“Summoner”คำที่ใช้เรียกเหล่าผู้มีความสามารถในการอัญเชิญเหล่าดวงวิญญาณจากอดีตกาลหรือเหล่าภูตผีปีศาจออกมาเพื่อรับใช้ พวกเขาคือเหล่าจอมเวทที่หาได้ยากยิ่งในหมู่จอมเวทด้วยกัน ด้วยพลังอันมหาศาลในการอัญเชิญ ทำให้จอมเวททั่วไปไม่อาจทำได้ และที่โรงเรียนจอมเวทแห่งนี้เองก็เช่นกันที่มีหลักสูตรสำหรับเหล่าซัมมอนเนอร์ รุ่นใหม่ๆด้วย
“เอาล่ะนักเรียนปีหนึ่งทุกคน อย่างที่ทุกคนรู้ว่าสิ้นเทอมนี้พวกเธอจะต้องทำการอัญเชิญข้ารับใช้กัน แต่ก็อย่างที่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ ดั้งนั้นอย่าคาดหวังมานะจ๊ะ จะได้ไม่ผิดหวังมาก”
ครูสาวในชุดเสื้อวอร์มพูดพลางส่งจูบให้พวกนักเรียนพลางเดินออกจากห้องพร้อมกับเสียงระฆังที่บอกสัญญาณเลิกเรียน
“นายจะเอาไงเพื่อน คิดได้รึยังว่าจะอัญเชิญอะไร”
เด็กหนุ่มผมทองพูดพลางโผเข้ามากอดคอเด็กหนุ่มอีกคน
“ฉันว่า อะไรก็ได้ล่ะนะ”
“เจ้ามหาบ้าอเล็กซ์!!”
เด็กหนุ่มผมทองพูดพลางหยิบหนังสือเรียนเล่มหนามาฟาดหัวเพื่อนขงตัวเอง
“สำคัญนะเว้ย เรื่องจะอัญเชิญอะไรออกมา ขืนไม่รู้เหนือรู้ใต้อัญเชิญล่ะก็ นายอาจจะได้ข้ารับที่น่ากลัวสุดๆก็ได้นะเว้ย”
พออเล็กซ์ได้ยินปุ๊บก็หยิบหนังสื่อเรียนปกสีขาวที่เขียนว่า“คู่มือการอัญเชิญข้ารับใช้” แล้วรีบเปิดไปบทแรกๆ
“งั้นฉันเอานี่ เท่ดี”
เขาชี้ไปที่คำว่าอัศวิน
“อัศวินเหรอ เลือกรูปแบบได้ไม่เหมาะกับนายเลยนะเนี่ย อยากนายนะมันต้องนี่เลย!! พวกนักดาบหรือไม่ก็พวกนักฆ่าหรือไม่ก็พวกนักรบแล้วก็พวกจอมเวทซี่เหมาะเลย”
“อัญเชิญคนที่เหนื่อยกับชีวิตตัวเองก่อนตายมาเหนื่อยต่อทั้งๆที่ได้พักยาวแล้ไม่ยุติธรรมกับพวกเขานักหรอกนะ”
อาเธอร์พูดพลางถอนหายใจยาว
“แบบนี้อัญเชิญอะไรออกมาก็ไม่ต่างล่ะนะนายน่ะ เพราะข้ารับใช้ของนายก็คงจะเหนื่อยทวีคูณเป็นสิบเท่าเพราะมาสเตอร์เป็นพวกเหนื่อยกับชีวิตเต็มทนล่ะน่ะ”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ อย่างคุณน่ะเหมาะกับอัญเชิญพวกโจรกระจอกหรือพวกนักฆ่าที่ไร้แก่นสารเป็นที่สุด อัศวินผู้สูงส่งน่ะไม่เหมาะกับคุณหรอกค่ะ โฮ๊ะๆๆๆๆๆๆ”
เด็กสาวผูมีเรือนผมสีทองเป็นลอนพูดพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาป้องปากขณะกำลังหัวเราะเยาะเขา
“ใช่แล้วล่ะ อัศวินน่ะไม่เหมาะกับคนอย่างฉัน แต่คนชอบโอ้อวดเองก็ไม่เหมาะเหมือนกัน อัศวินน่ะเหมาะกับคนสูงศักดิ์อย่างแท้จริง แบบทางนั้น!!”
อเล็กซ์พูดพลางชี้ไปทางเด็กสาวผมสีน้ำตาลยาวที่รวบเป็นผมห้างม้าคนหนึ่งที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเก็บหนังสือเพื่อกลับหอพัก
“ฉันเหรอ!?”
เธอพูดพลางชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
“ใช่แล้วล่ะ คุณลูน่าเหมาะที่สุด เพราะคุณไม่เคยโกหกใคร ไม่เคยโอ้อวด ชอบทำอะไรเพื่อคนอื่น นี่ล่ะเหมาะ!!”
เขาพูดพลางจับบ่าเธอแน่น
“แต่ฉันจะอัญเชิญพวกนักรบไม่ก็พวกนักดาบน่ะค่ะเพราะทั้งตระกุลของฉันเขาก็อัญเชิญแบบนี้หมด”
“หมดกัน คุณลูน่า”
เด็กหนุ่มผมทองพูดพลางทรุดลงกับพื้น
“เอาเถอะค่ะ อย่างพวกคุณคงไม่มีใครอัญเชิญออกมาหรอกค่ะ เพราะคนที่จะผ่านการสอบของห้องเรียนนี้มีเพียงดิฉันเพียงคนเดียว และดิฉันก็จะเชิญอัศวินผู้สง่างามออกมาให้ดูนะคะ”
เด็กสาวผมทองพูดพลางหัวเราะแล้วเดินออกไปจากห้อง
“เฮ้ย โดนหยามแล้ว เราจะยอมเหรอเพื่อน”
เด็กหนุ่มผมทองพูดเสียงเย็น
“มาทำกันให้ได้กันเถอะ โดนหยามฝ่ายเดียวรับไม่ได้”
“ไฟแรงจังนะเด็กหนุ่มสมัยนี้ ทำไมสมัยมาสเตอร์ฉันถึงไม่เป็นงี้มั่งน้า”
เสียงที่ฟังดูสบายๆของหญิงสาวดังขึ้นจากนอกหน้าต่าง และเมื่อทั้งสองหันไปก็พบกับหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีดำดาวในชุดคลุมสีน้ำตาลยาวมิดชิดกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้ที่ทำจากปุยเมฆสีขาว นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นข้ารับใช้ที่เป็นจอมเวทอย่างแน่นอน
“ท่านเฮคาเต้”
“โย่ เด็กหนุ่ม”
“ข้ารับใช้ที่เป็นจอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุด ที่ได้อธิการบดีของที่นี่อัญเชิญออกมาสมัยเรียนอยู่”
“ขอบคุณที่ช่วยอธิบายนะทิโมธี”
เธอพูดพลางมองไปทางเด็กหนุ่มผมทอง
“เจ้าศิษย์รักของข้าเอ๋ย หากพวกเจ้าไม่อาจอัญเชิญข้ารับใช้ออกมาได้ จงรอเจอนรกได้เลย อาจารย์คนนี้คงจะเศร้ามากถ้าจู่ๆก็ต้องเสียศิษย์รักไปสองคน”
เธอพูดพลางหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา ส่วนทั้งสองคนยืนหน้าซีด
“โอ้ว~ ได้เวลาไปเตรียมขั้นตอนรวมถึงเนื้อหาของการอัญเชิญกันแล้วว่าไหมเพื่อน!!”
ทิโมธีพูดพลางหันไปหาอเล็กซ์
“แน่นอน แบบนี้ต้องอัญเชิญแบบระดับสุดยอดไปเลย จริงไหมเพื่อน!!”
อเล็กซ์ตอบพลางเหงื่อแตก
พวกเขาสองคนหลังตกลงกันได้ก็รีบวิ่งโกยสุดแรงเกิดตรงดิ่งไปที่หอสมุดของโรงเรียนทันที โดยโรงเรียนแห่งนี้นั้นมีพื้นที่การศึกษากว้างจนแทบจะเรียกว่าเมืองแห่งการศึกษาได้เลย เพราะที่นี่มีทุกอย่างอยู่ภายในครบ การเรียนการสอนมีตั้งแต่ระดับชั้นเตรียมอนุบาลไปจนถึงระดับมหาลัย ดังนั้นหอสมุดจึงไม่ต้องพูดถึงความใหญ่โตเลย
โดยตอนนี้ทั้งสองคนมายืนอยู่หน้าหอสมุดที่ถูกออกแบบเป็นปราสาทขนาดใหญ่ยักษ์ ด้านหน้ามีรูปปั้นของอัศวินสองคนถือโล่อันโตยืนเฝ้าอยู่ ถ้าไม่มีใครบอกก็คงคิดว่าเป็นแค่รูปปั้น แต่จริงๆแล้วพวกเขาคือโกเลมขนาดยักษ์ ที่คอยจัดการผู้บุกรุกรวมถึงลากคอนักเรียนที่จะแอบจิ๊กหนังสือออกจากที่นี่ ซึ่งทั้งสองคนก็เคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว จากการที่เฮคาเต้บังคับให้พวกเขาไปขโมยหนังสือออกมาและหนีเอาตัวรอดให้ได้โดยไม่ใช้เวทมนตร์เป็นเวลาหกชั่วโมง
“ฮึ่ม อัศวินเหรอ”
อเล็กซ์พูดพลางเปิดหนังสือสลับหน้าไปมา โดยหนังสือที่เอาอ่านคือรวมข้อมูลเกี่ยวกับข้ารับใช้
“ฉันว่าฉันเปลี่ยนไปอัญเชิญนักดาบดีกว่านะ ฉันใช้เวทเสริมพลังได้อยู่แล้วด้วย หรือไม่ก็พกโจรนักฆ่าก็ไม่เลว”
“ฉันจะเชิญอัศวินให้ได้เลยล่ะ”
อเล็กซ์พูดพลางกำมือจนแน่น แต่ในตอนนั้นเองก็มีฝ่ามือแข็งๆที่ทำจากหินของโกเลมตัวขนาดเท่ามนุษย์ที่คอยทำหน้าที่จัดและคัดแยกหนังสือต่างๆมาจับที่บ่าของเขา มันยืนหนังสือเล่มหน้าขนาดที่ถ้าเผลอทำมันตกจากชั้นสองแล้วตกในหัวใครล่ะก็เชื่อได้เลยว่าสมองกระจาย
“ให้ฉันอ่านไอ้นี่เหรอ”
อเล็กซ์ถาม ส่วนมันพยักหน้าตอบ เขามองที่ปกที่ทำจากหนังเก่าๆสีน้ำตาล ที่เขียนเอาไว้ว่าตำนานอัศวินมังกร
“ตำนานอัศวินมังกรเหรอ ไม่เห็นรู้จักเลยแฮะ”
ทิโมธีพูดพลางชะโงกหน้ามาดู
“เป็นตำนานเกี่ยวกับอัศวินหนุ่มผู้ทรยศอาณาจักรของตัวเองเพื่อหญิงที่ตนรักไปเข้าร่วมกับพวกคนเถื่อน และนำทัพคนเถื่อนและมังกรคู่กายเข้าโจมตีอาณาจักรของตัวเอง และสุดท้ายเขาก็ได้ครองรักกับหญิงที่ตนรักสมใจ แต่สุดท้ายชะตากรรมก็เล่นตลก เขาถูกรอบสังหารหลังจากแต่งงานได้ไม่กี่เดือน ก็ประมาณนี้ล่ะนะ เรื่องอัศวินมังกร”
หญิงสาวผมน้ำตาลผู้มีหน้าอกหน้าใจใหญ่จนเตะตาคนหนึ่งพูดพลางเดินมานั่งนั่งลงบนโต๊ะพร้อมกับยื่นหนังสือปกสีฟ้าให้ทิโมธี
“ตำนานนักดาบจากแดนไกล ฮันซำ”
“แม่นแล้ว ตำนานของนักดาบพเนจร จากต่างแดนผู้มาแสวงหาความแข็งแกร่ง แต่ว่าสุดท้ายเขาก็จบชีวิตลงโดยที่ฝันยังค้างอยู่แบบนั้นล่ะ ไงชอบมะ”
“เก่งมะ”
ทิโมธีถามเสียงเรียบ
“อ่านเองสิย๊ะ”
“ขอบคุณนะซิลเวีย ว่าแต่ทำไมถึงมาช่วยพวกเราล่ะ”
“เพราะฉันเกลียดยายลอร่า ช่วยพวกนายหักหน้ายายนั่นสนุกกว่า”
“อัศวิน ผู้ทรยศ อัศวินมังกรงั้นเหรอ”
“ลองอ่านดูสิ แล้วจะน้ำตาซึม”
และในคืนนั้นเอง อเล็กซ์ที่ยืมหนังสือเล่มนี้มาจากห้องสมุดก็เริ่มอ่านทันที เพราะเดี๋ยวจะไม่ทันพิธีอัญเชิญ ส่วนทิโมธีนั้นอ่านไปพลางกินขนมไปด้วย โดยทั้งสองนั้นพักอยู่ที่หอพักเดียวกันและห้องเดียวกันด้วย
“มะ หมอนี่ ทำไมชีวิตถึงได้น่าเศร้าแบบนี้!!”
อเล็กซ์พูดพลางฟุบลงกับโต๊ะแล้วร้องไห้ออกมา
“ฮันซำ หมอนี่น่าสนใจแฮะ เกิดในครอบครัวใหญ่โตแต่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อแสวงหาความแข็งแกร่ง”
ทิโมธีพูดถึงว่าที่คู่หูของเขา
“อัศวินมังกรคนนี้เกิดในสลัมแม่ของเขาเป็นหญิงบริการ มีความฝันว่าจะเป็นอัศวิน”
“ฮันซำโดนหญิงคนรักหักหลังหมายจะเอาชีวิตของเขา น่าเศร้าแฮะตรงนี้”
“หลังจากเข้ากองทัพและพยายามหลายปีเขาก็ได้เป็นอัศวินสมใจและพบรักกับหญิงสาวพเนจรคนหนึ่ง”
“ฮันซำออกเดินทางข้ามทะเลโดยทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เพื่อออกสู่โลกกว้าง”
“อาณาจักรออกคำสั่งกวาดล้างสลัมและพวกคนจร เขาก็เลยทิ้งอาณาจักรและทุกอย่างเพื่อหญิงคนรัก และพาพวกเขาหนีออกไป”
“จะว่ายังไงดีล่ะอเล็กซ์ คล้ายๆแต่ก็แตกต่างนะว่าที่ข้ารับใช้ของพวกเรา”
“จะว่ายังไงดีล่ะ นั่นสินะ”
หลายเดือนต่อมา ที่อาคารสูงสามชั้นสีดำซึ่งเป็นสถานที่ชี้ชะตาใครจะได้เป็นซัมมอนเนอร์ โดยผู้คุมพิธีคืออธิการบดีกับข้ารับใช้ของเขา โดยวันนี้เฮคาเต้มาในชุดหนังรัดรูป ในมือของเธอถือแส้สีดำมาด้วย ใกล้ๆยังมีโลกศพเหล็ก ม้าไม้สามเหลี่ยมรวมถึงเครื่องทรมานอีกมากมาย ส่วนศิษย์ของเธอสองคนได้แต่ยืนตัวสั่น
“เอาล่ะ พิธีอัญเชิญคือพวกเธอต้องเขาไปยังวงเวทนั้น นั่นคือวงเวทสื่อใจ จงนึกถึงบุคคลที่เธอต้องการเชิญมา พยายามสื่อใจถึงเขา หากใครมีคำอัญเชิญมาจะใช้ด้วยก็ได้ หรือเครื่องสังเวยก็ไม่ว่ากัน เอาล่ะเชิญ”
ชายวัยกลางคนหรือก็คืออธิการบดีพูดพลางผายมือไปทางวงเวทขนาดใหญ่กลางห้องโถงที่ปิดทึบ
“ใครจะเริ่มก่อน”
สิ้นคำนี้อเล็กซ์และทิโมธีรวมถึงเด็กสาวผมทองเป็นลอนที่ชื่อลอร่าก้าวออกมาด้านหน้าทันที
“จำเอาไว้นะ การอัญเชิญบางครั้งก็อาจไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ต้องยอมรับสิ่งที่ต้องการให้ได้ล่ะ”
“เริ่มจากเขาคนนี้เลย”
เฮคาเต้เดินมาจับมาอเล็กซ์เบาๆ ส่วนอธิการบดีก็ได้แต่พยักหน้ารับเพราะเขาเองก็ไม่กล้าหือกับข้ารับใช้ของตัวเองเหมือนกัน เพราะเฮคาเต้เป็นถึงจักรพรรดินีในตำนานที่นำพาอาณาจักรไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร แถมยังถูกยกให้เป็นวีรสตรีอันดับหนึ่งตำนานอีกด้วย
อเล็กซ์ค่อยๆเดินเข้าไปในยังวงเวทในห้องโถงนั้นพร้อมกับประตูที่ปิดลง เขาหันมามองหน้าเพื่อนซี้ของตัวเองส่วนอีกฝ่ายได้แต่โบกมือให้ช้าๆ
เมื่อประตูปิดลงเขาเดินไปยังใจกลางห้องแล้วถอนหายใจแล้วนั่งยองๆอยู่อย่างนั้นๆ และทันใดนั้นเองวงเวทก็ฉายแสงสีขาวออกมา ร่างของเขาค่อยๆถูกกลืนหายไปภายในแสงและเมื่อเขารู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในที่โล่งที่มีแต่สีขาว
“ท่านเป็นใคร”
เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นไม่แสดงถึงต้นเสียงได้เพราะมันดังมาจากทุกทิศทาง
“ใครน่ะ”
อเล็กซ์ตะโกนตอบกลับไป
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ท่านต่างหากเป็นใคร ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ของคนเป็นจะมา”
“ผมกำลังทำพิธีอัญเชิญข้ารับใช้”
“เช่นนั้นรึ ท่านเจาะจงข้างั้นเหรอ”
“นายคือลูเทอเรียงั้นเหรอ”
“ใช่ นั่นคือนามของข้า ท่านจะมาเป็นนายเหนือหัวแห่งข้าเช่นนั้นเหรอ”
ครั้งนี้เสียงนั้นกลับดังขึ้นจากด้านหลังอเล็กซ์รีบหันไปทางต้นเสียงและพบกับร่างของชายหนุ่มผิวขาวผู้มีเรือนผมสีเงินยาวและในตาสีมรกตในชุดเกราะที่ดูแปลกตา กางเกงและเสื้อสีดำผ่าอก ที่ขาของเขาสวมบูทเหล็กและเกราะขายาวถึงมาถึงต้นขา ที่แขนเป็นถุงมือเหล็กที่ปลายนิ้วมีลักษณะเป็นปลายแหลมดูคล้ายกงเล็บสัตว์ และมีเกราะแขนยาวไปจนถึงไหล่
“ผิดคาด ดูเท่กว่าที่คิด”
“ท่านคิดจะเชื่อใจอัศวินที่ยอมละทิ้งนายเหนือหัวเพื่อคนรักอย่างข้างั้นเหรอ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ตำนานของนายฉันก็อ่านมาแล้ว ฉันคิดว่าสิ่งที่นายทำลงไปน่ะไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรอกนะ นายแค่เลือกในเส้นทางที่ถูกต้องแม้จะทรยศอาณาจักรต่างหาก”
“หากท่านเลือกที่จะเชื่อในตัวข้า ข้าก็ขอถวายชีวิตของข้าให้แก่ท่าน นายเหนือหัวแห่งข้า ไม่สิราชาของข้า”
เขาพูดพลางเดินมาคุกเข่าลงตรงหน้าของอเล็กซ์อย่างนอบน้อม
“นี่ๆยกระดับฉันสูงเกินไปแล้วล่ะน่า”
“หามิได้ การที่ท่านสื่อใจมาถึงข้าได้และยอมเชื่อในตัวข้า และยังเลือกข้าผู้นี้มันเป็นเกียรติของข้าจริงๆ สำหรับข้าท่านก็คือราชาที่ข้าจะรับใช้อีกครั้ง”
“ก็ได้งั้นหลังจากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ คู่หู”
อเล็กซ์พูดพลางยื่นมือขวาออกไปให้ลูเทอเรีย ส่วนลูเทอเรียจึงทำการจุมพิษที่นิ้วกลางขวาเบาๆ และทันใดนั้นที่ก็มีแหวนปรากฏขึ้นที่นิ้ว แหวนที่แสดงถึงการทำสัญญา รูปร่างของมันคือมังกรสองตัวที่พันอยู่บนแหวนและตรงกวางคืออัญมณีสีแดงเพลิง
“เอาล่ะนักเรียนปีหนึ่งทุกคน อย่างที่ทุกคนรู้ว่าสิ้นเทอมนี้พวกเธอจะต้องทำการอัญเชิญข้ารับใช้กัน แต่ก็อย่างที่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ ดั้งนั้นอย่าคาดหวังมานะจ๊ะ จะได้ไม่ผิดหวังมาก”
ครูสาวในชุดเสื้อวอร์มพูดพลางส่งจูบให้พวกนักเรียนพลางเดินออกจากห้องพร้อมกับเสียงระฆังที่บอกสัญญาณเลิกเรียน
“นายจะเอาไงเพื่อน คิดได้รึยังว่าจะอัญเชิญอะไร”
เด็กหนุ่มผมทองพูดพลางโผเข้ามากอดคอเด็กหนุ่มอีกคน
“ฉันว่า อะไรก็ได้ล่ะนะ”
“เจ้ามหาบ้าอเล็กซ์!!”
เด็กหนุ่มผมทองพูดพลางหยิบหนังสือเรียนเล่มหนามาฟาดหัวเพื่อนขงตัวเอง
“สำคัญนะเว้ย เรื่องจะอัญเชิญอะไรออกมา ขืนไม่รู้เหนือรู้ใต้อัญเชิญล่ะก็ นายอาจจะได้ข้ารับที่น่ากลัวสุดๆก็ได้นะเว้ย”
พออเล็กซ์ได้ยินปุ๊บก็หยิบหนังสื่อเรียนปกสีขาวที่เขียนว่า“คู่มือการอัญเชิญข้ารับใช้” แล้วรีบเปิดไปบทแรกๆ
“งั้นฉันเอานี่ เท่ดี”
เขาชี้ไปที่คำว่าอัศวิน
“อัศวินเหรอ เลือกรูปแบบได้ไม่เหมาะกับนายเลยนะเนี่ย อยากนายนะมันต้องนี่เลย!! พวกนักดาบหรือไม่ก็พวกนักฆ่าหรือไม่ก็พวกนักรบแล้วก็พวกจอมเวทซี่เหมาะเลย”
“อัญเชิญคนที่เหนื่อยกับชีวิตตัวเองก่อนตายมาเหนื่อยต่อทั้งๆที่ได้พักยาวแล้ไม่ยุติธรรมกับพวกเขานักหรอกนะ”
อาเธอร์พูดพลางถอนหายใจยาว
“แบบนี้อัญเชิญอะไรออกมาก็ไม่ต่างล่ะนะนายน่ะ เพราะข้ารับใช้ของนายก็คงจะเหนื่อยทวีคูณเป็นสิบเท่าเพราะมาสเตอร์เป็นพวกเหนื่อยกับชีวิตเต็มทนล่ะน่ะ”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ อย่างคุณน่ะเหมาะกับอัญเชิญพวกโจรกระจอกหรือพวกนักฆ่าที่ไร้แก่นสารเป็นที่สุด อัศวินผู้สูงส่งน่ะไม่เหมาะกับคุณหรอกค่ะ โฮ๊ะๆๆๆๆๆๆ”
เด็กสาวผูมีเรือนผมสีทองเป็นลอนพูดพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาป้องปากขณะกำลังหัวเราะเยาะเขา
“ใช่แล้วล่ะ อัศวินน่ะไม่เหมาะกับคนอย่างฉัน แต่คนชอบโอ้อวดเองก็ไม่เหมาะเหมือนกัน อัศวินน่ะเหมาะกับคนสูงศักดิ์อย่างแท้จริง แบบทางนั้น!!”
อเล็กซ์พูดพลางชี้ไปทางเด็กสาวผมสีน้ำตาลยาวที่รวบเป็นผมห้างม้าคนหนึ่งที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเก็บหนังสือเพื่อกลับหอพัก
“ฉันเหรอ!?”
เธอพูดพลางชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
“ใช่แล้วล่ะ คุณลูน่าเหมาะที่สุด เพราะคุณไม่เคยโกหกใคร ไม่เคยโอ้อวด ชอบทำอะไรเพื่อคนอื่น นี่ล่ะเหมาะ!!”
เขาพูดพลางจับบ่าเธอแน่น
“แต่ฉันจะอัญเชิญพวกนักรบไม่ก็พวกนักดาบน่ะค่ะเพราะทั้งตระกุลของฉันเขาก็อัญเชิญแบบนี้หมด”
“หมดกัน คุณลูน่า”
เด็กหนุ่มผมทองพูดพลางทรุดลงกับพื้น
“เอาเถอะค่ะ อย่างพวกคุณคงไม่มีใครอัญเชิญออกมาหรอกค่ะ เพราะคนที่จะผ่านการสอบของห้องเรียนนี้มีเพียงดิฉันเพียงคนเดียว และดิฉันก็จะเชิญอัศวินผู้สง่างามออกมาให้ดูนะคะ”
เด็กสาวผมทองพูดพลางหัวเราะแล้วเดินออกไปจากห้อง
“เฮ้ย โดนหยามแล้ว เราจะยอมเหรอเพื่อน”
เด็กหนุ่มผมทองพูดเสียงเย็น
“มาทำกันให้ได้กันเถอะ โดนหยามฝ่ายเดียวรับไม่ได้”
“ไฟแรงจังนะเด็กหนุ่มสมัยนี้ ทำไมสมัยมาสเตอร์ฉันถึงไม่เป็นงี้มั่งน้า”
เสียงที่ฟังดูสบายๆของหญิงสาวดังขึ้นจากนอกหน้าต่าง และเมื่อทั้งสองหันไปก็พบกับหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีดำดาวในชุดคลุมสีน้ำตาลยาวมิดชิดกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้ที่ทำจากปุยเมฆสีขาว นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นข้ารับใช้ที่เป็นจอมเวทอย่างแน่นอน
“ท่านเฮคาเต้”
“โย่ เด็กหนุ่ม”
“ข้ารับใช้ที่เป็นจอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุด ที่ได้อธิการบดีของที่นี่อัญเชิญออกมาสมัยเรียนอยู่”
“ขอบคุณที่ช่วยอธิบายนะทิโมธี”
เธอพูดพลางมองไปทางเด็กหนุ่มผมทอง
“เจ้าศิษย์รักของข้าเอ๋ย หากพวกเจ้าไม่อาจอัญเชิญข้ารับใช้ออกมาได้ จงรอเจอนรกได้เลย อาจารย์คนนี้คงจะเศร้ามากถ้าจู่ๆก็ต้องเสียศิษย์รักไปสองคน”
เธอพูดพลางหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา ส่วนทั้งสองคนยืนหน้าซีด
“โอ้ว~ ได้เวลาไปเตรียมขั้นตอนรวมถึงเนื้อหาของการอัญเชิญกันแล้วว่าไหมเพื่อน!!”
ทิโมธีพูดพลางหันไปหาอเล็กซ์
“แน่นอน แบบนี้ต้องอัญเชิญแบบระดับสุดยอดไปเลย จริงไหมเพื่อน!!”
อเล็กซ์ตอบพลางเหงื่อแตก
พวกเขาสองคนหลังตกลงกันได้ก็รีบวิ่งโกยสุดแรงเกิดตรงดิ่งไปที่หอสมุดของโรงเรียนทันที โดยโรงเรียนแห่งนี้นั้นมีพื้นที่การศึกษากว้างจนแทบจะเรียกว่าเมืองแห่งการศึกษาได้เลย เพราะที่นี่มีทุกอย่างอยู่ภายในครบ การเรียนการสอนมีตั้งแต่ระดับชั้นเตรียมอนุบาลไปจนถึงระดับมหาลัย ดังนั้นหอสมุดจึงไม่ต้องพูดถึงความใหญ่โตเลย
โดยตอนนี้ทั้งสองคนมายืนอยู่หน้าหอสมุดที่ถูกออกแบบเป็นปราสาทขนาดใหญ่ยักษ์ ด้านหน้ามีรูปปั้นของอัศวินสองคนถือโล่อันโตยืนเฝ้าอยู่ ถ้าไม่มีใครบอกก็คงคิดว่าเป็นแค่รูปปั้น แต่จริงๆแล้วพวกเขาคือโกเลมขนาดยักษ์ ที่คอยจัดการผู้บุกรุกรวมถึงลากคอนักเรียนที่จะแอบจิ๊กหนังสือออกจากที่นี่ ซึ่งทั้งสองคนก็เคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว จากการที่เฮคาเต้บังคับให้พวกเขาไปขโมยหนังสือออกมาและหนีเอาตัวรอดให้ได้โดยไม่ใช้เวทมนตร์เป็นเวลาหกชั่วโมง
“ฮึ่ม อัศวินเหรอ”
อเล็กซ์พูดพลางเปิดหนังสือสลับหน้าไปมา โดยหนังสือที่เอาอ่านคือรวมข้อมูลเกี่ยวกับข้ารับใช้
“ฉันว่าฉันเปลี่ยนไปอัญเชิญนักดาบดีกว่านะ ฉันใช้เวทเสริมพลังได้อยู่แล้วด้วย หรือไม่ก็พกโจรนักฆ่าก็ไม่เลว”
“ฉันจะเชิญอัศวินให้ได้เลยล่ะ”
อเล็กซ์พูดพลางกำมือจนแน่น แต่ในตอนนั้นเองก็มีฝ่ามือแข็งๆที่ทำจากหินของโกเลมตัวขนาดเท่ามนุษย์ที่คอยทำหน้าที่จัดและคัดแยกหนังสือต่างๆมาจับที่บ่าของเขา มันยืนหนังสือเล่มหน้าขนาดที่ถ้าเผลอทำมันตกจากชั้นสองแล้วตกในหัวใครล่ะก็เชื่อได้เลยว่าสมองกระจาย
“ให้ฉันอ่านไอ้นี่เหรอ”
อเล็กซ์ถาม ส่วนมันพยักหน้าตอบ เขามองที่ปกที่ทำจากหนังเก่าๆสีน้ำตาล ที่เขียนเอาไว้ว่าตำนานอัศวินมังกร
“ตำนานอัศวินมังกรเหรอ ไม่เห็นรู้จักเลยแฮะ”
ทิโมธีพูดพลางชะโงกหน้ามาดู
“เป็นตำนานเกี่ยวกับอัศวินหนุ่มผู้ทรยศอาณาจักรของตัวเองเพื่อหญิงที่ตนรักไปเข้าร่วมกับพวกคนเถื่อน และนำทัพคนเถื่อนและมังกรคู่กายเข้าโจมตีอาณาจักรของตัวเอง และสุดท้ายเขาก็ได้ครองรักกับหญิงที่ตนรักสมใจ แต่สุดท้ายชะตากรรมก็เล่นตลก เขาถูกรอบสังหารหลังจากแต่งงานได้ไม่กี่เดือน ก็ประมาณนี้ล่ะนะ เรื่องอัศวินมังกร”
หญิงสาวผมน้ำตาลผู้มีหน้าอกหน้าใจใหญ่จนเตะตาคนหนึ่งพูดพลางเดินมานั่งนั่งลงบนโต๊ะพร้อมกับยื่นหนังสือปกสีฟ้าให้ทิโมธี
“ตำนานนักดาบจากแดนไกล ฮันซำ”
“แม่นแล้ว ตำนานของนักดาบพเนจร จากต่างแดนผู้มาแสวงหาความแข็งแกร่ง แต่ว่าสุดท้ายเขาก็จบชีวิตลงโดยที่ฝันยังค้างอยู่แบบนั้นล่ะ ไงชอบมะ”
“เก่งมะ”
ทิโมธีถามเสียงเรียบ
“อ่านเองสิย๊ะ”
“ขอบคุณนะซิลเวีย ว่าแต่ทำไมถึงมาช่วยพวกเราล่ะ”
“เพราะฉันเกลียดยายลอร่า ช่วยพวกนายหักหน้ายายนั่นสนุกกว่า”
“อัศวิน ผู้ทรยศ อัศวินมังกรงั้นเหรอ”
“ลองอ่านดูสิ แล้วจะน้ำตาซึม”
และในคืนนั้นเอง อเล็กซ์ที่ยืมหนังสือเล่มนี้มาจากห้องสมุดก็เริ่มอ่านทันที เพราะเดี๋ยวจะไม่ทันพิธีอัญเชิญ ส่วนทิโมธีนั้นอ่านไปพลางกินขนมไปด้วย โดยทั้งสองนั้นพักอยู่ที่หอพักเดียวกันและห้องเดียวกันด้วย
“มะ หมอนี่ ทำไมชีวิตถึงได้น่าเศร้าแบบนี้!!”
อเล็กซ์พูดพลางฟุบลงกับโต๊ะแล้วร้องไห้ออกมา
“ฮันซำ หมอนี่น่าสนใจแฮะ เกิดในครอบครัวใหญ่โตแต่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อแสวงหาความแข็งแกร่ง”
ทิโมธีพูดถึงว่าที่คู่หูของเขา
“อัศวินมังกรคนนี้เกิดในสลัมแม่ของเขาเป็นหญิงบริการ มีความฝันว่าจะเป็นอัศวิน”
“ฮันซำโดนหญิงคนรักหักหลังหมายจะเอาชีวิตของเขา น่าเศร้าแฮะตรงนี้”
“หลังจากเข้ากองทัพและพยายามหลายปีเขาก็ได้เป็นอัศวินสมใจและพบรักกับหญิงสาวพเนจรคนหนึ่ง”
“ฮันซำออกเดินทางข้ามทะเลโดยทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เพื่อออกสู่โลกกว้าง”
“อาณาจักรออกคำสั่งกวาดล้างสลัมและพวกคนจร เขาก็เลยทิ้งอาณาจักรและทุกอย่างเพื่อหญิงคนรัก และพาพวกเขาหนีออกไป”
“จะว่ายังไงดีล่ะอเล็กซ์ คล้ายๆแต่ก็แตกต่างนะว่าที่ข้ารับใช้ของพวกเรา”
“จะว่ายังไงดีล่ะ นั่นสินะ”
หลายเดือนต่อมา ที่อาคารสูงสามชั้นสีดำซึ่งเป็นสถานที่ชี้ชะตาใครจะได้เป็นซัมมอนเนอร์ โดยผู้คุมพิธีคืออธิการบดีกับข้ารับใช้ของเขา โดยวันนี้เฮคาเต้มาในชุดหนังรัดรูป ในมือของเธอถือแส้สีดำมาด้วย ใกล้ๆยังมีโลกศพเหล็ก ม้าไม้สามเหลี่ยมรวมถึงเครื่องทรมานอีกมากมาย ส่วนศิษย์ของเธอสองคนได้แต่ยืนตัวสั่น
“เอาล่ะ พิธีอัญเชิญคือพวกเธอต้องเขาไปยังวงเวทนั้น นั่นคือวงเวทสื่อใจ จงนึกถึงบุคคลที่เธอต้องการเชิญมา พยายามสื่อใจถึงเขา หากใครมีคำอัญเชิญมาจะใช้ด้วยก็ได้ หรือเครื่องสังเวยก็ไม่ว่ากัน เอาล่ะเชิญ”
ชายวัยกลางคนหรือก็คืออธิการบดีพูดพลางผายมือไปทางวงเวทขนาดใหญ่กลางห้องโถงที่ปิดทึบ
“ใครจะเริ่มก่อน”
สิ้นคำนี้อเล็กซ์และทิโมธีรวมถึงเด็กสาวผมทองเป็นลอนที่ชื่อลอร่าก้าวออกมาด้านหน้าทันที
“จำเอาไว้นะ การอัญเชิญบางครั้งก็อาจไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ต้องยอมรับสิ่งที่ต้องการให้ได้ล่ะ”
“เริ่มจากเขาคนนี้เลย”
เฮคาเต้เดินมาจับมาอเล็กซ์เบาๆ ส่วนอธิการบดีก็ได้แต่พยักหน้ารับเพราะเขาเองก็ไม่กล้าหือกับข้ารับใช้ของตัวเองเหมือนกัน เพราะเฮคาเต้เป็นถึงจักรพรรดินีในตำนานที่นำพาอาณาจักรไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร แถมยังถูกยกให้เป็นวีรสตรีอันดับหนึ่งตำนานอีกด้วย
อเล็กซ์ค่อยๆเดินเข้าไปในยังวงเวทในห้องโถงนั้นพร้อมกับประตูที่ปิดลง เขาหันมามองหน้าเพื่อนซี้ของตัวเองส่วนอีกฝ่ายได้แต่โบกมือให้ช้าๆ
เมื่อประตูปิดลงเขาเดินไปยังใจกลางห้องแล้วถอนหายใจแล้วนั่งยองๆอยู่อย่างนั้นๆ และทันใดนั้นเองวงเวทก็ฉายแสงสีขาวออกมา ร่างของเขาค่อยๆถูกกลืนหายไปภายในแสงและเมื่อเขารู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในที่โล่งที่มีแต่สีขาว
“ท่านเป็นใคร”
เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นไม่แสดงถึงต้นเสียงได้เพราะมันดังมาจากทุกทิศทาง
“ใครน่ะ”
อเล็กซ์ตะโกนตอบกลับไป
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ท่านต่างหากเป็นใคร ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ของคนเป็นจะมา”
“ผมกำลังทำพิธีอัญเชิญข้ารับใช้”
“เช่นนั้นรึ ท่านเจาะจงข้างั้นเหรอ”
“นายคือลูเทอเรียงั้นเหรอ”
“ใช่ นั่นคือนามของข้า ท่านจะมาเป็นนายเหนือหัวแห่งข้าเช่นนั้นเหรอ”
ครั้งนี้เสียงนั้นกลับดังขึ้นจากด้านหลังอเล็กซ์รีบหันไปทางต้นเสียงและพบกับร่างของชายหนุ่มผิวขาวผู้มีเรือนผมสีเงินยาวและในตาสีมรกตในชุดเกราะที่ดูแปลกตา กางเกงและเสื้อสีดำผ่าอก ที่ขาของเขาสวมบูทเหล็กและเกราะขายาวถึงมาถึงต้นขา ที่แขนเป็นถุงมือเหล็กที่ปลายนิ้วมีลักษณะเป็นปลายแหลมดูคล้ายกงเล็บสัตว์ และมีเกราะแขนยาวไปจนถึงไหล่
“ผิดคาด ดูเท่กว่าที่คิด”
“ท่านคิดจะเชื่อใจอัศวินที่ยอมละทิ้งนายเหนือหัวเพื่อคนรักอย่างข้างั้นเหรอ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ตำนานของนายฉันก็อ่านมาแล้ว ฉันคิดว่าสิ่งที่นายทำลงไปน่ะไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรอกนะ นายแค่เลือกในเส้นทางที่ถูกต้องแม้จะทรยศอาณาจักรต่างหาก”
“หากท่านเลือกที่จะเชื่อในตัวข้า ข้าก็ขอถวายชีวิตของข้าให้แก่ท่าน นายเหนือหัวแห่งข้า ไม่สิราชาของข้า”
เขาพูดพลางเดินมาคุกเข่าลงตรงหน้าของอเล็กซ์อย่างนอบน้อม
“นี่ๆยกระดับฉันสูงเกินไปแล้วล่ะน่า”
“หามิได้ การที่ท่านสื่อใจมาถึงข้าได้และยอมเชื่อในตัวข้า และยังเลือกข้าผู้นี้มันเป็นเกียรติของข้าจริงๆ สำหรับข้าท่านก็คือราชาที่ข้าจะรับใช้อีกครั้ง”
“ก็ได้งั้นหลังจากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ คู่หู”
อเล็กซ์พูดพลางยื่นมือขวาออกไปให้ลูเทอเรีย ส่วนลูเทอเรียจึงทำการจุมพิษที่นิ้วกลางขวาเบาๆ และทันใดนั้นที่ก็มีแหวนปรากฏขึ้นที่นิ้ว แหวนที่แสดงถึงการทำสัญญา รูปร่างของมันคือมังกรสองตัวที่พันอยู่บนแหวนและตรงกวางคืออัญมณีสีแดงเพลิง
Summoner ตอนที่1 อัญเชิญ (ลองแต่ง)