“ย๊าก~~~!! แกกล้าเงียบใส่ฉันเหรองั้นตายซะ!!”
เสียงของเด็กหนุ่มผมทองร้องขึ้น เขาเหวี่ยงขวานออกไปเต็มแรงหมายจะผ่าเป้าหมายให้ขาดเป็นสองซีด ขวานค่อยๆแทรกตัวเข้าไประหว่างกลาง และเป้าหมายที่เข้าเล็งเอาไว้ก็ค่อยๆขาดออกเป็นสองท่อนอย่างง่ายด้าย
“หึหึหึหึหึ นี่เป็นข้อหาที่แกเงียบใส่ฉัน ทั้งๆที่ฉันยอมคุยกับแกแท้ๆ”
“อาเธอร์ มันหนวกหูนะเฟ้ย ทำงานเงียบๆหน่อยเซ่ ฟืนน่ะรีบๆผ่าเข้าดิ”
เด็กหนุ่มผมเงินพูดพลางถือตะกร้าผ้าที่เก็บแล้วเอาเข้าไปในบ้าน
“อา โทษทีๆ พอดีอยากได้ที่ระบายอารมณ์น่ะ”
“นี่พวกเด็กๆ มาพักทานของว่างกันก่อนไหม”
เสียงของหญิงสาวเจ้าของบ้านดังขึ้นจากในครัว เธอจ้างเด็กหนุ่มทั้งสองมาช่วยงานบ้านเธอเป็นประจำ
“ไม่เป็นอะไรครับ ขอพวกเราทำงานเสร็จก่อนแล้วจะไปทานครับผม”
เด็กหนุ่มผมเงินหรือก็คืออารอนพูดขึ้น ส่วนอาเธอร์ที่ได้ยินว่าของว่าง จึงรีบผ่าฟืนด้วยความเร็วที่ยากจะมองทัน
“คุณพี่สาว ฟืนสำหรับหนึ่งปีเสร็จแล้วครับ!!”
อาเธอร์ร้องขึ้นพร้อมกับวิ่งหายเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
“ไอ้เจ้านี่”
อารอนพูดขึ้นพลางกัดฟันแน่น
ที่ห้องอาหารในบ้าน ทั้งสองกำลังทานของว่างพลางดื่มชาอย่างสบายอารมณ์ หญิงสาวมองทั้งสองพลางยิ้มอย่างมีความสุข
“พวกเธอมาที่เมืองนี้ได้3 เดือนแล้วสินะ”
“ครับผม พวกเราเองก็ต้องขอบคุณพี่สาวมากนะครับที่ช่วยพวกเรา ตอนนี้พวกเราเองก็เก็บเงินได้พอสมควรอีกไม่นานก็คงไปจากเมืองนี้แล้วล่ะครับ”
อาเธอร์พูดพลางหยิบขนมยัดใส่ปากอย่างรวดเร็ว จนอารอนเริ่มที่จะหงุดหงิดจนสุดท้ายเขาจึงใช้มือคว้าแขนของอาเธอร์แล้วแสยะยิ้มเ:X้ยม
“เฮ้ย กินเยอะไปแล้วเฟ้ย เกรงใจเจ้าของบ้านเขามั่ง”
อารอนพูดเสียงเย็นนี่อาเธอร์กลัวจนหดคอไม่กล้าตอบโต ส่วนหญิงสาวมองภาพนี้แล้วเหมือนกับกำลังมองกระต่ายน้อยกับหมาป่าก็ไม่ปาน
“ฉันคงเหงาน่าดูเลยนะ ถ้าพวกเธอไปจากเมืองนี้แล้วน่ะ”
“ว่าแต่เมืองนี้เองก็ดีกับพวกเรามากเลยนะครับ”
อาเธอร์พลางนึกย้อนกลับไปถึงตอนแรกที่พวกเขามาถึงเมืองแห่งนี้ พวกเขามาถึงที่นี่ในสภาพเจียนตายเนื่องจากอดอาหารมานาน และทั้งสองก็ได้เจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งช่วยเอาไว้ พร้อมกับยังได้ที่พักฟรี คนในเมืองต่างก็ให้ความช่วยเหลือพวกเขาเป็นอย่างดี
“ก็ทุกคนที่นี่ก็เป็นคนดีกันทั้งนั้นล่ะนะ”
“แต่เหมือนจะมีปัญหากับพวกทหารสินะครับ”
อารอนตั้งข้อสงสัยขึ้นมา และมันก็เป็นความจริงคนในเมืองถูกพวกทหารกดขี่ข่มเหงอย่างมาก พวกทหารสามารถทำอะไรก็ได้อย่างอิสระโดยไม่มีความผิดใดๆแม้แต่น้อย
“ก็เพิ่งมาเริ่มเป็นเมื่อปีสองปีก่อนตอนที่เจ้าเมือองคนใหม่ถูกส่งมานั่นล่ะ”
“งั้นเหรอครับ คงลำบากแย่เลย”
อาเธอร์พูดพลางมองไปยังปราสาทหลังโตจากทางหน้าต่าง
“ผู้มีอำนาจมักอยู่เหนือผู้ด้อยกว่าสินะ”
อารอนพูดขึ้นพลางจิบชาราวกับไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ
“ว่าแต่พวกเธออยากจะเดินทางไปไหนงั้นเหรอ”
“พวกเราออกเดินทางไปยังโบราณสถานหรือซากเมืองโบราณกันน่ะครับ”
อาเธอร์พูดพลางหยิบขนมยัดเข้าปาก ส่วนอารอนที่เห็นว่าไอ้หมอนี่เริ่มกินอีกครั้งก็ทำท่าจะเสยหมัดใส่เต็มทน ถ้าไม่ติดเกรงใจเจ้าของบ้านล่ะก็ไอ้หมอนี่ได้ปลิวไปไกลแล้ว
“เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าพวกเธอกำลังออกเดินทางตามหาอาวุธแห่งราชันกันน่ะ”
หญิงสาวดูตกใจกับคำตอบของเด็กหนุ่มอย่างมาก การออกตามหาอาวุธแห่งราชันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไหนจะทั้งกัปดักหรือจะเหล่าผู้เฝ้าโบราณสถาน หรือพวกปีศาจที่แฝงตัวอยู่ตามเมืองร้าง
“ถูกต้องครับ เพราะพวกเราฝันเอาไว้ว่าอยากจะเดินทางผจญภัยไปรอบโลก และสร้างประเทศที่แสนสงบสุขที่ไหนซักแห่งให้ได้น่ะครับ”
อาเธอร์พูดพลางฉีกยิ้มกว้าง ส่วนหญิงสาวที่พอได้ยินแล้วก็ระเบิดหัวเราะชอบในออกมาทันที
“ยอดเลยๆ เป็นความฝันที่ใหญ่โตมากเลยล่ะ ถ้าเป็นพวกเธอสองคนล่ะก็ต้องสร้างประเทศที่สงบสุขและสนุกสนานขึ้นมาได้แน่นอนเลยล่ะ”
“โธ่ คุณพี่สาวอย่าหัวเราะขนาดนั้นสิครับ”
อาเธอร์พูดพลางทำแก้มป่อง
“เอาล่ะ พวกเราคงต้องขอตัวล่ะครับ พอดีผมนึกขึ้นได้ว่าพวกเราต้องไปซื้อของอะไรนิดหน่อยเพราะเร็วๆนี้พวกเราคงต้องออกเดินทางกันแล้ว”
อารอนพูดขึ้นพลางดึงคอเสื้อของอาเธอร์แล้วเดินออกไปนอกบ้านทันที
“นี่อารอน เราจะไปจากเมืองนี้แล้วเหรอ พวกเรายังเก็บเงินได้ไม่มากพอจะเดินทางเลยนะ”
“คืนนี้เราจะเดินทางกันเลย แต่ก่อนไปต้องคืนทุนให้เมืองี้กันหน่อย”
อารอนยิ้มซนให้อาเธอร์ส่วนอาเธอเองก็ทำตาเป็นประกาย ทั้งสองราวกับสื่อใจถึงกันได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด
และในคืนนั้นเอง ที่กำแพงปราสาทมีเงาร่างของเด็กหนุ่มทั้งสองในชุดดับ อาเธอร์ที่ตอนนี้สวมเสื้อสีดำกำลังเหวี่ยงเชือกที่ปลายด้านหนึ่งเป็นตาขอไปมา
ฉั่ว!!
ตาขอนั้นโดนเหวี่ยงไปปักหัวอารอนที่เดินตามมาด้านหลังเข้าเต็มเปา แล้วในตอนนั้นเองอารอนใช้มือคว้าให้ของอาเธอร์เอาไว้แน่น ส่วนอีกมือดึงเอาตาขอออกมาจากหัวตัวเอง
“งั้นแกก็ทำหน้าที่แทนตาขอเลยแล้วกัน”
อารอนพูดเสียงเ:X้ยมแล้วโยนอาเธอร์ขึ้นไปบนกำแพงสูงราวหกแปดเมตรได้อย่างสบายๆ แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยๆปีนเชือกตามขึ้นไปติด
“อารอน นายโหดร้ายมาก โยนฉันขึ้นมาแบบนี้ฉันอาจจะคอหักตายก็ได้นะ”
“แล้วใครใช้ให้แกเหวี่ยงตาขอเล่นฟร๊ะ”
ทั้งสองจ้องหน้ากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่จู่ๆทั้งสองก็ทอนหายใจออกมาพร้อมกันแล้วจึงเริ่มแผนการต่อทันที
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินเราะไปตามกำแพง ผ่านตามป้อมต่างๆที่แทบจะไม่มีเวรยามใดๆเลย เป้าหมายของพวกเขาคือป้อมที่อยู่ใกล้กับตัวปราสาทมากที่สุด และเมื่อพวกเขามาถึงก็พบกับยามคนหนึ่งกำลังยืนเข้าเวรอย่างสบายอารมณ์
“ฉันจัดการเอง”
อาเธอร์พูดพลางเดินไปหยิบท่อนฟืนที่ผ่าแล้วที่ไว้ใช้ใส่ในคบเพลิงเพื่อให้ความอบอุ่นยามคำคืนขึ้นมา เขาค่อยๆย่องเข้าไปด้านหลังยอมทหารคนนั้นอย่างเงียบเชียบ และใช้ท่อนฟืนในมือแทงเข้าไปที่ก้นของทหารคนนั้น ซึ่งช่วงร่างนั้นไม่มีเกราะใดๆสวมเอาไว้ และในจังหวะที่เขากำลังจะส่งเสียงร้องอาเธอร์ก็ใช้อีกมืออุดปากเอาไว้ซะก่อน
“ชู่วๆ พี่ชายในเย็นๆ ไม่ถึงตายหรอกนะครับ ชู่วๆๆ”
อาเธอร์ ทหารเคราะห์ร้ายค่อยๆทรุดลงกับพื้นตาเหลือกตาตั้งน้ำลายฟูมปาก
“แกนี่มันท่าดีทีเหลวจริงๆ”
อารอนพูดพลางเดินเข้ามาตบหัวอาเธอร์อย่างแรง
หลังจากนั้นทั้งสองก็เริ่มเอามีดเล่มเล็กๆออกมา โดยสองเล่มมัดติดเข้ากับรองเท้า และอีกสองเล่มถือเอาไว้ แล้วหลังจากนั้นอารอนก็ออกแรงวิ่งแล้วกระโดดเข้าใส่กำแพงของตัวปราสาทพร้อมกับใช้มีดในมือแทงเข้าไปในรอยต่อระหว่างก้อนอิฐแล้วก็ค่อยๆทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ส่วนมีดที่เท้าเอาไว้เสียบเข้าไปในรูก่อนหน้าเพื่อใช้ทรงตัวระหว่างปีนกำแพง
และเมื่อมาถึงหน้าต่างของห้องห้องหนึ่งทั้งสองก็พบกับชายอ้วนตัวใหญ่อยู่ในสภาพเกือบหลายกำลังสนุกกับการกินอาหารโดยรอบๆตัวของเขามีสาวงามในสภาพนุ่งน้อยห่มน้อยรายล้อมอยู่เต็มไปหมด โดยที่คอของพวกเธอนั้นมีปลอกคอทำจากเหล็กและมีโซ่โยงเอาไว้ ใบหน้าของเธอแค่ดูก็รู้ว่าแกล้งฝืนทำเป็นมีความสุขและสนุกสนานกับสิ่งที่ทำอยู่
อาเธอร์จ้องชายอ้วนไม่วางตา และเหมือนหนึ่งในหญิงสาวเหล่านั้นจะหันมาเห็นเขาพอดี อาเธอร์ฉีกยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร แต่อีกฝ่ายส่ายหน้าน้อยๆเหมือนจะบอกว่ารีบๆไปซะ แต่เหมือนจะช้าไปชายอ้วนหันไปทางหน้าต่าง แต่ด้วยความไวอาเธอร์จึงรีบก้มหัวลงจึงพ้นจากการโดนเห็นมาได้และเมื่อชายอ้วนหันกลับไปอาเธอร์ก็ชะโงกหน้าขึ้นมาดูอีก
“อารอน ไอ้อ้วนนี่มันน่าอิจฉาจริงๆ ทำไมมันถึงมีฮาเร็มเป็นของตัวเองได้นะ ฉันตัดสินใจแล้วถ้าสร้างประเทศได้เมื่อไหร่ฉันจะสร้างฮาเร็ม”
อาเธอร์พูดเสียงจริงจังและท่าจะเอาจริงซะด้วย
“เมื่อไรที่สร้างประเทศได้แล้วฉันจะออกกฏหมายสั่งห้ามฮาเร็ม”
อารอนพูดเสียงเรียบพลางให้สัญญาณบอกให้อาเธอร์รีบไปต่อ และทั้งสองก็มาถึงด้านบนสุดของปราสาทมันเป็นหอคอยสูงมีเพียงช่องระบายอากาศเล็กๆเท่านั้น อารอนค่อยๆลอดผ่านช่องที่ว่าไปอย่างช้าๆ และเมื่อเขาเข้ามายังด้านในได้ก็พบกับห้องสมบัติของปราสาทแห่งนี้ทันที และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยอาเธอร์ แต่เหมือนเขาจะมีปัญหาเล็กน้อย
“อารอน..... อารอน ช่วยด้วย ฉันติดพุงมันติด”
“เจ้าบ้า อยากกินขนมเยอะเองนี่”
อารอนพูดขึ้นพลางปีนขึ้นไปช่วยอาเธอร์ที่ติดอยู่ในช่องระบายอากาศในสภาพครึ่งตัวโดยท่อนบนอ่านเข้ามาได้แต่ท่อนล่างยังติดอยู่ด้านนอก อารอนใช้มือสองข้างดึงคอของอีกฝ่ายและใช้เท้าสองข้างยันเข้ากับกำแพงห้องและออกแรงดึง
“แอ๊ก!! อ๊อก แอก!!”
เสียงร้องของอาเธอร์ที่กำลังโดนดึงดังขึ้น ถึงมันจะไม่ดังมากนักก็เถอะ
“อย่าส่งเสียงได้ไหมเดี๋ยวพวกยามก็ได้ยินหมดหรอก”
“งั้นก็อย่าดึงหัวเซ่”
“ไม่ดึงหัวแล้วจะดึงอะไรฟร๊ะ”
หลังจากพยายามอย่างต่อเนื่องกว่าสองชั่วโมงอาเธอร์ก็หลุดออกมาได้สำเร็จ
“ฉันบอกแล้วอะไรที่อยู่สูงๆน่ะมันต้องสำคัญ”
อาเธอร์พูดพลางเดินดูรอบๆห้องและเท้าเขาก็มาหยุดที่ดาบเล่มหนึ่ง มันถูกเก็บเอาไว้ในฝักดาบทำจากหนังสัตว์บางอย่าง เขาค่อยๆหยิบมันขึ้นมาและดึงดาบออกจากฝัก ใบดาบสีเงินแวววาวตัวดาบดูไม่มีอะไรที่พิเศษมันก็เหมือนๆกับดาบทั่วๆไปซึ่งมองแล้วมันไม่ได้เขากับห้องนี้เลย ที่เต็มไปด้วยของมีค่ามากมาย
“อาวุธเวทมนตร์เหรอ”
อาเธอร์พูดพลางเอามันมาคาดเอาไว้กับเข็มขัดของตัวเอง
“เฮ่ อารอนเป็นไงเหมาะไหม”
“เท่มากเลย แล้วของฉันล่ะ”
อารอนหันหลังมือของเขามาให้อาเธอร์ดู มันมีแหวนเงินที่เขียนตัวหนังสือบางอย่างเอาไว้
“แหวนอะไรของนายไม่ได้เหมาะกับนายเลย”
สิ้นเสียงของอาเธอร์แหวนก็ส่องแสงสีขาวจางๆ หลังจากนั้นที่แขนทั้งสองทางและขาทั้งส่องข้างก็ถูกแสงสีขาวห่อหุ้มและเปลี่ยนเป็นถุงมือเหล็กสีเขียวมรกตและมีลวดลายสีน้ำเงินเข้มพาดผ่านไปมาส่วนที่ขาเองก็เป็นบูทเหล็กสีเดียวกัน
“เฮ้ยอย่างเท่เลย”
“ใช่มะ”
“เฮ่ดูนี่ดิ มันจะใช่พรมเหาะได้แบบในนิทานจากพวกพ่อค้าฝั่งตะวันออกรึเปล่านะ”
อาเธอร์พูดพลางหยิบเอาผ้าสีแดงผืนหนึ่งขึ้นมาโชว์
“นั่นมันผ้าไหมเจ้าบ้า ไม่มีใช่พรม”
“หานี่คือผ้าไหมเหรอ เกิดมาเพิ่งเคยจับ”
“เฮ่ทางนี้เจอของดีล่ะ”
อารอนเรียกอาเธอร์ เขาหยิบเอารูปปั้นทองคำขนาดพอดีมือใส่ลงไปในถุงหนังใบเล็กใบหนึ่ง
“ใส่เท่าไหร่ก็ไม่เต็ม”
อารอนพูดพลางหันมายิ้มซนให้อาเธอร์ หลังจากนั้นทั้งสองก็เริ่มขนเอาสมบัติทั้งหมดใส่ลงไปในถุงผ้าจนหมด ห้องสมบัติที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยของมีค่าตอนนี้มันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
“เอาล่ะ แล้วทีนี้เราจะกลับออกไปยังไง”
อาเธอร์พลางเอามือเท้าเอวตัวเองแล้วถอนหายใจ
“ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆแล้ว มาลองของใหม่กันดีกว่า”
อารอนพูดพร้อมกับเปลี่ยนแหวนเป็นบูทและถุงมือเหล็กแบบก่อนหน้านี้ เขาลองง้างหมัดของเขาและชกออกไป กำแพงที่อยู่ห่างออกไประเบิดออกเป็นเสี่ยง เศษอิฐจำนวนมากแตกกระจาย พวกทหารที่กังพันผ่อนเริ่มแตกตื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“สุดยอด!!”
อาเธอร์ร้องขึ้นและทีนี้เขาเองก็ลองบ้าง เขาออกแรงเหวี่ยงดาบของตัวเองไปตามแนวขวาง คลื่นดาบสีฟ้าขาวถูกปล่อยออกมา กำแพงถูกคลื่นพลังสีฟ้าขาวฟันขาเป็นสองท่อน ไม่มีการระเบิดใดๆเกิดขึ้น แต่ว่าพวกเศษอิฐเองก็ไม่มีกระจายหรือแตกออก แต่มันกลายสภาพเป็นผงไปเลย รอยตัดเรียบเนียนราวกับตัดเนยก็ไม่ปาน
“ถ้างั้น เราเองก็ได้เวลาเผ่นแล้วล่ะเพื่อน”
อาเธอร์พูดพลางยิ้มซน แต่ทันใดนั้นอารอนก็เดินเข้ามาแล้วอุ้มเขาพาดบ่าแล้วกระโจนออกไปด้านนอกทันที อาเธอร์ส่งเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัว แต่เขาก็พบว่าตัวเองราวกับกำลังโบยบินอยู่บนฟากฟ้ายามราตรี
ด้วยการกระโจนเพียงครั้งเดียวทั้งสองก็ออกมาพ้นเขตของปราสาทได้ทันที และทั้งสอก็มาหยุดหน้าบ้านหลังหนึ่ง ทั้งสองช่วยกันทุบประตูอย่างแรงเพื่อปลุกคนในบ้าน และในตอนนั้นเองร่างของหญิงสาวคนเดียวกับเมื่อตอนกลางวันก็เดินออกมาเปิดประตู แต่เธอไม่พบใครนอกจากกองสมบัติกองโตพร้อมจดหมายเขียนเอาไว้ว่า“เขาได้ตอบแทนเมืองแสนดีแห่งนี้แล้ว ที่เหลือขึ้นอยู่กับพวกคุณ”
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงคนในเมืองต่างก็ลุกฮือขึ้นต่อต้านเจ้าเมืองและดูเหมือนว่าพวกทหารเองต่างก็หวาดกลัวชาวบ้านที่กำลังฮึกเหิมอย่างไม่มีสาเหตุ
หลายวันต่อมา ที่เมืองท่าเรือสู้แดนตะวันออกไกล
“เฮ่ อารอน เราจะไปไหนกันต่อดีล่ะ”
“ลองไปประเทศแห่งดวงตะวันกันเถอะ ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีโบราณสถานใหญ่โตตั้งสี่แห่งแหนะ ที่นั่นต้องมีแน่อาวุธแห่งราชัน”
“โอ้ว~!! งั้นก็มุ่งหน้าสู่ประเทศแห่งดวงตะวันกันเลย!!”
“โอ้ว!!”
“แต่ว่าอารอน เราจะไปยังไงล่ะ เราไม่มีตัง”
“มีสิ นี่ไง”
อารอนเอาถุงที่เขาใช้ก้อนหน้านี้ออกมาแล้วหยิบเอาเหรียนทองจำนวนมากออกมาแล้วแสยะยิ้ม
“ใช้ชีวิตเยี่ยงราชากันเถอะ!!”
“เจ้าบ้า!! ใช้ชีวิตแบบคนปกติก็พอแล้วเฟ้ย!!”
“ป้ายหน้าประเทศแห่งดวงตะวัน!!”
Tales เรื่องเล่าแห่งจอมราชัน ตอนที่1 เด็กหนุ่มแห่งโชคชะตาทั้งสอง