต่เธอก็ตอบไปแบบไม่ลังเล
"เฮ้ๆ แล้วฉันล่ะ?" จอหน์นี่ เข้ามาแทรกในระหว่างบทสนทนา
"นายเองก็เตรียมตัวให้ดีด้วยล่ะ..."
เคออส หันไปมองค้อนใส่จอห์นนี่ซึ่งเป็นการบอกแบบนัยๆ กับจอหน์นี่เหมือนไม่ยอมแสดงออกมาทางโดยตรง
"อ..อืม! เชื่อมือฉันได้เลยล่ะ!"
ครั้งแรกที่ความสัมพันธ์ของเขากับเคออส ดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจกันได้ดีทั้งสองฝ่ายในระดับหนึ่ง จอห์นนี่เริ่มตระหนักแล้วว่าในตอนนี้สิ่งที่เขาทำมีเพียงแค่ต้องรับมือกับสถานการณ์ข้างหน้านั่นเอาไว้ให้ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาทั้งสามก็ได้เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เมื่อได้ล่วงรู้ว่าโปรเจค D.A.R.T นั้นได้ถูกตั้งอยู่ในที่ๆ ห่างออกไปจากญี่ปุ่นหลายร้อยไมล์ ซึ่งมันก็ไม่ไกลนักพอที่จะใช้เวลาเพียงแค่ 1 วันหรือน้อยกว่านั้นในการเดินทางไปถึง โดยได้รับความอนุเคราะห์จากใครคนหนึ่งที่รู้จักเธอในฐานะลูกของท่านประธาณาธิปดี คอยส่งพวกเขาไปยังสถานที่นั้นด้วยเครื่องบินส่วนตัว พร้อมทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากมิโกะอย่างสุดกำลัง เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับสิ่งที่ S.I.C ได้ทำไว้กับน้องชายของเธอจนทำให้เขาเปลี่ยนไป โดยที่เธอเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาก็ตามที
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง โปรเจค D.A.R.T ก็ได้เริ่มดำเนินการไปเสร็จสิ้นไปแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งเหลือเพียงแค่นำมันไปทดสอบและทำการาโอนถ่ายพลังงานผ่านเข้าตัวมนุษย์เป็นอย่างที่สอง
"หึ! เสร็จไปหนึ่ง" แมนทัส ยืนชื่นชมผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ หลังจากที่ใช้เวลาไปกว่า 4 วัน ในการที่เขาควบคุมมันอยู่ตลอดทั้งวันในระหว่างที่ดำเนินการ
"บอสครับ." เสียงของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มคนหนึ่ง เดินเข้ามาด้วยความลุกลี้ลุกลนพร้อมกับรายงานวิจัยอันหนาเตอะของตัวเอง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ข้างหลังแมนทัส
"ตอนนี้โปรเจคจะทำการเตรียมพร้อมในอีก 50 นาทีนี้ครับ แลดูเหมือนว่าจะเริ่มเข้าสู่ขั้นการถ่ายทอดพลังงานไปยังตัวทหารแล้วด้วยครับ"
แมนทัส คว้ารายงานการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์คนนั้นมาดูทันที ทำเอานักวิทยาศาสตร์หนุ่มสะดุ้งโหยงไปพักใหญ่ ก่อนที่จะกลับมารักษารูปลักษณ์ตัวเองไว้เป็นอย่างเดิม
"ยัง...ยังไม่ได้" แมนทัส กล่าวพร้อมยื่นรายงานคืนให้กับนักวิทยาศาสตร์ พลางทำสีหน้าที่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
"ทำไมล่ะครับ?!" นักวิทยาศาสตร์อุทานออกมาด้วยความตกใจ
"นั้นเป็นเหตุผลส่วนตัวของฉัน แกเพียงแค่รับคำสั่งแล้วก็ปฏิบัติตามซะ!"
แมนทัส ตวาดใส่นักวิทยาศาสตร์ด้วยความรำคาญ จนนักวิทยาศาสตร์ถึงกับล้มลงไปนั่งบนพื้นด้วยความเกรงกลัว
"ค..ครับ"
แมนทัส หันหลังแล้วเดินหายวับออกไปจากห้องแห่งนั้น เหลือไว้เพียงแค่คำถามที่ยังคงค้างคาใจของนักวิทยาศาสตร์พร้อมกับสายตาที่จ้องมองมาที่ตัวเขา เหมือนกับต้องการจะข่มขู่ให้กลัว
เหล่ากำลังพลขององค์กร S.I.C จากหลายๆ ที่ที่เข้ามาทำงานให้กับในองค์กร ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่แมนทัสเดินออกมาจากห้องทดลองแห่งนั้นพร้อมด้วยบอดี้การ์ดสองคนที่เข้ามาสมทบด้วยหลังจากนั้น
"สวัสดีทุกท่าน!"
เสียงลำโพงดังไปทั่วทั้งบริเวณนั้น ซึ่งเป็นลานที่ใช้ขนส่งอาวุธสงครามและผลิตภัณฑ์ที่ทางองค์กรเป็นสร้างขึ้น มีความกว้างเท่ากับสนามฟุตบอลสองสนามมารวมกัน และยาวพอๆ กับลานบินของสนามบินซะอีก
"ในวันนี้ พวกเราคงจะรู้แล้วว่าเรามาทำอะไรที่นี่ แล้วฉันเองก็รู้ด้วยว่าพวกแกมาเพื่ออะไร?"
แมนทัส ยืนบนเวทีกล่าวกับ พวกทหารและมือสังหารจำนวนหนึ่งที่มาเพราะคำสั่งของเขา มองไปรอบๆ เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยสักพักแล้วเตรียมกล่าวประโยคต่อไป
"พวกแกทุกคนคงรู้แล้วว่า มีมือสังหารหนึ่งคนในองค์กรนี้ได้ทรยศพวกเราไว้ เขาเป็นคนมีฝีมือมากกว่าพวกแกหลายๆ คนที่ยืนอยู่ที่นี่ ซึ่งเขา...ได้หลบหนีไป."
"คงจะรู้ใช่มั้ย? ในองค์กรนี้หากแกต้องการที่จะลาออก จะต้องได้รับการล้างสมองก่อนเสมอเพื่อไม่ให้ความลับของเรารั่วไหลออกไป หวังว่าคงรู้นะว่าหากมีใครที่คิดทรยศฉัน..."
และทันใดนั้น แมนทัสก็ชักปืนขึ้นมาแล้วยิงขึ้นไปบนฟ้าหนึ่งนัด สร้างความตกใจเป็นบางส่วนเพื่อเป็นการเตือนสติให้กับทุกคนที่คิดจะทรยศเขา
"พวกแกได้กลายเป็นอาหารให้กับนกที่อยู่บนฟ้าแน่!"
ไม่นานนัก เสียงโห่ร้องที่มาจากจิตใต้สำนึกของพวกทหารก็ดังขึ้น เสมือนเป็นการโห่ร้องเพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้กับแมนทัสที่กำชีวิตของพวกเขาไว้ แม้ว่าเจ้าตัวเองจะไม่คิดเช่นนั้นก็ตาม
"ฉันรู้ว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกแกได้มีชีวิตอยู่บนโลก แกอาจจะไม่รู้ว่านกที่อยู่บนฟ้านั่นจะโฉบแกไปกินเมื่อไหร่!?"
"แต่มันก็ไม่เท่ากับว่า พวกแกจะทำยังไงหากนกตัวนั้นจะฉีกพวกแกเป็นชิ้นๆ"
แมนทัส เดินลงจากเวทีปล่อยให้พวกทหารโห่ร้องเรียกขวัญกำลังใจตัวเองไปสักพัก ก่อนจะเริ่มสั่งให้ทุกคนเริ่มออกเดินทางไปยังที่ไหนสักแห่ง...
ไม่นานนักเครื่องบินขนส่งกว่า 10 ลำ เริ่มบินขึ้นเหนือพื้นดินพร้อมกัน ซึ่งมีรูปร่างที่แตกต่างจากเครื่องบินในสมัยปัจจุบันมาก คงเป็นเพราะว่าที่องค์กรแห่งนี้มีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลกว่าเทคโนโลยีสมัยปัจจุบัน บวกกับได้รับการสนับสนุนจากองค์กรย่อยอีกหลายแห่ง เครื่องบินทั้งหมดเริ่มทยอยบินออกไปทีละลำ โดยแมนทัสประจำอยู่ที่ลำแนวหน้าซึ่งเป็นลำหลักในการเดินทางภายในครั้งนี้
"บอสครับ...ท่านแน่ใ-" บอดี้การ์ดคนหนึ่ง กระซิบข้างหูแมนทัสในระหว่างที่ยืนประกบข้างอยู่
"ไม่ต้องห่วงหรอก...เจ้านั่นน่ะ ยังไงก็ตามมาอยู่แล้ว ฉันเชื่อแบบนั้น."
เครื่องบินยังคงบินไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะหายวับไปบนท้องฟ้าทั้งหมด โดยไม่มีใครรู้ชะตากรรมของพวกเขา...
(จบ Chapter 9 Tears)
Chapter 9 Tears