เนื้อเรื่องที่เขียนจะเกี่ยวข้องกับตัวละครที่ผมใช้เข้าแข่งใน Comic Fighting XI ของบอร์ด TCM น่ะครับ เนื่องจากว่า ไม่มีเวลาเขียนเป็นฉบับคอมมิค เลยขออนุญาตเอานิยายมาลงไว้ที่นี่ก่อนนะครับ ขี้เกียจเอาไปลงในเด็กดี
เนื้อเรื่องจากตรงนี้ จะเป็นเหตุการณ์ก่อน Intro ที่มงจะมาที่มิตินี้ 2 เดือน
เสียงรองเท้ากระทบลงพื้นหินขาวสะอาดอย่างเป็นจังหวะ ที่ต่างกันสามเสียง กำลังเดินผ่านทางระเบียงที่มีเสาเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ แสงสีขาวที่ส่องผ่านช่องเสาทำให้ทางเดินดูสว่างตา โดยคนเดินนำเป็นเด็กสาวในเครื่องแบบกึ่งทหารสีดำเนื้อด้าน ส่วนทางซ้ายและขวาเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ คอยเดินประกบตามหลัง
ทั้งสามเดินมาเรื่อยๆ จนถึงด้านในสุดที่เป็นลานกว้างวงกลม บริเวณนั้นปรากฏร่างของจตุรเทพที่เหมือนคอยการมาของพวกมงก่อนแล้ว โดยแต่ล่ะคนอยู่บริเวณและอิริยาบถแตกต่างกันไป
“ มาตรงเวลาดีนี้เจ้าหนู ”
เสียงทุ้มเอ่ยทักเป็นคนแรกมาจากหญิงงามหน้าเข้ม เจ้าของเรือนผมสีเลือดดำที่ขัดกับนัยน์ตาเขียวหยกใส
“ ทำเป็นพูดไปนะมาอิจัง ”
เสียงแก่นแก้วจากสาวตาหวานผมสั้นสีน้ำตาลส้ม เอ่ยหยอกล้อหัวหน้าจตุรเทพที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงหน้าพวกมง
“ ปกติไอ้เปี๊ยกก็เป็นคนตรงต่อเวลาอยู่แล้วไม่ใช่รึไงกันจ๊ะ? ว่าแต่… ”
สาวผมสั้นสีอ่อนลอยตัวมายังคนอารักษ์ขาผมสีฟ้าเทาของมงที่ยืนอยู่อย่างไม่เกรงใจ
“ ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เริ่มชินกับร่างเนื้อที่มาอิจังสร้างให้รึยังเอ่ย? ทั้งสองคน ”
“ ขอรับ ท่านนัตสึ ”
“ ทรอฟ์สจังล่ะก็ ฉันเคยบอกไปนานแล้วนะว่า เรียกนัตจังก็ได้ ”
นัตสึทำแก้มป่องอย่างหงุดหงิดก่อนจะระดมกำหมัดใส่หัวของทรอฟ์สรั่วๆ
“ เจ้าเป็ยก... ”
คราวนี้เป็นเสียงของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงสว่างในท่ากอดอกพิงกับเสา เหมือนเรียกให้เธอหันไปมองเขา
“ พอไปถึงที่มิตินั้น อย่าทำอะไรออกนอกลู่นอกทางล่ะ โดยเฉพาะนายซาเคลส ”
เด็กหน่มกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ โดยนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจับจ้องไปทางซาเคลสที่อยู่ขวามือของมง
“ พูดยังกับว่า ผมจะไปทำอะไรไม่ดีเลยนะครับ ท่านกาซามุ ”
ชายผมสีบอร์นเอ่ยเหมือนรู้ความหมายที่อีกฝ่ายพูดไปก่อนหน้านั้น นัยน์ตาสีน้ำเงินปะทะกับดวงตาสีน้ำข้าวอย่างไม่ลดละ ทว่าซาเคลสกลับเลิกราไปก่อน
“ แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอกครับ ผมและทรอฟ์สได้สาบานกับท่านมาอิไปแล้วว่า จะไม่ทำเรื่องเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอีกแล้วล่ะครับ ”
ชายหนุ่มผมบอร์นยิ้มพลางเหลือบมองมงแว่บหนึ่งอย่างห่วงแหน โดยดวงตาสีฟ้าครามของทรอฟ์สก็เช่นกัน
‘ แหม~ น่าอิจฉาจังเลยนะที่นายมี “ เพื่อน ” แท้แถมยังน่ารักแบบนี้เนี่ย ถ้าเป็นฉันคงควบสองไปนานแล้วล่ะ ไม่ปล่อยให้ต้องมาเป็นแบบนี้หรอกนะไอ้เปี๊ยก ’
เสียงแก่นผ่านเข้ามาในจิตของมงอย่างจงใจ โดยที่สายตาของสาวผมสั้นทั้งสองสบตากันสักพัก ทางมงนั้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก ก่อนที่นัตสึจะลอยตัวออกห่างทั้งสามคนไปยืนอยู่ข้างๆ น้องชายของตัวเอง
“ เจ้าหนู... ถึงเวลาแล้วนะ ”
มงได้ละสายตาจากนัตสึ เธอหันหน้ามายังสาวงามเจ้าของเสียงที่เอ่ยเมื่อสักครู่
“ ครับ ”
มงเดินออกห่างจากชายหนุ่มทั้งสองมายังด้านหน้าของมาอิ ในตอนนี้เหนือมือซ้ายของหญิงงามมีก้อนของเหลวกลิ่นเหล็กกลมๆ ประมาณศีรษะลอยอยู่ เจ้าบอลเลือดสดนี้ค่อยๆลอยมาทางมงที่ยื่นมือทั้งสองรอรองรับมันไว้ก่อนแล้วสายตาของคนในห้องจับจ้องไปทางเดียวกัน ความเงียบนี้ทำให้มงเกิดความลังเลเล็กน้อย แต่ก็แค่สั้นๆ
มงอ้าปากปล่อยให้โลหิตขนาดสามลิตรที่เริ่มขยับเหมือนมีชีวิตไหลผ่านเข้าร่างกายจนหมด
“ ! ”
ยังไม่ทันที่มือของมงจะลดไปอยู่ที่ข้างลำตัวกลับเริ่มงอเกร็ง สีหน้าที่แสดงความทรมานเหมือนกำลังจะตายลงตรงนั้น แผงฟันที่กั้นไว้เสียดสีดังกรอดเพื่อไม่ให้เสียงร้องเล็ดลอดออกมา เธอทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงจนหน้าผากไปกระทบกับพื้น มือซ้ายจับเสื้อบริเวณหน้าอกโดยมือขวาจับบริเวณท้องจนเสื้อยับย่น ร่างกายที่กระตุกเป็นระยะเหมือนมีอะไรภายในร่างกายกำลังเคลื่อนไหวอยู่
พอเห็นว่า เจ้านายของตัวเองดูอาการแย่ลง ทรอฟ์สกับซาเคลสจึงคิดจะเข้าไปพยุง โดยทางด้านหลังของมาอิมีหญิงสาวอีกคนที่เหมือนจะเข้าไปช่วยเช่นกัน แต่ผู้เป็นพี่ของเธอกลับยกแขนขวาขึ้นกั้นไว้ด้านหน้าเพื่อห้ามไว้
“ ไม่ต้องเข้ามาครับ!! ”
มงแผดเสียงห้ามทั้งสองไว้ก่อนจะใช้มือขวายันพื้นพยุงตัวเองขึ้นมา
“ ผม... ไม่เป็นไร... ครับ... ”
มงเริ่มยืนขึ้นอีกครั้งด้วยความลำบาก เธอหลับตาเงยหน้ายืดอกสูดลมเข้าออกอย่างเป็นจังหวะพร้อมกับสีหน้าค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ
“ ดูเหมือนเลือดจะหลอมรวมเรียบร้อยแล้วนะ ”
มงลืมตาขึ้นเหมือนตอบแทนคำพูด
“ แกคงยังจำวิธี ‘ ปลดผนึก ’ ได้อยู่นะเจ้าหนู? ”
“ ครับ ”
พอเห็นคู่สนทนาตอบกลับมาด้วยเสียงที่ไม่มีความลังเล มาอิก็หลับตาลงเหมือนรับรู้ความรู้สึกของฝ่ายตรงข้าม
“ งั้นก็ดีแล้ว ”
บนลานกว้างปรากฏแสงพุ่งขึ้นจากพื้นตรงกลาง โดยที่อารักษ์ขาทั้งสองได้มายืนประกบข้างมงไว้
“ ระวังตัวด้วยล่ะเจ้าเปี๊ยก! ”
“ มีอะไรน่าสนใจก็ซื้อกลับมาฝากด้วยน้าไอ้เปี๊ยก! ”
“ แต่ถ้าพวกนายตายกลับมา ทางเราไม่รับผิดชอบคืนชีพให้หรอกนะ ถึงจะตายไปแล้วสองก็เถอะ ”
ทั้งสามคนพยักหน้ารับก่อนจะเดินผ่านจตุรเทพไปยืนตรงบริเวณที่แสงส่องอยู่ เมื่อทั้งสามมายืนกันครบ ร่างของพวกเขาก็ค่อยๆ จางหายไป
“ คุณมง... คุณทรอฟ์ส... คุณซาเคลส… ”
ก่อนที่ร่างของทั้งสามจะหายไป เสียงใสดั่งระฆังก็ดังขึ้นจนทั้งสามต้องหมุนตัวกลับหันไปมอง
รอยยิ้มอ่อนโยนของหญิงสาวผมยาวสีดำอมน้ำตาลเหมือนมง เธอยืนอยู่ในท่ามือรวบไว้ที่หน้าท้องอย่างเรียบร้อย ใบหน้าที่ละมายคล้ายมงจนเหมือนฝาแฝด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข็มจับจ้องทั้งสามอย่างเอ็นดู
“ ไปดีมาดีนะคะ ”
เธอหลับตาลงพร้อมส่งรอยยิ้มละไมดั่งพระมารดาให้แก่ลูกของตน ทั้งสามเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มตอบ
“ ไปก่อนนะครับ… ”
ก่อนจะได้เอ่ยนามของหญิงสาวผู้นั้น แสงที่ส่องก็สว่างวาบขึ้นชั่วขณะก่อนจะมืดลง...
เนื้อเรื่องจากตรงนี้ เกิดขึ้นหลัง Intro ก่อนสงครามจะเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งจะเป็นบทต่อจาก Before the war ที่มงตื่นจากความฝัน
เปลือกตาของมงที่ปิดอยู่ค่อยๆถูกยกขึ้น เบื้องหน้าที่เห็นเป็นพื้นไม้ของบ้านพักรีสอร์ทที่เธอเข้าพักได้สองวันแล้ว ชุดที่สวมใส่อยู่ในตอนนี้เป็นเสื้อกล้ามและกางเกงสามส่วนที่ซื้อมาจากร้านขายเสื้อผ้าในเกาะ CF
มงดันหลังตัวเองออกจากที่อิงโซฟาเดี่ยวใกล้ๆ ประตูระเบียงพลางเอามือขวาขึ้นจับที่หน้าผาก
‘ ดันมาฝันถึงตอนนั้นทำไมนะเรา ’
หญิงสาวหัวเราะแห้งๆ ระหว่างทบทวนความฝัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าพวกเธอจะมาที่นี่ 2 เดือน
มงลดมือจากหน้าผากลงก่อนจะหันไปมองนาฬิกาที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะข้างๆ ติดกับกำแพง
‘ ตี 3 แล้วรึ... ดูท่าทางจะหลับไปนานเหมือนกันนะเนี่ยเรา ’
มงคิดพลางลุกขึ้นจากโซฟานุ่ม เธอเดินผ่านสองเตียงที่อารักษ์ขาทั้งสองกำลังหลับอุตุเป็นตาย จนมาถึงหน้าห้องอาบน้ำในห้องก่อนจะเข้าทำธุระส่วนตัว
‘ อีก 4 ชั่วโมงข้างหน้าก็ถึงเวลาที่ศึกจะเริ่ม... ’
มงคิดพลางถอดเสื้อกล้ามและกางเกงเพื่อชะล้างร่างกายของตน เธอวางพับชุดไว้ในตะกร้าอย่างเป็นระเบียบก่อนจะปิดม่านพลาสติกพร้อมกับเปิดวาล์วฝักบัว
เสียงน้ำที่กระทบบนแผ่นกระเบื้องหนา ศีรษะที่ก้มลงรับน้ำที่เข้าปะทะมา โดยนัยน์ตาสีดำอมน้ำตาลที่ซ่อนอยู่หลังผมที่ปรกลงมาบังไว้นั้นลดต่ำลงอย่างเศร้าสร้อย
‘ ต้องเห็นผู้คนล้มตาย... และได้กลิ่นของเหล็กอีกแล้วสินะ... ’
“ ใช่แล้วล่ะ ที่รัก ดีจังเลยนะที่พวกเราจะได้เห็นเรื่องสนุกๆอีกแล้วน่ะ ”
เสียงของชายวัยหนุ่มสอดแทรกเข้ามาในโสตประสาตอย่างจงใจ มือใหญ่เข้าโอบเอวคอดไว้ โดยมือซนอีกข้างช้อนคางอีกฝ่ายขึ้น เพื่อให้ใบหน้าส่วนคางของชายหนุ่มเข้าแนบกับคอระหงที่ไม่มีอะไรปิดบัง
“ ยอดเยี่ยมจริงๆ ที่เธอมาถึงจุดนี้ได้ โดยที่ร่างกายและจิตใจไม่บุบสลายไปเสียก่อน ต่างจากตอนที่พวกเจอกันครั้งแรกเลยนะ ตอนนั้นเธอยังดูเป็นแค่มนุษย์ไร้น้ำยา ที่ต้องลงไปนอนดิ้นอย่างกระเสือกกระสนบนพื้นแก้วเย็นเฉียบนั่น...”
“ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ช่วยอยู่เงียบๆ ใน ‘ ร่าง ’ ของผมจะได้มั้ยครับคุณอินคาร์เน็ท? ”
เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น
อีกฝ่ายแสยะยิ้มอย่างยินดีจนน่าขยาดก่อนจะจุมพิตลงบนซอกคอขาวจนเป็นรอยจ้ำสีชมพู
“ ศึกครั้งนี้ก็พยายามฆ่าคนให้ได้นะจ้ะ ที่รัก ”
พอจบประโยค เสียงน้ำจากฝักบัวก็เข้ามาแทนที่ โดยร่างของชายคนนั้นได้หายไปราวกับไม่ได้มายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก ทว่ารอยจ้ำตรงคอกับยังคงอยู่
มงยกมือซ้ายขึ้นมาที่บริเวณรอยจูบ เธอจิกเล็บลงกรีดจนเป็นแผลยาวเพื่อลบรอยอันน่าขยะเขยงนี้ไป เลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากแผลจนคอด้านขวาถูกย้อมไปด้วยสีแดงสด
“ อึ่ก! ”
มงถอยหลังไปพิงกำแพงก่อนจะทรุดนั่งลงบนพื้นกระเบื้องหนาที่มีน้ำเป็นแอ่งๆ ปล่อยให้น้ำชะล้างเลือดตรงคอออกไป มือซ้ายถูกลดลงยังบริเวณอก
หญิงสาวมองมือที่ตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำกลิ่นเหล็กที่กำลังค่อยๆ หายไป โดยที่แผลตรงคอหายช้ากว่าปกติและเลือดไหลออกมามากพอสมควร
ทว่า... สักพักรอยแผลก็หายจนไม่เหลือร่องรอย แม้แต่รอยจูบก็เช่นกัน
“ ถ้าคิดจะให้ผมฆ่าใครน่ะ... ”
มือที่ไร้ซึ่งสีเลือดเริ่มกำแน่น
“ เชิญเก็บไปฝันเอาเองเถอะคุณอินคาร์เน็ท ”
นภาที่เริ่มเปลี่ยนสีจากดำอมน้ำเงินเป็นน้ำเงินอ่อนช้าๆ บริเวณทางเดินหน้ารีสอร์ทที่ตอนนี้มีแสงอ่อนๆ จากเสาไฟริมทางเดิน
บริเวณท่าเรือที่ตอนนี้มงอยู่ในเครื่องแบบกึ่งทหารกำลังเดินรับลมกับอารักษ์ขาของตน
“ เอ๊ะ!! ปลดไปแล้วเหรอมงจัง ผนึกน่ะ!! ”
ซาเคลสร้องอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ ก็แค่ระดับแรกเองครับ ”
มงยกมือขึ้นก่อนที่ถุงมือสีขาวจะเปลี่ยนเป็นแร่ใสลอยอยู่รอบๆ
“ ทำให้ในตอนนี้ผมสามารถใช้พลังของตัวเองได้แล้วล่ะครับ ”
ขณะที่หญิงสาวเอ่ยอยู่ แร่ที่ลอยต่างเข้ามาล้อมรวมเป็นถุงมืออีกครั้ง
“ แต่มันออกจะเร็วไปหน่อยรึเปล่าขอรับ? ทุกๆ ครั้งท่านไม่เคย ‘ ปลดผนึก ’ เร็วขนาดนี้เลยนะขอรับ!? ”
หนุ่มผมฟ้าเทาเอ่ยถัดมาอย่างกังวล
“ เพราะคิดว่า ศึกในคราวนี้ อาจจะรุนแรงกว่าที่ผ่านมาก็ได้น่ะครับ ”
มงหยุดเดินก่อนจะแหงนหน้ามองไปยังเกาะ “ โนอาห์ ” ลอยสูงเด่นเหนือนภา สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ พวกเขาคือ ศัครูของพวกเราที่ต้องไปรบรากันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
“ การที่พวกเราต้องเข้าปะทะกับผู้คนที่ถูกส่งมาขัดขวางและ... ”
ใบหน้าได้ลดต่ำลงเพื่อพยายามซ่อนความรู้สึกไว้ เม้มริมฝีปากตัวเองแน่น ราวกับไม่อยากจะเอ่ยถึงสิ่งที่เธอต้องประสบมาหลายต่อหลายครั้ง เพราะมันเหมือนเป็นเครื่องตอกย้ำถึงการตัดสินใจที่ทำให้ร่างของตนต้องเปื้อนเลือดของสหายและผู้บริสุทธิ์
ตลอดเวลาที่ผ่านมาในชีวิต ที่เธอต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งมากมาย เพื่อหาทางคืนความสมดุลให้กับมิตินั้นๆ ถึงจะได้พบเจอกับอะไรใหม่ๆ แต่สิ่งที่ต้องแลกกลับมานั้นหนักหนาสาหัสกว่ามาก ถึงจะรู้ตั้งแต่แรกว่า มันเป็นสิ่งที่ควรเกิดก็ตามที
“ เจองานหนักเหมือนทุกๆ ครั้ง ยังไงผมก็ต้องเตรียมรับมือไว้ก่อนจะดีกว่าน่ะครับ ”
ในตอนนี้ ควรมีสมาธิกับภารกิจที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น มงคิดเช่นนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างมั่นใจ
แต่การพูดนี้กลับไม่ได้ทำให้ชายทั้งสองที่มองเธออยู่เบาใจลงได้ เพราะพวกเขารู้ว่า ภายใต้ใบหน้าที่ดูมั่นคงและเข้มแข็ง จนถึงตอนนี้ก็ยังคงหลั่งน้ำตาและภาวนาแด่เหล่าผู้คนที่ตายเพราะเธอตลอดเวลา ไม่ว่า จะยามหลับหรือยามตื่น
“ จริงสิ!! ก่อนถึงเวลานั้น ผมขอกล่าวล่วงหน้าเลยล่ะกัน ”
มงหมุนตัวมาทางซาเคลสกับทรอฟ์สที่ตกใจเล็กน้อย เมื่อหญิงสาวเปลี่ยนท่าทีจนพวกเขาไม่ได้ตั้งตัว
“ ยินดีด้วยนะครับทั้งสองคน หลังจากนี้อีก 4 วัน พวกคุณก็จะได้เป็นอิสระและใช้ชีวิตคู่อย่างที่ตั้งใจไว้แล้วนะครับ ”
มือของชายหนุ่มทั้งสองถึงกับกระตุก เมื่อมงเอ่ยถึงเรื่องที่พวกเขาเผลอลืมไปซะสนิทใจ ดวงตาสองคู่ที่เบิกขึ้นเล็กน้อย จับจ้องไปทางหญิงสาวที่มองมายังพวกเขาอย่างไม่วางตา
“ ตลอดเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ที่พวกคุณคอยอยู่เคียงข้างและเตือนสติคนไม่ได้เรื่องอย่างผม... ”
มงยืนตรงก่อนจะโน้มลำตัวลงพอประมาณ โดยที่มือขวาถูกทาบไว้ที่หน้าอกซ้ายซึ่งตรงหัวใจพอดี
“ ผมต้องขอขอบคุณพวกคุณทั้งสองคน... จากใจจริงๆครับ... ”
รอยยิ้มที่มีความยินดีต่ออีกฝ่ายนั้นช่างดูอบอุ่น แต่มันกลับทำให้หัวใจของหนุ่มทั้งสองต้องเจ็บแปล็บขึ้นมาแทนเสียนี้
ช่วงเวลาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานกว่า 5 ทศวรรษ ที่เพียงอีกไม่กี่วันที่พวกเขาจะต้องจากเธอไป ต้องให้ผู้หญิงคนนี้เผชิญหน้ากับอุปสรรคและต่อสู้อยู่เพียงลำพังอีกครั้ง
โดยที่พวกเขา... ยังไม่ได้บอกความรู้สึกที่มีต่อเธอเลย ถึงจะรู้คำตอบแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกนี้... ก็อยากจะให้เธอได้รับรู้ไว้ เพราะถ้าไม่ได้มงมาช่วยไว้ในตอนนั้น... ก็คงเป็นได้แค่ฆาตกรที่ต้องตายอย่างสุนัขข้างถนน...
คงไม่มีวัน... ได้รับรู้ถึงสิ่งที่สวยงามนี้...
คงไม่มีวัน... ที่จะรู้จักคำว่า “ เพื่อนแท้ ” ที่ไม่ทอดทิ้งกัน
คงไม่มีวัน... ที่จะรู้จักคำว่า “ รัก ” ที่มีต่อเพศตรงข้าม
“ ถ้างั้น... ผมไปก่อนนะครับ ”
คำพูดถัดมาที่ฉุดสติของทั้งสองให้กลับมาอีกครั้ง พร้อมๆ กับที่มงหมุนตัวไปทางปลายสะพาน
“ ! ดะ! เดี๋ยวก่อนท่านมง... นี้มันยังไม่ถึงเวลาออกเดินทางเลยนะขอรับ ”
ก่อนที่มงจะได้ก้าวออกไปจากตรงนี้ ทรอฟ์สก็ได้เอ่ยพูดขึ้นมาก่อน ซึ่งเสียงของทรอฟ์สตะกุกตะกักเล็กน้อย
“ ไปก่อนเวลาก็ไม่เสียหายอะไรนี้ครับคุณทรอฟ์ส อีกอย่าง... ผมอยากไปช่วยในสิ่งที่พอจะทำได้ในตอนนี้ก่อนด้วยครับ ”
ทรอฟ์สถึงกลับสะอึกคำพูดตัวเองเมื่อมงเอ่บเช่นนั้น ทั้งๆ ที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจ ที่มงนั้นมักชอบไปช่วยทำเรื่องที่คนอื่นเขาไม่ค่อยจะทำกันนัก
ชายผมฟ้าเทาจึงได้แต่ก้มหน้าหลบตาเพื่อกลบความรู้สึกของตัวเองที่ไม่อยากห่างจากมงไปมากกว่านี้
“ งั้น!! ขอกอดก่อนได้มั้ยล่ะมงจัง? ”
ซาเคลสพูดออกมาโดยที่ทรอฟ์สไม่ได้คาดคิดไว้ ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลเมื่อมงหันกลับมามองพวกเขาอีกครั้ง เธอยิ้มให้อีกครั้ง
“ แบบเรียกขวัญกำลังใจนะเหรอครับ? ”
ซาเคลสพยักหน้ารับแรงๆ จนดูผิดปกติไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้มงสงสัยอะไร หญิงสาวเดินกลับมาหาพวกเขาพร้อมกับกางแขนทั้งสองออก
“ ช่วยไม่ได้นะครับ ”
มงยิ้มพลางหลับตาไป ก่อนที่ทั้งสามสวมกอดกันอย่างกลมเกลียว
“ ผมจะรีบไปรีบกลับนะครับ ดังนั่น... ช่วยรอผมอยู่ข้างล่างและระวังตัวไว้ให้มากๆล่ะครับ ”
จบประโยค ทั้งสามก็ผละออกจากอ้อมกอดของกันและกันอย่างนุ่มนวล มงถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้อีกครั้ง
“ ผมไปล่ะนะครับทั้งสองคน ”
ชายหนุ่มทั้งสองยิ้มตอบกลับก่อนที่มงจะออกวิ่งไปที่ท่าเรือเพื่อไปยังเกาะกลางน้ำ จนแผ่นหลังของเธอค่อยๆห่างออกไปจนเริ่มมองไม่เห็น
“ ทรอฟ์ส ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกเท่าไรที่ร่างกายพวกเราจะคงสภาพไว้ได้น่ะ? ”
“ อีกไม่กี่ชั่วโมง ทำไมรึ? ”
“ ถามแปลกๆ หากร่างกายของพวกเราสลายไปเมื่อไร หลังจากนี้จะทำยังไง? ”
“ นายก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่รึว่า ต้องทำอะไรต่อจากนั้นน่ะซาเคลส? ”
ทั้งสองหันมายิ้มให้กันและกันเหมือนรู้ความคิดของอีกฝ่าย
“ พอถึงเวลานั้น มงจังคงหงุดหงิดน่าดู แต่ก็อยากให้ถึงเวลาเร็วๆ จัง ที่พวกเรา... จะได้ต่อสู้ร่วมกันอีกครั้งน่ะ ”
“ นั่นสินะ ”
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่เริ่มขึ้นอีกครั้ง ในวันแห่งมหาสงครามที่กำลังจะมาเยือน...
เนื้อเรื่องจากตรงนี้ จะต่อเนื่องจาก Turn 05 นะครับ
“ ผมขอถามอะไรคุณหน่อยนะครับ... คุณทหารโนอาห์... ”
มงพูดพลางยกมือขวาที่ว่างอยู่ เช็ดเลือดใต้คางที่เริ่มจับตัวเป็นก้อนออก
“ นอกเหนือจากโนอาห์แล้ว... ยังมีสิ่งสำคัญสำหรับคุณ... อยู่อีกมั้ยครับ? ”
“ พวกข้าไม่เวลามาตอบคำถามเจ้าหรอกนะ! ”
เหล่านักดาบขี่สัตว์พาหนะเข้าจู่โจมอีกฝ่ายโดยไม่สนใจในคำถามที่เอ่ยออกมา นัยน์ตาสีดำอมน้ำตาลสะท้อนภาพของทหารโนอาห์ที่อยู่เบื้องหน้าสักพักก่อนจะหลับตาอย่างเบาใจ
“ ...งั้นหรือครับ... ”
หลังสิ้นคำพูดนี้ ร่างของมงได้มาอยู่ที่ด้านหลังอานเก้าอี้ของทหารโนอาห์ที่อยู่หลังขบวนสุด
โดยตัวเธอเหลือแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใต้หน้าอกมีผ้าผูกสีทองมัดไว้อยู่ ส่วนกางเกงสีดำได้หายไปเผยให้เห็นกางเกงรัดรูปสีดำขาสั้น ภายในมือขวาของเธอถือกระบี่กระบองสีดำอยู่ส่วนมือซ้ายกลับว่างเปล่า
ทหารหลังขบวนรู้สึกตัวเป็นคนแรกเมื่อรู้ถึงตัวตนของมงที่อยู่ด้านหลังของเขา
“ เช่นนั้นก็... ช่วยลงไปหลับอยู่ข้างล่างสักพักนะครับ... คุณทหารโนอาห์ ”
จบประโยค สายเส้นสีแดงของก้อนโลหิตได้พุ่งออกตามรอยแผลที่เกิดขึ้นพร้อมกัน เหล่าสัตว์พาหนะมีแผลที่ตรงปีกและขา ส่วนผู้บังคับมีแผลยาวตรงข้อมือและน่อง
เสียงของเหล่าทหารโนอาห์ที่ร้องออกมาไม่เป็นศัพท์ก่อนจะสลบไปเมื่อร่างกายเสียเลือดเกินจะรับไหว
ร่างของพวกเขาตกลงสู้แผ่นหลังของมารดาแห่งนภาที่มีเบาะสีเทารองรับร่างพวกเขาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
มงที่ลอยมองดูผู้บาดเจ็บ 3 คู่ที่ตกลงไปบนเบาะนุ่มอย่างปลอดภัยอยู่สักพักก่อนจะหันไปยังทหารโนอาห์ที่ยังเหลืออยู่อีกสองซึ่งอยู่กับคุณบาร์ว
“ ต้องขออภัยด้วยที่มาช้านะครับ... ”
ทหารโนอาห์ที่เหลือแค่สองคนถึงกลับต้องสะดุ้ง เมื่อมงมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างไม่รู้ตัว
“ คุณบาร์ว... ”
เนื้อดาบทั้งสองที่แทงเข้าท้องของคุณบาร์วถูกทำลายจนเป็นเศษเล็กๆ ในเศษเหล็กนั้นมงได้ใช้มือซ้ายกำแผ่นของเศษดาบชิ้นใหญ่จนเกิดแผลตรงมือ เธอปล่อยชิ้นเหล็กในมือซ้ายออกพร้อมกับใช้ฝ่ามือผลักเนื้อดาบที่ยังเหลืออยู่ในตัวคุณบาร์วออกจนทะลุด้านหลังไป
คุณบาร์วกระอักเลือดออกมา เมื่อมีพลังผ่านตัวเองออกไป โดยทหารโนอาห์ที่พอเห็นช่องว่างจึงรีบถอยไปตั้งหลัก
เมื่อเห็นว่า ฝั่งโนอาห์ได้ออกห่างไปพอสมควร เธอจึงค่อยปลดไพ่ที่อยู่ตรงข้อเท้าข้างขวาเปลี่ยนเป็นแผ่นพื้นลอยกลางอากาศเพื่อประคองให้คุณบาร์วพอที่จะนั่งได้
“ ทำอะไรน่ะ... ฉันบอกให้เธอลง... ไปรอข้างล่างไงยัยเปี๊ยก... ย้อนกลับมาทำไม... ”
คุณบาร์วถามอย่างลำบากระหว่างที่มงประคองเขานั่งลง หญิงสาวมองสหายของตนก่อนจะหันไปมองทางทหารโนอาห์
“ เพราะผม... ไม่อยากทิ้งใครไว้ที่ด้านหลังเพิ่มอีกน่ะสิครับ... ”
ประโยคถัดมาทำให้คุณบาร์วเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ที่ว่า ‘ เพิ่มอีก ’ นี้เหมือนบ่งบอกว่า หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าได้พบและเจอเรื่องที่เขายังไม่เคยประสบมาก่อน เพราะดวงตาของเธอที่มองเขาเมื่อกี้ดูเศร้าและทรมาน
“ คำพูดสวยหรูนั่นน่ะ... พอเถอะ... ถ้าไม่รีบมีหวังฉันกับเธอต้องมาจอดตรงนี้... ”
ระหว่างที่คุณบาร์วกำลังพูดก็หยุดชะงักไป
‘ ?! รู้สึกร่างกายเริ่มมีแรงขึ้นมาซะเฉยๆ... เกิดอะไรขึ้น? ’
คุณบาร์วใช้มือจับแผลตรงท้องที่เป็นจุดที่จับได้ง่าย ดวงตาของเขาถึงกับเบิกกว้างเมื่อแผลสดได้หายไปแล้ว ทั้งตรงท้องและแผ่นหลัง
‘ แผลมัน...! ’
“ คราวนี้ถึงตาคุณลงไปบ้างนะครับ ”
ประโยคถัดมาทำเอาคุณบาร์วที่กำลังตกใจเรื่องแผลลุกขึ้นพรวด
“ หา! นี้เธอคิดจะเพิ่มหนี้ให้ฉันอีกเหรอไง!? ”
เขาเอ่ยอย่างหัวเสีย ทว่า... มงหันกลับมามองเขาและยิ้มให้อย่างเกรงใจ
“ ที่ติดน่ะเป็นผมต่างหาก ถ้าไม่ได้คุณซื้อเวลาให้ ผมคง ‘ ปลด ’ ไม่ได้หรอกครับ ”
“ ? ปลด? ”
ขณะที่เขาสงสัยกับคำๆ นี้ก็เหมือนกับภาพมันวูบดิ่งลงไป แต่ที่กำลังดิ่งลงไปกลับเป็นตัวเขาเสียนี้ เพราะพื้นไพ่ได้กลับไปเป็นปีกตรงข้อเท้าข้างขวาของมงแล้ว
“ เฮ้ย!! ยัยเปี๊ยก!! ”
“ ก่อนถึงพื้น ทรงตัวให้ดีๆ นะครับคุณบาร์ว ”
มงส่งยิ่มให้อีกครั้งก่อนจะเงยหน้าปะทะกับทหารโนอาห์ที่เหลืออยู่
“ ผมขอใช้คำถามเดิมที่ได้ถามกับสหายของพวกคุณหน่อยนะครับ... นอกเหนือจากโนอาห์แล้ว... ยังมีสิ่งสำคัญสำหรับคุณอยู่อีกมั้ยครับ? ”
“ มะ! ไม่ใช่เรื่องของเจ้าที่จะเป็นต้องรู้หรอก! ”
พอคำถามจบไปไม่นานและคำตอบที่เอ่ยออกมาทันที ทหารโนอาห์สองนายก็พุ่งเข้าจู่โจมใส่ศัตรูทั้งๆ ที่ตนไร้อาวุธ
แต่พอพวกทหารสองนายเข้ามาใกล้เธอในระยะ 4 เมตร ทหารจากฝั่งขวาของมงนั่นเกิดบาดแผลที่เหมือนกับทหารสามนายก่อนเขาจะตกลงไป จนเหลือเพียงอีกคนเดียวที่เริ่มทำอะไรไม่ถูก
“ ดูเหมือนจะมีแค่คุณเท่านั้น ที่หวังลาภยศอยู่คนเดียวนะครับ ”
มงที่มาโผล่อยู่ข้างๆ ตัวเขาโดยมือซ้ายได้บีบหลังคอของสัตว์พาหนะไว้แน่น จนเจ้านกสีชมพูกระพือปีกถี่ๆ
“ โปรดวางใจได้ครับคุณทหารโนอาห์ ผมยังไม่คิดจะฆ่าคุณหรือพวกของคุณตอนนี้หรอกนะครับ ”
หญิงสาวยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อไม่ให้เกิดความตึงเครียด แต่ดูไม่เป็นผลเอาซะเลย เมื่อสีหน้าของทหารโนอาห์ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มของมงที่เป็นมิตรกลายเป็นยิ้มบางๆ โดยดวงตาที่แฝงความเจ็บปวดไว้
“ เพราะผม... อยากให้คุณไปบอกให้ทางทัพใหญ่ของคุณทราบว่า... ”
มงยื่นหน้าตัวเองไปใกล้ๆ ใบหูที่ของอีกฝ่าย ริมฝีปากที่อยู่ห่างใบหูของทหารโนอาห์เพียงไม่กี่นิ้วนี้ เหมือนกำลังบีบหัวใจของเขาให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ
“ เลิกใช้หมากเบี้ยมาพลีชีพ แล้วมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองสักทีเถอะครับ... ”
คำพูดนี้กลับทำให้ความกดดันที่ส่งไปยังทหารโนอาห์หายไปราวกับร่างกายมันตอบสนองถึงบางสิ่งที่มงเอ่ยแฝงไว้
“ แต่... ผมเองก็มีภารกิจต้องเตะพวกคุณอยู่ เพราะงั้น... ช่วยสลบทีนะครับ ”
มงเอ่ยพลางปล่อยมือซ้ายออกจากหลังคอของนก และยกแขนขวาที่มีกระบี่กระบองอยู่ขึ้นเหนือศีรษะของเขาเตรียมปิดศึกเล็กๆ นี้
“ แกว๊ก!! ”
“ โอ๊ะ! ”
สัตว์พาหนะที่เริ่มขยับได้อีกครั้งรีบใช้ปีกของมันปัดบังหน้ามง เพื่อให้เธอเสียการทรงตัวก่อนจะบินหนีไป
“ หนีไปซะแล้ว... เร็วจริงนะสัตว์ตัวนั้น... ”
ถึงคำพูดจะดูเจ็บใจ แต่ใบหน้าและรอยยิ้มของเธอกลับดูโล่งใจเหมือนสิ่งที่เธอได้ทำไปนี้ มันดีแล้วยังไงยังงั้น
“ ยัยเปี๊ยก! ”
เสียงตะโกนของคุณบาร์วที่ดังมาจากข้างล่างทำให้มงหันไปมองก่อนที่เธอจะลอยลงมายืนตรงหน้าของเขาในเวลาสั้นๆ
“ คุณบาร์ว! ปลอดภัยดีนะครับ? ”
“ อา ดีที่ว่า มีเจ้าเบาะนุ่มๆ นี้รองรับไว้เลยไม่เป็นไรมาก แต่คราวหน้าคราวหลังหัดบอกกันก่อนซะบ้างสิ อย่างเรื่องจะปล่อยฉันลงมา และเรื่องที่เธอสามารถรักษาแผลได้น่ะ ”
มงสะอึกคำพูดเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยออกมาเช่นนั้น เธอยิ้มแหย่ๆ พลางก้มหน้าขอโทษ
“ ต้องขออภัยด้วยครับกับเรื่องแรกที่ผมทำไปเมื่อสักครู่!! ส่วนเรื่องที่สองนั้น... ”
มงเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง
“ ผมได้บอกคุณไปก่อนหน้านี้แล้วนี่ครับว่า ‘ ของบางอย่างก็ควรเก็บไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น ’ น่ะครับ ”
เนื้อเรื่องจากตรงนี้ จะเป็นช่วงที่มงพูดคุยกับทหารโนอาห์สั้นๆ หลังจากผ่านช่วง After Final Turn ไปสักพักแล้วครับ
“ เอาเป็นว่า เดี๋ยวฉันจะไปรายงานเรื่องนี้ให้หัวหน้าซิกฟรีดรู้ก่อนนะยัยเปี๊ยก! เธอเองก็รีบๆ ตามมาด้วยล่ะ ”
“ ครับ ฝากด้วยนะครับคุณบาร์ว ”
หลังจากจบบทสนทนากับคู่หูของตนไปแล้วและคุณบาร์วหันหลังให้กับเธอเพื่อไปรายงานให้หัวหน้าซิกฟรีดได้ทราบ มงจึงทำการปลดแร่ที่จากเบาะนุ่มที่ใช้รองรับเหล่าทหารโนอาห์ลงมา
เปลือกแร่ค่อยๆ สลายออกและหลอมรวมเข้ามาที่ตัวของมงจนเป็นรองเท้าบู๊ท กางเกงขายาว เสื้อกั๊กและเสื้อคลุมสีดำเนื้อด้านแทนตัวเก่า
ถุงมือสีขาวทั้งสองข้างแตกออกจนเป็นแผ่นแก้วเล็กๆ กระจายไปยังทหารที่บาดเจ็บอยู่ โดยในมือขวามีแผ่นแก้วเหมือนใบมีดอยู่และใต้มือมีแผ่นแก้วรองรับอยู่ มงกำมือขวาเพื่อใช้ใบมีดแก้วที่อยู่ในมือทำการสร้างแผลพร้อมๆ กับที่เม็ดเลือดค่อยๆ หยดลงมาทีละหยด
โดยแต่ล่ะหยดนั้นได้ถูกส่งผ่านกระจกไปยังชิ้นอื่น ซึ่งเลือดได้หยดลงบนแผลของพวกทหารและสัตว์พาหนะของโนอาห์พอดี ชั่วครู่เดียวแผลของพวกเขาก็หายสนิทจนไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
พอเห็นว่า พวกเขาได้พ้นขีดอันตรายแล้ว มงจึงเดินมานั่งคุกเข่าลงข้างๆ ทหารที่ใกล้เธอที่สุด โดยเจ้านกได้ใช้ปีกของมันกำบังเจ้านายของตัวเองไว้พลางขู่เธอ หญิงสาวมองทหารโนอาห์ที่เหมือนยังไม่ได้สติอยู่เงียบๆ สักพักก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา
“ ต้องขออภัยด้วยที่เมื่อสักครู่ผมลงมือกับพวกคุณหนักไปหน่อย... ”
มงยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ แต่นี้เป็นทางเลือกที่ผมทำเพื่อให้พวกคุณสามารถกลับไปหาสิ่งสำคัญของพวกคุณได้อีกครั้ง... เพราะฉะนั้น... ”
“ มัวทำอะไรอยู่น่ะยัยเปี๊ยก!! ขืนไม่รีบไปเดี๋ยวไม่ทันนะ!! ”
คุณบาร์วตะโกนเรียกมงอย่างเร่งรีบระหว่างที่เธอยังไม่ทันพูดจบ หญิงสาวจึงหันศีรษะของตนไปทางคู่หูเพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกต
“ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ! ”
มงลุกขึ้นพร้อมๆ กับที่เศษแผ่นแก้วได้หลอมรวมกลับมาเป็นถุงมืออีกครั้ง เธอลดมือขวาไว้ที่ข้างลำตัว โดยที่ศีรษะยังคงก้มลงมองเหล่าทหารโนอาห์อยู่
“ แล้วก็... สิ่งสำคัญของทุกๆ ท่าน ผมจะช่วยพวกเขาไม่ให้ติดร่างแหอย่างแน่นอนครับ ดังนั้น... โปรดพักอยู่ตรงนี้สักพักเถอะนะครับ ”
มงเลื่อนหน้าหันไปมองสัตว์ปีกที่ยังคงมองเธออย่างไม่วางตาก่อนจะส่งยิ้มให้กับมันอย่างอบอุ่น
“ ส่วนพวกคุณ... ช่วยระวังอันตรายให้กับเจ้านายตัวเองด้วยล่ะครับ ”
เหมือนมันรู้ที่หญิงสาวพูด เมื่อใบหน้าที่ดูอารมณ์ไม่ออกของมันกลับผ่อนคลายลงอย่างมาก
มงหมุนตัวก่อนจะออกวิ่งไปทางคุณบาร์ว โดยไม่รู้ถึงหยาดน้ำตาของเหล่าทหารและนักเวทโนอาห์ที่อยู่ด้านหลังของเธอ...
เนื้อเรื่องจากตรงนี้ จะเกิดก่อน Turn 02 เล็กน้อย
ณ เกาะรอบนอก A1ที่เป็นบริเวณถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้นานนับหลายปีเนื่องด้วยเหตุบางอย่าง ตรงบริเวณสะพานในตอนนี้กลับมีเหล่าทหารและจอมเวทโนอาห์ต่างวิ่งวุ่นอย่างชุลมุน
“ เฮ้ย! ตรงนั้นเจอมั้ย? ” ทหาร A ร้องทักเพื่อนร่วมงาน
“ ไม่เลย! ไปซ่อนอยู่ตรงไหนของพวกมันนะ เจ้าพวกแมลงจากโลกเบื้องล่าง ”
หลังจากทหาร B สบถเสร็จ เขาก็วิ่งไปสมทบกับเพื่อนของตนที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งเป็นทางไปบริเวณสนามฝึกเก่าที่ปล่อยทิ้งไว้จนทรุดโทรม
ในป่าใกล้ๆ ลานซ้อม มงที่อยู่ในท่านั่งคุกเข่าบนกิ่งไม้กำลังซุ่มมองอย่างระมัดระวัง
‘ ดูเหมือนจะมีพวกคุณทหารโนอาห์ถูกส่งมาสกัดกั้นพวกเราจริงๆ แต่ว่า... จำนวนดูน้อยกว่าที่คิดไว้ซะอีก... ’