"ทั้งๆที่ทำขนาดนี้แล้วแท้ๆ"
"แต่ขอโทษด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะมีเหตุผลยังไง แต่แบบนี้ฉันรับไม่ได้หรอกนะ"
"แต่ว่าที่ฉันทำไปก็เพื่อความสุขของทุกคนนะ ถ้าเราสามารถรวบรวมดินแดนทั้งหมดได้ ทุกคนก็จะไม่ต้องรบกันอีก"
"แต่เธอคิดว่าอย่างนั้นมันจะเป็นการสงบสุขที่แท้จริงนะ แล้วความสงบสุขแบบตอนนี้ล่ะ เธอจะทำลายมันหรือ?"
"แต่มันก็ต้องมีการเสียสละสิ่งเล็กน้อยเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเป็นธรรมดานี่"
"แต่ถ้าเป็นเธอเมื่อก่อนคงจะไม่พูดแบบนี้ นี่เธอเป็นอะไรกันแน่? นันน่าร์"
"..."
"ดูเหมือนจะบอกไม่ได้สินะ นี่แม้แต่เพื่อนยังบอกไม่ได้เลยเหรอ?"
"..."
"ในเมื่อไม่รู้เหตุผลกันอย่างนี้ เห็นทีฉันคงต้องลาก่อนล่ะนะ"
"..."
"..."
"..."
"ขอให้โชคดีล่ะ นันน่าร์ และลาก่อน"
................................................................................................
เรเดียนสะพายกระเป๋าขนาดใหญ่กับของที่จำเป็นออกไปจากวังซึ่งเป็นทั้งที่ทำงานและที่อยู่ของเธอ โดยที่ไม่หันกลับมามองอีก
"นี่คงเป็นการจากลาอย่างถาวรสินะ เรเดียน" นันน่าร์ที่มองจากมุมหนึ่งของปราสาทพูดขึ้น ตาของเธอมองเพื่อนคนนี้เดินไปจนลับสายตา
แล้วเหตุผลของเธอคืออะไร เหตุผลที่ไม่สามารถบอกได้แม้กับเพื่อนสนิท
แต่ไม่ว่าอย่างไร สงครามก็เกิดขึ้นแล้ว และเธอก็ไม่มีเวลามาเสียใจด้วย
"จากนี้ไปฉันจะนำทัพเอง" นันน่าร์กล่าวในที่ประชุมอีกครั้ง แล้วเธอก็ลุกขึ้นจากบัลลังก์
..............................................................................................
สเตลล่าที่ดูเหมือนจะรู้สึกว่า เธอได้ลืมอะไรบางอย่างไปกำลังนั่งทบทวนความจำอยู่ "อะไรน้า? ฉันลืมอะไรไปน้า?"
กันยาที่เดินออกมาจากห้องเพราะเพิ่งตื่นเห็นเช่นนั้น ก็ัหันไปทางลิซ่าซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ แต่ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน
"ว่าแต่นะลิซ่า" กันยาพูดขึ้น "อะไรคะ?" ลิซ่าถาม "แล้วคุณสาวใช้คนนั้นไปไหนซะแล้วล่ะ?"
ลิซ่ารู้สึกงงกับคำถามที่กันยาถาม จึงถามกลับไปว่า "เอ๋ บ้านนี้มีสาวใช้ด้วยหรือคะ?" "นี่ จำไม่ได้หรือแกล้งเนี่ย? ก็เมื่อวันก่อนยังไปทะเลด้วยกันเลยนะ"
"เอ๊ะ ไปทะเล ใช่ค่ะ แต่ไม่มีสาวใช้นี่คะ" "แล้วมีใครไปบ้างล่ะ" "ค่ะ ก็มี ฉัน คุณสเตลล่า คุณลูน่าร์ คุณแม่ แล้วก็ท่านเคาท์ แค่นี้ค่ะ" เธอนับนิ้วแล้วตอบมา
กันยาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เพราะถึงเธอจะไม่ได้ไปทะเลด้วย แต่เรื่องสาวใช้คนนั้นเธอจำไม่ผิดแน่
แล้วสาวใช้คนนั้นหายไปไหน? ที่สำคัญ ทำไมทุกคนจึงจำไม่ได้?
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็คงง่วงและเข้าไปนอนต่่อโดยไม่สนใจเท่าไหร่อยู่ดี
....................................................................................................
"ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเข้ามาได้ยังไง" อามาร่าพูดขึ้น "แต่ที่นายมานอนบนเตียงฉันนี่..." เธอพูดด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เฮลิออสที่นั่งคุกเข่าไปฟังคำบ่นของอามาร่าไปเองก็จำไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เขาจึงคิดทบทวนดู "เอ เราออกไปหาโมมิจิ จากนั้น..."
แม้จะน่าอายนิดหน่อย แต่เขาได้กลายเป็นผู้หญิงไปด้วยเวทมนตร์ที่เขาร่ายขึ้นเอง ซึ่งการจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้นั้นต้องถึงเวลาอันควร
แน่นอน เขาจำได้ทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ถูกอามาร่าช่วยจากพืชปิศาจ รวมถึงเรื่องเมื่อคืน...
ดังนั้น เขาจึงได้แต่นั่งก้มหน้าด้วยความเขินอาย
"แล้วเราจะบอกเธอยังไงดีล่ะ ว่าจริงๆแล้วผู้หญิงที่ชื่อเฮลิเบลนั้นคือเรา" ตอนนี้เขาเริ่มคิดหนักขึ้นไปอีก "แต่ว่าเราก็ไม่ควรโกหกนะ" เขาคิดขึ้น เพราะอย่างน้อย ครั้งหนึ่ง เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากผู้หญิงคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ที่อยู่ และไหนจะยังพาเขาไปโน่นนี่อีก
อามาร่าเองก็คิดไปว่า "เมื่อคืนเรานอนกับเฮลิเบลอยู่ดีๆ แล้วทำไมตื่นขึ้นมาถึงเป็นคนนี้ไปได้ ก็ไม่ใช่ว่าเขาหน้าตาไม่ดีหรอก แต่แค่สงสัย คงไม่ใช่ว่า..." แล้วเธอก็มองไปที่เขา "นี่นาย เงยหน้าขึ้นหน่อยสิ" เธอสั่งเขา เฮลิออสก็เงยหน้าขึ้นมาตามคำสั่ง
อามาร่ามองเฮลิออส ตาของเธอจ้องไปที่ใบหน้าของเขาอย่างเอาจริงเอาจัง
"ไม่จริงน่า..." เธอคิดพร้อมกับแสดงอาการตกใจออกทางสีหน้า เฮลิออสเห็นดังนั้นก็คิดว่า "หรือว่าจะรู้แล้ว" แล้วเขาก็หลบหน้าด้วยความเขินอาย
อามาร่าเปลี่ยนจากสีหน้าตกใจ มาเป็นหน้าแดงระเรื่อ "หรือว่าจริงๆแล้วเรา...กับผู้ชายคนนี้มาตลอด..."
สองคนนี้จะทำอย่างไรต่อไปกันนะ?
...........................................................................................................
"แม่ทัพใหญ่นำทัพเอง แบบนี้ไม่ว่าศึกไหน เราชนะแน่"
"จริงด้วย"
"เอ้า ได้เวลาออกรบแล้ว"
"ไปกันเลยพวกเรา ไปโลดแล่นให้มันเต็มที่สมกับที่เก็บกดมานาน"
"ย้ากกกกก"
เสียงขับเคลื่อนหุ่นยนต์นับหลายหมื่นดังขึ้น หุ่นเหล่านั้นเริ่มทำการรุกรานที่เมืองใกล้ๆก่อน
ด้วยการนำของแม่ทัพใหญ่ซึ่งขับหุ่นไม่ต่างกับลูกน้อง แต่ของแม่ทัพจะมีสัญลักษณ์คือสีแดงติดอยู่ที่ใหล่ เขาสามารถบังคับหุ่นได้ดีกว่าคนทั่วไปชนิดที่ว่าคนเห็นแล้วคิดว่าต้องเป็นเครื่องที่ดีกว่า ทำให้การยึดเมืองแห่งนั้นเป็นไปโดยง่าย และไม่เสียไพร่พลเลย
ภายในเวลาไม่ชั่วโมง กองกำลังก็สามารถยึดเมืองได้เกือบ 1 ใน 4 ของโลก
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว จนคนทั้งโลกอยู่ในความหวาดกลัว เพราะไม่เคยถูกรุกรานขนาดนี้มาก่อน
และที่สำคัญ กองทัพโลกซึ่งเคยยุบไปแล้วได้รวมกันประชุมอะไรบางอย่าง
"แย่ล่ะสิ พวกมันยึดได้ถึง 1 ใน 4 แล้วนะ อย่างนี้อีกไม่นานมันต้องยึดได้ทั้งโลกแน่"
"แล้วเราจะทำยังไงล่ะ?"
"เรื่องนั้นคงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก"
"???"
"ถ้าพวกเขาจะยึดจริงๆ ป่านนี้คงจะยึดได้หมดแล้วล่ะ"
"แล้วจะเว้นไว้ทำไมล่ะ?"
"พวกท่านนี่ไม่เข้าใจเลย ถ้าพวกเขาใช้กำลังก็จะเกิดการต่อต้านภายหลังไงล่ะ แต่ถ้าใช้อำนาจขู่ให้กลัว แล้วบังคับให้ยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี ก็จะยึดได้อย่างถาวรไง"
"นี่มันต้องการอย่างนั้นหรือเนี่ย?"
"มันเลวมาก"
"แต่ถ้าเราหลีกเลี่ยงการเสียหาย การยอมแพ้ก็น่าจะมีประโยชน์นะ"
"นี่แกเป็นพวกมันเรอะ!!"
"ไม่ใช่นะ แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้วพวกประชาชนจะไม่ได้รับความเดือดร้อนก็ดีไม่ใช่หรือ?"
"แต่มันเสียศักดิ์ศรีพวกเรานะ!!"
"นั่นสิ แกคงเป็นสายให้กับพวกมันสินะ"
"ไม่ใช่นะ!! มันไม่ใช่อย่างนั้น"
"จับตัวมัน"
"ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ผมไม่ได้ทำอะไ้รนะ!!"
"ชิ หนีไปได้รึ"
"เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่ข้าว่าพวกท่านทำเกินไปนะไ
"ยังไงล่ะ? พวกเราทำเกินไปตรงไหน?"
"ก็เขาพูดแบบนั้นเพราะไม่อยากให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อน ทำเพื่อประชาชนโดยแท้ แต่พวกท่านกลับหาว่าเขาเป็นกบฎเข้ากับศัตรู เพราะมัวแต่ห่วงศักดิ์ศรี "
"..."
"แล้วถ้าเขาไปอยู่ข้างศัตรูขึ้นมาล่ะ"
"ห๊ะ อะไรนะ ถ้ามันไปอยู่ข้างศัตรูล่ะก็พวกเราแย่แน่"
"รีบตามไปจัดการมันสิ"
"เฮ้อ ไม่ต้องหรอก ข้าคิดว่าเขาที่เห็นประชาชนสำคัญไม่ทำอย่างนั้นหรอก"
"ถ้าท่านว่ามาอย่างนั้นก็แล้วไป"
ดูเหมือนการประชุมจะยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความไม่สงบวุ่นวายของโลก
แต่พวกเขาจะรับมือกับสงครามนี้อย่างไรนั้นก็ยังเป็นปริศนา
หรือบางทีอาจจะมีผู้กล้ามาคลี่คลายสถานการณ์นี้ก็ได้ ใครจะไปรู้
...........................................................................
"แต่ขอโทษด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะมีเหตุผลยังไง แต่แบบนี้ฉันรับไม่ได้หรอกนะ"
"แต่ว่าที่ฉันทำไปก็เพื่อความสุขของทุกคนนะ ถ้าเราสามารถรวบรวมดินแดนทั้งหมดได้ ทุกคนก็จะไม่ต้องรบกันอีก"
"แต่เธอคิดว่าอย่างนั้นมันจะเป็นการสงบสุขที่แท้จริงนะ แล้วความสงบสุขแบบตอนนี้ล่ะ เธอจะทำลายมันหรือ?"
"แต่มันก็ต้องมีการเสียสละสิ่งเล็กน้อยเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเป็นธรรมดานี่"
"แต่ถ้าเป็นเธอเมื่อก่อนคงจะไม่พูดแบบนี้ นี่เธอเป็นอะไรกันแน่? นันน่าร์"
"..."
"ดูเหมือนจะบอกไม่ได้สินะ นี่แม้แต่เพื่อนยังบอกไม่ได้เลยเหรอ?"
"..."
"ในเมื่อไม่รู้เหตุผลกันอย่างนี้ เห็นทีฉันคงต้องลาก่อนล่ะนะ"
"..."
"..."
"..."
"ขอให้โชคดีล่ะ นันน่าร์ และลาก่อน"
................................................................................................
เรเดียนสะพายกระเป๋าขนาดใหญ่กับของที่จำเป็นออกไปจากวังซึ่งเป็นทั้งที่ทำงานและที่อยู่ของเธอ โดยที่ไม่หันกลับมามองอีก
"นี่คงเป็นการจากลาอย่างถาวรสินะ เรเดียน" นันน่าร์ที่มองจากมุมหนึ่งของปราสาทพูดขึ้น ตาของเธอมองเพื่อนคนนี้เดินไปจนลับสายตา
แล้วเหตุผลของเธอคืออะไร เหตุผลที่ไม่สามารถบอกได้แม้กับเพื่อนสนิท
แต่ไม่ว่าอย่างไร สงครามก็เกิดขึ้นแล้ว และเธอก็ไม่มีเวลามาเสียใจด้วย
"จากนี้ไปฉันจะนำทัพเอง" นันน่าร์กล่าวในที่ประชุมอีกครั้ง แล้วเธอก็ลุกขึ้นจากบัลลังก์
..............................................................................................
สเตลล่าที่ดูเหมือนจะรู้สึกว่า เธอได้ลืมอะไรบางอย่างไปกำลังนั่งทบทวนความจำอยู่ "อะไรน้า? ฉันลืมอะไรไปน้า?"
กันยาที่เดินออกมาจากห้องเพราะเพิ่งตื่นเห็นเช่นนั้น ก็ัหันไปทางลิซ่าซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ แต่ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน
"ว่าแต่นะลิซ่า" กันยาพูดขึ้น "อะไรคะ?" ลิซ่าถาม "แล้วคุณสาวใช้คนนั้นไปไหนซะแล้วล่ะ?"
ลิซ่ารู้สึกงงกับคำถามที่กันยาถาม จึงถามกลับไปว่า "เอ๋ บ้านนี้มีสาวใช้ด้วยหรือคะ?" "นี่ จำไม่ได้หรือแกล้งเนี่ย? ก็เมื่อวันก่อนยังไปทะเลด้วยกันเลยนะ"
"เอ๊ะ ไปทะเล ใช่ค่ะ แต่ไม่มีสาวใช้นี่คะ" "แล้วมีใครไปบ้างล่ะ" "ค่ะ ก็มี ฉัน คุณสเตลล่า คุณลูน่าร์ คุณแม่ แล้วก็ท่านเคาท์ แค่นี้ค่ะ" เธอนับนิ้วแล้วตอบมา
กันยาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เพราะถึงเธอจะไม่ได้ไปทะเลด้วย แต่เรื่องสาวใช้คนนั้นเธอจำไม่ผิดแน่
แล้วสาวใช้คนนั้นหายไปไหน? ที่สำคัญ ทำไมทุกคนจึงจำไม่ได้?
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็คงง่วงและเข้าไปนอนต่่อโดยไม่สนใจเท่าไหร่อยู่ดี
....................................................................................................
"ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเข้ามาได้ยังไง" อามาร่าพูดขึ้น "แต่ที่นายมานอนบนเตียงฉันนี่..." เธอพูดด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เฮลิออสที่นั่งคุกเข่าไปฟังคำบ่นของอามาร่าไปเองก็จำไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เขาจึงคิดทบทวนดู "เอ เราออกไปหาโมมิจิ จากนั้น..."
แม้จะน่าอายนิดหน่อย แต่เขาได้กลายเป็นผู้หญิงไปด้วยเวทมนตร์ที่เขาร่ายขึ้นเอง ซึ่งการจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้นั้นต้องถึงเวลาอันควร
แน่นอน เขาจำได้ทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ถูกอามาร่าช่วยจากพืชปิศาจ รวมถึงเรื่องเมื่อคืน...
ดังนั้น เขาจึงได้แต่นั่งก้มหน้าด้วยความเขินอาย
"แล้วเราจะบอกเธอยังไงดีล่ะ ว่าจริงๆแล้วผู้หญิงที่ชื่อเฮลิเบลนั้นคือเรา" ตอนนี้เขาเริ่มคิดหนักขึ้นไปอีก "แต่ว่าเราก็ไม่ควรโกหกนะ" เขาคิดขึ้น เพราะอย่างน้อย ครั้งหนึ่ง เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากผู้หญิงคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ที่อยู่ และไหนจะยังพาเขาไปโน่นนี่อีก
อามาร่าเองก็คิดไปว่า "เมื่อคืนเรานอนกับเฮลิเบลอยู่ดีๆ แล้วทำไมตื่นขึ้นมาถึงเป็นคนนี้ไปได้ ก็ไม่ใช่ว่าเขาหน้าตาไม่ดีหรอก แต่แค่สงสัย คงไม่ใช่ว่า..." แล้วเธอก็มองไปที่เขา "นี่นาย เงยหน้าขึ้นหน่อยสิ" เธอสั่งเขา เฮลิออสก็เงยหน้าขึ้นมาตามคำสั่ง
อามาร่ามองเฮลิออส ตาของเธอจ้องไปที่ใบหน้าของเขาอย่างเอาจริงเอาจัง
"ไม่จริงน่า..." เธอคิดพร้อมกับแสดงอาการตกใจออกทางสีหน้า เฮลิออสเห็นดังนั้นก็คิดว่า "หรือว่าจะรู้แล้ว" แล้วเขาก็หลบหน้าด้วยความเขินอาย
อามาร่าเปลี่ยนจากสีหน้าตกใจ มาเป็นหน้าแดงระเรื่อ "หรือว่าจริงๆแล้วเรา...กับผู้ชายคนนี้มาตลอด..."
สองคนนี้จะทำอย่างไรต่อไปกันนะ?
...........................................................................................................
"แม่ทัพใหญ่นำทัพเอง แบบนี้ไม่ว่าศึกไหน เราชนะแน่"
"จริงด้วย"
"เอ้า ได้เวลาออกรบแล้ว"
"ไปกันเลยพวกเรา ไปโลดแล่นให้มันเต็มที่สมกับที่เก็บกดมานาน"
"ย้ากกกกก"
เสียงขับเคลื่อนหุ่นยนต์นับหลายหมื่นดังขึ้น หุ่นเหล่านั้นเริ่มทำการรุกรานที่เมืองใกล้ๆก่อน
ด้วยการนำของแม่ทัพใหญ่ซึ่งขับหุ่นไม่ต่างกับลูกน้อง แต่ของแม่ทัพจะมีสัญลักษณ์คือสีแดงติดอยู่ที่ใหล่ เขาสามารถบังคับหุ่นได้ดีกว่าคนทั่วไปชนิดที่ว่าคนเห็นแล้วคิดว่าต้องเป็นเครื่องที่ดีกว่า ทำให้การยึดเมืองแห่งนั้นเป็นไปโดยง่าย และไม่เสียไพร่พลเลย
ภายในเวลาไม่ชั่วโมง กองกำลังก็สามารถยึดเมืองได้เกือบ 1 ใน 4 ของโลก
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว จนคนทั้งโลกอยู่ในความหวาดกลัว เพราะไม่เคยถูกรุกรานขนาดนี้มาก่อน
และที่สำคัญ กองทัพโลกซึ่งเคยยุบไปแล้วได้รวมกันประชุมอะไรบางอย่าง
"แย่ล่ะสิ พวกมันยึดได้ถึง 1 ใน 4 แล้วนะ อย่างนี้อีกไม่นานมันต้องยึดได้ทั้งโลกแน่"
"แล้วเราจะทำยังไงล่ะ?"
"เรื่องนั้นคงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก"
"???"
"ถ้าพวกเขาจะยึดจริงๆ ป่านนี้คงจะยึดได้หมดแล้วล่ะ"
"แล้วจะเว้นไว้ทำไมล่ะ?"
"พวกท่านนี่ไม่เข้าใจเลย ถ้าพวกเขาใช้กำลังก็จะเกิดการต่อต้านภายหลังไงล่ะ แต่ถ้าใช้อำนาจขู่ให้กลัว แล้วบังคับให้ยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี ก็จะยึดได้อย่างถาวรไง"
"นี่มันต้องการอย่างนั้นหรือเนี่ย?"
"มันเลวมาก"
"แต่ถ้าเราหลีกเลี่ยงการเสียหาย การยอมแพ้ก็น่าจะมีประโยชน์นะ"
"นี่แกเป็นพวกมันเรอะ!!"
"ไม่ใช่นะ แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้วพวกประชาชนจะไม่ได้รับความเดือดร้อนก็ดีไม่ใช่หรือ?"
"แต่มันเสียศักดิ์ศรีพวกเรานะ!!"
"นั่นสิ แกคงเป็นสายให้กับพวกมันสินะ"
"ไม่ใช่นะ!! มันไม่ใช่อย่างนั้น"
"จับตัวมัน"
"ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ผมไม่ได้ทำอะไ้รนะ!!"
"ชิ หนีไปได้รึ"
"เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่ข้าว่าพวกท่านทำเกินไปนะไ
"ยังไงล่ะ? พวกเราทำเกินไปตรงไหน?"
"ก็เขาพูดแบบนั้นเพราะไม่อยากให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อน ทำเพื่อประชาชนโดยแท้ แต่พวกท่านกลับหาว่าเขาเป็นกบฎเข้ากับศัตรู เพราะมัวแต่ห่วงศักดิ์ศรี "
"..."
"แล้วถ้าเขาไปอยู่ข้างศัตรูขึ้นมาล่ะ"
"ห๊ะ อะไรนะ ถ้ามันไปอยู่ข้างศัตรูล่ะก็พวกเราแย่แน่"
"รีบตามไปจัดการมันสิ"
"เฮ้อ ไม่ต้องหรอก ข้าคิดว่าเขาที่เห็นประชาชนสำคัญไม่ทำอย่างนั้นหรอก"
"ถ้าท่านว่ามาอย่างนั้นก็แล้วไป"
ดูเหมือนการประชุมจะยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความไม่สงบวุ่นวายของโลก
แต่พวกเขาจะรับมือกับสงครามนี้อย่างไรนั้นก็ยังเป็นปริศนา
หรือบางทีอาจจะมีผู้กล้ามาคลี่คลายสถานการณ์นี้ก็ได้ ใครจะไปรู้
...........................................................................
Wing of Destiny ตอนที่ 22 เร็วไปมั้ย = ="
[IMG]