แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Thagon เมื่อ 2015-7-13 12:34
บทพิเศษ tale of the fire cat path 6
แม็กกี้หลับสู่ห่วงนิทราในห้องถูกๆของโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งในอีลีนอร์โดยที่เธอไม่รู้สึกตัวเลยว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเมืองนี้ทั้งเมืองกำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหนือหัวแม็กกี้ขึ้นไปกำแพงแห่งอีลีนอร์ตั้งตระหง่านรับแสงจันทร์แต่ก็ยังถูกบดบังด้วยอาคารที่ตั้งสูงกว่าที่แห่งนั้นคือปราสาทอีลีนอร์
ที่ตั้งทับกำแพงขนาดยักษ์จนกำพงกลายเป็นแค่ฐานรองรับน้ำหนักของปราสาทนั้นเองภายในเป็นที่อยู่อาศัยของตระ:Xลแลนเนอร์และเหล่าขุนนางที่รับใช้ลอรด์ ฟราซิส แลนเนอร์ อดีตเจ้าผู้อารักษ์ ( EX-Lord protector)
เขาผู้นี้เคยมีอำนาจเป็นถึงผู้สำเร็จราชการในช่วงบัลลังว่างสิบปีแห่งความว่างเปล่าของไททาเนียพูดง่ายๆคือชายผู้นี้เคยมีอำนาจสูงสุดในประเทศอยู่ช่วงหนึ่งสิบปีแห่งความว่างเปล่าคือช่วงเวลาที่สงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงแต่บัลลัง
กลับว่างเปล่าไร้กษัตริย์ขึ้นครองจำต้องมีผู้สำเร็จราชการมานั่งบริหารประเทศแทนซึ่งก็คือฟราซิส แลนเนอร์ นั้นเองปัจจุบันนี้เขาก็ยังเป็นชายที่มากด้วยอำนาจแม้จะยังไม่เท่ากับสมัยก่อนเป็นเจ้าเมืองปราการที่ยังมีอำนาจคุมทหารบริเวณชายแดนทางช่วงตะวันออกของประเทศที่ประจันหน้ากับป่ายูโทเปียรับหน้าที่ปกป้องพื้นที่พิเศษและหมู่บ้านน้อยใหญ่โดยรอบจากการรุกรานของชนเผ่าแอนนิมานอกจากจะมีกำลังเป็นของตัวเองมากที่สุดในบรรดาเจ้าเมืองทั้งหมดในประเทศไททาเนียเขายังสามารถสั่งการทหารส่วนกลางของชายแดนภาคตะวันออกและสามารถร้องขอกำลังเสริมจากทัพหลวงและศาสนจักรได้อีกด้วยขณะนี้เขากำลังนั่งอยู่บนบัลลังเจ้าเมืองนั่งจิบไวน์รอใครบางคนอยู่
และใครบางคนที่ว่านั้นก็เปิดประตูเข้ามาแล้ว…ฟราน แลนเนอร์หัวหน้ากองตรวจการคนใหม่ของอีลีนอร์และยังเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเขา
ราวกับเจ้าชายในเทพนิยายที่สวมเกราะสีเงินประกายงามสง่าฟรานเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆแต่ทุกย่างก้าวช่างสง่างามผมยาวจนปิดท้ายทอยสีทองม้วนเป็นลอนนัยตาสีฟ้าส่วนสูงสง่าดั้งชายชราตรีกร้ามเนื้อที่เรียวงามแม้ไม่บึกบึนเท่านักกร้ามเผยออกมาตรงแขนที่ไม่มีเกราะสีเงินเงางามหุ้ม
ผ้าคลุ้มสีน้ำเงินสะบัดพลิวสไหวงดงามตามจังหวะการย่างเท้าฟราซิสจ้องลูกชายอย่างภาคภูมิใจไม่ใช่แค่ว่าเขาโตขึ้นมาอย่างสง่างามองอาจแต่เป็นเพราะว่าลูกชายของเขาพร้อมแล้วสำหรับงานใหญ่งานแรกนั้นคือการกวาดล้างธุรกิจมืดในเมืองอีลีนอร์แห่งนี้ด้วยวัยเพียง16 ปีเศษๆเท่านั้นแถมยังเป็นหัวหน้ากรมการรักษาเมืองที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไททาเนีย
ฟราซิส : “ลูกข้าวันนี้ก็เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งเตรียมการพร้อมแล้วรึยัง”
ฟราน : “ครับท่านพ่อ…กำลังรบทุกนายประจำที่แล้วครับ”
ฟราซิส : “สิบกว่าปีแห่งการฝึกฝนทั้งวิชาดาบ และการบริหารบ้านเมือง การบัญชาการกองทัพ การทูต การควบคุมบริหารต่างๆ…ลูกข้าเจ้าพร้อมรึยังสำหรับงานใหญ่งานแรกในชีวิต”
ฟราน : “ครับท่านพ่อ…ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว”
ฟราซิสจ้องหน้าลูกชายอย่างภาคภูมิใจเขาส่งผ้าคลุมและดาบประจำตระ:Xลให้ลูกชายพร้อมกับ:Xบใบน้อยอีกหนึ่งใบฟรานเปิด:Xบดูพร้อมแสดงสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อยฟราซิสผู้พ่ออ่านสีหน้าลูกชายออกแล้วเริ่มพูดต่อ
ฟราซิส :“มันเป็นของที่ข้ารวบรวมมาได้ตอนที่ข้าเคยมีอำนาจสูงสุดในประเทศข้าใช้เงินจำนวนมากเพื่อให้ได้ของเหล่านี้และบางครั้งก็ต้องใช้มากกว่าเงินเพื่อให้ได้มามันจะมอบพลังอำนาจให้กับเจ้าอาจทำให้เจ้าเหนือกว่าจอมเวทย์บางคนด้วยซ้ำ”ฟราซิสพูดพร้อมยื่นส่ง:Xบให้ฟราน
ฟราน : “แต่ท่านพ่อของพวกนี้มันมีค่ามากเกินไป”
ฟราซิส :“จากวันเวลาแห่งความยากลำบากของเจ้าข้าว่าเจ้าสมควรที่จะรับมันหนึ่งในนั้นมีหินสีดำที่แปลกประหลาด…มันเป็นสมบัติของแม่เจ้า หญิงสาวผู้ลึกลับที่สุดเท่าที่ข้ารู้จักและเป็นจอมเวทย์ที่ทรงอำนาจมากที่สุดน่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้รับพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่นั้นจนถึงวันนี้ข้าก็ยังเดาไม่ออกว่ามันทำอะไรได้มันเป็นของประเภทไหน…ทำจากอะไรข้าไม่รู้จริงรู้แต่ว่านางกำชับให้ข้ามอบกับเจ้าในวันที่เจ้าพร้อมสำหรับทุกๆอย่าง…ไปเถิดลูกข้าจวนจะได้เวลาแล้ว”
ฟรานรับคำพร้อมเดินจากห้องไป…สู่ตัวเมืองอีลีนอร์ยามค่ำคืน
แม็กกี้เดินหลงทางอยู่ในป่าเธอเริ่มเหนื่อยล้าแต่ก็ยังเดินไปถึงหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเธอรู้สึกคุ้นเคยกับหินก้อนนี้อย่างประหลาดและเธอก็นึกออกใช่แล้วมันคือชะงอนหินขนาดใหญ่ที่เปิดยกเหนือพื้นข้างเดียวแบบเพิงหมาแหงน
ที่แห่งนั้นเธอเจอคานยืนอยู่มิโนทอร์ยืนส่งยิ้มให้เธออย่างใจดี…คาน…แม็กกี้พยายามวิ่งเข้าไปหาคานทันใดนั้นเองภาพฝันร้ายก็ฉายกลับมาอีกครั้ง
ฉึก อ้ากกกก คาน ร้องสุดเสียงวู้ดแมนตัวเล็กตัวนั้นเอาหนามขนาดยักษ์ที่ยื่นออกมาจากหลังมือเสียบหลังคานจนทะลุอกเลือดของคานกระเซ็นเข้าใส่หน้าของแม็กกี้เธอตกใจและช็อกจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย
แม็กกี้ : “แฮ่กๆๆๆ……ฝันหรอกรึ”เธอพูดพร้อมกับทำหน้าเศร้าสลดเพราะคานเพิ่งจากไปเพียงสามวันแม้ทั้งคู่จะรู้จักกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง
เธอลุกขึ้นมาจากเตียงนาฬิกาแขวนห้องตีเวลาบอกว่ายังแค่เที่ยงคืน
ตอนนี้เธอพักอยู่ที่ห้องใต้หลังคาของโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งหลังจากต้องกรีดเลือดตัวเองให้สมักจนอ่อนเพลียเธอตัดสินใจมาพักที่โรงเตี้ยมแห่งนี้เพราะไม่ไว้ใจสมักชายคนนี้มีกลิ่นที่อันตราย…เธอตัดสินใจลอบเข้ามายังตัวเมืองชั้นในเพื่อเปลี่ยนของมีค่าจากการผจญภัยที่ผ่านมาให้เป็นเงินพร้อมๆกับเสาะหาข้อมูลและลู่ทางการลักลอบเข้าเมืองที่ดีกว่าเธอตัดสินใจลุกออกมาจากห้องลงไปที่ชั้นล่างเพื่อหาเครื่องดื่มมาแก้กระหายมันช่างเป็นคืนที่ร้อนเหลือเกิน
น่าแปลกพอลงถึงชั้นล่างเธอรู้สึกว่าคนบางตาลงไปอย่างมากอาจเป็นเพราะเที่ยงคืนแล้วคนส่วนใหญ่จึงกลับไปที่ห้องของตนเธอจ่ายค่าน้ำองุ่นกับเกลือและน้ำตาลขนมปังกรอบอีกนิดหน่อยสำหรับเป็นสเบียงสองสามวันไม่มีใครสงสัยว่าเธอเป็นแอนนิมาเพราะเธอใช้มนต์แปลงกายอยู่ตลอด
แม็กกี้กลับมาที่ห้องเธอรู้สึกประหลาดมันเป็นความรู้สึกที่เย็นยะเยือกและแล้วเธอก็ได้ยินเสียงอะไรเคลื่อนไหวอยู่บนหลังคาเหนือหัวของเธอ
มันเป็นเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่หูแอนนิมาของเธอก็ยังได้ยินเธอตัดสินใจรวบถุงย่ามสัมภาระของเธอทันใดนั้นเองหลังคาเหนือหัวแม็กกี้ก็ถล่มลังมา
แกร็กๆๆๆๆ โครม!
แม็กกี้ยิงบอลไฟสวนใส่ซากหลังคาอย่างรวดเร็วเพราะเธอร่ายคาถาในใจไปก่อนแล้วมันถูกแรงดันเวทย์ส่งกองเศษหลังคากระเด็นออกไปพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนมันเป็นเสียงของผู้ชาย
อ้ากกกกกกก ! เปรี้ยๆ(เสียงแผ่นไม้ปริแตก)แคว้ก ! ตูมๆ!
ทันทีที่เสียงร้องหายไปเสียงแผ่นไม้ที่บานประตูก็ปริแตกพร้อมกับมือที่ขาวซีด
เล็บที่ยาวยื่นทะลุประตูห้องออกมา เหนือหัวเธอขึ้นไปมีเงาของมนุษย์โผล่ออกมาจากรูบนหลังคาอีกสองสามเงาเธอรีบมัดย่ามไว้กับเอวแล้วใช้บอลไฟยิงอัดพื้นที่ตัวเองยืนอยู่ในจังหวะเดียวกับการกระโดดสูง
ตูมม! ร่างของแม็กกี้พุ่งสวนทะลุรูหลังคาออกไปราวกับติดจรวดแต่กลุ่มเงาตะคุ่มก็ยังกระโดดตามหลังคาตามเธอไปอย่างรวดเร็ว
ตามมันไป จับเธอให้ได้ แบบ เป็นๆมีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นกลุ่มเงาของมนุษย์หลายสิบก็กระโจนตามไปอย่างรวดเร็ว ทำให้แม็กกี้ต้องออกฝีเท้าสุดกำลังเพื่อฝ่าวงล้อมกลุ่มคนปริศนา…มันเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่ซ่อนตัวในเงามืด
ฝีเท้าของพวกมันเรียกได้ว่าเหนือมนุษย์พวกมันกระจายวงล้อมออกไปแต่ก็ย่นระยะห่างลงเรื่อยพวกมันกระชั่นเข้ามาแล้ว ในที่สุดเธอก็โดนล้อมจนได้
แสงจันทร์เพ็ญเต็มดวงเริ่มส่องออกมาจากหมู่เมฆที่หนาถึบกลางคืนก็ส่องสว่างขึ้นเผยให้เห็นกลุ่มคนในหมู่เงาได้ชัดหนึ่งในนั้นเธอจำได้
…มันคือบริกรร้านอาหารของสมักนั้นเองชายที่เปิดประตูทางลับไปบ่อนที่ซ่อนอยู่ในร้านของสมัก…ไม่ต้องสงสัย สมักเล่นนอกเกมส์กับเธอซะแล้ว
บริกรและเหล่าลูกสมุนตัวขาวซีด…มันมีเล็บยาวนัยตาเรืองแสงสีแดงบางตนแยกเขี้ยวคู่งามยาว…มันทำให้เธอนึกถึงนิทานก่อนนอนที่ป้าเธอเล่าให้ฟัง
จำไว้นะหลานรัก…ในหมู่พวกมนุษย์ชั่วร้ายที่ชอบอำนาจชื่อเสียงและสิ่งของที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนที่เรียกว่าเงิน…ยังมีบางพวกที่ต้องการมากกว่านั้น
มันต้องการพลังเหนือมนุษย์…และชีวิตนิรันตร์เหล่าสาวกที่ยอมให้ปีศาจร้ายครอบง่ำด้วยเลือดต้องคำสาป….พวกวาราเรี่ยน หรือถูกเรียกอีกชื่อว่าแวมไพร์ ผู้ชิงชังแสงอาทิตย์และหันหลังทรยศให้เทพแห่งแสงที่พวกมันยกย่องบูชาแต่รวดเร็ววูปไหวในความมืดเสียยิ่งกว่าพวกเรา พวกมันเลิกทานอาหารศักดิ์สิทธิ์ที่เอเทียร์ประทานให้แก่สัตว์โลกหันมาดื่มของโสโครกอย่างเลือดและพลังชีวิตแทนราวกับผู้ที่หลุดมาจากโลกแห่งโดม่า มีตัวตนที่เหมือนผีร้ายที่อยู่ในเงามืด.....
…..จับมัน! บริกรตะโกนแยกเขี้ยวขาวสั่งลูกน้อง
แม็กกี้ได้สติอีกครั้งเมื่อวาราเรี่ยนที่ล้อมอยู่วงหน้ากระโดดพุ่งเข้ามาหมายจะตะครุบเธอ เธอโยกตัวหลบอย่างหวุดหวิดทำให้พวกมันสองสามคนชนกันเองกลางอากาศ…พวกที่ยืนห้างออกไปบางคนเริ่มกระชากของบางสิ่งออกมาจากแผ่นหลัง….หน้าไม้ มันคือหน้าไม้แบบคันส่งดีดทีละนัดรุ่นเก่า
ยุ่งละสิ แม็กกี้คิดอยู่ในใจ แต่ไม่มีเวลาตั้งตัวพวกมันก็โจนเข้ามาอีกสามตัว
ยื่นกรงเล็บขาวยาวออกมาเธอสวิงตัวหลับอีกครั้งแต่คราวนี้เธอโดนเล็บคมๆของพวกมันกรีดถลอกปอกหนังแขนงามๆของเธอแบบเฉียดๆ
พวกมันเองก็เริ่มจับจังหวะเธอได้และใช้สปีดที่เหนือกว่าแม็กกี้เล็กน้อยโจมตีตอดเล็กตอดน้อยเรียกเลือดเธอออกมาไหลซิบๆ
…ในพริบตานั้นเองแม็กกี้ตัดสินใจหลบสิ่งที่พุ่งจากทางด้านหลังแบบไม่หันไปมองด้วยสัญชาติญาณของมนุษย์สัตว์…สิ่งที่พุ่งผ่านเธอไปคือ
เฟี้ยวววว…..ฉึก…..อ้าก ! (เสียงบริกรร้องอย่างเจ็บปวด)
มันคือลูกศรหน้าไม้ที่พุ่งจากหน้าไม้อันใดอันหนึ่งของพวกมัน แม็กกี้เอี้ยวตัวหลบเพราะรอฟังเสียงอยู่แล้วแถมพอจะเดาได้ว่าพวกมันคงจะเล็งจากด้านหลัง ที่ไม่ใช่จุดตายเพราะได้ยินว่าพวกมันจะจับเธอ…ลูกศรพุ่งเลยผ่านตัวไปเสียบท้องน้อยของบริกรจนกระเด็นล้มตึง…พวกวาราเรี่ยนที่เหลือตะลึงอึงเงียบกันทั้งโขยงความชุนละมุนของการต่อสู้บนหลังคาหยุดชะงักไปชั่วขณะ
แม็กกี้ : “ถอยไปซะหัวหน้าพวกแกเสร็จไปแล้วถ้าอยากตายก็เข้ามาอีก”
เธอตะโกนไล่พวกที่เหลือแต่พวกมันบางคนเริ่มยิ้มแทนและเริ่มส่งเสียงหัวเราะจนเธองงเล็กน้อย
บริกร : “อูย…เจ็บไม่หยอกเหมือนกันนะครับเนี่ย”
แม็กกี้ : “แก…ทำไมยังไม่ตาย”เธอกล่าวอย่างตื่นตะลึงกับร่างของบริกรที่ลุกขึ้นมาและดึงลูกศรหน้าไม้ออกจากท้องน้อยพร้อมแผลที่ค่อยๆปิดตัว
บริกร : “ผมน่ะตายไปแล้วคงตายอีกไม่ได้หรอกครับ”
ฮ่าๆๆๆๆๆ(เสียงหัวเราะแซ่งแซ่ของเหล่าลูกน้องวาราเรี่ยน)
แม็กกี้ : “…..เข้าใจแล้ว อันเดท นี่เอง…ชักยุ่งยากขึ้นมาแล้วสิ” (พวกผีดิบ)
บริกร : “อย่าเอาพวกผมไปรวมกับพวกตายสนิท เน่าเหม็น ไร้ความรู้สึกแบบนั้นสิครับ ผมกับพวกซี่โครงเน่าพวกนั้นต่างกันแยอะ…ตรงที่เจ็บนี่ละ”
แม็กกี้ : “งั้นเอานี่ไปกิน…ฟีนิกเบส!”
ซูม อ้ากกกก นกเพลิงขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่แถวลูกน้องวาราเรี่ยน
แม็กกี้เล็งแนวยืนของพวกที่ถือหน้าไม้ที่มากที่สุดพวกมันมอดไหม้วิ่งเต้นพล่านเพราะถูกไฟครอกไปหลายคนพวกที่เหลือวงแตกกระจายวิ่งหาที่กำบังแทบไม่ทันพวกที่โดนไฟครอกบางคนล่วงจากแนวหลังคาลงสู่พื้นเบื่องล่าง
บริกร : “อุ้ย…ประมาทไป เผลอ คุย จนฝ่ายตรงข้ามมีเวลาร่ายเวทย์ซะได้
เป็นพวกท่องคาถาในใจได้ก็ไม่บอก” บริกรพูดสำเนียงแพ่วเบาสุภาพแต่แม็กกี้เริ่มรู้สึกได้ว่าพวกมันเริ่มเสียกระบวนซะแล้วแต่ก็ยังบุกเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย ตาที่แดง เล็บที่ยื่นยาวเขี้ยวคู่ที่ขาวแหลมคม พุ่งเข้าตะปปแม็กกี้เป็นระวิง
เธอต้องหลบลูกศรหน้าไม้ด้วยแม้จะถูกจัดการไปมากในการโจมตีครั้งก่อน แต่พลธนูของพวกมันก็ยังไม่ถูกจัดการหมดซะทีเดียว แม็กกี้ใช้วิชาส่งพลังไฟเข้าไปในหมัดและเท้ากลายเป็นเพลงหมัดไฟที่สั้นง่ายและรวดเร็วผสานกับการโยกตัวหลบไปมาและโจมตีสวน แต่พวกมันก็ยังเหนือกว่าอยู่ดีในด้านจำนวนถึงสาบสิบกว่าต่อหนึ่ง
แม็กกี้เริ่มเหนื่อยอ่อนจนถูกตะปปบางแล้วเธอเริ่มเสียเลือดพวกแวมไพร์สามสี่ตัวที่ซัดกับเธอถอยฉากออกมาพวกที่โดนเธอซัดหมอบจนนอนกองนับสิบก็เริ่มลุกขึ้นมามีแวมไพร์ตัวหนึ่งดื่มเลือดของเธอที่เปราะติดมือแล้วคำรามลั่น
อร่อยโว้ย! นี่มันเยียมสุดๆ แฮ่กๆ อย่างได้อีก เลือด อะไรวะเนี่ย!แฮ่….
พวกที่เหลือที่มีเลือดของเธอติดอุ้งมือเริ่มทำตามแล้วก็เริ่มคุ้มคลั่งเหมือนๆกัน
แม็กกี้รู้สึกได้ว่าแบบนี้แย่แน่พวกมันที่ได้รับเลือดของเธอต่างบ้าคลั่งและดุร้ายมากกว่าเดิมแต่เหมือนจะควบคุมสติไม่ได้ เธอจะทำยังไงดีต้องคืนร่างแล้วสู้สุดกำลังซะแล้ว ทันใดนั้นเองเสียงสวรรค์ดังขึ้นมาจากถนนทางเดินเบื่องล่าง
ใครน่ะ ! ใครต่อสู้กับข้างบน ! ลงมาเดี่ยวนี่! เสียงประกาศของพวกอัศวินหัตถ์เงินที่เดินลาดตะเวนไปมาจนได้ยินเสียงการต่อสู้ที่อยู่บนหลังคาในพริบตานั้นเองแม็กกี้กระโจนพุ่งโถมทั้งตัวเข้าใส่บริกรทั้งตัวจนทั้งคู่ล่วงลงสู่พื้นถนนด่านล่างพวกที่คุ้มคลั่งกระสี่ห้าตัวกระโดดตามแม็กกี้ลงมาเพราะคุมสติไม่อยู่
บริกร : “จะทำอะไร…อย่า!...ว้ากกกกก” โครม! กร็อป! (เสียงร่างกระแทกพื้น)
แม็กกี้ที่กำลังจะดิ่งกลางอากาศจากยอดหลังคาสี่ชั้นจับล็อกบริกรอย่างสุดกำลังและใช้ร่างของแวมไพร์ผู้เคราะห์ร้ายแทนพรมกันกระแทกร่างของ
บริกรกระแทกพื้นเต็มๆจนเสียงกระดูกหักดังกร็อป ลั่นถนน วินาทีต่อมามีวาราเรี่ยนที่กำลังคุ้มคลั่งกระโดดตามมาติดๆ สถานการณ์ตอนนี้อยู่บน
ตรอกๆหนึ่งบนพื้นถนนมีคนสิบเอ็ดคนยืนอัดกันอยู่ในตรอกแคบๆหนึ่งแอนนิมาที่ปลอมตัวเป็นมนุษย์ ห้าแวมไพร์ที่ถูกจัดการไปแล้วหนึ่ง สี่อัศวิน
เกราะเงินส่องประกายและหนึ่งชายสวมผ้าคลุมที่ฮูดปิดหน้าผากมีลายถักรูปดวงตาสีทอง
แม็กกี้ที่ยืนเหยียบร่างที่แหลกเหลวของบริกรมีแวมไพร์คลั่งเลือดสี่คนยืนประกบด้านหลังแต่เบื้องหน้าของเธอนั้นเลวร้ายกว่าเมื่อมีอัศวินเกราะเงินสี่คนยืนประจันหน้าที่เลวร้ายที่สุดคือมีชายสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินหน่วย Seer นั้นเองที่ฮูดปิดหน้ามีลายถักรูปดวงตาสีทองดูราวกับจะส่องทะลุทุกสิ่ง สมักเคยเตือนเธอว่าอย่าให้คนพวกนี้เห็น แต่เธอถูกเห็นซะแล้ว
พวกอัศวินและ Seer ก็ตื่นตะลึงไม่แพ้กันแต่หัวหน้าชุดตั้งสติได้ก่อนแล้วตะโกนลั่นซอยSeer ก็จ้องแม็กกี้ตาขเม็งทำท่าเหมือนจะสะกิดหัวหน้าชุดแต่ไม่ทันเสียแล้วหัวหน้าชุดชักดาบและปลดโล่ทรงกรมที่ติดหลังตะโกนลั่น
อัศวิน : “ เฮ้ยแวมไพร์….! To arm ! Kill Them all !”
เสียงกรงเล็บกระทบโล่เสียงคำรามเจ็บปวดของแวมไพร์ เสียงดาบเฉาะเนื้อดื่มเลือดต้องสาปของแวมไพร์มันเป็นภาพที่ไม่น่าเชื่ออาวุธอย่างดาบ ขวาน หรือ
หอก ไม่อาจเล่นงานวาราเรี่ยนพวกนี้ได้อย่างมีประสิทธิผลทุกครั้งที่โดนเฉาะ
ทิ้งไว้ไม่ถึงนาทีแผลก็สม่านตัวเธอเห็นมากับตาขนาดโดนลูกศรหน้าไม้ใส่จังๆยังไม่เป็นอะไรโดนทั้งทีบทั้งแตะจนปลิวซักพักก็ลุกขึ้นมาใหม่
แต่ภาพที่เธอเห็นก็คือทุกครั้งที่ดาบของพวกอัศวินเฉาะเนื้อพวกมันกลับมีแผลลุกไหม้ออกมาทางSeer เองก็ปล่อยเวทย์แสงสว่างเจิดจ้าลวกเนื้อของมันจนเสียจังหวะพอเสียจังหวะก็ถูกดาบเสียบไม่ก็บั่นจนหัวขาดพวกแวมไพร์ถูกจัดการอย่างรวดเร็วมีพวกโง่ที่ตอนแรกกระโดดตามเพื่อนลงมาอีกสิบกว่าคนแต่ก็ถูกจัดการแบบเดียวกันพวกแวมไพร์กระโดดเกาะผนังใช้กำแพงตรอกในการถีบตัวไปมาแล้วพุ่งเข้าใส่แต่ทุกครั้งที่กระโจนเข้าใส่อัศวินก็ยกโล่ขึ้นกันและจนเล็บของมันหักโดนโล่กระแทกหน้า โดนดาบฟันทุกครั้งที่ดาบฟัน
แม็กกี้เห็นแสงสว่างแวบหนึ่งในพริบตาที่ดาบกำลังเฉาะเนื้อพวกมันมีแผลไหม้เป็นแนวยาวตามทางดาบที่อัศวินฟาดลงไปส่งเสียงร้องระงม
วิ่ง วิ่ง ให้ เร็ว ที่ สุด ! นั้นคือสิ่งที่แม็กกี้คิดได้ตอนนั้นไม่ใช่หนีพวกแวมไพร์
แต่เธอใช้ช่วงชุลมุนนี้หนี Seer และ พวกอัศวินต่างหากเธอเผ่นลับไปอย่างรวดเร็วปานสายลมโดยไม่หันหลังกลับมาอีกเลย
อีกทางด้านหนึ่งสมักกำลังรีบเร่งรวบรวมของมีค่าใส่:Xบและย่ามกระถัดรัดที่สุดสีหน้าของเขาทั้งตื่นกลัวและโกรธแค้นสับถด่าออกมาคนเดียว
สมัก : “บ้าเอ้ยๆอีกนิดเดี่ยวข้าก็จะได้ทุกอย่าง…ชื่อเสียง อำนาจ เงินมหาศาล
ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยว่ะ…โธ่เว้ย”เขาดาบสาปแช่งพลางหยิบขวดบรรจุเลือดของแม็กกี้ไปด้วยตอนนี้อัศวินหัตถ์เงินทั้งกองในเมืองนี้กำลังไล่ล่าฆ่าแวมไพร์ทุกตัว เผาบ่อนพนันทุกบ่อนยังมีพวก seer มาอีกการหลบหนีจึงทำได้ยากราวกับปีนป่ายขึ้นสวรรค์เพราะพวกนี้มีพลังในการส่องหาความจริง
เขาใช้ช่องทางลับจนมาถึงเรือสำเภาลำหนึ่งเขาตะโกนเรียกกัปตันแต่เสียงเงียบไม่ตอบสนองเขาทำท่าจะหันหลังกลับแต่ก็มีตะค่ายถักจากโซ่เงินลอยมามัดตัวเขาเอาไว้….อ้ากกกก ร้อนน สมักแหกปากลั่น เขาเห็นชายผมทองสูงสง่าเดินออกมาจากกลุ่มอัศวินหัตถ์เงินฟราน แลนเนอร์นั้นเอง….ทั้งสองประจันหน้ากัน ฟรานยืนยิ้มอย่างผู้มีชัย
Mana vision tale of the fire cat part 6