ผมเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "ของกินไม่กินก็เน่า ของเก่าไม่เล่าก็ลืม"
ซึ่งคำพูดนั้นผมว่ามันก็จริงนะ ตัวอย่างง่ายๆเลย อย่างตอนทีผมแต่งนิยายนี่แหละ
ถึงแม้จะไม่ได้แต่งดีเด่จนสามารถให้มีคนติดตามได้ แต่ผมก็รู้สสึกว่ามีความสุข(มั้ง)ในการได้ลงนิยาย
อา...รู้สึกดีจัง
อ๊ะๆ อย่าพึ่งเข้าใจผิด ที่ผมรู้สึกดีเพราะกำลังฟังเพลงอยู่ต่างหาก
เข้าเรื่องดีกว่า ที่บอกว่าเหมือนตอนแต่งนิยายน่ะครับ คือว่า...
ปกติผมเวลาคิดอะไรได้ก็จะแต่งไปเลย ไม่ได้บันทึกตรวจทานเสียก่อน แบบว่าคิดได้ก็ใส่เลยประมาณนั้น
ซึ่งไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ผมจะต้องเขียนลงในสมุดก่อน แล้วก็นะ สมุดที่ผมเขียนนิยายผมจะแยกเลยต่างหากไม่มั่วกับอย่างอื่น
เมื่อก่อนผมเคยอ่านเพชรพระอุมา ผมก็แต่งเนื้อเรื่องแนวนั้นเลยครับ โดยใช้นามปากกาว่านกยูง ซึ่งนางเอกในเรื่องก็ชื่อนกยูงเ่ช่นกัน
ต่อมาก็ได้สัมผัสกับนิยายกำลังภายในของกิมย้ง ผมก็แต่งแนวนั้นเหมือนกัน แต่ไม่จริงๆจังแบบเมื่อก่อน
แปลกอย่าง ทั้งๆที่สมองของคนเรานั้นสามารถจินตนาการได้อย่างนั้นแท้ๆ แต่สิ่งที่ยากจริงๆมันกลับไม่ใช่การจินตนาการ
สำหรับคนที่แต่งนิยายแล้วอธิบายไม่ค่อยเก่งเหมือนผมคงจะเข้าใจดี
ใช่ครับ สิ่งที่ยากคือการอธิบายออกมาให้เห็นภาพนั่นเอง
นิยายที่ผมเคยอ่าน ไม่ว่าจะเป็นเพชรพระอุมา เอี้ยก้วย ฟงอวิ๋น ฯลฯ ผมสังเกตว่าพวกเขาสามารถอธิบายให้คนอ่าน ซึ่งอย่างน้อยก็ผมสามารถเห็นภาพตามได้
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้
แต่นานวันเข้า ผมก็รู้สึกว่า ทำได้ดีกว่าเมื่อก่อน แน่นอนว่าผมคิดเอาเอง
ดังนั้น ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ทำไปเถอะครับ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน เอ๊ย ไม่ใช่ จะได้เห็นการพัฒนาของตนเอง
แล้วอีกอย่างครับ ในนี้ ใครที่ยังอยู่ในวัยศึกษาผมขอบอกไว้อย่างนึง
เรื่องที่พวกผู้ใหญ่บอกว่าให้ศึกษาไปก่อนน่ะครับ พวกเขาพูดจริง คุณไม่ต้องสนใจอะไรหรอกครับ แต่ตั้งใจทำหน้าที่คือเรียนไปอย่างเดียวพอ
ถ้าหากมีการศึกษากับเพื่อนให้เลือก คุณจะเลือกอะไร?
บางคนอาจจะเลือกเพื่อน ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นล่ะครับ
จริงที่ว่า เพื่อนนั้นเราสามารถพึงพาได้ ช่วยเหลือเราได้ อยู่กับเพื่อนแล้วมีความสุข จนคิดว่าคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้ว
แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณไม่สามารถพึ่งเพื่อนคนนั้นได้ คุณจะเริ่มกลับมามองตัวเองว่า ที่ผ่านมาเราเสียเวลาเพื่ออะไร
เคยมีคนเตือนผมว่าเรื่องเพื่อนให้ระวังไว้บ้าง แต่ผมก็ไม่เห็นด้วย เพราะเชื่อว่าเพื่อนนั้นคือสิ่งสำคัญ เหมือนอย่างในพระเอกการ์ตูนทั่วๆไปนั่นแหละครับ
แต่มาวันนึง ผมก็เริ่มคิดได้ว่า จริงๆแล้วที่เขาพูดมามันก็ถูก และุถ้าผมเชื่อเขา ปีนี้ผมก็คงจบปริญญาตรีไปแล้ว
แต่เพราะคิดว่าเพื่อนพึ่งพาได้ เลยไปพึ่งพาแต่เพื่อน สุดท้ายพอพึ่งเขาไม่ได้ ก็กลับมาหัวเดียวกระเทียมลีบ
ดังนั้นคนที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนก็เรียนไปเถอะครับ อย่างน้อยก็เชื่อผมที่โดนมากับตัว และไม่อยากให้พวกท่านเสียเวลาแบบผม
เรียนไปเถอะครับ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน!!!
ผมฟังเพลงนี้แหละที่สบายใจน่่ะ
ส่วนนี่ตอนแต่งนิยายเมื่อหลายตอนที่ผ่านมาแบบสายฟ้าแลบจนเขาต้องออฟไลน์หนี!
ถ้าคุณเชื่อ คุณอาจจะเป็นแบบนี้!!
แต่ถ้าไม่เชื่อล่ะก็
ผมเตือนแล้วนะ หึๆๆ
ซึ่งคำพูดนั้นผมว่ามันก็จริงนะ ตัวอย่างง่ายๆเลย อย่างตอนทีผมแต่งนิยายนี่แหละ
ถึงแม้จะไม่ได้แต่งดีเด่จนสามารถให้มีคนติดตามได้ แต่ผมก็รู้สสึกว่ามีความสุข(มั้ง)ในการได้ลงนิยาย
อา...รู้สึกดีจัง
อ๊ะๆ อย่าพึ่งเข้าใจผิด ที่ผมรู้สึกดีเพราะกำลังฟังเพลงอยู่ต่างหาก
เข้าเรื่องดีกว่า ที่บอกว่าเหมือนตอนแต่งนิยายน่ะครับ คือว่า...
ปกติผมเวลาคิดอะไรได้ก็จะแต่งไปเลย ไม่ได้บันทึกตรวจทานเสียก่อน แบบว่าคิดได้ก็ใส่เลยประมาณนั้น
ซึ่งไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ผมจะต้องเขียนลงในสมุดก่อน แล้วก็นะ สมุดที่ผมเขียนนิยายผมจะแยกเลยต่างหากไม่มั่วกับอย่างอื่น
เมื่อก่อนผมเคยอ่านเพชรพระอุมา ผมก็แต่งเนื้อเรื่องแนวนั้นเลยครับ โดยใช้นามปากกาว่านกยูง ซึ่งนางเอกในเรื่องก็ชื่อนกยูงเ่ช่นกัน
ต่อมาก็ได้สัมผัสกับนิยายกำลังภายในของกิมย้ง ผมก็แต่งแนวนั้นเหมือนกัน แต่ไม่จริงๆจังแบบเมื่อก่อน
แปลกอย่าง ทั้งๆที่สมองของคนเรานั้นสามารถจินตนาการได้อย่างนั้นแท้ๆ แต่สิ่งที่ยากจริงๆมันกลับไม่ใช่การจินตนาการ
สำหรับคนที่แต่งนิยายแล้วอธิบายไม่ค่อยเก่งเหมือนผมคงจะเข้าใจดี
ใช่ครับ สิ่งที่ยากคือการอธิบายออกมาให้เห็นภาพนั่นเอง
นิยายที่ผมเคยอ่าน ไม่ว่าจะเป็นเพชรพระอุมา เอี้ยก้วย ฟงอวิ๋น ฯลฯ ผมสังเกตว่าพวกเขาสามารถอธิบายให้คนอ่าน ซึ่งอย่างน้อยก็ผมสามารถเห็นภาพตามได้
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้
แต่นานวันเข้า ผมก็รู้สึกว่า ทำได้ดีกว่าเมื่อก่อน แน่นอนว่าผมคิดเอาเอง
ดังนั้น ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ทำไปเถอะครับ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน เอ๊ย ไม่ใช่ จะได้เห็นการพัฒนาของตนเอง
แล้วอีกอย่างครับ ในนี้ ใครที่ยังอยู่ในวัยศึกษาผมขอบอกไว้อย่างนึง
เรื่องที่พวกผู้ใหญ่บอกว่าให้ศึกษาไปก่อนน่ะครับ พวกเขาพูดจริง คุณไม่ต้องสนใจอะไรหรอกครับ แต่ตั้งใจทำหน้าที่คือเรียนไปอย่างเดียวพอ
ถ้าหากมีการศึกษากับเพื่อนให้เลือก คุณจะเลือกอะไร?
บางคนอาจจะเลือกเพื่อน ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นล่ะครับ
จริงที่ว่า เพื่อนนั้นเราสามารถพึงพาได้ ช่วยเหลือเราได้ อยู่กับเพื่อนแล้วมีความสุข จนคิดว่าคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้ว
แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณไม่สามารถพึ่งเพื่อนคนนั้นได้ คุณจะเริ่มกลับมามองตัวเองว่า ที่ผ่านมาเราเสียเวลาเพื่ออะไร
เคยมีคนเตือนผมว่าเรื่องเพื่อนให้ระวังไว้บ้าง แต่ผมก็ไม่เห็นด้วย เพราะเชื่อว่าเพื่อนนั้นคือสิ่งสำคัญ เหมือนอย่างในพระเอกการ์ตูนทั่วๆไปนั่นแหละครับ
แต่มาวันนึง ผมก็เริ่มคิดได้ว่า จริงๆแล้วที่เขาพูดมามันก็ถูก และุถ้าผมเชื่อเขา ปีนี้ผมก็คงจบปริญญาตรีไปแล้ว
แต่เพราะคิดว่าเพื่อนพึ่งพาได้ เลยไปพึ่งพาแต่เพื่อน สุดท้ายพอพึ่งเขาไม่ได้ ก็กลับมาหัวเดียวกระเทียมลีบ
ดังนั้นคนที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนก็เรียนไปเถอะครับ อย่างน้อยก็เชื่อผมที่โดนมากับตัว และไม่อยากให้พวกท่านเสียเวลาแบบผม
เรียนไปเถอะครับ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน!!!
ผมฟังเพลงนี้แหละที่สบายใจน่่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=bcz6cp9zU9A
ส่วนนี่ตอนแต่งนิยายเมื่อหลายตอนที่ผ่านมาแบบสายฟ้าแลบจนเขาต้องออฟไลน์หนี!
http://www.youtube.com/watch?v=iY8Ib-DKcBg
ถ้าคุณเชื่อ คุณอาจจะเป็นแบบนี้!!
แต่ถ้าไม่เชื่อล่ะก็
ผมเตือนแล้วนะ หึๆๆ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ffviicc เมื่อ 2013-3-4 17:26
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ffviicc เมื่อ 2013-3-4 17:33
คิดว่าน่าจะมีสาระหน่อยนึงก็ยังดี
[IMG]