ตามเดิมนั้นตอนนี้ชื่อตอน จงลืมตาตื่น เทพอัสนีบาต ทาเคมิคาสึจิ แต่เปลี่ยนซะใหม่เอาช่วงท้ายๆของตอนไปใส่ในตอนที่ 4 ซึ่งเนื้อหามันจะได้ต่อกัน คนอ่านจะได้ไม่ค้างเยอะ ฮ่าๆๆๆ เพราะถ้าตัดจบตอน 3 แล้วรออ่านตอน 4 คนอ่านสงสัยค้างกันตายเลย
แถมเพลงให้ฟังเล่นๆ
เขตพื้นที่อวกาศของจักรวรรดิญี่ปุ่น ระยะสิบสองกิโลเมตรจากดาวแม่
“ยินดีต้อนรับเหล่าเทพธิดาแห่งสงคราม”
เสียงของกัปตันยานรบของจักรวรรดิที่บินเทียบอยู่ด้านข้างยานวัลคีรี่เพื่อนำทางไปยังโคโลนี่ที่อยู่ใกล้ๆ
“ดีจังเลยนะคะ ที่เรามาถึงโดยไม่เกิดเหตุอะไร”
เจ้าหน้าที่สาวประจำCIC1 พูดพลางถอนหายใจ
“การรบกับอีทเตอร์เหรอฉันไม่เคยผ่านสนามรบที่รบอย่างจริงจังกับอีทเตอร์มาก่อนเลยนะ”
เจ้าหน้าที่สาวประจำ CIC2พูดพลางคอตก
“การรบจริงๆกับอีทเตอร์ต่างกับที่พวกเราผ่านมาเลยล่ะ”เสียงของอาเธอร์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงประตูห้องบังคับการเปิดออก
“กองทัพญี่ปุ่นมีคำสอนว่า ยามเมื่อรบกับอีทเตอร์ หากรู้ว่าตนต้องตาย จงพาศัตรูตายตามเจ้าไปด้วย อยู่นะ นั้นหมายความว่า หากรู้แล้วว่าไม่รอดจงกดปุ่มระเบิดตัวเองพร้อมลากอีทเตอร์ใกล้ๆไปด้วย”
ยูอิพูดเสียงเรียบ“รู้รึเปล่า บางครั้งพวกอีทเตอร์ก็ชอบจับเหยื่อกลับไปที่รังแบบเป็นๆด้วยล่ะ”
แดนนี่หนุ่มอังกฤษพูดพลางยิ้มซน
“มันเอากลับไปทำอะไรเหรอ”
เจ้าหน้าที่ CIC2 ถามพลางหดคอ
“ก็อย่างแรก เพื่อเอาไปขยายพันธ์อีทเตอร์ขนาดเล็ก อย่างที่สองเพื่อใช้เป็นอาหารของพวกตัวอ่อน อย่างที่สามคือเพื่อการวิวัฒนาการยังไงล่ะ”
“วิวัฒนาการหมายความว่ายังไงเหรอคะ”
“มันจะเอาเธอไปแหวะสมองออกทั้งยังเป็นๆเพื่อเอาข้อมูลในหัวเธอไปใช้ยังไงล่ะ”เจ้าหน้าที่ CIC2 พอได้ยินแล้วถึงกับหน้าถอดสี
“ล้อเล่นสินะคะ”
“เรื่องจริง ฉันเคยไปเห็นมากับตาตัวเองแล้วครั้งนึง ในรังของพวกอีทเตอร์มีสมองคนอยู่”
กัปตันสาวพูดหน้าเครียดเหมือนจะบอกว่า คำพูดนี้จริงจังที่สุดในชีวิตแล้ว
“อีทเตอร์รูปแบบฮันเตอร์คือตัวอย่างที่ดีที่สุด อีทเตอร์ที่ถูกวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อต่อกรกับB.U. อีทเตอร์รูปแบบเลเซอร์ คืออีทเตอร์ที่ถูกวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อจมยานรบ อีทเตอร์ขนาดเล็กคือรูปแบบที่มีไว้ไล่ล่าฆ่าพลเดินเท้ารวมไปถึงการหาเหยื่อ”
ลอร่าพูดพลางลอยเข้ามาในห้องบังคับการ“นั่นหมายความว่า หากรู้ว่ายังไงก็เสร็จมันแน่รีบระเบิดสมองตัวเองซะดีที่สุด”
ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกันพลางพยักหน้าสองสามครั้ง“นี่มีประสบการณ์นการรบจริงๆกับพวกอีทเตอร์กันมาหมดแล้วสินะคะ”
เจ้าหน้าที่ควบคุมอาวุธยานถามขึ้น
“ใช่แล้วล่ะ”
อาเธอร์ตอบแทนทุกคน
“เอาล่ะ หลังจากนี้เราจะไปเข้าประชุมกับทางกองทัพญี่ปุ่นและเข้าพบองค์หญิงเป็นการส่วนตัว ฉันอนุญาตให้ลูกเรือทุกคนลงไปพักผ่อนบนโคโลนี่ได้จนกว่าจะมีคำสั่งเรียกตัว เท่านี้ล่ะ”
กัปตันสาวพูดพลางกดปุ่มถ่ายทอดสัญญาณเสียงไปในยานขณะยานกำลังจะเข้าเทียบท่าจอดยานของโคโลนี่ณ โรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่จัดประชุมชั่วคราว
ทหารในชุดเครื่องแบบสีขาวที่อกซ้ายติดเหรียนตราต่างๆเอาไว้บอกถึงยศของทหารคนนั้นๆ นั่นคือเครื่องแบบของทหารญี่ปุ่น แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่แตกต่าง เครื่องแบบสีเทาหม่นปกเสื้อสีดำ ที่อกซ้ายติดเครื่องหมายรูปปีกนั่นหมายถึงการบอกถึงเหล่าทัพ พวกเขาคือลูกทัพฟ้าที่สร้างความสยดสยองให้ฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมันมาแล้วในสงครามที่เพิ่งผ่านมา กองทัพไทย ชายผู้สวมเครื่องแบบทหารและเอาเสื้อคลุมสีดำมาคลุมไหล่เดินตรงเข้ามาหาพวกอาเธอร์ที่ไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบทหาร ชายผิวแทนผู้มีเรือนผมสีดำยาวปะบ่า เดินเข้ามาคว้ามือของกัปตันสาวพร้อมกับพูดขึ้นอย่างสุภาพ
“ไม่ได้พบกันนานนะ กัปโซร่า ตั้งแต่แนวรับที่ดาว TH 360 ไม่ได้พบกันอีกเลย คุณเป็นตัวแทนจากอเมริกางั้นเหรอ”
“อ่อเปล่าค่ะ ฉันออกจากกองทัพแล้ว ตอนนี้ทำงานด้านรักษาความปลอดภัยตามเส้นทางการค้าแล้วก็ทำงานด้านการค้นคว้าเกี่ยวกับพวกอีทเตอร์เป็นหลัก กัปตันพรพรต”
เธอตอบพลางยิ้มหน้ามองให้กับเขา“พรวด!! แค่กๆๆๆ”
แดนนี่ที่ได้ยินชื่อนี้ถึงกับสำลักเครื่องดื่มทันที
“พ พ พรพรต”
“เป็นอะไรเหรอแดนนี่”ลอร่าถามแบบไม่ใส่ใจนัก
“ฉันเคยทำสงครามที่แนวรุกที่ดาวTH 360 ฉันเกือบตายตอนกองทัพไทยตีโต้ด้วยแผนการของเขาคนนี้แหละ”
“โชคดีจังนะที่ยังไม่ตาย”
สิ้นเสียงของลอร่าไฟในห้องประชุมก็ถูกลดลงทันที พร้อมกับร่างของเด็กสาวในชุดกิโมโนยาวดูรุ่มร่าม เธอคนนี้คือเจ้าหญิงที่เคยติดต่อมาหาพวกอาเธอร์ก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ในวันนี้ที่เราต้องมาจัดงานประชุมที่ไกลจากดาวแม่ต้องขออภัยอย่างสูง แต่เนื่องจากการเตรียมการเคลื่อนทัพนั้นไปถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว และยังมีแขกที่เดินทางมาแสนไกลอย่างไทย เรารู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง ที่กองยานที่สิบสองของไทยเข้าร่วมในการรบครั้งนี้......”
“พรวด!! กองยานที่สิบสอง”
แดนนี่พูดหน้าซีดเผือด
“เป็นอะไรเหรอแดนนี่”
อาเธอร์ถามเสียงเรียบแบบไม่ใส่ใจ
“ตอนสงครามที่แนวรับใกล้ดาวTH 360 ในอวกาศ ฉันเกือบตายเป็นผีเฝ้าอวกาศก็ตอนรบกับกองยานที่สิบสองนี่ล่ะ”
“นายนี่เกือบตายบ่อยจริงๆนะ”
“ยุ่งน่าเฮ้ย!!”
หลังจากนั้นไม่นานการประชุมก็เริ่มต้นขึ้น ภาพของดาวหางขนาดเท่ารัฐเทกซัสของอเมริกา และเมื่อภาพขยายเข้าไปก็พบกับฝูงอีทเตอร์นับล้านอยู่บนดาวหางนั้น และอยู่กำลังลอยตามาติดๆมันยิ่งชวนให้ทุกคนเครียด มันคือรังของอีทเตอร์ถึงสองรัง
“ตอนนี้จากการประมาณเบื้องต้นนั้นคาดการว่าอีทเตอร์ที่กำลังมุ่งไปยังดาวJ-103 มีไม่ต่ำกว่าสิบล้านตัวเป็นอย่างน้อย โดยทางเราได้ทำการเคลื่อนย้ายระเบิดไฮโดรเจน สามแสนสองหมื่นลูกไปยังดาว J-103 ก่อนแล้วเพื่อใช้ในการโจมตีครั้งแรก ส่วนดาวหางนั้นเราจำเป็นจะต้องตั้งหน่วยกล้าตายเข้าไปทำการเจาะดาวแล้วฝังระเบิดเข้าไปเพื่อระเบิดมันจากด้านใน........”
องค์หญิงยังคงอธิบายถึงแผนการต่อไปโดยทุกคนตั้งใจฟังจนมาหยุดตรงประโยคประโยคหนึ่ง
“ฉันจะออกนำกองทัพครั้งนี้เองค่ะ โดยเราจะทิ้งกองกำลังป้องกันดาวแม่เอาไว้ และยกกำลังพลทั้งหมดไปยังแนวรบ การรบครั้งนี้เราไม่สามารถแพ้ได้ หากดาวหนึ่งดวงถูกยึดไปแล้ว หมายความว่าดวงต่อๆไปเองก็เช่นกัน”
เสียงอื้ออึงของเหล่านายทหารพร้อมเสียงคัดค้านดังขึ้น การที่องค์หญิงจะออกหน้าไปยังสนามรบที่โอกาศชนะน้อยนิดยิ่งกว่าแสงเทียนใกล้ดับแบบนี้ไม่มีใครยอมรับได้ ขนาดซูเปอร์คอมพิวเตอร์เองยังบอกเลยว่า “พวกแกย้ายระบบสุริยะอีกรอบเหอะ” เลย
หลังจากการประชุมจบลง ยูอิที่ยืนเครียดที่สุดในกลุ่มโจรสลัดวัลคิรี่ก็เดินตรงไปยังเวทีที่องค์หญิงเพิ่งเดินลงมา
“องค์หญิง ได้โปรดให้ขม่อมได้กลับเข้าร่วมกองทัพในการต่อสู้เพื่อปกป้องดาว JP-103 ซึ่งเป็นดาวบ้านเกิดด้วยเถอะพะย่ะค่ะ”
“คุณคือS ในตำนานของกองทัพเรา สุเมรากิ ยูอิ บุตรตรีของตระกุลสุเมรากิสินะคะ”
“ค่ะ!!”
“โทษของการหนีทัพคุณเองก็คงทราบดี แต่ว่าฉันยินดีอย่างยิ่งค่ะที่จะรับคุณกลับมา และขอเลื่อนขั้นคุณสองขั้นจากเดิมเป็นยศพันตรีในช่วงยังอยู่ในกองทัพ แล้วก็อภัยโทษเรื่องหนีทัพให้คุณด้วยค่ะ แล้วก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าองค์หญิงก็ได้ค่ะ ท่านพี่ยูอิ”
สิ้นประโยคขององค์หญิงแล้วมันก็ทำให้ลูกเรือที่อยู่ที่นี่ถึงกับต้องร้องเสียงหลง องค์หญิงเรียกท่านพี่งั้นหมายความว่ายูอิก็มีศักดิ์เป็นอะไรแบบนั้นน่ะสิ
“แล้วก็เรียกฉันว่ายูกิโนะแบบเมื่อก่อนก็ได้ค่ะ”
“แต่ว่า”
“ท่านพี่ไม่จำเป็นเลยค่ะ ที่จะต้องมาทำแบบนี้”
“ยูอิ นี่เธอ”
อาเธอร์พูดขึ้นลอยๆ
“ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกนะ ฉันเกิดคนละสายตระกุลกับองค์หญิง เรียกว่าเป็นญาติห่างๆก็คงได้มั้งนะ ฉันไม่ใช่องค์หญิงอะไรหรอก”
“Sในตำนาน รุ่นพี่ยูอิกลับมาแล้ว!!!”
เสียงใสของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างที่กระโดดม้วนตัวลงมายืนระหว่างกลางระหว่างยูอิและองค์หญิง เรือนผมสีทองยาวและดวงตาสีฟ้าซึ่งถ้าเป็นชาวญี่ปุ่นแท้ๆคงไม่มีให้เห็นแน่ๆ เธออยู่ในชุดนายทหารติดยศร้อยโทแต่ที่ต่างคือเธอไม่ได้สวมกางเกงแต่เป็นกระโปรงมินิสเกิร์ต
“อ๊าย~~!! รุ่นพี่ๆ รุ่นพี่จริงๆด้วย คิดถึงจังเลยค่า!!”
เธอร้องขึ้นพร้อมกับกระโจนเข้าไปฟัดกอดยูอิ
“ท่านพี่และเหล่ากลุ่มวัลคิรี่ ขอเชิญพวกท่านมากับเราด้วย”
เธอพูดจบพวกคนที่โดนเชิญก็รีบปลีกตัวออกจากงานทันที ส่วนสาวผมทองที่พยายามจะตามมาก็ถูกหน่วยองครักษ์กว่าหกคนช่วยกันจับเอาไว้
พวกเขาถูกพาขึ้นรถมายังโรงจอดยานซึ่งตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นท่าจอดยานรบส่วนหนึ่งที่มารวมตัวกันที่นี่ พวกเขาถูกนำตัวมายังยานลำหนึ่งซึ่งเป็นยานขนยุทธภัณฑ์ ภายในโรงเก็บนั้นมืดซะจนมองไม่เห็นอะไรจนไฟภายในถูกเปิดขึ้น ภาพตรงหน้าคือ B.U. สีทองที่ถูกยึดติดเอาไว้กับตัวยึด เกราะส่วนไหล่ใหญ่โตผิดกับ B.U.ของญี่ปุ่นตัวอื่นๆ เครื่องยนต์ขับดันถูกติดตั้งเอาไว้ที่เอวแทนที่จะเป็นหลัง ส่วนหัวดูราวกับซามูไรสมัยโบราณที่สวมหมวกเกราะแบบเต็มยศ
“ชื่อของมันคือ JP-ZN202 ทาเคมิคาสึจิ เป็นหุ่นรุ่นใหม่ที่จะเข้าประจำการแทนยูกิคาเสะที่จะปลดประจำการในอีกสองปี ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้เข้าสายการผลิตหรอกค่ะ เจ้านี่จะเรียกว่า Type 0 ก็ได้ค่ะ โดยเจ้านี่สร้างมาเพื่อถมจุดอ่อนทั้งหมดของยูกิคาเสะ ด้านความเร็วนั้นสูงยิ่งกว่าเรนเจอร์ของอเมริกามากค่ะ สร้างขึ้นมาเพื่อรบระยะประชิดเป็นหลัก เท่าที่ฉันรู้ก็มีเท่านี้ล่ะค่ะ ท่านพี่ถูกใจรึเปล่าคะ”
“เอ๋”
ยูอิร้องขึ้นอย่าง งงๆ
“เครื่องนี้เป็นของท่านพี่ค่ะ ที่แรกก็ว่าจะให้ S คนอื่นขับแต่ไหนๆท่านพี่ก็กลับมาแล้ว ตัวนักบินก็ยังไม่ได้กำหนด”
อาเธอร์เดินมาจับบ่าของเธอเบาพลางพยักหน้าให้เธอ
“องค์หญิง ผมก็มีเรื่องอยากขอร้อง ผมต้องการจะเข้าร่วมในหน่วยบุกโจมตีรัง”
อาเธอร์พูดขึ้นพลางมอง B.U.สีทอง
“ใครจะให้แกเท่คนเดียวล่ะเฟ้ย ฉันเอาด้วย”แดนนี่เดินเข้ามากอดคออาเธอร์เอาไว้พลางส่งยิ้มให้ทั้งสอง
“ค่ะ ฉันจะดำเนินการให้ทันที”
สามวัน หลังจากการประชุมจบรบ กองยานส่วนสุดท้ายที่จะเดินทางไปแนวรบก็ออกเดินทาง โดยพวกเขาจะต้องไปให้ถึงที่แนวรบก่อนและเตรียมความพร้อมทุกอย่าง และที่โรงเก็บหุ่นของยานธงมินาโมโตะ อาเธอร์และแดนนี่ที่ต้องมาฝึกซิมูเลชั่นกับหน่วยตัวเองทุกวันก็พบปัญหา เมื่ออาเธอร์ต้องลองเดินเครื่อง B.U. ตัวใหม่เอี่ยมที่กลิ่นสียังไม่หายซะงั้น
“อ๊ากก~~~!!”เสียงร้องของอาเธอร์ดังขึ้นจนทุกคนในโรงเก็บต่างตกใจ
“เป็นอะไรคะ โดนฝาปิดหนีบช้างน้อยเหรอ!!”
เสียงของสาวผมทองดังขึ้น และทันใดนั้นก็มีพัดกระดาษฟาดลงบนหัวของเธอ
“จะใช่ได้ยังไงเล่า!!”เสียงของหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีดำรวบเป็นผมหางม้าดังตามมา
“แหมๆ ถ้าโดนหนีบช้างน้อยจริงๆคงเจ็บน่าดูเลยนะคะ”
เสียงที่ฟังดูเรียบร้อยของสาวผมยาวปะบ่าอีกคนดังขึ้น เธอมีท่าทางดูเรียบร้อยและเป็นคุณหนูมาก
“เฮ่อ เปล่า ระบบ OS มันเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดน่ะ ฉันอ่านไม่ออก”
“โห คู่หมั้นของรุ่นพี่นี่โง่จริงๆนะคะ แค่ภาษาญี่ปุ่นก็อ่านไม่ออก”“ก้ฉันไม่จำเป็นต้องใช้นี่”
“ไหนๆ มาค่ะฉันจะสอนเอง”
เธอพูดพลางปีนเข้าไปในห้องนักบิน เธอค่อยๆหย่อนตัวนั่งลงบนตักของอาเธอร์และใช้หลังพิงลงไปที่อกของเขา กลิ่นหอมจากร่างของเธอมันเล่นเอาอาเธอร์สติแทบแตกกระจาย เธอค่อยๆหันมามองเขาแล้วจึงใช้มือดึงเอาจอมอนิเตอร์ที่เก็บเอาไว้ด้านบนลงมา แล้วเริ่มเดินเครื่อง
“แหม มานะใจกล้าจัง”“ใจกล้าอะไรล่ะ ยูกิ ก็มันไม่มีที่นั่งนี่นา”
สาวผมทองพูดพลางทำจากจู๋กับเด็กสาวผมสั้น
“เอาเถอะยูกิปล่อยเขาไว้ตรงนี้ล่ะเราไปกันเถอะ”
“เข้าใจแล้วจ๊ะ มิซึกิ”
ทั้งสองพูดพลางเดินจากไป
ในระหว่างที่มานะกำลังสอนอาเธอร์ถึงระบบรวมถึงวิธีใช้งาน ยูกิคาเสะ เครื่องสีแดง ซึ่งเป็นยูกิคาเสะ ระดับที่สี่ โดยสีของเครื่องจะบอกถึงฝีมือนักบินคนนั้นๆด้วย
“เฮ่อ เสร็จซักที”
มานะพูดพลางเอนหลังมาพิงอาเธอร์พร้อมกับถอนหายใจ ในวินาทีนั้นอาเธอกำลังท่องในใจว่า “ฉันมียูอิและลอร่าอยู่แล้ว” ซ้ำไปมาไม่รู้จบ
“คุณอาเธอร์คะ”
“อะ อะไรเหรอ”
“เหมือนมีอะไรแข็งๆมาโดนที่หหลังฉันอยู่ค่ะ”
“หา!?”
“ล้อเล่นค่ะ”
“อะ อื้ม”
อาเธอร์ตอบรับเธอพลางหน้าแดง
“หนุ่มสาวที่หวานกันจังนะ”
เสียงของชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงทางเดินพูดพลางมองมายังห้องนักบิน เขาเป็นชายร่างสูงผิวแทนซึ่งจุดเด่นสุดๆของเขาคือ ปากส่วนร่างเป็นเหล็กทั้งหมด
“คุณอักษร ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ”
“น่าๆ เกิดเป็นชายจะมีอะไรแบบนี้บ้างมันเรื่องปกติ อย่าร้อนตัวเดี๋ยวมันหน้าสงสัยนะเฟ้ย”
“ทำไรอยู่วะ อักษรหิวข้าวแล้วนะ”
เสียงของชายร่างกำยำอีกคนดังขึ้น เขาสูงราว 210-220 เซนติเมตรได้ล่ะมั้ง แถมไม่มีใครเคยเห็นเขาใส่เครื่องแบบทหารเลยเห็นใส่แต่เสื้อกล้าม แถมหน้าของชายคนนี้ถ้าเด็กไหนมาเห็นคงฝันร้ายไปอีกนาน ตาซ้ายของเขาเป็นตาเทียมที่ดูๆแล้วมันชวนสยองและที่แก้มซ้ายนั้นถูกเอาแผ่นเหล็กมาปิดเอาไว้แทนผิวหนังที่ขาดหายไปจากสงครามและยังไม่นับรวมแผลเป็นบนใบหน้าและตามร่างอีกหลายแห่ง
“อนันต์แกไปไหนมาล่ะ หาแทบแย่”
“ไปห้องน้ำมาดิ จะให้ฉันอั้นทั้งวันเลยรึไง”
“พวกนายทำอะไรกันน่ะ”
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ซึ่งเธอเป็นคนที่สวยมากคนหนึ่งเลยล่ะ ถึงแม้ว่าปีนี้จะอายุ 39 แล้วแต่ยังสวยเต่งตึงไม่แพ้สาวๆ โดยเธอเดินมาในชุดเสื้อกล้ามสีดำมันจึงเผยให้เห็นแขนขวาที่เป็นแขนกลทั้งข้างและมือซ้ายที่เป็นมือกลซึ่งพวกมันถูกเอามาติดแทนส่วนที่ขาดหายไปจากสงคราม
“ทัศนีย์ แล้วตอนนี้หัวอยู่ไหนน่ะ ไม่เห็นมาตั้งแต่เช้าแล้ว”
อนันต์ถามเธอด้วยความสงสัย
“เมาค้างน่ะ เมื่อคืนสงสัยดื่มมากไปหน่อย”
“เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่างดูนั่นดิ”
อักษรพูดพลางชี้มาทางพวกอาเธอร์ หนนี้เล่นเอาทั้งอาเธอร์และมานะหน้าแดงไปทั้งคู่
“ตายจริง หนุ่มสาวสมัยนี้ใจกล้าจริงนะ”
เธอพูดพลางเดินมาไปยังเครื่องคอนโซนที่ใช้ควบคุมและปรับแต่งB.U.และใส่คำสั่งบางอย่างลงไปและทันใดนั้นเองที่ฝาปิดของห้องนักบินปิดตัวลง
“งานนี้มีได้เสียสินะฮ่าๆๆๆๆๆ”
เสียงของอนันต์ดังขึ้นจากด้านนอกห้องนักบิน
“เรามันก็อายุเยอะๆกันแล้ว สงเสริมคนหนุ่มสาวน่ะมันงานของเล่า”
เสียงของทัศนีย์ตามเข้ามา
“งานนี้เดี๋ยวมีการรับผิดชอบอะไรตามมาอีกเยอะ พยายามเข้านะทั้งสองคน!!”
และตามมาด้วยเสียงของอักษร
ซึ่งทั้งสามคนเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยที่จะบุกเข้าโจมตีรังของอีทเตอร์เหมือนกับอาเธอร์ หน่วยเขี้ยวขาว แห่งกองทัพไทย