“เอ้า รีบไปได้แล้วเจ้าพวกงั่ง เดี๋ยวพวกเทเรเซียมันก็รู้ตัวกันพอดี” โกเลมสีดำที่ติดเครื่องหมายบอกยศร้อยตรีเอาไว้ชัดเจนมีเสียงของชายสูงวัยดังขึ้น ซึ่งเขาคงใช้ระบบถ่ายทอดเสียงออกมาคงเพราะกลัวถูกดักฟัง และในขณะที่โกเลมของเขากำลังจะเดินลงไปในน้ำนั้นเองก็มีลูกกระสุนขนาดใหญ่พุ่งทะลุส่วนหัวของโกเลมไป และในวินาทีต่อมาก็มีอีกนัดพุ่งทะลุส่วนอกไป ซึ่งที่ส่วนอกนี้เองคือส่วนที่นั่งของผู้ควบคุมโกเลม
“ร้อยตรี!!” ทหารผู้ควบคุมโกเลมคนหนึ่งร้องขึ้นพร้อมกับหันไปมองซากโกเลมที่อยู่ด้านข้าง แต่แล้วจู่ๆก็มีกระสุนปืนปริศนาพุ่งทะลุส่วนหัวไหล่ของโกเลมแล้วทะลุออกไปอีกด้าน และในจังหวะที่โกเลมกำลังล้มลงกับพื้นนั้นก็มีกระสุนอีกนัดที่ตัดผ่านช่วงลำตัว ซึ่งที่จุดที่ใช้ติดตั้งผลึกเวทมนตร์เอาไว้ และด้วยเหตุนี้เองทำให้โกเลมตัวนั้นระเบิดทันที
“เฮ้ รีบๆตั้งโล่เร็ว!!” ทหารอีกคนรีบบอกเพื่อนทหารที่อยู่ข้างๆ ซึ่งโกเลมของเขานั้นมีรูปร่างดูอุ้ยอ้ายเพราะมีเกราะหน้ากว่าตัวอื่นแถมยังแบกโล่อันยักษ์มาด้วย
เขารีบตั้งแนวโล่ตามที่เพื่อนบอกส่วนเพื่อนของเขาเองก็รีบไปยืนหลบอยู่บ้านหลังทันที แต่ดูเหมือนว่ามันจะไร้ประโยชน์ กระสุนพุ่งทะลุโล่เข้าในส่วนข้อสอกแล้วทะลุออกส่วนหัวไหล่ของโกเลมไปทำให้แขนของมันขาดออกจากตัวทันที เสียงร้องโหยหวนของผู้ควบคุโกเลมดังขึ้น นั่นเป็นเพราะระบบเชื่อมต่อเส้นประสาทเพื่อใช้ในการควบคุมโกเลม ดังนั้นการที่เกิดความเสียหายขึ้นผู้ควบคุมเองก็จะรู้สึกราวกับเกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง
ทั้งสองที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเปลี่ยนเป็นออกแรงวิ่งสุดแรง ตะเกียดตะกายปีนขึ้นไปบนถนนซึ่งอยู่ด้านหลังพวกเขา แต่ในตอนนั้นเองที่โกเลมแขนขาดถูกลูกกระสุนพุ่งทะลุช่วงอีกถึงสามตัดติดๆกัน
“บ้าเอ้ย!! เป็นแค่พวกบ้านนอกเทเรเซียแท้ๆ!!” โกเลมตัวที่เหลือเปลี่ยนมาเป็นใช้ปืนไรเฟิลอาวุธประจำตัวขึ้นมายิงมั่วซั่วด้วยความหวาดกลัว “แกคิดเหรอว่าประเทศของแกจะรอดน่ะ ยังไงประเทศของพวกแกก็จะตกเป็นของออสเทียร์อยู่ดีนั่นล่ะ!! ประเทศบ้านนอก ไร้ค่า พวกขยะ!!” เขาเริ่มสบถใส่อีกฝ่ายที่มองไม่เห็นตัว แต่แล้วจู่ๆก็มีลูกกระสุนปริศนายิงสวนเข้ามาในปากกระบอกปืนทำให้ปืนระเบิดขึ้นทันที แล้วต่อด้วยส่วนข้อต่อแขนซ้าย หัวไหล่แขนซ้าย ข้อต่อแขนขวาไหล่แขนขวา ตรงส่วนต้นขาซ้ายและขวา แล้วจึงยิงใส่ข้อต่อขาทั้งสองข้างจนขาด ร่างของโกเลมล้มกลิ้งลงกับพื้นดินข้างแม่น้ำ และต่อด้วยอีกสามนัดเข้าที่ส่วนหัว นั่นทำให้ส่วนหัวแหลกไม่เป็นชิ้นดี ถึงโกเลมจะหัวขาดไปแล้วแต่ไม่ได้แปลว่าผู้ควบคุมจะตาย แต่นั่นทำให้เขารู้สึกราวกับโดนยิงจนหัวเละไปแล้วจริงๆ เสียงร้องโอดครวญปนเสียงสะอื้นดังขึ้นจากระบบถ่ายทอดเสียง แล้วกระสุนชุดสุดท้ายก็ถูกยิงมาอย่างแม่นจำ มันถูกยิงเข้าใส่ส่วนหลังสามนัดติดๆกัน โดยไม่โดนเข้าที่ส่วนติดตั้งผลึกเวทมนตร์แม้แต่นิดเดียว
ที่อีกฝั่งของแม่น้ำ ในซากตึกใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำมีร่างของโกเลมสีขาวราวกับหิมะในฤดูหนาวอยู่ในท่านั่งย่อตัวอยู่ โดยภายในนั้นถูกทำให้เป็นจุดซุ่มยิงก็คงไม่ผิด โดยโกเลมตัวนี้ถือปืนไรเฟิลซุ่มยิงกระบอกโตที่ปลายกระบอกมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษเพราะมันถูกติดตั้งอุปกรณ์เก็บเสียงเอาไว้ ที่ตัวปืนนั้นมีสายสำหรับใช้จ่ายกระสุนที่ต่อมาจากที่เก็บกระสุนที่ดูราวกับเป็นเป้เดินทางขนาดใหญ่ด้านหลัง ทำให้สามารถยิงต่อเนื่องได้โดยไม่ติดขัด ที่ไหล่ซ้ายของโกเลมมีรูปเหยี่ยวถูกติดเอาไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายประจำตัว และที่ด้านใต้ของภาพนั้นมีตัวหนังสือในภาษาของชาวเทเรเซียเขียนว่า “ชีวิตนี้ขอมอบให้แผ่นดิน” และที่ไหล่ขวาเป็นรูปโล่สีทอง เขียนตัวเลขบอกหน่วยที่ประจำเอาไว้คือ “404”
ภายในห้องของผู้ควบคุมโกเลมนั้นมีร่างของหญิงสาวผมสีทองยาวสวยงามเปล่งประกาย ผู้มีใบหน้านิ่งไร้อารมณ์ราวกับตุ๊กตากำลังใช้ดวงตาสีมรกตจับจ้องจอภาพตรงหน้า โดยภาพที่ฉายมานี้มันคือภาพในมุมมองของเธอทั้งหมด ซึ่งตัวโกเลมนั้นไม่สามารถฉายภาพเข้าไปยังสมองได้โดยตรงจึงต้องใช้วิธีนี้แทน ร่างกายของเธอสวมชุดสูทสีขาวแนบเนื้อจนเผยสัดส่วนของเธอออกมาอย่างชัดเจน แขนและขาของเธอนั้นถูกสอดเข้าไปในช่องเล็กๆนั่นคือส่วนที่เอาไว้เชื่อมต่อการควบคุมแขนและขา สำหรับคนที่ขับโกเลมครั้งแรกทุกคนจะรู้สึกขยะแขยงเหมือนกันหมด เพราะด้านในมีของเหลวเหนียวๆชวนอาเจียนอยู่เต็มไปหมด และที่หลังของเธอนั้นมีส่วนที่ดูเหมือนสายไฟถูกต่อเข้ากับชุดของเธอรวมไปถึงส่วนหัวไหล่ด้วย
“นี่เหยี่ยว เรียกรัง”
เธอพูดเสียงเย็น
“นี่รัง ว่ายังไงเหยี่ยว เหงาเหรอ อยากได้เพื่อนคุยเหรอ หรือว่าอยากจะถูกถึงอนาคตของพวกเราล่ะ”
เสียงยียวนของชายคนหนึ่งดังขึ้นในห้องผู้ควบคุม
“เลยเวลาเปลี่ยนมาสามนาทีแล้ว”
เธอพูดเสียงเรียบ
“น่าๆ อย่าบนไป สามนาทีเองไม่ใช่สามสิบนาทีซะหน่อย”
“รีบเร่งทิโมธีด้วย”“ถึงจะเร่งก็เถอะ ไม่ได้แปลว่าจะไปถึงในทันทีซักหน่อย”
“ถูกต้อง!! อีกอย่างนะ ฉันแบกปืนใหญ่ 105mm ไปด้วยแบบนี้ยังไงมันก็ช้า แล้วไหนจะกระสุนอีก แล้วไหนจะปืนกลอีก”
เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้น มันเป็นเสียงที่ฟังดูแล้วก็รู้สึกได้เลยว่าเจ้าของเสียงนั้นไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลยซักนิด
“รีบมาด้วย”“รู้แล้วล่ะน่า!!”
“เหยี่ยวเรียงรัง ดูเหมือนว่าจะมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ”
หญิงสาวพูดเสียงเย็น ภาพตรงหน้าของเธอคือโกเลมที่มีรูปร่างดูผอมบางกว่าโกเลมทั่วไปกำลังเดินข้ามสะพานมา ด้านหลังมีของที่ดูแล้วคล้ายกับพวกหางอยู่สองอันที่แขนซ้ายมีโล่ขนาดกำลังดีไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไปติดตั้งเอาไว้ และที่มือขวาคือดาบแบบสองคมสีดำ ที่ไหล่ซ้ายมีรูปกุหลาบสีดำและที่ไหล่ขวาเขียนด้วยภาษากลางที่ทุกประเทศใช้แถมด้วยรูปหัวใจสีชมพูว่า“ฉันคือเรเทีย คริสเตน อายุสิบเจ็ดปี” เอาไว้
เธอรีบอธิบายถึงรูปลักษณ์ของมัน แต่ถึงไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าใครขับมันอยู่
“ออกมาแนวหน้าเองเลยเหรอเนี่ย เรเทีย”เสียงของชายคนนั้นดังขึ้น
“จะเอายังไงดีล่ะ”
ทิโมธีพูด
“อื้ม ไม่ต้องห่วง ชายผู้ได้ชื่อว่าหมาป่าแห่งแดนเหนือออกไปแล้วล่ะ”
“หัวหน้านั่งอยู่แถวนั้นด้วยเหรอ”“นั่งเหรอ? บอกว่านอนดีกว่า ก่อนหน้านี้ก็นั่งอ่านหนังสือโป๊”
“เอาเข้าไป ท่านน้อยเอกพิเศษ*”“หัวหน้า”
เสียงของหญิงสาวดังขึ้นแต่หนนี้มันแฝงเอาไว้ด้วยความกังวลแทน
“เป็นอะไรไป เออร์ซูลา กลัวหัวหน้าตายก่อนวัยอันควรเหรอ~”
“หัวหน้าไม่มีวันแพ้หรอก”“ถ้าหัวหน้าตายสิแปลก คนที่สามารถล้มหมีสีน้ำตาลได้ด้วยมือเปล่า ชายที่เอาตัวรอดจากภูเขาไอซ์เฮลที่หนาวเย็นที่สุดในแดนเหนือด้วยสภาพชุดสูท คนแบบนั้นไม่มีทางตายหรอก”
“นั้นสินะ ไม่มีทางตายหรอก”ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน
“เออร์ซูลา รีบออกมาจากทีนั่นซะ โมอาร์ นายออกคำสั่งถอนทัพเดี๋ยวนี้เลย การที่เรเทียมาที่แนวหน้าเองแบบนี้แสดงว่ากองกำลังหลักเองก็มาด้วย เราต้านทหารสองกองพันไม่ไหวหรอก”
เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังแทรกเข้ามาในช่องสัญญาณ“จะดีเหรอครับ ถ้าเราเสียเมืองนี้เท่ากับเราเสียทางตะวันออกของประเทศไปเลยนะครับ”
“ถ้ายังไม่ตายก็กลับมาเอาคืนใหม่ได้ แล้วก็ที่จริงแล้ว อีกสองวันฉันต้องกลับเมืองหลวงตามคำสั่งเรียกตัวน่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ”เออร์ซูลาที่ได้ยินคำสั่งของหัวหน้าตัวเองแล้วเธอจึงรีบออกจากที่ซ่อนด้วยวิธีที่ไวที่สุดคือพุ่งทะลุส่วนกำแพงออกมาทันที แต่ว่าเธอเองก็ไม่ปล่อยโอกาสเอาไว้ด้วย เธอยิงเข้าใส่โกเลมสีดำตรงหน้าอย่างไม่รอช้า แต่โกเลมตัวนั้นกลับย่อตัวลงเพื่อหลบกระสุน แล้วพุ่งเข้าใส่เธออย่างรวดเร็ว
“เออร์ซูลาหลบ!!”เสียงหนึ่งของชายหนุ่มดังขึ้น และนั้นทำให้เธอตัดสินใจเบี่ยงตัวเองออกด้านข้างซึ่งมันเป็นจังหวะเดียวกับที่ปลายเท้าของโกเลมตัวหนึ่งเสยขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ ซัดเข้าที่ส่วนหน้าของโกเลมสีดำจนล้มหงายกลิ้งไปกับพื้น
ร่างของโกเลมสีขาวที่เหมือนกับของเธอไม่มีผิดแต่ถ้าจะให้พูดก็คือ จะเอาอะไรมากกับของโหลผลิตจำนวนมาก ที่เครื่องนี้ที่ต่างคงเป็นสัญลักษณ์ที่ไหล่ซ้าย มันเป็นรูปหัวหมาป่า“ตายจริง!! สุดท้ายก็ได้เจอตัวเป็นๆ ชายผู้ทำให้นายพลเอลริคต้องอับอายถึงหกครั้ง แถมยังเป็นคนที่ทำให้ฉันคนนี้ต้องออกมาแนวหน้าเอง ร้อยเองพิเศษอเล็กซ์ อาเธอร์”
เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาจากเจ้าโกเลมสีดำ“โย่ว!! ไม่ได้เจอกันตั้งเจ็ดปีแล้วนะ ยัยหนู!!”
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นจากโกเลมของเขาพร้อมกับชูมือขวาทำท่าทักทายแบบสนิทสนม“นั้นสินะคะ เจ็ดปีตอนนั้นฉันก็แค่สิบขวบเองนี่นะคะ”
“ช่ายๆ เด็กน้อยที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งเพราะลงจากต้นไม้ไม่ได้”
เขาพูดโดยเจ้าโกเลมของเขาเองก็ทำท่ากอดอกพยักหน้า“อย่าขุดเอาเรื่องเก่าๆมาคุยกะได้ไหมคะ”
“อะไรกัน!! เธอลืมบุญคุณคนที่ปีนขึ้นไปช่วยเธอลงมาจากต้นไม้คนนี้แล้วเหรอ!!”
“มันเป็นเรื่องที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตฉันเลยล่ะค่ะ!!”“อะไรกัน ทั้งๆที่ตอนฉันจะกลับมาเทเรเซียยังบอกอยู่เลยว่าอยากจะแต่งงานกับฉัน!!”
“ฉันไม่เคยพูดๆๆๆ”
เธอร้องเสียงหลงโดยเจ้าโกเลมสีดำเองก็ทำท่ากระทืบเท้าแรงๆหลายทีจนพื้นสั่นไปหมด แต่ในระหว่างที่พวกเขาคุยกันอยู่นั้นทหารในหน่วย 404 ก็เก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและถอยทัพออกไปจากเมืองเสร็จแล้ว ส่วนเออร์ซูลาเองก็เผ่นไปไกลแล้วเช่นกัน
“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันอีกแล้ว!!”เสียงของเด็กสาวดังขึ้น และถ้าหากว่าโกเลมมันแสดงสีหน้าได้แบบเจ้าของหน้าของมันคงเปลี่ยนเป็นสีแดงไปจนหมดแล้ว
เจ้าโกเลมสีดำพุ่งเข้าใส่โกเลมของอเล็กซ์อย่างรวดเร็ว มันวาดวงดาบเข้าใส่เขาจากด้านข้าง แต่อเล็กซ์กับโต้กลับด้วยการใช้เท้าซ้ายถีบเข้าที่ส่วนข้อมือของเจ้าโกเลมสีดำเพื่อเบนวิถีดาบออกไปแล้วจึงใช้เข่าขวาซัดเข้าที่ส่วนใบหน้าจนเจ้าโกเลมสีดำเสียหลัก และใช้มือคว้าเข้าที่ส่วนหัวของมันแล้วเหวี่ยงเข้าไปใส่อาคารสามชั้นที่ปลูกเป็นแนวยาวตลอดถนนทั้งสายจนพังยับ
“อื้ม โกเลมรุ่นพิเศษนี่เรื่องความเร็วใช้ได้เลยนะ”เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น และดูท่าทางเขาจะให้ความสนใจเจ้าโกเลมตัวนี้ไม่ใช่น้อย
“คุณเองก็ใช้ของโหลได้เก่งดีนี่คะ”“แหม!! ชมกันแบบนี้เอามีดมาแทงกันให้ตายเลยเถอะ!!”
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นจากโกเลม ส่วนเจ้าโกเลมที่เขาควบคุมอยู่นั้นก็ทำท่าทางบิดไปมาอย่างเขิลอายแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยิ่งหัวเสียกับท่าทางยียวนแบบนั้น เจ้าโกเลมสีดำพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว แต่ครั้งนี้ดาบพุ่งเข้าใส่ในท่าแทง และส่วนโล่เองก็ยกขึ้นมาเพื่อเตรียมป้องกัน โกเลมของอเล็กซ์เองก็ไม่น้อยหน้า มันเบี่ยงตัวเองหลบออกมาทางขวาแล้วใช้มือคว้าเข้าที่ส่วนหัวของเจ้าโกเลมสีดำ และออกแรงเหวี่ยงมันพุ่งเข้าใส่อาคารฝั่งตรงข้าม แต่เขากลับไม่เข้าไปซ้ำหรือฉวยโอกาสโจมตีใส่แม้แต่น้อย ดูราวกับผู้ใหญ่กำลังหยอกเด็กเล่นไม่มีผิด และในจังหวะที่โกเลมสีดำหันกลับมานั้นเอง อะไรบางอย่างก็ถูกโยนเข้าใส่ส่วนหัวของโกเลม มันมีลักษณะเป็นทรงกระบอกสีดำดูคล้ายกระป๋องรึอะไรซักอย่าง ส่วนโกเลมสีขาวนั้นกำลังวิ่งออกห่างไปแล้ว และในตอนนั้นเองเจ้ากระป๋องนั่นก็ระเบิดออกพร้อมกับแสงสีขาวที่เจิดจ้าจนแสบตา เสียงร้องของเด็กสาวดังขึ้นด้วยความตกใจ
“แล้วเจอกันใหม่นะ ยัยหนู!!”ทางเหนือของประเทศไอซ์เฮล
พร้อมปราการขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีกำแพงสูงถึงหกสิบเมตร และความหนาของมันถึงร้อยเมตรเลยทีเดียวโดยภายในกำแพงนี้นั้นมันคือฐานทัพขนาดใหญ่ดีๆนี่เอง โดยเจ้ากำแพงขนาดยักษ์นี้ถูกสร้างปิดช่องเข้าเอาไว้ซึ่งมันเป็นป้อมปราการที่ถูกสร้างเอาไว้เพื่อเป็นด่านสุดท้ายของตอนเหนือของประเทศ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังถูกตีแตกจนได้
ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่โตโอ่โถงมีร่างของชายที่มองดูรวมๆแล้วน่าจะสามสิบกว่าๆในชุดนายทหารสีดำติดเหรียญตรามากมายเอาไว้ที่อกซ้าย ผ้าคลุมสีดำที่บริเวณปกด้านบนมีขนเฟลอสีดำอยู่ เขากำลังก้มหน้าอ่านเอกสารบางอย่างพลางยิ้มน้อยๆ
“สุดท้ายพวกหน่วย404 ก็โดนตีแตกแล้วสินะ”
“แหมๆ เอลริค ดูท่าจะดีใจจังเลยนะ”
หญิงสาวผิวแทนผู้มีเรือนผมสีบลอนทองซีดๆกับในตาสีมรกตในชุดนายทหารสีดำเหมือนกับอีกฝ่ายแต่ของเธอนั้นเป็นผ้าคลุมสีขาวแทนซึ่งสำหรับออแลนด์แล้วผ้าคลุมก็เหมือนๆกับเครื่องหมายบอกยศดีๆนี่เอง
“ท่านเอลริค จะเอายังไงกับนายพลเด็กคนนั้นครับ”ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีดำหยักศกในชุดนายทหารเหมือนกับทั้งสองคนแต่ไม่มีผ้าคลุมพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“ถ้าให้พูดถึงฝีมือทางการรบแล้วคงต้องบอกว่าไม่มีอะไรพิเศษล่ะนะ แต่ว่าถ้าเรื่องการวางแผนการคงต้องบอกว่าร้ายเอาเรื่องเหมือนกัน”
“ให้ผมจัดการให้ไหมครับ”“ปล่อยไปก่อน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทัพทางเหนือที่ยังขวางเราอยู่จะเริ่มเสียขวัญกันแล้วสินะ”
เขาพูดพลางลูบคางเบาๆ
“สั่งให้กองพัน103 ของเราเคลื่อนพลได้!! แล้วให้หน่วย 206 ของนายอ้อมไปโจมตีพวกมันจากด้านหลัง ตัดเส้นทางหนี เรวี่ ฝากการสั่งการที่แนวหน้าด้วย”
“ค่าๆ พ่อนายพล”เธอตอบพลางโบกมือไปมาแล้วเดินออกไป
ณ ที่ไหนซักแห่งในเทเรเซีย สถานที่ตั้งค่ายชั่วคราวของหน่วย 404
“ให้ตายเถอะ หน่วยเรานี่หนีเป็นอาชีพเลยแฮะ”ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยาวปะบ่าในชุดทหารสีน้ำตาลเข้ม พูดพลางใช้ช้อนตักซุปถัวเหลวๆข้นๆในแก้วเหล็กขึ้นมากิน ในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนขอนไม้ ค่ายทั้งค่ายนั้นไม่มีแสงไฟแม้แต่ดวงเดียวแล้วก็ยังสั่งห้ามสูบบุหรี่อีกด้วย นั่นก็เกราะว่าสถานะตอนนี้หน่วยของพวกเขากำลังถูกไล่ตามอยู่นั่นเอง
“ให้ทำยังไงได้ล่ะ ทหารสามร้อยคนกับสองกองพันนะ เอาไม่อยู่หรอก”ชายหนุ่มร่างกำยำตอบพลางเริ่มนั่งลงข้างๆ
“ทำไมหัวหน้าไม่จัดการยัยหนูนั่นไปเลยนะ”
“ทิโมธีนายไม่รู้เหรอ หัวหน้าน่ะก่อนสงครามเคยไปอยู่ที่ออสเทียร์มาก่อนนะ รู้สึกจะเป็นผู้คุ้มกันทูตน่ะ”
“หืม สรุปก็คือรู้จักกันมาก่อนสินะ”“หัวหน้า ไม่ยอมมากินข้าว”
เสียงเย็นของเออร์ซูลาดังขึ้น แต่ตอนนี้เธออยู่ในชุดเครื่องแบบนายทหารติดยศร้อยตรี
“ปล่อยเขาเถอะ เดี๋ยวหิวก็มากินเองแหละ”“ได้กลับเมืองหลวงเหรอ แหม ได้พักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่นะ”
ชายร่างกำยำพูดเสียงเบา“แหม คุณโมอาร์ อย่าพูดเหมือนกับประเทศเราเข้าสงครามมาเป็นปีสิคะ แค่สี่เดือนเอง สี่เดือน” เสียงหวานของหญิงสาวที่ถ้าหากฟังแต่เสียงอย่างเดียวคงคิดว่าเป็นสาวน้อยที่ไหนดังขึ้น และเมื่อทั้งสามหันไปทางต้นเสียงก็พบกับหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลยาวถึงเอว แต่ชุดนายทหารของเธอนั้นต่างจากคนอื่นนิดหน่อยเพราะเธอสวมเสื้อหนังสีน้ำตาลเก่าๆทับด้านนอกและที่รอบคอมีเครื่องมือสื่อสารระยะสั้นพันเอาไว้รอบคอ
“อะไรกัน ลิลลี่เองเหรอ”“แหมๆ ลิลลี่ วันนี้ได้ยินว่าหน่วยรถเกราะของเธอแสดงผลงานหนีเร็วเป็นประวัติศาสตร์มาเหรอ”
“ถึงจะหนีไวแต่ก็แสดงผลงานเก็บโกเลมได้แปดเครื่องนะคะ”“เสียใจด้วยนะ แต่หน่วยโกเลมทำผลได้งาน สามสิบสี่เครื่อง”
“แต่ที่น่าทึ่งคือหน่วยทหารราบ ผลงานโกเลมสองเครื่อง”
เออร์ซูลาพูดเสียงเรียบ
“นั้นสิ ใครจะคิด ว่าเครื่องยิงจรวดต่อต้านรถถังจะทำให้โกเลมหมดสภาพได้ เจ้าพวกนั้นน่ากลัวจริง”
“ลูกบ้าทั้งนั้นแหละน่า”“พลังฉุกเฉินตอนไฟไหม้หรอกค่ะ”
“เฮ้ยๆๆ ใครบอกว่าผลงานพวกฉันเป็นพลังฉุกเฉินตอนไฟไหมกัน!!”
ชายหนุ่มผมเงินซอยสั้นในชุดทหารยศจ่าเอกคนหนึ่งเดินเข้ามารวมกลุ่ม“หน่วยนายมีตายไหม แซค”
“เสียชีวิตหกคน บาดเจ็บสิบหก สาหัสยี่สิบหกคน แล้วก็อีกสามคนที่ไม่น่าจะพ้นคืนนี้”
“เฮ่อ สงสัยหน่วย 404 เราคงได้ตายกันหมดก่อนจบสงครามแหงเลย”“สาบานได้ไหมว่านั่นปากทิโมธี”
โมอาร์พูดพลางทำท่าจะเอาแก้วเหล็กในมือทุบปากอีกฝ่าย
“ฉันขอตัวล่ะ”
เออร์ซูลาพูดขึ้นพลางเดินตรงดิ่งไปยังเต็นท์ที่ที่แยกออกจากพวกอยู่เพียงเต็นท์เดียวแถมมันไม่ใช่เต็นท์ของเธอแต่เป็นของอเล็กซ์หัวหน้าหน่วย
“อะแฮม สรุปสองคนนั้นมีความสัมพันธกันยังไงกันแน่นะ”
แซคพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็คนที่เคยช่วยชีวิตและมอบที่อยู่ให้กับคนที่ถูกช่วยเอาไว้ยังไงล่ะ”
“อ่อ เรื่องของหน่วย 506 สินะ”
“เออร์ซูลารอดตายมาคนเดียวนี่นะ แล้วก็ย้ายมาอยู่หน่วยเรา”
“เฮ่อ เมื่อไหร่สงครามนี้มันจะจบกันนะคะ แค่สี่เดือนนานเหมือนสี่ปี”
“นั้นสินะ”