Part 1 - Dead Strangers and Symphony of Ghost
เจราลตื่นขึ้นมาในห้องที่มีไฟมืดสลัวพร้อมกับ นายทหาร 4 คนที่ยืนอยู่มุมห้องคนละทิศและดูเจราลอยู่ห่างๆ
"ที่นี่ที่ไหน!?" เจราลหันไปมองรอบๆ ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่า ตัวเองนั้นถูกตรึงใว้กับไม้กางเขน
"เฮ้! นายน่ะ! มาช่วยฉันหน่อยเซ้!!" เจราลเรียกขอความช่วยเหลือกับ นายทหาร 4 คนนั้น แต่พวกเขากลับเป็นเพียงแค่รูปปั้นขี้ผึ่งที่เหมือนกับคนจริงๆ เท่านั้น
"ไม่มีใครช่วยเจ้าหรอก...." เสียงปริศนาดังขึ้นในระหว่างที่เจราลกำลังหวาดระแวงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่ง เจ้าของเสียงเริ่มปรากฏออกมาให้เห็น
"เจ้าคงชื่อ เจราล สินะ.งั้นข้าของเรียกนามของเจ้าแทนก็ละกัน"
เป็นชายผู้ที่ปกปิดใบหน้าด้วยเสื้อคลุมสีเลือดหมู ซึ่งหากลองฟังเสียงของเขาดีๆ จะพบว่า เสียงของเขานั้นกลับดูแก่กว่าอายุของตัวเองมากๆ
"แกเป็นใคร? ต้องการอะไรจากฉัน!?" เจราล ตะโกนใส่ชายลึกลับคนนั้น ด้วยความโกรธแค้น
"เจ้าอยู่หน่วยรบพิเศษที่มีนามว่า "S.E.A.L" พ่อแม่ของเจ้าแยกทางกันเมื่อตอนอายุ 6 ขวบ"
ชายลึกลับเริ่มพูดถึงประวัติของ เจราล จากในหนังสือที่เขาถืออยู่โดยที่เจราลเองยังรู้สึกสงสัยว่า ทำไมชายคนนี้ถึงได้รู้ประวัติของเขาได้ทั้งๆ
"เมื่อตอนสมัยเด็กๆ เจ้าเค-"
"เฮ้ๆ พอก่อนได้มั้ย? ฉันอยากรู้ว่าที่นี้ที่ไหน!?"
บทสนทนาได้ถูกตัดจบลง เมื่อเจราลถามชายลึกลับ เพื่อต้องการอยากรู้ว่าตนเองนั้นอยู่ที่ไหน?
"หึหึหึ....ถ้าอยากรู้ แกก็ลองหาคำตอบเองสิ!?" ทันใดนั้น ก็มีเงาปรากฏขึ้นมาต่อหน้าเจราล เป็นรูปหน้าปีศาจซึ่งเขานั้นตกใจมาก จนกระทั่งเงานั่นก็ได้หายไปอย่างลับตา
และนี่ก็ถือว่าเป็น ฝันที่เลวร้ายสุดๆ ที่เจราลเองนั้นจะไม่มีวันลืมต่อไปเลยตลอดชีวิต...
_________________________________________________________________________________
เจราล ตื่นขึ้นอีกครั้งในเต็นท์นอน ที่อยู่กลางทะเลทรายพร้อมกับ เจคที่กำลังนั่งขัดปืนไปอย่างชิวๆ
"ตื่นสายจังเลยนะ ทหาร." เจค กล่าวขึ้นมาทักทายยามเช้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ให้กับเจราล ที่กำลังสับสนว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
"ดูเหมือนว่า เมื่อคืนอากาศเย็นจนฉันสามารถหลับไปได้ประมาณ 2 วันเต็มๆ เลยนะเนี่ย!"
เจค นั่งขัดปืนไปอย่างชิวๆ ก่อนที่เขาจะวางปืนลงและออกไปสูดอากาศ บนทะเลทรายในตอนเช้า
"เฮ้! ไม่ลองออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยเหรอ?"
เจราล ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอกก็พบว่า วิกกี้ กับ คอนสแตรงค์ กำลังวิ่งเล่นขี่คอกันอย่างสนุกสนาน โดยที่วิกกี้กำลังนั่งอยู่บนหลังของคอนสแตรงค์อยู่ ส่วนแรนด้านั้นเธอก็นั่งกินแฮมเบอร์เกอร์อยู่ใน เฮลิคอปเตอร์ คู่ใจของเธอ โดยที่เธอตั้งชื่อให้กับมันว่า "Branley" กับรถฮัมวี่คันสีเหลืองที่จอดอยู่ใกล้ๆ กับฮ. นั้น
"เฮ้! ดูสิว่าเราเจอใคร" ชายอายุประมาณ 50 ปีเปิดประตูรถออกมากล่าวทักทาย นายทหารทั้งสองด้วยความปลาบปลื้มใจ
"ไม่ได้เจอกันนานนะครับ ท่านผู้พันร็อคฟอร์ด." เจค ทำความเคารพท่านผู้พัน ซึ่งเป็นหัวหน้าที่มีหน้าที่ควบคุมภารกิจของเจค และแถมยังเป็นผู้ที่เคยมีพระคุณกับเจคอีกด้วย
"อืม.นายเองก็เหมือนกัน." ร็อคฟอร์ด กล่าวทักทายเจค ด้วยความเป็นกันเอง และก็ได้เหลือบไปเห็นเจราล ที่ยังมองไปรอบๆ อยู่
"รวมทั้งเจ้าหนูนั้นด้วยนะ." ร็อคฟอร์ด กล่าวทิ้งท้ายให้กับ เจราลก่อนที่เขานั้นจะรู้ตัวว่า ร็อคฟอร์ดนั้นกำลังพูดถึงเขาอยู่
ในระหว่างที่พวกเขาทั้งสามกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น แรนด้า ก็ได้ตะโกนบอกให้ทุกคนเตรียมตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เพื่อเดินทางไปยังที่ๆ ต่อไป
"เฮ้! ทุกคน! ได้เวลาไปแล้วนะ!!? วิกกี้!!?" แรนด้า ตะโกนบอกให้ทุกคนเตรียมตัวเดินทาง
"เอาล่ะ! คงไม่มีเวลามากละนะ นายเองก็รีบเตรียมตัวได้แล้ว."
"ครับ!"
ร็อคฟอร์ด ได้กล่าวอำลาเจค ก่อนที่จะขึ้นไปบนรถฮัมวี่ และขับออกไปอย่างไร้จุดหมาย...
หลังจากที่ผู้พัน ร็อคฟอร์ด ออกไปแล้ว พวกเขาก็เริ่มเดินไปเก็บสัมภาระของตนรวมไปถึง อาวุธยุทโธปกกรณ์ต่างๆ ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เจคเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง
ระหว่างที่เก็บอยู่นั้น จู่ๆ ภาพความทรงจำเก่าของเจคก็ได้วูบเข้ามาในหัวของเขา
"แกมันก็แค่ไอ้สวะที่ชอบ ทำตัวเองให้เป็นฮีโร่เท่านั้น!.
"เจค! แกลืมไปแล้วเหรอ? ว่าตอนนี้พวกเราเป็นอะไร? พวกเราคือทหารนะ!"
จู่ๆ อาการปวดหัวของเจค ได้กำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรง
"อ้ากกกกกก!!!!?" เจคเริ่มทรุดเข่าลง ในขณะที่ถือรูปภาพครอบครัวของตนเองอยู่
เจราลรีบหันไปหาเจคทันที หลังจากที่หยิบขวดยาระงับอาการบาดเจ็บบนเตียงเสร็จ ก่อนที่จะพยุงตัวเจคให้ยืนขึ้นมา
"ไม่ต้อง! ฉันไม่เป็นอะไร!?" เจค เริ่มลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินออกไปจากเต้นท์
เจค กับ เจราลเก็บเต้นท์และนำของสัมภาระทั้งหมดเข้าไปใน เฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ คอนสแตรงค์ กับ วิกกี้ กำลังจะขึ้นไปบน ฮ. พอดี
"เก็บของเสร็จเรียบร้อย แล้วเหรอค่ะ?" วิกกี้ ซักถามด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่เธอจะขึ้นไปบนฮ. พร้อมกับ คอนสแตรงค์
"อืม." เจราล ตอบแทน เจค ในขณะที่เขานั้นกำลังรู้สึกสับสนเรื่องอะไรบางอย่างอยู่...
"เฮ้! อย่าเพิ่งคุยกันสิ! รีบๆ กันได้แล้วนะ!?" แรนด้า ที่เป็นคนขับฮ. ตะโกนเรียกเจคและเจราลด้วยความสนิทสนม
หลังจากจบบทสนทนา เจคและเจราล ก็รีบขึ้นไปบนตามที่ แรนด้าได้บอกพวกเขาไว้ หลังจากที่เฮลิคอปเตอร์เริ่มบินขึ้น
"เอาล่ะ! เป้าหมายต่อไปก็คือที่นี่สินะ." แรนด้า สังเกตไปที่แผนที่ ซึ่งมีวงกลมสีแดงวงเอาไว้อยู่ โดยเป้าหมายที่พวกเขาจะเดินทางไปนั้นก็คือ
"เซา เปาโล ประเทศบราซิล"
__________________________________________________________________________________
เจค กับพรรคพวก เดินทางมายังประเทศบราซิล หลังจากที่ได้รับจดหมายมาจาก บอดี้การ์ดคนหนึ่ง ซึ่งทำงานให้กับ เศรษฐีค้านํ้ามันรายใหญ่ของประเทศนี้ โดยเขาเล่าว่า เจ้านายของเขานั้น ได้ถูกใครบางคนส่ง จดหมายมาขู่ฆ่าเขามาเป็นเวลากว่า 3 ปี ซึ่งนั้นอาจจะดูไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ทว่า หลังจากที่เจคนั้นพยายามตรวจสอบจดหมายนั้นอย่างดีแล้ว
เขาก็ได้พบกับข้อมูลที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ซึ่งเขาเชื่อว่า อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "The Phobia" ก็เป็นได้.....
หลังจากที่เดินทางมาถึงแล้ว พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะเช่าห้องพักสักที่หนึ่งในโรงแรม เพื่อที่จะพักผ่อนในระหว่างที่กำลังทำภารกิจนั้น โดยเจคนั้น ได้อาสาเป็นคนออกค้าใช้จ่ายทั้งหมด
"เฮ้! ไม่ทราบว่าที่นี่ยังมีห้องพักเหลืออยู่มั้ย?" เจค เดินเข้ามาถามพนักงานในโรงแรมที่เป็นหญิงแก่ แต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีสันแปลกตา
"ขอโทษนะค่ะ...ตอนนี้เรามีห้องว่างไม่เหลือแล้วค่ะ." หญิงแก่ ตอบกลับไปด้วยท่าทีที่ไม่ไว้วางใจพวกเจค
"ดูเหมือนว่า ที่นี้แปลกๆ ดีนะ...ว่ามั้ย?" วิกกี้ เดินเข้ามาทักทายกับ พรรคพวกของตน ด้วยความสงสัยของเธอ หลังจากที่เธอนั้นได้เดินไปเช็คสภาพในโรงแรมแห่งนี้
"แปลกเหรอ? เธอหมายความว่าไง วิกกี้?" คอนสแตรงค์ หันไปถาม วิกกี้
"เอ่อ...คือว่าฉันหมายถึง ที่นี่ดูโทรมๆ ไปหน่อยน่ะ" วิกกี้ กล่าวออกมาด้วย ความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เธอนั้นต้องมาอยู่ใน โรงแรมที่โทรมๆ แบบนี้
"เฮ้ๆ อะไรกัน...แล้วเธอไม่ชอบรึไง? ไม่เคยได้ยินเหรอว่า "คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยากน่ะ"
เจค หันไปพูดปลอบใจกับ วิกกี้ ที่กำลังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยๆ ด้วยเพราะความเป็นห่วงพรรคพวกของตนเอง ก่อนที่เขาจะเริ่มเจรจากับ หญิงแก่ที่เป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้
"สรุปว่า ที่นี้เต็มแล้วใช่มั้ย?" เจคกล่าวกับ หญิงแก่เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อต้องการให้แน่ใจว่าเธอนั้น ไม่ได้คิดที่จะโกหกอะไรกับพวกเขา
"เอ๋? รอสักครู่นะ..." ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา บนเคาน์เตอร์ที่หญิงแก่ทำงานอยู่ เธอจึงเลยถือโอกาศเปลี่ยนเรื่องรีบไปหยิบ โทรศัพท์ขึ้นมาพูดคุยกับใครบางคนจนกระทั่ง เขาได้วางสายไป
"เอาล่ะ! ดูเหมือนว่า พวกคุณจะได้ที่พักใหม่ละนะ" ทันทีที่เธอวางสายลง หญิงแก่ก็ได้หันไปพูดกับพวกเจค ในขณะที่พวกเขานั้น ยังคงรู้สึกงง กับสิ่งที่หญิงแก่นั้นพูดอยู่แม้ว่าในใจนั้น พวกเขาจะรู้สึกดีใจก็ตาม
"หือ? ที่พักใหม่?" ทุกคน กล่าวออกมาด้วยความสับสน เพราะคำพูดของเธอ ก่อนที่หญิงแก่นั้น จะได้บอกพวกเขาไปยังที่พักที่เธอได้กล่าวไว้
_______________________________________________________________________________________________________
เจค เดินทางมาถึงที่พักของตัวเอง พร้อมกับพรรคพวก ซึ่งเป็นที่พักที่ดูแล้วใหญ่โตและหรูหรามากๆ ซึ่งนี่ถือว่า เป็นครั้งแรกที่พวกเขานั้นได้เข้ามาพักในโรงแรมหรูที่เต็มไปด้วย
ของประดับตกแต่งราคาแพงมากมาย แม้กระทั่ง แจกันที่ดูแล้วมูลค่าคงประมาณราวๆ 4 แสนดอลล่าร์
ทันทีที่มาถึง เจคก็ไม่รอช้า รีบเดินไปจองห้องพักกับ พนักงานในโรงแรม ซึ่งเขาเองก็ไม่ลืมที่จะใช้ชื่อปลอม นามสกุลปลอม เพื่อปกปิดความลับของตน และต้องการให้คนในทีมอย่าเปิดเผยตัวตนของตัวเองออกมา ซึ่งก่อนหน้านั้น เขาเองก็ได้กำชับเอาไว้แล้ว
หลังจากผ่านไปได้ประมาณ 2 ชั่วโมง เจคกับลูกทีม ก็เดินมาถึงห้องพักบนชั้นที่ 32 ซึ่งถือว่าอยู่ในชั้นที่สูงพอที่จะมองไปรอบเมืองได้สบาย
"ว้าว! ดูนี่สิ! ที่นี้ดูสวยมากเลยแหะ ฉันสาบานได้เลยนะว่า เป็นครั้งแรกที่ฉันได้อยู่ในห้องที่กว้างพอๆ ที่จะอยู่ได้ประมาณ 5 คน ไม่ก็ 10 คน"
วิกกี้ ทิ้งสัมภาระของตัวเองลงบนเตียงนอน ก่อนที่จะเดินไปชมทิวทัศน์ในยามเย็นของเมือง เซา เปาโล
"ฉันคิดว่า ที่นี้พวกเราไม่จำเป็นต้องพักซะด้วยซํ้า" คอนสแตรงค์ บ่นพึมพำกับตัวเอง
"เถอะน่า...ไหนๆ แล้วฉันขอตัวไปดูห้องนํ้าหน่อยละกัน"
ทุกคนเริ่มนำสัมภาระของตัวเองไปไว้ที่ของตัวเอง ด้วยขนาดของห้องที่ใหญ่พอที่จะสามารถพักได้ประมาณ 5 ถึง 10 คน ทำให้เจคนั้นค่อยสบายใจไปได้เล็กน้อย เนื่องจากลูกทีมของเขา มักจะประสบปัญหาเรื่องขนาดของที่พักบ่อยครั้งนัก และด้วย คอนสแตรงค์เอง เขามีร่างกายที่สูงกว่าเขาเองด้วย จึงทำให้เขาเองมักจะต้องเสียสละที่นอนของตัวเองให้กับเขา
หลังจากผ่านไปได้ประมาณ 4 ชั่วโมง เจคหันไปดูนาฬิกา พบว่าตอนนี้เวลาประมาณ 20.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ต้องออกไปจากที่พักเพื่อออกไปรับประทานอาหารคํ่า หลังจากที่เขาได้รับบัตรเชิญมาจาก บอดี้การ์ดที่มาพร้อมกับ เศรษฐีค้านํ้ามันรายใหญ่หรือก็คือ เจ้านายของเขานั่นเอง
ต่อมา เจค เดินลงบันไดมาพร้อมกับ ลูกทีมที่ตามมาอยู่ข้างหลัง โดยได้เปลี่ยนเป็นชุดที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรก
"กำลังรออยู่เลย..."
เศรษฐีค้านํ้ามันรายใหญ่ นั่งรอเจคอยู่บนเก้าอี้ เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหรา ใส่แหวนเพชรประมาณ 20 กะรัต ร่างกายอ้วนท้วมสมบูรณ์
ซึ่งคงไม่แปลกใจเลย ที่จะมีคนมาปองร้ายเขาขนาดนั้น
"ครับ." เจค เหลือบไปที่ป้ายชื่อที่ติดบนเสื้อของเศรษฐี เขียนไว้ว่า 'Chegomez Massango'
"อ้อ! นั้นชื่อของฉันเองน่ะ."
"เรียกฉันว่า เชงโกเมซ ก็ได้." เชงโกเมซ กระดกไวน์ชั้นเลิศขึ้นมาจิบเล็กน้อย
เจค และลูกทีม ทยอยกันไปหาที่นั่งเพื่อรับประทานมื้อดึก ตามที่ได้บัตรรับเชิญมาจาก บอดี้การ์ด
ผ่านไปได้ประมาณ 15 นาที ระหว่างที่กำลังรอให้อาหารมาเสิร์ฟ เจคมองไปที่หน้าต่างที่ติดตรงระเบียงห้องอาหาร ใกล้ๆ กับโต๊ะที่เขานั่ง เขาพบว่ามีชายประมาณ 2 คน คนแรกเป็นชายวัยอายุ 50 ใส่แจ๊ตเก็ตสีดำ กางเกงขาสั้นถึงหัวเข่า ใส่รองเท้าวิ่ง กับชายอีกคน อายุราวๆ 30 ใส่เสื้อสีดำ กางเกงยีนเก่าๆ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเดินเข้าไปในซอยหมู่บ้าน
"คิดไปเองน่า." เจค สบถขึ้นมาในใจ ก่อนที่จะให้ความสนใจไปที่ บอดี้การ์ด ที่เป็นคนส่งจดหมายมาให้กับเขา
"เจค...ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรหรือเปล่า?" บอดี้การ์ด ถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่มีอะไร...แต่ขอบใจมากนะที่ส่ง จดหมายมาให้กับผม."
เจค ไม่พูดอะไรได้แต่ทำหน้านิ่งๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
______________________________________________________________________________________________________
ห่างออกไปประมาณ 37 เมตร ชายในเสื้อแจ็ตเก็ตสีดำ เดินผ่านหมู่บ้านเก่าๆ ตามซอกซอยในหมู่บ้าน โดยผ่านบ้านหลังเล็กๆ ไปที่ร้านขายของใกล้ๆ
และปีนขึ้นไปบนทางหน้าต่างอย่างเงียบๆ และทำการสังหารหญิงวัยประมาณ 30 ต้นๆ โดยใช้เชือกรัดคอเหยื่อ จากนั้นก็ลากศพไปซ่อนในมุมมืดของห้องอย่างใจเย็น
ส่วนทางด้านชายวัยอายุ 30 เดินไปทางแยกที่อยู่ตรงข้ามกับโรงแรม และไต่ขึ้นไปบนกำแพงที่สูงราวๆ 5 เมตร ด้วยทักษะการปีนป่ายที่ดูเหมือนกับนักเล่นกายกรรมทำให้เขานั้นสามารถปีนขึ้นไปได้ แม้ว่าจะไม่มีเครื่องป้องกัน หรือ เชือกสลิงก็ตาม
เหตุการณ์ยังคงดำเนินไปอย่างเงียบๆ ชายสองคน หยิบปืนขึ้นมาในกระเป๋าพร้อมกัน คนหนึ่งเป็นปืนไรเฟิล เอ็ม 24 ระบบยิงออโต้ พร้อมกับกระสุนอีก 2 ตลับ ติดกล้องกลางคืน อีกคนเป็นปืนกลเบา เอ็มพี 7 พร้อมกับกล้องสะท้อนแสง และกระสุนอีกเป็นจำนวน 3 ตลับ
"ตามแผน...นายจัดการ เจ้านั่น ส่วนฉันขอสะสางเรื่องกับ ไอ้แก่บ้านั่นเอง"
ชายวัย 50 หยิบวิทยุสื่อสาร ขึ้นมาพูดกับ ชายวัย 30 ที่เขาได้นำวิทยุสื่อสารมาด้วยเช่นเดียวกัน
"โอเค"
ชายวัย 50 ผ่อนลมหายใจตัวเองเบาลง สมาธิจดจ่อไปที่เป้าหมาย แล้วเริ่มเหนี่ยวไกปืนไรเฟิลอย่างช้าๆ บรรยากาศรอบตัวเริ่มอึดอัดขึ้น
ท่ามกลางความเงียบสงัดในยามคํ่าคืน
3 นาที....
1 นาที...
"ปัง!"
เสียงปืนดังหนึ่งนัด นั้นคือตายไป 1 ศพ กระสุนนัดแรกเข้าไปที่กลางศีรษะของ เชงโกเมซ เข้าอย่างจัง ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
"ท่านครับ!!!!?"
เชงโกเมซ ล้มลงไปต่อหน้าทุกคนโดยที่ไม่ทันตั้งตัว เจค รีบหยิบปืนพกสั้นขึ้นมาทันที เพราะเกรงว่าอาจจะมีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงตามมา
"อย่างเพิ่งลงมือ...เราจะไม่ฆ่าพวกเขา" ชายวัย 50 ยังคงส่องดูสถานการณ์วุ่นวายต่อไป ในขณะที่กำลังบอกให้ชายอีกคนนึง ให้ใช้ปืนกราดยิงไปที่โรงแรม
"ตกลงว่า จะเอายังไง?"
"กราดยิงพวกมันซะ! อย่าให้พวกมันรู้ตัว"
ชายวัย 30 ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เขาเริ่มใส่ที่เก็บเสียง และบรรจุกระสุนอย่างเพียบพร้อมยิงทันที
"ปังๆๆๆๆๆ"
กระสุนทุกนัดไปโดนทั้งกระจก และเหล่าผู้คนบริสุทธิ์มากมายที่ต้องสังเวยชีวิตของตนเองให้กับ โศกนาฏกรรมครั้งนี้อย่างไม่สามารถปฏิเสธได้
กว่าประมาณ 30 คน พยายามวิ่งหลบดงกระสุนอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่คนบางคนนั้น ยังคงรู้สึกโศกเศร้าและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่พรรคพวกของเจค
เองนั้นกลับทำได้เพียงแค่ คุ้มกันตัวประกัน เพื่อหลบหนีออกไปจากที่นี่ให้ปลอดภัย แม้ว่าเขาเองก็รู้สึกสลดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ตาม...
_______________________________________________________________________________________________________
ในทางด้านของเจค ได้บอกให้ทุกคนรีบหาที่กำบังไปก่อน เพราะตอนนี้พวกเขาไม่สามารถรู้ตำแหน่งของศัตรูได้เลยว่ามาจากไหน
เจราล คอยทำหน้าที่เป็นคนคอยคุ้มกันให้กับ เจค และพาคนออกไปจากพื้นที่
วิกกี้ คอยติดต่อหาตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ ในบริเวณนี้มากที่สุด และติดต่อขอความช่วยเหลือจาก แรนด้า
และคอนสแตรงค์ ยังคงทำหน้าเป็นหน่วยคุ้มครองพวกเขาเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะไม่มีอาวุธใดๆ ก็ตาม
"จะเอายังไงต่อไปดีล่ะ? รู้สึกว่าพวกมันเริ่มหยุดยิงแล้วนะ" เจราล ถามเรื่องแผนการของเจค
"อย่าเพิ่งขยับ...บางทีพวกมันอาจต้องการดึงความสนใจจากเรา" เจค ตอบกลับไป
"แต่ฉันคิดว่ามันไม่น่าจะใช่" วิกกี้ โต้แย้งทันควัน หลังจากกำลังเรียกกำลังเสริมจากตำรวจ ซึ่งจะมาถึงในอีก 5 นาที
"ถ้าพวกเขาเล็งเป้าหมายมาที่พวกเรา ไม่น่าจะต้องกราดยิงใส่แบบนี้"
"เธอรู้ได้ยังไงว่า พวกนั้นไม่ได้เล็งเป้าหมายมาที่พวกเรา" เจราล ยิงคำถามไปที่ วิกกี้
"ดูจากทิศทางการยิงคงห่างจากที่นี่ไม่เกิน 30 กว่าเมตร และดูท่าว่าจะไม่ใช่มุมอับสายตาซะด้วยสิ"
"อีกอย่าง เป้าหมายของพวกเขาคงจะเป็นอย่างที่คุณบอก ใช่มั้ยค่ะ? หัวหน้า" วิกกี้ หันไปหา เจค เหมือนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
"ใช่! จดหมายขู่ฆ่านั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง แต่ยังไงฉันก็ยังหาสาเหตุไม่ได้อยู่ดี...ว่าอะไรคือแรงจูงใจ"
"ถึงยังไง พวกเราเองก็ต้องระวังตัวไว้ให้ดีล่ะ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นฝีมือของ The Phobia ไม่ก็ S.I.C ก็ได้"
________________________________________________________________________________________________________
ห่างออกไปจากประเทศบราซิล ไปที่ประเทศอัฟกานิสถาน มีกลุ่มคนซึ่งคาดว่าหน้าจะเป็นผู้ก่อการร้าย กำลังประชุมเรื่องแผนการกันอยู่
หลังจากที่ได้ส่งนักฆ่าฝีมือดีไป 2 คน ไปสังหารเศรษฐีค้านํ้ามันรายใหญ่ซึ่งก็คือ เชงโกเมซ แมซเซนโก้ นั่นเอง.
"แผนการเริ่มดำเนินไปอีกขั้นแล้วแหะ..." ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่ง กล่าวขึ้น
"นั้นสินะ..." เสียงของชายอีกคนหนึ่งกล่าว น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม
"แล้วแผนการต่อไปจะเอายังไงดีล่ะครับ?"
"...." หัวหน้าผู้ก่อการร้าย เงียบไปสักพัก
"จะเอาแต่เงียบแบบนั้น มันจะดีเหรอครับ? หัวหน้า" ผู้ก่อการร้ายอีกคนที่เป็นผู้ช่วย พูดกับหัวหน้าของตนเองด้วยความเป็นห่วง
"กำลังกลัวอยู่ละสิ...กลัวว่าเขาจะตามล่านาย" ผู้ก่อการร้ายอีกคนหนึ่งที่มาจาก ฝรั่งเศษ ใส่ชุดสูทสีดำ เนคไทสีแดง น่าจะเป็นนักฆ่ารับจ้าง
"ฉันไม่จำเป็นต้องไปห่วงเรื่องพรรค์นั้นหรอก."
"งั้นเหรอ! ฉันได้ข่าวมาว่าตอนนี้แกเองก็เผชิญปัญหาๆ เดียวกับฉันเหมือนกันนั่นแหละ."
หัวหน้าผู้ก่อการร้าย เงียบกริบ รู้สึกเหงื่อตกและเริ่มกระวนกระวาย
"ถ้าจะให้ผมพูดมาตรงๆ ตั้งแต่ที่ คลังอาวุธนั้นถูกทำลายไปหมด เราก็แทบจะไม่เหลืออะไร มีเพียงแค่สิ่งๆ เดียวที่เรายังเหลือ"
เขาหยิบภาพภ่ายใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ เป็นภาพของหญิงสาววัย 25 ปี ใส่ชุดกราวน์สีขาว กำลังถือแฟ้มข้อมูลอะไรบางอย่างอยู่
ซึ่งเขาคาดว่า ข้างในแฟ้มข้อมูลนั้นอาจจะเป็นข้อมูลของ WMD หรืออาวุธอานุภาพร้ายแรง เก็บไว้อยู่....
"สั่งให้คนของนาย ตามหาไอ้นังเด็กนี่ซะ!" ผู้ก่อการร้ายจากฝรั่งเศษ วางภาพถ่ายบนโต๊ะ จากนั้นคนของเขาก็ยื่นภาพถ่ายไปให้กับ หัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่ยืนอยู่ห่างจากตัวเองประมาณ 45 ซม.
ทุกคนต่างมองไปที่ภาพๆ ใบนั้นอย่างไม่ละสายตา ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย พ่อค้าอาวุธเถื่อน หรือแม้กระทั่ง มือสังหารที่ปกปิดหน้าตาตนเองอย่างลึกลับ
(จบ Dead Strangers and Symphony of Ghost)
เจราลตื่นขึ้นมาในห้องที่มีไฟมืดสลัวพร้อมกับ นายทหาร 4 คนที่ยืนอยู่มุมห้องคนละทิศและดูเจราลอยู่ห่างๆ
"ที่นี่ที่ไหน!?" เจราลหันไปมองรอบๆ ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่า ตัวเองนั้นถูกตรึงใว้กับไม้กางเขน
"เฮ้! นายน่ะ! มาช่วยฉันหน่อยเซ้!!" เจราลเรียกขอความช่วยเหลือกับ นายทหาร 4 คนนั้น แต่พวกเขากลับเป็นเพียงแค่รูปปั้นขี้ผึ่งที่เหมือนกับคนจริงๆ เท่านั้น
"ไม่มีใครช่วยเจ้าหรอก...." เสียงปริศนาดังขึ้นในระหว่างที่เจราลกำลังหวาดระแวงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่ง เจ้าของเสียงเริ่มปรากฏออกมาให้เห็น
"เจ้าคงชื่อ เจราล สินะ.งั้นข้าของเรียกนามของเจ้าแทนก็ละกัน"
เป็นชายผู้ที่ปกปิดใบหน้าด้วยเสื้อคลุมสีเลือดหมู ซึ่งหากลองฟังเสียงของเขาดีๆ จะพบว่า เสียงของเขานั้นกลับดูแก่กว่าอายุของตัวเองมากๆ
"แกเป็นใคร? ต้องการอะไรจากฉัน!?" เจราล ตะโกนใส่ชายลึกลับคนนั้น ด้วยความโกรธแค้น
"เจ้าอยู่หน่วยรบพิเศษที่มีนามว่า "S.E.A.L" พ่อแม่ของเจ้าแยกทางกันเมื่อตอนอายุ 6 ขวบ"
ชายลึกลับเริ่มพูดถึงประวัติของ เจราล จากในหนังสือที่เขาถืออยู่โดยที่เจราลเองยังรู้สึกสงสัยว่า ทำไมชายคนนี้ถึงได้รู้ประวัติของเขาได้ทั้งๆ
"เมื่อตอนสมัยเด็กๆ เจ้าเค-"
"เฮ้ๆ พอก่อนได้มั้ย? ฉันอยากรู้ว่าที่นี้ที่ไหน!?"
บทสนทนาได้ถูกตัดจบลง เมื่อเจราลถามชายลึกลับ เพื่อต้องการอยากรู้ว่าตนเองนั้นอยู่ที่ไหน?
"หึหึหึ....ถ้าอยากรู้ แกก็ลองหาคำตอบเองสิ!?" ทันใดนั้น ก็มีเงาปรากฏขึ้นมาต่อหน้าเจราล เป็นรูปหน้าปีศาจซึ่งเขานั้นตกใจมาก จนกระทั่งเงานั่นก็ได้หายไปอย่างลับตา
และนี่ก็ถือว่าเป็น ฝันที่เลวร้ายสุดๆ ที่เจราลเองนั้นจะไม่มีวันลืมต่อไปเลยตลอดชีวิต...
_________________________________________________________________________________
เจราล ตื่นขึ้นอีกครั้งในเต็นท์นอน ที่อยู่กลางทะเลทรายพร้อมกับ เจคที่กำลังนั่งขัดปืนไปอย่างชิวๆ
"ตื่นสายจังเลยนะ ทหาร." เจค กล่าวขึ้นมาทักทายยามเช้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ให้กับเจราล ที่กำลังสับสนว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
"ดูเหมือนว่า เมื่อคืนอากาศเย็นจนฉันสามารถหลับไปได้ประมาณ 2 วันเต็มๆ เลยนะเนี่ย!"
เจค นั่งขัดปืนไปอย่างชิวๆ ก่อนที่เขาจะวางปืนลงและออกไปสูดอากาศ บนทะเลทรายในตอนเช้า
"เฮ้! ไม่ลองออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยเหรอ?"
เจราล ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอกก็พบว่า วิกกี้ กับ คอนสแตรงค์ กำลังวิ่งเล่นขี่คอกันอย่างสนุกสนาน โดยที่วิกกี้กำลังนั่งอยู่บนหลังของคอนสแตรงค์อยู่ ส่วนแรนด้านั้นเธอก็นั่งกินแฮมเบอร์เกอร์อยู่ใน เฮลิคอปเตอร์ คู่ใจของเธอ โดยที่เธอตั้งชื่อให้กับมันว่า "Branley" กับรถฮัมวี่คันสีเหลืองที่จอดอยู่ใกล้ๆ กับฮ. นั้น
"เฮ้! ดูสิว่าเราเจอใคร" ชายอายุประมาณ 50 ปีเปิดประตูรถออกมากล่าวทักทาย นายทหารทั้งสองด้วยความปลาบปลื้มใจ
"ไม่ได้เจอกันนานนะครับ ท่านผู้พันร็อคฟอร์ด." เจค ทำความเคารพท่านผู้พัน ซึ่งเป็นหัวหน้าที่มีหน้าที่ควบคุมภารกิจของเจค และแถมยังเป็นผู้ที่เคยมีพระคุณกับเจคอีกด้วย
"อืม.นายเองก็เหมือนกัน." ร็อคฟอร์ด กล่าวทักทายเจค ด้วยความเป็นกันเอง และก็ได้เหลือบไปเห็นเจราล ที่ยังมองไปรอบๆ อยู่
"รวมทั้งเจ้าหนูนั้นด้วยนะ." ร็อคฟอร์ด กล่าวทิ้งท้ายให้กับ เจราลก่อนที่เขานั้นจะรู้ตัวว่า ร็อคฟอร์ดนั้นกำลังพูดถึงเขาอยู่
ในระหว่างที่พวกเขาทั้งสามกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น แรนด้า ก็ได้ตะโกนบอกให้ทุกคนเตรียมตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เพื่อเดินทางไปยังที่ๆ ต่อไป
"เฮ้! ทุกคน! ได้เวลาไปแล้วนะ!!? วิกกี้!!?" แรนด้า ตะโกนบอกให้ทุกคนเตรียมตัวเดินทาง
"เอาล่ะ! คงไม่มีเวลามากละนะ นายเองก็รีบเตรียมตัวได้แล้ว."
"ครับ!"
ร็อคฟอร์ด ได้กล่าวอำลาเจค ก่อนที่จะขึ้นไปบนรถฮัมวี่ และขับออกไปอย่างไร้จุดหมาย...
หลังจากที่ผู้พัน ร็อคฟอร์ด ออกไปแล้ว พวกเขาก็เริ่มเดินไปเก็บสัมภาระของตนรวมไปถึง อาวุธยุทโธปกกรณ์ต่างๆ ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เจคเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง
ระหว่างที่เก็บอยู่นั้น จู่ๆ ภาพความทรงจำเก่าของเจคก็ได้วูบเข้ามาในหัวของเขา
"แกมันก็แค่ไอ้สวะที่ชอบ ทำตัวเองให้เป็นฮีโร่เท่านั้น!.
"เจค! แกลืมไปแล้วเหรอ? ว่าตอนนี้พวกเราเป็นอะไร? พวกเราคือทหารนะ!"
จู่ๆ อาการปวดหัวของเจค ได้กำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรง
"อ้ากกกกกก!!!!?" เจคเริ่มทรุดเข่าลง ในขณะที่ถือรูปภาพครอบครัวของตนเองอยู่
เจราลรีบหันไปหาเจคทันที หลังจากที่หยิบขวดยาระงับอาการบาดเจ็บบนเตียงเสร็จ ก่อนที่จะพยุงตัวเจคให้ยืนขึ้นมา
"ไม่ต้อง! ฉันไม่เป็นอะไร!?" เจค เริ่มลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินออกไปจากเต้นท์
เจค กับ เจราลเก็บเต้นท์และนำของสัมภาระทั้งหมดเข้าไปใน เฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ คอนสแตรงค์ กับ วิกกี้ กำลังจะขึ้นไปบน ฮ. พอดี
"เก็บของเสร็จเรียบร้อย แล้วเหรอค่ะ?" วิกกี้ ซักถามด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่เธอจะขึ้นไปบนฮ. พร้อมกับ คอนสแตรงค์
"อืม." เจราล ตอบแทน เจค ในขณะที่เขานั้นกำลังรู้สึกสับสนเรื่องอะไรบางอย่างอยู่...
"เฮ้! อย่าเพิ่งคุยกันสิ! รีบๆ กันได้แล้วนะ!?" แรนด้า ที่เป็นคนขับฮ. ตะโกนเรียกเจคและเจราลด้วยความสนิทสนม
หลังจากจบบทสนทนา เจคและเจราล ก็รีบขึ้นไปบนตามที่ แรนด้าได้บอกพวกเขาไว้ หลังจากที่เฮลิคอปเตอร์เริ่มบินขึ้น
"เอาล่ะ! เป้าหมายต่อไปก็คือที่นี่สินะ." แรนด้า สังเกตไปที่แผนที่ ซึ่งมีวงกลมสีแดงวงเอาไว้อยู่ โดยเป้าหมายที่พวกเขาจะเดินทางไปนั้นก็คือ
"เซา เปาโล ประเทศบราซิล"
__________________________________________________________________________________
เจค กับพรรคพวก เดินทางมายังประเทศบราซิล หลังจากที่ได้รับจดหมายมาจาก บอดี้การ์ดคนหนึ่ง ซึ่งทำงานให้กับ เศรษฐีค้านํ้ามันรายใหญ่ของประเทศนี้ โดยเขาเล่าว่า เจ้านายของเขานั้น ได้ถูกใครบางคนส่ง จดหมายมาขู่ฆ่าเขามาเป็นเวลากว่า 3 ปี ซึ่งนั้นอาจจะดูไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ทว่า หลังจากที่เจคนั้นพยายามตรวจสอบจดหมายนั้นอย่างดีแล้ว
เขาก็ได้พบกับข้อมูลที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ซึ่งเขาเชื่อว่า อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "The Phobia" ก็เป็นได้.....
หลังจากที่เดินทางมาถึงแล้ว พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะเช่าห้องพักสักที่หนึ่งในโรงแรม เพื่อที่จะพักผ่อนในระหว่างที่กำลังทำภารกิจนั้น โดยเจคนั้น ได้อาสาเป็นคนออกค้าใช้จ่ายทั้งหมด
"เฮ้! ไม่ทราบว่าที่นี่ยังมีห้องพักเหลืออยู่มั้ย?" เจค เดินเข้ามาถามพนักงานในโรงแรมที่เป็นหญิงแก่ แต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีสันแปลกตา
"ขอโทษนะค่ะ...ตอนนี้เรามีห้องว่างไม่เหลือแล้วค่ะ." หญิงแก่ ตอบกลับไปด้วยท่าทีที่ไม่ไว้วางใจพวกเจค
"ดูเหมือนว่า ที่นี้แปลกๆ ดีนะ...ว่ามั้ย?" วิกกี้ เดินเข้ามาทักทายกับ พรรคพวกของตน ด้วยความสงสัยของเธอ หลังจากที่เธอนั้นได้เดินไปเช็คสภาพในโรงแรมแห่งนี้
"แปลกเหรอ? เธอหมายความว่าไง วิกกี้?" คอนสแตรงค์ หันไปถาม วิกกี้
"เอ่อ...คือว่าฉันหมายถึง ที่นี่ดูโทรมๆ ไปหน่อยน่ะ" วิกกี้ กล่าวออกมาด้วย ความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เธอนั้นต้องมาอยู่ใน โรงแรมที่โทรมๆ แบบนี้
"เฮ้ๆ อะไรกัน...แล้วเธอไม่ชอบรึไง? ไม่เคยได้ยินเหรอว่า "คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยากน่ะ"
เจค หันไปพูดปลอบใจกับ วิกกี้ ที่กำลังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยๆ ด้วยเพราะความเป็นห่วงพรรคพวกของตนเอง ก่อนที่เขาจะเริ่มเจรจากับ หญิงแก่ที่เป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้
"สรุปว่า ที่นี้เต็มแล้วใช่มั้ย?" เจคกล่าวกับ หญิงแก่เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อต้องการให้แน่ใจว่าเธอนั้น ไม่ได้คิดที่จะโกหกอะไรกับพวกเขา
"เอ๋? รอสักครู่นะ..." ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา บนเคาน์เตอร์ที่หญิงแก่ทำงานอยู่ เธอจึงเลยถือโอกาศเปลี่ยนเรื่องรีบไปหยิบ โทรศัพท์ขึ้นมาพูดคุยกับใครบางคนจนกระทั่ง เขาได้วางสายไป
"เอาล่ะ! ดูเหมือนว่า พวกคุณจะได้ที่พักใหม่ละนะ" ทันทีที่เธอวางสายลง หญิงแก่ก็ได้หันไปพูดกับพวกเจค ในขณะที่พวกเขานั้น ยังคงรู้สึกงง กับสิ่งที่หญิงแก่นั้นพูดอยู่แม้ว่าในใจนั้น พวกเขาจะรู้สึกดีใจก็ตาม
"หือ? ที่พักใหม่?" ทุกคน กล่าวออกมาด้วยความสับสน เพราะคำพูดของเธอ ก่อนที่หญิงแก่นั้น จะได้บอกพวกเขาไปยังที่พักที่เธอได้กล่าวไว้
_______________________________________________________________________________________________________
เจค เดินทางมาถึงที่พักของตัวเอง พร้อมกับพรรคพวก ซึ่งเป็นที่พักที่ดูแล้วใหญ่โตและหรูหรามากๆ ซึ่งนี่ถือว่า เป็นครั้งแรกที่พวกเขานั้นได้เข้ามาพักในโรงแรมหรูที่เต็มไปด้วย
ของประดับตกแต่งราคาแพงมากมาย แม้กระทั่ง แจกันที่ดูแล้วมูลค่าคงประมาณราวๆ 4 แสนดอลล่าร์
ทันทีที่มาถึง เจคก็ไม่รอช้า รีบเดินไปจองห้องพักกับ พนักงานในโรงแรม ซึ่งเขาเองก็ไม่ลืมที่จะใช้ชื่อปลอม นามสกุลปลอม เพื่อปกปิดความลับของตน และต้องการให้คนในทีมอย่าเปิดเผยตัวตนของตัวเองออกมา ซึ่งก่อนหน้านั้น เขาเองก็ได้กำชับเอาไว้แล้ว
หลังจากผ่านไปได้ประมาณ 2 ชั่วโมง เจคกับลูกทีม ก็เดินมาถึงห้องพักบนชั้นที่ 32 ซึ่งถือว่าอยู่ในชั้นที่สูงพอที่จะมองไปรอบเมืองได้สบาย
"ว้าว! ดูนี่สิ! ที่นี้ดูสวยมากเลยแหะ ฉันสาบานได้เลยนะว่า เป็นครั้งแรกที่ฉันได้อยู่ในห้องที่กว้างพอๆ ที่จะอยู่ได้ประมาณ 5 คน ไม่ก็ 10 คน"
วิกกี้ ทิ้งสัมภาระของตัวเองลงบนเตียงนอน ก่อนที่จะเดินไปชมทิวทัศน์ในยามเย็นของเมือง เซา เปาโล
"ฉันคิดว่า ที่นี้พวกเราไม่จำเป็นต้องพักซะด้วยซํ้า" คอนสแตรงค์ บ่นพึมพำกับตัวเอง
"เถอะน่า...ไหนๆ แล้วฉันขอตัวไปดูห้องนํ้าหน่อยละกัน"
ทุกคนเริ่มนำสัมภาระของตัวเองไปไว้ที่ของตัวเอง ด้วยขนาดของห้องที่ใหญ่พอที่จะสามารถพักได้ประมาณ 5 ถึง 10 คน ทำให้เจคนั้นค่อยสบายใจไปได้เล็กน้อย เนื่องจากลูกทีมของเขา มักจะประสบปัญหาเรื่องขนาดของที่พักบ่อยครั้งนัก และด้วย คอนสแตรงค์เอง เขามีร่างกายที่สูงกว่าเขาเองด้วย จึงทำให้เขาเองมักจะต้องเสียสละที่นอนของตัวเองให้กับเขา
หลังจากผ่านไปได้ประมาณ 4 ชั่วโมง เจคหันไปดูนาฬิกา พบว่าตอนนี้เวลาประมาณ 20.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ต้องออกไปจากที่พักเพื่อออกไปรับประทานอาหารคํ่า หลังจากที่เขาได้รับบัตรเชิญมาจาก บอดี้การ์ดที่มาพร้อมกับ เศรษฐีค้านํ้ามันรายใหญ่หรือก็คือ เจ้านายของเขานั่นเอง
ต่อมา เจค เดินลงบันไดมาพร้อมกับ ลูกทีมที่ตามมาอยู่ข้างหลัง โดยได้เปลี่ยนเป็นชุดที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรก
"กำลังรออยู่เลย..."
เศรษฐีค้านํ้ามันรายใหญ่ นั่งรอเจคอยู่บนเก้าอี้ เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหรา ใส่แหวนเพชรประมาณ 20 กะรัต ร่างกายอ้วนท้วมสมบูรณ์
ซึ่งคงไม่แปลกใจเลย ที่จะมีคนมาปองร้ายเขาขนาดนั้น
"ครับ." เจค เหลือบไปที่ป้ายชื่อที่ติดบนเสื้อของเศรษฐี เขียนไว้ว่า 'Chegomez Massango'
"อ้อ! นั้นชื่อของฉันเองน่ะ."
"เรียกฉันว่า เชงโกเมซ ก็ได้." เชงโกเมซ กระดกไวน์ชั้นเลิศขึ้นมาจิบเล็กน้อย
เจค และลูกทีม ทยอยกันไปหาที่นั่งเพื่อรับประทานมื้อดึก ตามที่ได้บัตรรับเชิญมาจาก บอดี้การ์ด
ผ่านไปได้ประมาณ 15 นาที ระหว่างที่กำลังรอให้อาหารมาเสิร์ฟ เจคมองไปที่หน้าต่างที่ติดตรงระเบียงห้องอาหาร ใกล้ๆ กับโต๊ะที่เขานั่ง เขาพบว่ามีชายประมาณ 2 คน คนแรกเป็นชายวัยอายุ 50 ใส่แจ๊ตเก็ตสีดำ กางเกงขาสั้นถึงหัวเข่า ใส่รองเท้าวิ่ง กับชายอีกคน อายุราวๆ 30 ใส่เสื้อสีดำ กางเกงยีนเก่าๆ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเดินเข้าไปในซอยหมู่บ้าน
"คิดไปเองน่า." เจค สบถขึ้นมาในใจ ก่อนที่จะให้ความสนใจไปที่ บอดี้การ์ด ที่เป็นคนส่งจดหมายมาให้กับเขา
"เจค...ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรหรือเปล่า?" บอดี้การ์ด ถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่มีอะไร...แต่ขอบใจมากนะที่ส่ง จดหมายมาให้กับผม."
เจค ไม่พูดอะไรได้แต่ทำหน้านิ่งๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
______________________________________________________________________________________________________
ห่างออกไปประมาณ 37 เมตร ชายในเสื้อแจ็ตเก็ตสีดำ เดินผ่านหมู่บ้านเก่าๆ ตามซอกซอยในหมู่บ้าน โดยผ่านบ้านหลังเล็กๆ ไปที่ร้านขายของใกล้ๆ
และปีนขึ้นไปบนทางหน้าต่างอย่างเงียบๆ และทำการสังหารหญิงวัยประมาณ 30 ต้นๆ โดยใช้เชือกรัดคอเหยื่อ จากนั้นก็ลากศพไปซ่อนในมุมมืดของห้องอย่างใจเย็น
ส่วนทางด้านชายวัยอายุ 30 เดินไปทางแยกที่อยู่ตรงข้ามกับโรงแรม และไต่ขึ้นไปบนกำแพงที่สูงราวๆ 5 เมตร ด้วยทักษะการปีนป่ายที่ดูเหมือนกับนักเล่นกายกรรมทำให้เขานั้นสามารถปีนขึ้นไปได้ แม้ว่าจะไม่มีเครื่องป้องกัน หรือ เชือกสลิงก็ตาม
เหตุการณ์ยังคงดำเนินไปอย่างเงียบๆ ชายสองคน หยิบปืนขึ้นมาในกระเป๋าพร้อมกัน คนหนึ่งเป็นปืนไรเฟิล เอ็ม 24 ระบบยิงออโต้ พร้อมกับกระสุนอีก 2 ตลับ ติดกล้องกลางคืน อีกคนเป็นปืนกลเบา เอ็มพี 7 พร้อมกับกล้องสะท้อนแสง และกระสุนอีกเป็นจำนวน 3 ตลับ
"ตามแผน...นายจัดการ เจ้านั่น ส่วนฉันขอสะสางเรื่องกับ ไอ้แก่บ้านั่นเอง"
ชายวัย 50 หยิบวิทยุสื่อสาร ขึ้นมาพูดกับ ชายวัย 30 ที่เขาได้นำวิทยุสื่อสารมาด้วยเช่นเดียวกัน
"โอเค"
ชายวัย 50 ผ่อนลมหายใจตัวเองเบาลง สมาธิจดจ่อไปที่เป้าหมาย แล้วเริ่มเหนี่ยวไกปืนไรเฟิลอย่างช้าๆ บรรยากาศรอบตัวเริ่มอึดอัดขึ้น
ท่ามกลางความเงียบสงัดในยามคํ่าคืน
3 นาที....
1 นาที...
"ปัง!"
เสียงปืนดังหนึ่งนัด นั้นคือตายไป 1 ศพ กระสุนนัดแรกเข้าไปที่กลางศีรษะของ เชงโกเมซ เข้าอย่างจัง ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
"ท่านครับ!!!!?"
เชงโกเมซ ล้มลงไปต่อหน้าทุกคนโดยที่ไม่ทันตั้งตัว เจค รีบหยิบปืนพกสั้นขึ้นมาทันที เพราะเกรงว่าอาจจะมีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงตามมา
"อย่างเพิ่งลงมือ...เราจะไม่ฆ่าพวกเขา" ชายวัย 50 ยังคงส่องดูสถานการณ์วุ่นวายต่อไป ในขณะที่กำลังบอกให้ชายอีกคนนึง ให้ใช้ปืนกราดยิงไปที่โรงแรม
"ตกลงว่า จะเอายังไง?"
"กราดยิงพวกมันซะ! อย่าให้พวกมันรู้ตัว"
ชายวัย 30 ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เขาเริ่มใส่ที่เก็บเสียง และบรรจุกระสุนอย่างเพียบพร้อมยิงทันที
"ปังๆๆๆๆๆ"
กระสุนทุกนัดไปโดนทั้งกระจก และเหล่าผู้คนบริสุทธิ์มากมายที่ต้องสังเวยชีวิตของตนเองให้กับ โศกนาฏกรรมครั้งนี้อย่างไม่สามารถปฏิเสธได้
กว่าประมาณ 30 คน พยายามวิ่งหลบดงกระสุนอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่คนบางคนนั้น ยังคงรู้สึกโศกเศร้าและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่พรรคพวกของเจค
เองนั้นกลับทำได้เพียงแค่ คุ้มกันตัวประกัน เพื่อหลบหนีออกไปจากที่นี่ให้ปลอดภัย แม้ว่าเขาเองก็รู้สึกสลดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ตาม...
_______________________________________________________________________________________________________
ในทางด้านของเจค ได้บอกให้ทุกคนรีบหาที่กำบังไปก่อน เพราะตอนนี้พวกเขาไม่สามารถรู้ตำแหน่งของศัตรูได้เลยว่ามาจากไหน
เจราล คอยทำหน้าที่เป็นคนคอยคุ้มกันให้กับ เจค และพาคนออกไปจากพื้นที่
วิกกี้ คอยติดต่อหาตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ ในบริเวณนี้มากที่สุด และติดต่อขอความช่วยเหลือจาก แรนด้า
และคอนสแตรงค์ ยังคงทำหน้าเป็นหน่วยคุ้มครองพวกเขาเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะไม่มีอาวุธใดๆ ก็ตาม
"จะเอายังไงต่อไปดีล่ะ? รู้สึกว่าพวกมันเริ่มหยุดยิงแล้วนะ" เจราล ถามเรื่องแผนการของเจค
"อย่าเพิ่งขยับ...บางทีพวกมันอาจต้องการดึงความสนใจจากเรา" เจค ตอบกลับไป
"แต่ฉันคิดว่ามันไม่น่าจะใช่" วิกกี้ โต้แย้งทันควัน หลังจากกำลังเรียกกำลังเสริมจากตำรวจ ซึ่งจะมาถึงในอีก 5 นาที
"ถ้าพวกเขาเล็งเป้าหมายมาที่พวกเรา ไม่น่าจะต้องกราดยิงใส่แบบนี้"
"เธอรู้ได้ยังไงว่า พวกนั้นไม่ได้เล็งเป้าหมายมาที่พวกเรา" เจราล ยิงคำถามไปที่ วิกกี้
"ดูจากทิศทางการยิงคงห่างจากที่นี่ไม่เกิน 30 กว่าเมตร และดูท่าว่าจะไม่ใช่มุมอับสายตาซะด้วยสิ"
"อีกอย่าง เป้าหมายของพวกเขาคงจะเป็นอย่างที่คุณบอก ใช่มั้ยค่ะ? หัวหน้า" วิกกี้ หันไปหา เจค เหมือนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
"ใช่! จดหมายขู่ฆ่านั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง แต่ยังไงฉันก็ยังหาสาเหตุไม่ได้อยู่ดี...ว่าอะไรคือแรงจูงใจ"
"ถึงยังไง พวกเราเองก็ต้องระวังตัวไว้ให้ดีล่ะ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นฝีมือของ The Phobia ไม่ก็ S.I.C ก็ได้"
________________________________________________________________________________________________________
ห่างออกไปจากประเทศบราซิล ไปที่ประเทศอัฟกานิสถาน มีกลุ่มคนซึ่งคาดว่าหน้าจะเป็นผู้ก่อการร้าย กำลังประชุมเรื่องแผนการกันอยู่
หลังจากที่ได้ส่งนักฆ่าฝีมือดีไป 2 คน ไปสังหารเศรษฐีค้านํ้ามันรายใหญ่ซึ่งก็คือ เชงโกเมซ แมซเซนโก้ นั่นเอง.
"แผนการเริ่มดำเนินไปอีกขั้นแล้วแหะ..." ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่ง กล่าวขึ้น
"นั้นสินะ..." เสียงของชายอีกคนหนึ่งกล่าว น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม
"แล้วแผนการต่อไปจะเอายังไงดีล่ะครับ?"
"...." หัวหน้าผู้ก่อการร้าย เงียบไปสักพัก
"จะเอาแต่เงียบแบบนั้น มันจะดีเหรอครับ? หัวหน้า" ผู้ก่อการร้ายอีกคนที่เป็นผู้ช่วย พูดกับหัวหน้าของตนเองด้วยความเป็นห่วง
"กำลังกลัวอยู่ละสิ...กลัวว่าเขาจะตามล่านาย" ผู้ก่อการร้ายอีกคนหนึ่งที่มาจาก ฝรั่งเศษ ใส่ชุดสูทสีดำ เนคไทสีแดง น่าจะเป็นนักฆ่ารับจ้าง
"ฉันไม่จำเป็นต้องไปห่วงเรื่องพรรค์นั้นหรอก."
"งั้นเหรอ! ฉันได้ข่าวมาว่าตอนนี้แกเองก็เผชิญปัญหาๆ เดียวกับฉันเหมือนกันนั่นแหละ."
หัวหน้าผู้ก่อการร้าย เงียบกริบ รู้สึกเหงื่อตกและเริ่มกระวนกระวาย
"ถ้าจะให้ผมพูดมาตรงๆ ตั้งแต่ที่ คลังอาวุธนั้นถูกทำลายไปหมด เราก็แทบจะไม่เหลืออะไร มีเพียงแค่สิ่งๆ เดียวที่เรายังเหลือ"
เขาหยิบภาพภ่ายใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ เป็นภาพของหญิงสาววัย 25 ปี ใส่ชุดกราวน์สีขาว กำลังถือแฟ้มข้อมูลอะไรบางอย่างอยู่
ซึ่งเขาคาดว่า ข้างในแฟ้มข้อมูลนั้นอาจจะเป็นข้อมูลของ WMD หรืออาวุธอานุภาพร้ายแรง เก็บไว้อยู่....
"สั่งให้คนของนาย ตามหาไอ้นังเด็กนี่ซะ!" ผู้ก่อการร้ายจากฝรั่งเศษ วางภาพถ่ายบนโต๊ะ จากนั้นคนของเขาก็ยื่นภาพถ่ายไปให้กับ หัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่ยืนอยู่ห่างจากตัวเองประมาณ 45 ซม.
ทุกคนต่างมองไปที่ภาพๆ ใบนั้นอย่างไม่ละสายตา ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย พ่อค้าอาวุธเถื่อน หรือแม้กระทั่ง มือสังหารที่ปกปิดหน้าตาตนเองอย่างลึกลับ
(จบ Dead Strangers and Symphony of Ghost)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย vodooking1 เมื่อ 2013-2-19 20:10
Part 1 - Dead Strangers and Symphony of Ghost