14:30 AM
ณ โรงเรียน Meisei
".....โทคิ"
......?
".....เฮ้ย โทคิ"
หืม?...........
"ไอ้บ้า!!! คิดอะไรอยู่เฮ้ย!!!!"
โป๊ก!!!
"โอ้ย!! อูย......ใครดีดหัวผมเนี่ย......."
"เจ้าบ้าเอ๊ย มัวทำบ้าอะไรเนี่ย"
คนข้างผมกำลังโวยเล็กน้อย
"โทษที ชั้นมักจะเหม่อลอยอยู่ประจำน่ะ ว่าแต่นี่เป็นวันสุดท้ายสำหรับ ม.ต้น ปี 3 สินะ"
"อ่าหะ" เขายืนยัน
"ชั้นมีเรื่องจะ.....เออ...เอาไว้คุยตอนไปร้านอาหารละกัน"
"เอ๋? ก็ได้"
ครับ นี่คือวันสุดท้ายของการเรียน ม.ต้นปี 3 ของโรงเรียนที่ชื่อว่า Meisei ซึ่งผมเข้ามาเรียนในตั้งแต่ ม.ต้นปี 1 แล้ว โรงเรียนนี้ก็ไม่ได้ว่าแย่เลย กิจกรรมน่าสนใจดี(เพ้อและ) ตั้งแต่อยู่โรงเรียนมา ผมก็ไม่ได้แสดงอะไรมากมายให้เห็น ผมคงรู้ดีว่าผมคงไม่มีอะไรเด่นๆ ไปบอกหรอกว่าเราทำแบบนั้นได้ อะไรประมาณนี้(มั้ง) แต่ถึงจะไม่ได้เป็นโรงเรียนที่เอาเด่นอะไรมากมาย ชื่อเสียงหลักๆ ก็แค่เรื่องกีฬาเอง แต่ผมเองก็อยู่มาที่นี่ 3 ปี ผมก็ได้ความสุขมาเยอะแล้ว ถึงมีเรื่องวุ่นวายก็ตามอย่าง ถูกเรียกให้ไปช่วยกับคุณครู แต่แค่นี้ก็เต็มที่
อ๊ะ แนะนำตัวยังไม่ได้บอกไปเลยแฮะ ขออภัยในความเหม่อลอยจากเมื่อกี้ ผมชื่อว่า คางุยะ โทคิ ซึ่งผมไม่ได้เด่นอะไรเกินควรในที่โรงเรียนนี้หรอก ก็แค่เด็กผมยาวเกินเ่ข่านิดหน่อยเอง แล้วก็ปิดผมข้างขวา ส่วนใหญ่คนในโรงเรียนผมมักจะงุนงงกับเพศของผมว่าผู้ชาย หรือผู้หญิง เอ่อ ผมยังเป็นผู้ชายนะครับ ถึงหน้าผมจะเป็นผู้หญิง ทรงผมก็ผู้หญิงอีกก็ตาม แต่ขอย้ำขอเตือนว่า ผมเป็นผู้ชายทั้งส่วน!!!
แล้วส่วนคนที่มาโขกหัวผมเพื่อช่วยให้ผมได้สติเมื่อกี้คือ โอเรมะ คิซาเมะ ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผมเอง เจ้านี่หน้าตาดี แต่ออกจะโหดกับผมคนเดียวเป็นหลัก (ไม่ใช่เกย์ ประมาณเป็นเพื่อนแท้นะเออ) แต่ในบรรดาเพื่อนรู้ใจ เป็นเพื่อนที่ช่วยเราเต็มที่ที่สุด เสียอย่างเดียว คือ มันชอบแกล้งผมอยู่เป็นเนืองๆ อยู่ แต่ผมก็ไม่อยากจะโต้ตอบอะไรกับมัน ผมชินแล้วด้วย เออ...ลืมบอกไป เจ้านี่ผมยาวมาก แต่ยังไม่ถึงเข่า
เห็นแบบนี้พวกเราเองก็ไม่ได้นิ่งเฉยนะครับ เข้าเรื่องต่อนะครับว่าจะเป็นไงต่อไป
1 ชั่วโมงผ่านไป
ณ หอประชุมของโรงเรียนนี้
"โทคิ นายไม่มีอะไรจะพูดกับรุ่นพี่หรือ"
"ผมกลัวไปพูดให้เขาเสียใจครับ การลาจาก ถึงไม่พูด หรือพูดก็ตามที มันก็สร้างความเสียใจได้เหมือนกัน"
ผมพูดไปด้วยเสียงอันเย็นชา
"อืม ตามใจ ผมเองก็ไม่บังคับคุณหรอก"
ผมได้มายืนตรงบริเวณที่เหล่ารุ่นพี่ ม.ปลายปี 3 ที่จะจบจากที่นี่ แล้วจะทำอาชีพต่อ หรือไปเรียนเพิ่มที่มหาวิทยาลัย สิ่งที่ผมพูดไปในบทสนทนา ผมไม่กล้าพูดให้รุ่นพี่เสียใจ เพราะผมทราบดีว่า ผมกลัวไปทำลายความสุขของคนที่จะจบการเรียน แต่จะให้ผมพูดยังไงดีล่ะ ผมมักกลัวกับการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเนี่ยสิน้า........
"เอางี้ นายไปช่วยฝากข้อความให้ เผื่อ MC มาเรียกผม อันนี้คือ แผ่นกระดาษที่ผมเขียนให้กับรุ่นพี่ที่จะจบละกัน ผมไปอยู่หน้าหอประชุมล่ะ"
"เฮ้ย เอาจริงรึเนี่ย"
"ผมเอาจริง"
"แล้วนายไม่กล้าพูดเลยเรอะไง นายจะยังปกปิดตนเองอยู่เรื่อยๆ มาเลยหรือ"
เขาพูดเสร็จ ผมเลยโมโหแบบเงียบๆ กลับไป
"ผมใน ณ ตอนนี้ ไม่มีอะไรจะเด่นไปสู้พวกที่อยู่รอบๆ ผมไม่มีความจำเป็นที่จะไปพูด เพราะผมไม่กล้าแกร่งมากพอที่จะจะทำตัวเด่นครับ เอาเป็นว่าเสร็จงานนี้เมื่อไหร่ก็อย่าลืมมาหาผม แล้วมากับผมที่ร้านอาหารที่ผมจะไปด้วย"
ผมพูดไปด้วยน้ำเสียงขึงขัง ผมไม่อยากแสดงความเกรี้ยวโกรธให้ใครเห็น ผมต้องการสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า "ความสันโดษ" พอตัวเลยล่ะครับ
ต่อมาเจ้านั่นก็ตอบด้วยความจำเป็นมาทางผม
"ก็ได้ ก็ได้ ชั้นทำแทนให้ โอเคไหม"
เขายืนยันด้วยความไม่เต็มใจ แต่ทำไงได้
"โอเค ผมไปก่อนล่ะ"
สักพัก ผมก็เดินออกจากหอประชุม โดยไม่สนเพื่อนทั้งชาย และหญิงที่มามองผมเลย ผมเดินท่ามกลางกับเสียงรอบข้างของผู้คน แต่ผมก็ไม่ได้ฟังมัน และผมก็เดินไป ทำเป็นเงียบ ทั้งๆ ที่ผมไม่รู้ว่านี่คือการเหยียดหยามรุ่นพี่แบบอ้อมๆ แต่ผมจำใจต้องทำ เพราะผมไม่ได้มีความกล้าพอที่จะพูดต่อหน้ารุ่นพี่
30 นาทีต่อมา
ผมได้ยินเสียงเฮต่างๆ จากรอบๆ ข้าง ประมาณว่าฉลองอะไรกันประมาณทำนองนี้แหละนะ บางคนก็มีอารมณ์แตกต่างกันไป บ้างก็ฉลองไปกินกันที่ร้านอร่อยๆ บ้างก็ไปบอกพ่อแม่ของเขา บ้างก็ไปลุยทำตามใจตนเอง หรือทำงานต่ิอ
สักพัก เจ้าโอเรมะมาหาผม
"พิธีจบการศึกษาเสร็จแล้วนะ นายจะไปที่ไหน"
"ผมคิดว่าจะไปตามที่ผมคิด แต่ผมเปลี่ยนใจให้นายเลือกเองดีกว่า"
"อ่าว ทำไมล่ะ"
"ผมตามใจตนเองมากเกินไปเมื่อกี้ ผมเลยคิดว่าจะให้นายเลือกแทน"
"แล้วถ้าสมมติว่าร้านมันแพงล่ะ"
"ไม่ต้องห่วง ผมจัดการจ่ายแทนให้ครับ"
"โอเค ก็ได้ ตามผมมาละกัน ชั้นขี่จักรยานยนต์"
เจ้านี่มันชอบจักรยานยนต์แต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาเก็บเงินเองเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่พูดตามตรงนะ อยากให้นายขับ Scooter มากกว่า มันเสียงเบากว่า แถมกินไฟก็ไม่สิ้นเปลืองแบบจักรยานยนต์ ใช้ไฟฟ้าแทนด้วย
"อ่าหะ" แต่ผมก็ยอมตอบกลับไป
"กลัวเรอะ ชั้นไม่ซิ่งหรอกน่า"
"กลัวนายหลงทิศต่างหากครับ"
กวนหน่อยนะ หึๆ
"เอ้า!!! กวนเว้ย เฮ่อ.....ช่างเถอะ ขี่ตามหลังชั้นละกัน จบนะ"
"เออน่า"
บรื๊นๆๆๆๆ!!!!
ไม่ได้ว่านะ แต่คนรอบข้างคงรำคาญเสียงบิดจักรยานยนต์ของนายเนี่ย
"แล้ว.......เรื่องที่ว่าจะคุยนี่มันอะไนกัน ยูกิโทคิ"
เจ้านั่นถามด้วยความสงสัยสุดๆ แต่ผมก็ยอมตอบกลับ เพราะเราเป็นคนพูดเอง ชวนเอง
"เรื่องการเรียนต่อน่ะ"
"งั้นเรอะ ถ้างั้นถึงที่ร้านจะคุยกันตรงๆ ด้วยหรือ"
"แน่นอนสิ และมันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวผมด้วย"
"โอเค ถ้ามันสำคัญขนาดนี้ก็จะพยายามคุยด้วยละกัน"
ผ่านไปประมาณ 30 นาที
"ถึงแล้วล่ะ ร้านที่ชั้นชอบกินประจำ"
ร้าน......ที่ว่ารึ......ชื่อว่า......โอโคมิยะ.....เออ เดี๋ยวนะ ทำไมรู้สึกแปลกๆ เดี๋ยวขอไปดูรอบร้านแต่ยังไม่ถึงกับเข้าไปหรอก
หลังจากผมคิดได้สักพัก ผมพยายามลองเดินรอบๆ ประมาณ 2 รอบของร้านด้านหน้า ผมไม่ได้เคืองไรหรอกนะ แต่ที่นี่มัน...ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมารับประทานมากกว่าผู้ชาย เจ้านี่เลือกร้านนี้ทำไมเนี่ย คิดอะไรอยู่เนี่ย เจ้าบ้าเอ๊ย!!
แย่ล่ะสิ........เจ้านี่กุมจุดอ่อนชั้น!!
"ถ้าเป็นร้านนี้ คงสามารถคุยกันได้ง่ายหน่อย"
"ง่ายที่ไหนเฮ้ย!!! ลูกค้าแทบทั้งร้านเป็นผู้หญิงมารับประทานอาหารกันแบบนี้ ผมไม่กล้าพอที่จะฝ่าดงขนาดนั้นหรอก!!!"
ผมโวยใส่ด้วยความจริงจัง แต่เจ้าโอเรมะพูดเชิงโวยเล็กน้อย ประมาณตะเบ่งเสียงแรงหน่อย
"ชั้นอุตส่าห์พามาที่ร้านที่ห่างจากโรงเรียนพอสมควรนะ!! เดี๋ยวเรื่องสำคัญของนายไปถึงหูคนอื่น มันอาจจะไม่เป็นเรื่องดี!"
จริงแท้นะที่เจ้านี่ดูไร้สาระ แต่เขารู้ผมมากกว่าใคร ผมเลยยอมทำใจฟังเขาได้มากกว่าใครด้วยเช่นกัน
"ก็ได้ เข้าไปในร้านกันเถอะ"
"อืม แน่นอน"
เขาทำเสียงยิ้มแย้มกลับ แต่ผมคิดแล้วสงสัยว่าในร้านมันจะเป็นไงล่ะสิเนี่ย ผู้หญิงแทบทั้งร้าน......
เมื่อเข้ามาที่ร้าน ลูกค้าผู้หญิงที่มารับประทานกัน ล้วนดูเป็นคุณหนูกันเยอะพอสมควร เอ๋ เดี๋ยวนะ.....
นึกออกล่ะ!!!!
ร้านนี้ผมเคยไปค้นหาใน google ว่าร้านไหนที่เสิร์ฟอาหารแนวญี่ปุ่นได้หลายรูปแบบ และมีราคาที่อยู่ในระดับไม่แพง แต่เสิร์ฟซะหรูพอตัวก็ร้านนี้นี่เอง เจ้าโอเรมะเลือกร้านได้เก่งจริงๆ เขาคงคิดถูกที่พามาร้านที่ได้ประโยชน์ทั้งการคุย การกินไปด้วย
ร้านโอโคมิยะส่วนใหญ่เสิร์ฟอาหารญี่ปุ่น แต่คุณภาพ และความหรูหราเกินราคา แถมเจ้านี่มันไปกินประจำจนมันบอกเราว่า "อร่อยเลิศ" ตัวร้านใส่พวกดอกไม้ และของประดับต่างๆ ออกแนวผู้หญิงเป็นหลัก และร้านนี้มันก็เป็นประมาณตึกด้วย ตัวร้านกว้างพอสมควรเลย จุได้กว่า 100 คน
เอาล่ะ ลุยกันต่อละกัน
"สวัสดีค่ะ"
แล้วทันใดนั้นเหล่าสาวๆ ก็รุมกรี๊ดเจ้าโอเรมะ
"นั่นมันโอเรมะนี่นา!!!"
"ว้าย!!!!! กรี๊ด!!!!!!"
เจ้านี่ดังพอตัวจริงๆ เลย แต่ที่ดังกว่าคือ ผู้หญิง เพราะเสียงนี่แหละ ดังซะจนลั่นร้านไปหมด ทีนั่งทานข้าวเนี่ยดูยังกะหน้า Poker Face หรือพูดคุยกันแท้ๆ แต่พอเจ้านี่มาก็ร้องกรี๊ดซะลั่นต่อหน้าเลย เออ ผู้หญิงสมัยนี้เ็ห็นใครหล่อก็อยากคบ อยากเป็นแฟนคลับเลย ว่างั้น
"จะว่าไป พาฉันมาทำไมเนี่ย"
"ชั้นจองห้อง VIP น่ะ"
งี้นี่เอง! เราก็ลืมนึกสนิท
มันมีห้อง VIP ด้วย ซึ่งห้องนี้สั่งและกินอาหารไปพร้อมๆ กัน แต่ดีกว่าที่ว่ามีกระจกลดเสียงชั้นดี และมีห้องแยกอีก 2 ห้องก็คือ ห้องสำหรับเล่นดนตรี ร้องคาราโอเกะ และห้องสำหรับเล่น WI-FI หรือ Hotspot นั่นเอง แต่เสียอย่างเดียวคือ ห้อง VIP มีแค่ห้องเดียว
แต่โดยรวม เจ้านี่เลือกร้านได้ดี ช่วยเราได้เยอะเลย
"นี่ โอเรมะ ใครตามนายมาด้วยเนี่ย ดูเหมือนผู้หญิงน่ะนั่น"
เมื่อผมได้ยินแบบนี้มันก็เคืองยังไม่รู้แฮะ ผมเลยใส่เสียงด้วยความเซ็งไป
"ผู้ชายครับ......" พร้อมเกาหัวไปด้วย
"ไม่เลยสักนิด!!! ดูยังไงก็เป็นผู้หญิงชัดๆ!!"
เฮ่อ ก็บอกไปกี่ครั้งแล้วว่าผู้ชายก็ผู้ชาย กระผมเหมือนผู้หญิงมากเลยเรอะไง!!!
"ห้อง VIP ว่างค่ะ"
"ดีและล่ะ จะเข้ามาไหมว่าเป็นยังไง"
"เออๆ"
เฮ่อ ยังหายอารมณ์เสียไม่หายเลย แต่ช่างเถอะ ตามเจ้าโอเรมะไปดีกว่า ขี้เกียจเถียง
ผ่านไปสักพักประมาณ 5 นาที
"เป็นไง ห้อง VIP ดีไหม"
"มันก็ดีอยู่หรอก แต่ห้องมันดูกว้างโล่งไปนิดสำหรับชั้นแฮะ"
"ฮ่าๆ แบบนี้ก็ดี ว่าแต่นายจะคุยเรื่องสำคัญไม่ใช่เรอะไง นายลืมไปยัง"
"จริงสิ เกือบลืมไปเลย คืออย่างงี้นะ....."
"?"
"ชั้นมี 2 ทางเลือกว่าจะอยู่โรงเรียนนี้ต่อดีไหม หรือจะไปเรียนที่อื่นน่ะ เพราะผมเองก็คิดว่าถ้าอยู่ที่นี่ต่อ อาจจะเหมือนเดิม แต่ต้องมาใช้ชีวิตราวกับเป็นหินแข็งๆ หรือชั้นจะไปเรียนที่อื่น อาจจะไม่คุ้นเคย แต่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไปในนั้น ทั้ง 2 มันเลือกยากเฟ้ย บอกตามตรง"
โอเรมะได้ยินแล้วพูดกับผมด้วยน้ำเสียงอันซีเรียส
"แล้วนายคิดได้รึยังว่าจะอยู่ต่อ หรือไปเรียนที่อื่น นายต้องเป็นคนตัดสินเองนะ ไม่ใช่ชั้น"
"แล้ว.....จะให้กระผมพูดไงล่ะ ผมเองก็ยังนึกไม่ได้เลย"
"โว๊ะ......เอางี้ กินข้าวกันก่อน แล้วนายจะได้สงบสติไปด้วย"
"ตอนนี้สงบไม่ได้เฟ้ย!"
"สตินายกำลังเดือดขนาดนี้ เอาเวลากินเป็นเวลาสงบอารมณ์ก็ได้"
"เฮ่อ....โอเค"
ผ่านไปสักพักตอนใกล้จบบทสนทนา ก็มีอาหารต่างๆ เข้ามาเสิร์ฟ เป็นอาหารญี่ปุ่นแต่จัดหรูหรา แล้วราคามันน่าจะไม่ใช่น้อย เออๆๆ ชั้นจ่ายแทนให้ก็ยอมล่ะว้า
"ว่าแต่ขอเข้าเรื่องเลยละกัน"
"ตอนนี้เลยเรอะไง นายกินซะรีบเลยนะ"
"ก็ผมไม่อยากเสียเวลามากมายน่ะสิครับ แล้วที่สำคัญ ผมเองก็ไม่อยากจะเปลืองเวลา ณ ตอนนี้ให้มาก และผมต้องเคลียร์เรื่องการเรียนต่อด้วย"
"นายจะร้อนกับมันไปทำไม"
"มันมีผลต่ออนาคตชั้น และชั้นเองก็อยากให้นายคิดด้วยสิว่า เป็นชั้น นายจะคิดยังไงต่อ"
"ชั้นตอบไม่ได้เฟ้ย"
"เฮ้ย!! ทำไมถึงตอบแบบนั้น"
แล้วเขาก็ตะคอกใส่
"บางเรื่อง ตัวเราเองเท่านั้นที่รู้เฟ้ย!! ไม่ใช่ทุกเรื่องให้ใครมาเป็นตัวแทนได้หรอก!"
เมื่อโดนคำพูดนี้เข้าไปทำให้เราพูดอะไรไม่ออก เพราะเพียงแค่ประโยคเดียว แต่แทงซะลึกล้ำ งั้นไม่มีทางเลือกล่ะ ผมจัดการเองดีกว่า
"ไม่พูดเพิ่มล่ะ จบเรื่องแค่นี้ รีบกินข้าวให้เสร็จเถอะ"
"อ่าว ทำไมจบไวล่ะ"
"ได้คำตอบแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจน เดี๋ยวไว้วันใหม่ละกัน"
"เออๆ"
คำตอบจริงๆ ได้มานานแล้ว แต่เก็บเป็นความลับจะดีกว่าจริง แถมเป็นการแกล้งมันทางอ้อมด้วย
หลังจากทานอาหารเสร็จ ผมได้ไปที่จ่ายเงินของร้านนี้ แล้วผมก็นำบัตรเครดิตไปจ่าย ซึ่งมันสะดวกดี แต่ไม่ใช่ประเด็นหรอก ประเด็นก็คือ ค่าใช้จ่ายต่างหาก ซึ่งเมื่อรวมอาหาร และห้อง VIP ไปด้วย รวมไปแล้วก็ปาไป 1 แสนกว่าเยน โอ๊ย.......แต่ช่างมันเถอะ เราเป็นรับปาก และรับผิดชอบเองว่าจะเป็นคนจ่ายค่าอาหาร และอื่นๆ ให้ ปากเราแท้ๆ..........
ผ่านไปสักพัก โอเรมะก็พาส่งที่บ้านเราให้ เพราะเขาใจดีที่เลี้ยงอาหารให้เขา เจ้านั่นเลยยอมส่งผมไปที่บ้านด้วยความยินดี และเราเองก็ใกล้จะเหนื่อยแล้วด้วย ถือว่าเป็นช่วงที่ดีสำหรับผม ผมก็เลยเข้าบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน
"กลับมาแล้วครับ"
"สวัสดีจ๊ะ ลูกรัก"
นี่คือ แม่ผมเอง ใส่ชุดแม่บ้าน ดูเหมือนคนธรรมดา แต่จริงๆ สวยนะครับ สูงน้อยกว่าผมประมาณ 10 เซนได้มั้ง แต่ว่าดูอายุแล้ว ยังกับ 18 ด้วซ้ำ คุณแม่นี่ก็.....นะ ยังจะสวยไม่สร่างไปไหนครับเนี่ย
"แม่ครับ ผมยังนึกไม่ออกเลยครับว่าจะเรียนต่อรึเปล่า แต่วันนี้ผมเหนื่อย ขอนอนไวก่อนนะครับ"
"จ๊ะ แล้วอย่าลืมบอกแม่ด้วยนะจ๊ะ"
"วันนี้ผมปวดหัวจริงๆ ครับ บอกตรงๆ ผมไม่สามารถตอบคำถามกับชีวิตกับตัวเองได้จริงๆ"
ผมเหนื่อย และผมก็ไม่รู้ว่าถ้าอยู่ต่อไป ชีวิตผมอาจจะไม่มีความหมายมากขึ้นก็เป็นได้ เพราะอะไรไม่รู้จริงๆ แต่แม่ได้ปลอบใจผมกลับแทนไป
"อืม จะว่าไงดีนะ แม่คิดว่าลูกน่ะต้องตอบของลูกเองน่ะดีที่สุด ลูกไม่จำเป็นต้องเอาคำปรึกษาจากใครมาใช้ทั้งหมดเสมอไป เพราะเขาไม่ใช่ตัวเราที่จะมาเป็นตัวลูกได้หรอก ลูกตัดสินใจของตัวลูกเถอะ ถึงจะเปลี่ยนสถานที่ศึกษา แม่ไม่ว่าหรอก แม่แค่อยากให้ลูกเป็นคนดีเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง หรือเป็นคนรวยมีฐานะ ลูกเป็นของตัวลูกเองน่ะ ดีที่สุดแล้วจ๊ะ"
พูดทำนองเดียวคล้ายกับเพื่อนเราเลยนะครับ
"อย่าให้เป้าหมายยึดติดมันมากเกินไปจนต้องคาดหวังกับมัน ไม่มีอะไรที่ลูกจะได้มันมาแล้วอยากได้เสมอไปนะจ๊ะ"
คุณแม่อาจจะดูธรรมดาก็จริง แต่แม่ผมเองก็ค่อนข้างเป็นห่วงผมไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ผมเลยตอบกลับด้วยความเต็มใจไป
"ขอบคุณมากครับแม่"
"จ๊ะ นอนฝันดีนะ"
เมื่อผมพูดเสร็จไปแล้ว ผมทำกิจกรรมของเวลากลางคืน แล้วเข้าไปนอน
เฮ่อ......เหนื่อย และก็เซ็งยังไงก็ไม่รู้จริงๆ แต่ละชีวิตที่ผ่านมาใน ม.ต้น แล้วผ่านไป 3 ปีมานั้น บอกตามตรงว่าเซ็งบ้างอยู่เหมือนกัน โรงเรียนนี้มีเพื่อนที่เรียกได้ว่าไม่อยากคุยด้วยใหญ่ และชั้นก็ไว้ใจเฉพาะเจ้าโอเรมะเท่านั้นเอง เพราะแต่ละนิสัยของนักเรียนในโรงเรียนนี้บอกตรงๆ ว่าน่าเบื่อพอสมควร
เจอเพื่อนๆ ที่ดีมันก็มีอยู่ แต่ให้ตายเถอะ คุยกับผมไม่รู้เรื่องเลย พวกนี้มันเอาแต่คุยในสิ่งที่ไม่ใช่สาระเลย เหมือนจะเรียนผ่านไปวันๆ ก็จริงอยู่ที่ว่าจะมีแบบนี้ได้ แต่ควบคุมไม่อยู่จริงๆ แล้วก็ล่อพูดไปหลายนาที เฮ่อ......ไร้สาระ เราก็คิดว่าจะพูดเกี่ยวกับการเรียน แต่จะต้องมาเจอกับพวกไร้สาระมากกว่าสาระก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เฮ่อ......
ปวดหัวเฟ้ย หรือว่าเราจะต้องไปเรียนที่อื่นดีกันแน่ แต่เราอาจจะต้องมาเจอชะตาเดียวกันอีก
นอนดีกว่า คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ
....
......
...?
.....??
.....!?
นี่มันที่ไหนกัน
แล้วเรามานอนมองบนฟ้านี่นา
ผมสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้น แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แล้วพยายามแอ่นหน้ามองรอบๆ ทั้งซ้าย และขวาอย่างละเอียด และค่อยๆ หันไปหันมา มันให้ความรู้สึกโล่งใจยังไงไม่รู้
แต่ผมเองก็ยังไว้ใจไม่ได้ว่าทำไมผมถึงได้มาถึงความฝันนี้ได้ล่ะ มันมีเหตุบางอย่างอะไรหรือที่ผมถูกดึงเข้าไปในความฝันนี้
...
.....
.......
ผมนึกไปได้สักพักก็รังแต่จะเสียเวลาเปล่าๆ เลยตัดสินใจเดินต่อไปอีก
"แซ่ดๆ"
เสียงอะไรกัน?
"แซ่ดๆๆๆ"
ผมได้เสียงบางอย่างจากด้านหน้าได้ยินอย่างแผ่วๆ แต่เสียงของมันต่อเนื่องจนไม่อาจพูดได้ว่ามีเพียงคนเดียวเสมอไป ผมเกิดความสงสัยเลยเริ่มเดินเร็วขึ้น แต่ทว่ารอบๆ ข้างเหมือนไม่มีอะไรเลย มันเหมือนสู่ความเวิ้งว้างอย่างบอกไม่ถูก ว่างเปล่าจนคิดไม่ได้เลยว่าจะเดินต่อแล้วเจออะไรอีกไหม
ผ่านไป 20 นาที
แฮ่กๆ
ให้ตายเถอะ เดินมาขนาดนี้แล้วมันไม่มีอะไรเลยหรือ เราจะต้องมาหลงทางแบบนี้หรือ เฮ่อ.....
ผมเลยใกล้จะนอน แต่ทันใดนั้นเอง มีบางอย่างเข้ามาที่หลังผม
"ปึ่ก"
ผมตกใจเล็กน้อยกับบางอย่างที่เข้ามาหลังผม ซึ่งผมก็กลัวอยู่ว่าจะหันกลับไปไหม ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายไหมด้วย แต่ผมตัดสินใจหันกลับอย่างไม่มีทางเลือก แต่สิ่งที่ผมหันกลับไป เป็นผู้หญิงที่ใส่ชุดนักเรียนที่ไม่เหมือนชุดนักเรียนหญิงของโรงเรียนผมเลยสักนิด แม้ว่าจะคล้ายคลึงกัน แต่ชุดนักเรียนหญิงที่ผมเห็นกลับใส่ผูกโบน้ำเงินอ่อน ชุดนักเรียนนอกเป็นแขนยาว สีน้ำเงินอ่อนเช่นกัน ไม่มัดลำตัว ส่วนกระโปรงเป็นสีดำ แล้วก็ผมไม่สามารถมองเห็นหน้าตาได้เลย แต่ว่าสีผมกลับเงางาม แล้วก็ผมยาว ผมเลยยังงงว่าทำไมถึงมีสาวสวยในความฝันของผมได้ล่ะ
และต่อมา ผู้หญิงที่เข้ามาหลังผมก็จ้องทำตาบ๊องแบ๊วใส่ผมโดยไม่ทันตั้งตัว ตาเป็นสีเขียวประกายใส่ผม
"เดี๋ยว ผม....ผมทำอะไรผิดหรือ?"
แต่พอพูดไม่ทันขาดทำ เหล่าผู้หญิงที่ผมไม่รู้จักอีกได้เข้ามาหาทางผมรอบๆ ตัว ตอนนี้ผมงงไปเรียบร้อย และผมก็หน้าแดงพร้อมตกใจสุดขีดในใจ และพวกเขาก็เริ่มเข้ามาใกล้ประชิดผมไปอีกทีละนิด และมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย.....!!!!!
"ว้ากกกกกกกกกกก!!!!!!!!!"
หา? ที่นี่มัน?
"เฮ่อ....เฮ่อ.......เฮ่อ......"
ห้องนอนเรอะนี่
ผมตกใจอย่างสุดขีดอย่างไม่เคยคิดมาก่อน ให้ตายเถอะ ฝันอะไรกันเนี่ย.....
"ก๊อกๆ"
เสียงเคาะประตู.......แม่เรียกเราหรือ?
"แม่ได้ยินเสียงร้องของลูกน่ะ เป็นอะไรหรือจ๊ะ?"
"ไม่ครับ แค่ฝันร้ายเฉยๆ น่ะครับ"
"อ่อ งั้นหรือ ว่าแต่นี่มันเช้ามืดแล้วนาประมาณตี 5 ครึ่งนี่แหละ ลูกจะทำอะไรต่อหรือ"
"ยังไม่รู้เลยครับ"
"โอเค มีอะไรบอกแม่นะจ๊ะ"
"ครับ"
.....ผมตัดสินใจนอนต่อ
"........Amai koi to ai wo egaite Kimi no koto toriko ni suru no"
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงได้รับข้อความเป็นเพลง Magic of Love ของวง Perfume มา
ผมเลยตัดสินใจไปดูข้อความในโทรศัพท์ Samsung galaxy note 2 สีขาวของผม ซึ่งเจ้าโอเรมะมาส่งให้ผมนี่เอง ไหนๆ ก็อ่านหน่อยละกัน
"ถึง ยูกิโทคิ คางุยะ
เวลา 5:40 AM
เรื่อง เรียนต่อมัธยมปลาย
สวัสดีนะ กระผมได้ข่าวสำคัญจากผู้อำนวยการมาตรงๆ โดยผมได้รับมาเมื่อวาน ขออภัยด้วยนะที่ผมไม่ได้บอกไปในตอนไปรับประทานอาหาร ด้วยกันที่ร้านโอโคมิยะ ซึ่งผมเห็นคุณกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ แม้ว่านายจะตอบกลับกับชั้นไปแล้วจากที่ว่าจากเมื่อวาน
แต่ในการให้ข่าวสำคัญครั้งนี้ นายจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นว่านายจะอยู่ที่นี่ต่อ เพื่อเรียนเป็นเรื่องธรรมดา หรือนายจะเลือกไปเรียนที่อื่น เพื่อมองหาอนาคตที่มากกว่าโรงเรียนที่นายเรียน และชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของนายไปด้วย เตือนแล้วไม่มีการเตือนอีก เพราะเรื่องนี้นายต้องรับผิดชอบเองเท่านั้น แต่ผมเองก็จะไม่ยุ่งเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เรื่องนี้ นายมาหาผู้อำนวยการ 8 โมงเช้าเลย เพราะท่านคงไม่มีเวลาคุยมากมายกับใครนัก
ขอให้นายตัดสินใจทีเดียวจบไปเลย โอเคนะ
คิซาเมะ โอเรมะ"
ข้อความนี้ ท่าจะไม่เล่นแล้วล่ะ โอเรมะส่งแบบเอาจริงด้วย ไม่งั้นเขาไม่ส่งในเวลาเช้ามืดแบบนี้หรอก
ไปดีกว่า คำตอบอาจจะดีกว่าที่คิด (แต่ทำไมยังรู้สึกseoสันหลังจากฝันครั้งนั้นหว่า)
ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ
ตอนนี้เวลา 7:15 AM
"แม่ครับ ผมไปล่ะครับ"
"จ๊ะ"
หลังจากที่บอกแม่ว่าจะไปที่โรงเรียนแล้ว ผมก็นั่งรถประจำทางไปโรงเรียน Meisei แล้วผมก็ได้พบโอเรมะทางหน้าโรงเรียน
"ในที่สุด นายก็มาจนได้นะ"
"ก็มันสำคัญนี่นา เรื่องแบบนี้"
"ที่จริงผมกะจะไม่บังคับนายแล้วนะ แต่เห็นว่านายทำหน้าเครียดซะตั้งแต่เมื่อวาน เลยต้องบอกไปตรงๆ แบบนี้"
"แล้ว.....เรื่องที่ว่านี้ต้องไปที่ห้องผู้อำนวยการใช่ไหม"
"อุตส่าห์ส่ง Mail ไปให้ ก็น่าจะรู้แล้วนี่"
"อ่าหะ ถ้างั้นผมไปล่ะ"
"แล้วมาบอกด้วยนะเฟ้ย ไม่งั้นผมคงไม่รู้ว่านายจะอยู่ที่นี่ต่อด้วยรึเปล่า"
"อ่าๆ คงไม่นานหรอกมั่ง"
หลังจากที่ผมทักทายเจ้าโอเรมะสักพัก ผมก็ไปที่ห้องของผู้อำนวยการอย่างใจเย็นที่สุด เพราะผมคงไม่สามารถรู้ได้หรอกว่าผู้อำนวยการของผมจะพูดอะไรออกมา แต่ที่แน่ๆ ต้องเกี่ยวกับอนาคตที่จะเกิดขึ้นของการเรียนต่อของผมแน่นอน
และผ่านไปจนถึงประมาณ 8 โมงเช้า ผมก็ได้มาที่หน้าห้องของผู้อำนวยการ ซึ่งผมก็ได้เคาะประตูไปเบาๆ 3 ครั้ง
"เข้ามาได้"
และผมก็ได้เห็นหน้าผู้อำนวยการซึ่งเป็นผู้หญิงร่างเรียว และหน้าตาเหมือนนางแบบอยู่เลย แล้วก็สวยไม่สร่างเช่นเดียวกับแม่ผม ถึงจะมากกว่า 30 ปีก็ยังคงความสวยแบบนี้ได้อีก แต่การแต่งตัวสุภาพพอสมควร ซึ่งผู้อำนวยการโรงเรียน Meisei คนนี้ชื่อว่า ซาคุยะ ซากิ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการคนปัจจุบันของโรงเรียนเมย์เซย์ และเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้ด้วย เป็นรุ่นที่ 10 นี่แหละครับ แต่การจะเป็นรุ่นได้จริงๆ ต้องจบ ม.ปลายปปี 3 เท่านั้น ถึงจะสามารถเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้ได้
เมื่อผมเห็นหน้าผู้อำนวยการ ท่านก็บอกผมอย่างสุภาพ
"โทคิ ฉันได้ข่าวดีและเป็นข่าวสำคัญเกี่ยวกับอนาคตของตัวเธอด้วยนะ นั่งลงสิจ๊ะ"
ผมนั่งลงด้วยความสุภาพ และเงียบเชียบ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
"ทำหน้าเครียดทำไมหรือ อย่าให้ความเครียดตกอยู่ภายใต้ความคิดมากจนเกินไปสิจ๊ะ"
ผมตกใจนิดๆ กับคำพูดที่ผู้อำนวยการพูดออกมาทางผมตรงๆ ผมยังไม่สามารถประคองความเครียดให้ความเครียดนั้นสามารถช่วยตัวผมได้เต็มที่ เพราะอนาคตที่จะมาถึงต่อจากนี้มันทำให้ผมเกิดความเครียด ความกังวลใจที่มากมาย ผมไม่รู้แล้วว่าไม่ว่าทางไหนก็ตาม ผมพูดตามตรง กังวลกับเส้นทางที่จะไป แล้วเกิดขึ้นในอนาคตทั้ง 2 ทางเลือกด้วยซ้ำ แล้วที่สำคัญ ผมคิดว่าไม่ว่าทางไหนมีทั้งเสีย และดีหักล้างกัน ไม่มีทางไหนที่จะไม่เจอข้อเสีย และข้อดี นี่คือความท้าทายจริงๆ ผมไม่อาจจะพูดเต็มปากว่านี่คือความยากของผม แต่มันก็สร้างความท้าทายผมไม่น้อย
แต่ยังไงก็ตาม สู้สุดใจไปเลย ผมพร้อมแล้ว
ผมพยายามปรับสภาพอารมณ์ แล้วค่อยๆ ผ่อนอารมณ์ความเครียดกับสิ่งนั้น ถึงผมจะทำได้ไม่เต็มที่ แต่ผมก็เริ่มใจเย็นขึ้น และเริ่มสามารถพูดคุยกับผู้อำนวยการได้ดีขึ้นแล้ว
"จะเริ่มเรื่องกันเลยไหมครับ?"
"ยังหรอกจ๊ะ อยากจะคุยเรื่องส่วนตัวของหนูบ้างหน่อยนะ"
"ได้ครับ...."
"อาจารย์จะไม่บอกใครหรอก เพราะเรื่องส่วนตัวไม่ว่าใครก็คงไม่อยากบอกให้หมดหรอก จริงไหม?" อาจารย์ปนยิ้มขณะตอบ
"คะ......ครับ...."
ผมเริ่มรู้สึกประหม่าไปบ้าง คงเป็นเพราะผมไม่ค่อยเข้าสังคมกับใครอะไรมากมายก็เป็นได้
"ว่าแต่ ขอถามอะไรตรงๆ หน่อยนะจ๊ะ"
"อ่า ได้เลยครับ"
"คิดไว้รึเปล่าว่าจะมีแฟนน่ะจ๊ะ?"
อุ๊ก!....
คำถามนี้ มันแทงใจดำผมได้ชนิดที่เรียกว่าเอาดาบแทงหัวใจผมก็ยังไม่จุกได้เท่าคำถามนี้ไปเลย แถมเป็นการถามจี้จุดได้ตรงกับความคิดของผมได้อีก ผมโดนอ่านใจได้โดยไม่รู้ตัวเลยว่าอาจารย์จะต้องใช้คำถามนี้ เพราะที่ผ่านมา ผอ. ไม่ได้ใช้คำถามนี้เลยกับผมตั้งแต่ผมมาอยู่ ม.ต้น ตั้งแต่แรก แต่อาจารย์คงเกรงใจอ่านะที่ถ้ามาถามผมแต่เริ่มเข้าโรงเรียน คงจะไม่สนุกใช่ไหมนี่ แต่ก็อย่างที่อาจารย์ถามไปแบบนั้น เป็นเพราะเหตุผลหลักคือ ผมยังไม่มีแฟนตั้งแต่เข้ามาที่โรงเรียนนี้ ซึ่งผมไม่ใส่ใจกับสิ่งนี้มากมาย ผมสนใจแค่ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ แล้วก็เพื่อนแท้ผมเองก็คือ โอเรมะ ซึ่งคงไม่มีใครรู้จักผมได้ดีเท่านายคนนี้หรอก เจ้านี่รู้จักผมตั้งแต่เด็กในค่ายเพลงคือ อายุประมาณ 4 ขวบ แล้วก็ได้ทำงานร่วมกัน แต่ไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกัน จนกระทั่งมาเจอผมอีกก็ที่โรงเรียน Meisei ตอน ม.ต้นแรกๆ ไปเลย แต่ขอบอกตามตรงนะครับว่า ถ้าไม่มีเจ้าโอเรมะ ผมคงไม่มีเพื่อนที่จะมาเป็นคู่ทำงานชั้นเลิศกับผมได้จริงๆ หรอกครับ
เอาล่ะครับ ขออภัยที่ยืดยาว เข้าเรื่องต่อเลยละกัน
"ยังไม่มีครับ"
"น่าเสียดายจริงๆ นะเนี่ย จริงๆ หนูเหมือนผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอย่างมาก ตา หน้าตา ทรงผม มันทำให้หนูเหมือนผู้หญิงจนแยกหนูไม่ได้เลยว่าหนูน่ะยังเป็นผู้ชายอยู่จริงรึเปล่า ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงที่หนูพูดออกมาเป็นผู้ชาย ฉันก็แยกลำบากได้จริงๆ นะ ไม่ตัดผมออกไปหรือ"
"ผมไม่กล้าตัดออกไปครับ ตัดไปแล้วผ่านไปสัปดาห์นึงตั้งแต่ตอนเด็กๆ มาครั้งนึง ผมก็ไม่กล้าตัดมันอีกอ่าครับ"
"งั้นหรือ ฉันก็ไม่กล้าถามตรงนี้อีกละกัน เพราะฉันเองก็รู้ว่า ความผิดปกติของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ไม่ควรเอามาพูดเล่น เพราะสิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ ล้วนทำให้เกิดความทุกข์ได้เหมือนกัน แต่หนูเองก็ยอมรับสภาพกับความผิดปกติได้แล้วสินะจ๊ะ"
ผู้อำนวยการยิ้มตอบด้วยความแจ่มใส แต่แฝงไปด้วยความสงสารในขณะตอบ เสียงของอาจารย์มีความสั่นระริกกับอนาคตของตัวผมไปด้วย
"ผมยอมรับกับความไม่ปกติของผมได้แล้วก็จริง แต่ผมยังต้องนึกถึงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วยครับ เพราะอะไรน่ะหรือครับ?"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ผมได้ยินเสียงของอาจารย์ตั้งแต่เข้ามาครั้งแรกแล้วมันสั่นระริกอยู่ตลอดเวลา ผมไม่ได้พูดเกินความจริงนะครับ แต่....ผมเองก็เตรียมพร้อมแล้วครับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ผอ. พูดออกมาได้เลยครับ ผมเตรียมพร้อมแล้วครับ"
ผอ. ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มใจเย็นลง แล้วเตรียมพร้อมที่จะพูดกับเรื่องในวันนี้
"รู้จักโรงเรียน Izumi ไหม ยูจัง"
"รู้จักครับ"
โรงเรียนนั้นมัน.....เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่โด่งดัง และมีชิ่อเสียงเพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักเรียนหญิงระดับคุณหนูยันเรียบง่าย พูดง่ายๆ โรงเรียนนี้รับนักเรียนได้ทุกรูปแบบจริงๆ นี่แหละ แต่ที่ลือลั่นกันจริงๆ ก็คือ ส่วนใหญ่เป็นลูกของคนระดับสูงๆ เช่น นักธุรกิจ นักการฑูต นักแสดง และนักเรียนชายในนี้จะเพียง 1 ใน 10 ของแต่ละห้องเรียน แต่ก็เป็นลูกคุณหนูไม่แพ้นักเรียนหญิงเลยเหมือนกัน และการรับเข้าเรียนที่นี่ก็เป็นการสอบเสียอีก ซึ่งก็คัดยากจริงๆ แหละ เพราะแต่ละปีที่มาสอบโรงเรียนนี้ก็เยอะจนพูดไม่ออก เป็น 1,000 กว่าคนยังถึงได้เลย
"ผมเกรงว่าความสามารถอาจจะไม่ดีมากพอไปสอบที่นั่นน่ะสิครับ ผอ. ผมไม่ได้มีความโดดเด่นขนาดนั้นนะครับ"
"ไม่ๆ นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก ฟังข่าวดีก่อนละกันนะจ๊ะ"
"ข่าวดีหรือครับ? คืออะไรหรือ"
"เงียบแล้วจงฟังให้ดีนะ โทคิจัง"
"โอเคครับ"
"ข่าวดีที่ว่าก็คือ....."
"..."
"...."
"....."
"เอ่อ เงียบไปนาทีนึงแล้วนะครับ"
"ไม่งั้นก็ไม่ลุ้นสิจ๊ะ ฮิๆ"
ดู ผอ. ขำ........ ผมล่ะพูดไม่ออกแท้
"โอเค บอกแบบนี้ตรงๆ ไปเลยละกันนะคือ ทางโรงเรียน Izumi ได้ให้คางุยะ โทคิ เป็นนักเรียนของโรงเรียน Izumi ได้โดยไม่ต้องผ่านการคัดเลือกจากการสอบเลยจ๊ะ ขอแสดงความยินดีด้วย"
เอ๋.........หะ......หา~~!!!!!
เดี๋ยวก่อนสิ นี่มันบังเอิญชัดๆ ปกติ โรงเรียนนี้ต้องคัดเลือกนักเรียนนี่นา แล้วทำไมเป็นงี้ได้เล่า!!
"ผมงงตรงๆ เลยครับว่า ให้ผมสามารถเป็นนักเรียนโรงเรียนระดับสูงนั่นได้ไงล่ะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเด่นๆ ให้โรงเรียนนี้เลยนะครับ!!!"
"ไม่จำเป็นว่าต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์มากเกินขนาดนั้นหรอกจ๊ะ เป็นแบบในตัวของโทคิจังน่ะดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ"
เมื่อได้ยินคำนี้ ผมถึงกับกลืนน้ำลายไปพอสมควรเลย แต่ผมยังลังเลไม่กล้าตอบไปว่าจะเข้า หรือไม่เข้าโรงเรียน Izumi หรือเปล่า
"ไม่บังคับหรอกนะ เราจะเปลี่ยนเป็นนักเรียนคนอื่นๆ หรือไม่เปลี่ยน ก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของหนูว่าจะไปย้ายอยู่โรงเรียน Izumi รึเปล่าด้วยจ๊ะ"
ตอบลำบากจริงๆ จะว่าไปแล้ว........
ย้อนกลับไปตอนที่บอกว่ารู้ จริงๆ ผมคุยกับมันอีกมากมายเลยแหละ
นี่คือ ตอนที่กำลังจะใกล้กินเสร็จ เมื่อวานนี้
"เอ่อ โอเรมะ"
"อะไรอีกเนี่ย"
"ชั้นไม่รู้จริงๆ แหละว่าชั้นต้องการอะไรกันแน่นะ บอกไว้ก่อนนะว่า ชั้นโดนเื่พื่อนในชั้นเรียนบ่นใส่ชั้นลับหลังตลอดเวลาน่ะ นายอาจจะไม่ได้ยินก็จริง แต่ชั้นรู้สึกว่า แต่ละเสียงที่ผ่านมาตั้งแต่มาเรียนที่นี่ มันเยอะ และเป็นเสียงไม่ชอบชั้นอยู่ตลอดเวลา"
"โว้ย!!!!! เจ้าบ้าเอ๊ย ไปฟังทำไมฟระ!!!! นั่นมันหาเรื่องตัวนายแท้ๆ"
"แล้วจะให้พูดไงล่ะเว้ย!!!!! ชั้นไม่ใช่ผู้รับเคราะห์อารมณ์ของใครเว้ย!!!!"
"เงียบ แล้วใจเย็นๆ ซะ ไอ้หัวหงอก!!!"
"ชั้นไม่ได้หัวหงอกเฟ้ย!!! ไอ้หัวดำดิน!!!"
"แล้วจะให้ทะเลาะทำไมว่ะ! พวกเราทั้ง 2 ต่างอารมณ์เสียเพราะแบบนี้เองรึไงว่ะห๊ะ!!!"
"ชิ!! เฮ่อ......ชั้นจะบอกตามตรงให้ว่า ชั้นทนเต็มทีกับความเจ็บปวดในโรงเรียนนี้ แล้วจะให้ทำไงว่ะครับ ผมต้องทนไปแบบนี้อีกเรอะ"
"แล้วนายจะย้ายโรงเรียนเพื่อหนีความผิดรึไงเว้ย!!?"
"ชั้นก็ไม่อยากเฟ้ย!!! ชั้นโมโหที่ต้องมาทนเสียงของคนไม่ชอบชั้น"
"แล้วจะพูดหาวิมานอะไรออกมา!!!"
จากนั้น โอเรมะผลักผมล้มทั้งเก้าอี้ใส่ มันเจ็บมากตอนนั้น ผมไม่โกรธที่เขาต้องทำแบบนี้ แต่ทำไงได้ครับ ไม่ทะเลาะกันแล้วความสัมพันธ์จะดีขึ้นเหรอครับ มันก็ต้องมีกระทบกระทั่งเป็นเรื่องปกติ หนีไม่ได้หรอกครับ จำไว้
"อูย........เฮ่อ เข้าใจล่ะว่านายจะสื่ออะไรออกมาล่ะ"
"แล้วทีนี้ นายคิดจะย้ายโรงเรียนเพื่อหนีความผิดรึไง หรือนายกำลังคิดอะไรอยู่"
"พูดไปตามตรงนะ โอเรมะ ชั้นไม่ใช่คนปกติ คนเขามองว่าชั้นบ้า ชั้นดูเพี้ยน อยู่เนี่ย"
แล้วนายโอเรมะก็จับแขนทั้ง 2 ข้างแล้วปัดฝุ่นรอบตัวผม
"เฮ่อ....โอเคๆ คือว่า นายโมโหไปเพราะถูกหาว่าแบบที่นายว่าสินะ"
"ใช่สิ มันเจ็บจนอยากจะไปกระทืบความเจ็บปวดนั้นด้วยซ้ำ"
"โอ๊ย.....ให้ตายเถอะนาย เอางี้ฟังชั้นให้ดีกับสิ่งเหล่านี้"
"การทีถูกคนมาบอกนายแบบนี้ เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ 'อิจฉา' มากกว่า ทำไมต้องไปสนใจอีก นายมีอะไรที่มากกว่าคนปกติ ถ้านายถูกอิจฉาขนาดนั้น ก็เปลี่ยนแรงอิจฉาให้กลายเป็นแรงสนับสนุนให้นายสิ"
"ชั้นจะทำได้ยังไงกันล่ะ"
"ไม่มีใครในโลก ไม่ถูกเกลียดเสมอไป นายจะต้องอยู่กับสิ่งนั้น ถึงมันจะเป็นยาขมที่น่ากลัวเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้นายเติบโตได้ เพราะอุปสรรคมันไม่ได้มีไว้ฆ่าเรา แต่มีไว้เพื่อสู้ต่างหาก อย่าไปสนใจกับเสียงเล็กๆ น้อยๆ จงทำสิ่งที่ดีที่สุดของนายก็พอแล้ว จะเอาอะไรไปอีกเล่า แล้วที่สำคัญ สมบัติที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้ชีวิต คือ ตัวนายเองไม่ใช่เหรอ"
ผมพูดไม่ออกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมใช้อารมณ์ไปมากขนาดไหน เฮ่อ ให้ตายสิ ผมมันโง่แท้
"ขอโทษนะที่ใช้ความรุนแรง"
แล้วผมก็ทำหน้าเครียดปนน้ำตานิดๆ ไหลออกมาจากตา
"เครียดไปทำไมเว้ย!! ใจเย็นๆ สิวะ"
"เฮ่อ.....ผมทำใจได้แ้ลวว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับการต่อเรียนแล้วล่ะ"
"โอเค ถ้าอย่างงั้น ผมก็หมดห่วงได้ ว่าแต่นายจะจ่ายเงินหรือ"
"อืม นั่นสิ"
"เฮ่อ ไม่ต้องแล้ว ผมจัดการเอง ผมต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น"
"เอ้า!! ไหงงั้นเล่า ไหนบอกว่าจะให้ชั้นจ่ายเงินให้ทั้งหมดไง"
"ชั้นไม่ทำแบบนี้ให้หรอกนะ ถ้านายไม่ใช่เพื่อนแท้ที่หาอะไรแทนกันได้เสมอ แต่เป็นเพราะต้องเจอกันตลอด ทะเลาะกัน พูดคุยกัน โมโหด้วยกัน ถ้าไม่อดทนกับสิ่งเหล่านี้ อย่างนั้นก็ไม่ควรเรียกว่า 'เพื่อนแท้' หรอกนะ"
ผมได้ยินคำนี้ออกมา มันเป็นคำพูดที่ไม่ต่างอะไรกับแทงใจอย่างรุนแรงใส่ แต่ผมก็ยอมที่จะรับความเจ็บปวดของใครให้เป็น นี่สินะที่เรียกว่า "เพื่อนแท้"
"โอเค ตามสบาย"
คนที่จ่ายจริงๆ คือ โอเรมะ ครับ ไม่ใช่ผม ผมพูดไปงั้นแหละว่าผมจ่าย เพราะต่างคนต่างก็มีน้ำใจกันนี่แหละนาว่าจะจ่าย แต่เจ้านั่นมันปากไม่ตรงกับใจ มันซึนเดเระครับ (ผิดแล้วล่ะ นั่นมันใช้กับผู้หญิงไม่ใช่เรอะ!!!)
"เอ้า มัวเงียบอะไรอยู่หรือจ๊ะ"
เหอ!!?
เอ่อ จริงด้วย ผมอยู่ในห้องของ ผอ. อยู่
"จะให้ผมตอบเลยได้ไหมครับ"
"ได้สิ นี่ก็รอมา 5 นาทีและนา กะจะรอคำตอบของหนูนี่แหละ"
"โอเคนะครับ ผมจะพูดตามตรงไปเลย"
"จ๊ะ"
"ผม ความจริงผมต้องอยู่ท่ามกลางเสียงของความอิจฉาของหลายๆ คนตลอดเวลา แต่ผมเข้าใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปแล้วครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบโรงเรียนนี้ครับ แต่ผมต้องการหาคำตอบของชีวิตให้มากกว่านี้ ผมยังไม่ฉลาดพอหรอกครับที่จะทำได้ทั้งหมด แต่....."
"ผมขอตัดสินใจ ไปโรงเรียน Izumi ครับ"
ผอ. ได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจก็มีเศร้าปะปน เป็นอารมณ์ที่ไม่แน่นอนจริงๆ
"ฉันเองก็คิดไว้ว่าจะให้หนูยอมตอบแบบนี้ แต่ท้ายที่สุด ฉันคงไม่ห้ามเธออีกต่อไปแล้ว"
ผอ. พูดด้วยความยินดี แต่ปนความจริงจังในนั้น
"ยังไงก็จงทำให้เต็มที่ในชีวิตโรงเรียนใหม่นะจ๊ะ คางุยะ โทคิ"
"ครับ ผมขอลาก่อนนะครับ แล้วผมจะไปที่โรงเรียน Izumi ได้เมื่อไหร่ครับ"
"พรุ่งนี้จ๊ะ ให้แต่งตัวชุดของโรงเรียนเก่าไปได้ แล้วต้องมาทันภายในเวลาประมาณ 10 โมง ยิ่งเร็วยิ่งดีนะ"
"ขอบคุณครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างในโรงเรียนนี้ด้วยนะครับ ลาก่อนครับ โรงเรียน Meisei"
"ขอให้ไปที่นั่นแล้วได้เจอสิ่งใหม่ๆ นะ"
ผมได้สนทนากับ ผอ. เสร็จ แล้วผมก็ได้ให้คำตอบที่ไม่มีวันกลับไปย้อนมันได้อีกต่อไปอีก
แต่ว่า นั่นมันคือคำตอบของเรา เราไม่มีทางหนีได้ด้วยเช่นกัน
ช่างมันเถอะ แค่นี้ก็เต็มที่กับชีวิตแล้ว
ลาก่อน โรงเรียน Meisei
หลังจากการยืนยืนเรื่องการย้ายที่เรียนของผมไป 4 ชม.
"เฮ้ โทคิ"
เสียงเมื่อกี้นี่มัน โอเรมะ
"ว่าไง"
"ยืนยันไปแล้วว่าไงบ้างล่ะ"
"ตัดสินใจไปเรียนที่โรงเรียน Izumi ล่ะ"
"เอ๋! เอาจริงเหรอเนี่ย นายยินยอมจะไปที่นั่นแล้วสินะ"
"ไม่ 100% หรอก เจ้าบ้า แต่ชั้นอยากหาคำตอบของชีวิตจากที่นั่นให้ได้น่ะสิ แต่ชั้นก็ยังไม่ถอยกับจุดอ่อนของตนเองเหมือนกัน"
"นายพูดยังกับว่ามั่นใจ นั่นแหละปัญหาแท้"
"ทำไมล่ะ"
"เสียงนายในตอนนี้เต็มไปด้วยความเกร็งสุดๆ นี่นายอย่าบอกนะว่านายมีจุดอ่อน"
"ใช่แล้วแหละ ชั้นยืนยันไปเรียนที่นั่นแน่ แต่จุดอ่อนที่น่ากลัวที่สุดของชั้นเลยคือ ชั้นมีภูมิคุ้มกันด้านผู้หญิงน้อย"
"มิน่าล่ะ!! ตอนที่นายไม่ยินยอมไปพูดกล่าวคำให้กับรุ่นพี่ เพราะแบบนี้สินะ โอย..........ปวดหัวเฟ้ย.......จุดอ่อนที่ดูแสนง่าย แต่กระทบทีนี่ แล้วนายจะกล้าพูดในตอนแนะนำตัวไงในโรงเรียนใหม่เนี่ย!!!"
"นั่นน่ะสิ ประเด็นเลย ชั้นกลัวต่อหน้าคนเยอะแยะจะตาย โดยเฉพาะผู้หญิง แล้วโรงเรียน Izumi ถึงจะเป็นโรงเรียนสหศึกษาก็ตาม แต่นักเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงเกือบหมด!!!"
"โอ้มายก็อด!!! โอย.......ขอตัวไปพักสมองแปป นี่มันงามไส้แท้ๆ เลย เจ้าผมบลอนด์ยาวเอ๊ย......เฮ่อ.....เจริญเลยแบบนี้"
โอเรมะเอามือตบหน้าผากอย่างน่าปวดใจ
"แล้ว......นายเองก็คงต้องอยู่ด้วยตัวคนเดียวซะด้วย งามไส้ได้อีก ทีนี้ผมก็มาช่วยนายไม่ได้เลย นอกจากหมดเวลาเรียนเนี่ย แล้วนายก็มีอาการขี้อายต่อหน้าเพศหญิง หน้านายก็ผู้หญิง ผมก็ยาวเป็นผู้หญิง แบบนี้สินะที่เรียกว่า อายสิ่งไหน ได้สิ่งนั้น จงเจริญ"
แล้วโอเรมะก็เอามือตบหน้าผากอีกที
"เหอะๆ งามไส้ทวีคูณเลยสินะ แต่ไม่เป็นไร ผมยังมีจุดประสงค์หลักที่ยังตรึงในใจผมอยู่ ผมต้องสู้กับจุดอ่อน และหาเป้าหมายในชีวิตให้ได้"
"อืม สู้ให้เต็มที่ล่ะ seoไส้นายจะต้องถูกผู้หญิงรุมล้อมชอบนายได้เหมือนกัน"
"แล้วจะบอกให้เป็นลางทำไมเฟ้ย!!!!"
จากนั้น เราทั้ง 2 ก็เถียงไม่ตกฟากกันไปหลายนาที
แต่ก็อย่างที่รู้ ถ้าเพื่อนเขาไม่ซีเรียสใส่ขนาดนี้ เขาคงไม่เป็น 'เพื่อนแท้' ที่เข้าใจว่า สามารถทดแทนกันได้รึเปล่าน่ะสิ
เช้าในวันถัดไป
6:30 AM
ผมได้บอกแม่ให้เข้าใจเกี่ยวกับโรงเรียนใหม่ ซึ่งทางแม่ก็ยินยอมด้วยความเต็มใจให้ไปเรียนได้ตั้งแต่เมื่อวาน
แต่......โรงเรียน Izumi อยู่ห่างจากบ้านของผมไม่น้อย และอยู่เมือง Saitama บ้านผมอยู่เมือง Tokyo ซึ่งผมก็เป็นห่วงไม่น้อยเหมือนกัน เพราะแม่ผมเองก็ต้องอยู่คนเดียว พ่อผมน่ะหรือ ทำงานในต่างประเทศ และทำงานในประเทศไทยครับ (เอ.....ผมลืมไปว่า ผมเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น 25% อังกฤษ และ 25% ไทย ผมไม่ได้ภูมิใจที่มีสายเลือดขนาดนั้น แต่ผมภูมิใจที่ว่า ผมได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็พอแล้วครับ)
พูดง่ายๆ คือ แม่ผมต้องอยู่คนเดียว ซึ่งผมต้องไปนอนในหอพักของโรงเรียนนั้น
แต่แม่ก็ได้ส่งข้อความให้ผมไว้ว่า
'ไม่ต้องห่วงแม่หรอกจ๊ะ แม่รู้ว่าลูกต้องเรียนที่ไกลบ้าง ลูกจงใช้ชีวิตในโรงเรียนใหม่ให้เต็มที่นะ และลูกจะเป็นอย่างไรต่อไป แม่จะไม่ห้ามลูกอีก เพราะลูกจะต้องหาเป้าหมายของลูกให้เจอนะจ๊ะ'
ข้อความนี้ส่งเป็นกำลังใจให้ผม แต่ผมก็ชักอดห่วงแม่ไม่ได้จริงๆ แหละ
แล้วเราจะมาด่าความมืด ตอนนี้ทำไมเนี่ย มีแต่ต้องสู้ไม่ใช่หรือ
เอาล่ะ เตรียมพร้อมทั้งกายและใจมุ่งสู่โรงเรียน Izumi ได้!
"เอ่อ ท่านโทคิครับ"
เอ๋ เสียงจากใครกันแน่
นี่มันรถซีดานนี่นา ทำไมถึงมีรถแบบนี้ล่ะ ปกติผมมักจะไม่ไปด้วยรถนี้ด้วยซ้ำ
"กระผมจะช่วยนำของไปไว้ในรถให้เองนะครับ"
คนๆ นั้นคือ ชายร่างสูงใส่ชุดสีดำทักซิโด้ รองเท้าบู๊ทขัดเงา แล้วใส่แว่นตาดำด้วย
"ไม่เข้าใจเลยนะนาย อย่าเนียนดิ เจ้าบ้า"
"อะฮ่าๆๆๆๆ สมแล้วที่เป็นนาย โทคิ นี่รถพิเศษของชั้นเองเฟ้ย!"
ไอ้เจ้าโอเรมะ........นี่เอง มันมีรถแบบนี้เหรอฟระ!! ปกติมันต้องไปด้วยมอเตอร์ไซด์ไม่ใช่เรอะ
"เฮ้ย อย่าบอกนะว่าชั้นไม่ได้เงินเยอะ ความจริงแล้วนี่คือรถที่ซื้อมาเองสดๆ เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว พอดีว่าวันนี้มีงานเลี้ยงสำคัญวันนี้ ยังไงก็ว่างมากๆ นี่แหละ ฮ่าๆ เอาล่ะ จะเตรียมไปโรงเรียน Izumi รึยังล่ะ เจ้าหัวบลอนด์"
เสียงนายมันให้ความรู้สึกเพี้ยนไงไม่รู้เลยนะนั่น เออๆ ถ้านายช่วยชั้นก็เอาล่ะว่ะ
"รู้แล้วเฟ้ย เจ้าหัวดำ"
"ถ้างั้นก็......ขึ้นรถเลย!!"
ผมเปิดประตูรถที่ส่วนหน้าของรถซีดาน แล้วก็เข้าไปในรถ
แต่ขอขัดจังหวะแปปนะ เมื่อกี้ดูตัวรถเป็นสีดำ ไฟหน้าดูคมองอาจ นี่มัน..Mayback Exelero รุ่นล่าสุดนีนา!!!! นี่มันรถราคาเกือบแปดล้านเยนนะ!!! แกขับไปได้ไงล่ะเฮ้ย!!! เอาเงินที่ไหนมาใช้เนี่ย......แล้วที่สำคัญ รถแรงได้เรื่อง!!!! สยองเฟ้ย......
"ไม่ต้องห่วง เงินที่ว่าคือ เงินสด ที่พยายามเก็บมาจากการทำงานนะ ไม่งั้นผมไม่ซื้อหรอก รู้สึกอิจฉาไหม?"
"มาถามอะไรแปลกๆ แบบนี้เฟ้ย!!"
"ฮ่าๆ อิจฉาล่ะสิ เจ้าหัวบลอนด์"
"เออ อิจฉาก็อิจฉา"
"ฮ่าๆ งั้นก็ดี แต่ขอโทษด้วยละกันนะเมื่อวาน"
"ทำไมล่ะ"
"นายอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ไม่มีเพื่อนคนไหนนอกจากชั้นเลย ถูกไหม ผมเองก็ขอโทษนะที่ไม่รู้ว่านายกำลังโมโหอยู่"
แล้วเขาก็พนมมือไหว้ แล้วก้มสุดขีด
"เฮ้ยๆๆ!!! พอแล้ว! ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้นี่นา"
เฮ่อ.....ดูจากการก้มแล้ว......ช่วยไม่ได้แฮะ...
"โอเค เข้าใจล่ะ แต่เราเป็นเพื่อนแท้กัน ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้นี่"
"ถ้าไม่ใช่เพื่อนแท้ คนอื่นๆ คงไม่ก้มแบบนี้หรอกนา"
"เฮ่อ....เข้าใจล่ะ ว่าแต่กี่โมงแล้วเนี่ย"
"เออแฮะ เดี๋ยวดูหน่อย......7 โมงครึ่ง เอ้า!! เวงล่ะ ฉันต้องไปงานก่อน 10 โมง!!!! บ้าเอ๊ย งานก็อยู่ไกลจากบ้านชั้นอีก เดี๋ยวชั้นส่งถึงที่ให้เลยละกัน!!!"
"เออดิ!!! เร็วๆ เลย เดี๋ยวนายก็ไม่ทันหรอก!!! มัวแต่คุยอยู่ได้"
"แล้วใครชวนคุยก่อนล่ะ!!!"
"ก็นายนี่แหละ!!! คุยก่อนเองแท้ๆ......"
"เอ๊ะ.....เออแฮะ ขออภัย.....เอาล่ะ รีบไปกันเถอะ!!!!"
จากนั้น เราทั้ง 2 ได้ลุยไปที่โรงเรียน Izumi ด้วยรถคันเร็วโหด......seoสยองโว้ย.....
จบตอนที่ 1