คำเตือน!!นี่คือแฟนฟิกชั่น เป็นส่วนเนื้อเรื่องที่เขียนขึ้นใหม่
อาจมีการเติม/เพิ่มตัวละครและสถานที่ภายในเรื่องขึ้นมานะครับ ^_^
ปล.ตอนนี่รับประกันความยาวด้วย 8 หน้ากระดาษใน word ขอให้สนุกนะครับ
Hayate no gotoku cross time
ตอนที่ 6 โชคชะตาถ้าเอาไปทำหนังแล้วละก็ ต้องติด TOP 10ของหนังตลกยอดเยี่ยมแน่นอน
โยริโกะนั่งแกว่งขาสบายๆบนโซฟาข้างๆกับชิอิริที่เอนหลังพิงโซฟาจนใกล้จะหลับอยู่แล้ว
“ช้าจังเลยนะ...” ชิอิริบ่น “น่าๆ ชิอิริจัง ลูกะจังอาจจะติดธุระอยู่ก็ได้นะ”
แล้วซักพักก็มีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญค่ะ” โยริโกะพูด
คนที่อยู่อีกฝากของประตูได้ยินเสียงของโยริโกะก็เปิดประตูเข้ามา
“ว...ว่ายังไงทุกคน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ลูกะยกมือทักทายชิอิริและโยริโกะโดยมีท่าทีเหนื่อยเล็กน้อย
ทำไมนะเหรอ?เพราะช่วงแรกลูกะยืนแต่งตัวและเดินเข้าไปตามแผนที่ตัวเองวางไว้เหมือนเดิทนั้นแหละ
จนในที่สุดเมื่อผ่านไปได้หลายห้องก็เหนื่อยแล้วเลิก จึงหันไปเคาะประตูแทนกว่าจะมาถึงก็ปาไปห้องที่ 15
ชิอิริเห็นลูกะเดินเข้ามาก็หาวฟอดใหญ่ก่อนจะทักทายลูกะตอบ
“อ้าว สวัสดีลูกะสบายดีนะ...ไม่ซิโดนอย่างนั้นมาคงไม่หายง่ายๆหรอกซินะ”
ชิอิริ พูดเสร็จแล้วก็ค่อยๆลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายก่อนชูมือทักทายลูกะทั้งๆที่ยังง่วงอยู่แล้วก็ลงกลับไปนั่งต่อ
“อย่างน้อยหมอก็บอกชั้นว่าอีกไม่นานก็จะหายดีแล้วนะ”
ลูกะตอบแล้วก็ค่อยๆเดินมานั่งลงบนโซฟาฟากตรงข้ามของพวกชิอิริ
“สวัสดีจ๊ะลูกะจัง” โยริโกะยิ้มทักทายลูกะ “สวัสดีจะ”ลูกะจึงทักทายตอบ
แล้วชิอิริก็พูด “ว่าแต่ทำไมช้าจังเลยละลูกะ?” เธอถาม
ลูกะจึงตอบด้วยการถอนหายใจ ชิอิริเห็นก็เข้าใจ“นั้นซินะที่นี่มันกว้างนี่นา”
ระหว่างที่ได้ฟังที่ชิอิริพูดอยู่ ลูกะก็นึกอะไรบางอย่างได้
“ก็แหงอยู่แล้วซิก็เป็นคฤหาสน์ของอภิมหาเศรษฐีนี่นา”ลูกะยืดอกยิ้มพูด
“แค่เห็นก็รู้เลยละ...” ชิอิริเห็นท่าทีแปลกๆของลูกะก็นึกสงสัยเล็กๆแล้วถามต่อ
“ว่าแต่ว่าไหงเธอถึงมาลงเอยที่นี่ได้ละ?” ฮึ... ลูกะหัวเราะในใจในใจ
เธอคาดการณ์ไว้แล้วว่าชิอิริจะต้องถามแบบนี้ จึงตอบกลับอย่างมั่นใจ
“เพราะตอนเกิดอุบัติเหตุเขาตรวจพบว่าชั้นเป็นลูกคนเดียวของพ่อของชั้นซึ้งพ่อของชั้นเป็นน้องของลุง
ของน้าซึ้งเป็นลูกคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ยังไงละ”ชิอิริได้ฟังก็มองหน้าลูกะอย่างงๆแล้วถามอีกครั้ง “ขออีกรอบซิ...”
“ชั้นเป็นลูกคนเดียวของพ่อของชั้น ซึ้งๆๆๆๆ....” ลูกะพูดซ้ำไปเรื่อยๆจนในที่สุด”......นั้นแหละ”
เพราะเป็นเรื่องโกหกแบบคิดสดลูกะจึงจำไม่ได้เลยตัดบทสนทนาไปซะอย่างงั้น
ชิอิริได้ยินก็หัวเราะแล้วพูด “ยังโกหกไม่เก่งเหมือนเดิมเลยนะ”
“เอ๋? เมื้อกี้หลอกเหรอคะ?” โยริโกะหันมาถามชิอิริอย่างตกใจ
“ก็ใช่นะซิ” ลูกะและชิอิริหันมาตอบพร้อมกันโยริโกะได้ยินก็ตกใจอีกครั้ง
แล้วตอนนั้นเองลูกะก็ยื้นตัวข้ามโต๊ะเข้ามาจับไหล่ขวาของโยริโกะแล้วยิ้ม“เธอนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“ใจร้ายอ่ะ...ลูกะจัง!”
ส่วนชิอิริที่นั่งข้างๆโยริโกะ ก็ใช้มือซ้ายจับไหล่โยริโกะอีกข้างแล้วพูด“เพราะอย่างนั้นถึงได้สมเป็นเธอไงละ”
“แง!!! ทุกคนใจร้ายอะ” โยริโกะร้องออกมา ลูกะกับชิอิริจึงปล่อยมือออกมาแล้วหัวเราะพร้อมกัน
“โถ่ทั้งสองคนใจร้ายกันจังเลย” โยริโกะพูดแล้วทำแก้มป่องแล้วเมินหน้าหนีลูกะและชิอิริ
“น่าๆเย็นไว้โยริโกะแค่แกล้งเล่นขำๆเองน่า” ลูกะหัวเราะตบบ่าของโยริโกะเบาๆแล้วเดินไปนั่งข้างซ้ายของโยริโกะ
“ชั้นนะไม่ค่อยมีเพื่อนมาหานี่นะ”ลูกะหัวเราะเบาๆแต่การหัวเราะนั้นเป็นเหมือนตัวบอกว่าตัวเองนั้นเหงาแค่ไหน
ชิอิริรู้ดีจึงหัวเราะแล้วพูด “งั้นก็เข้าโรงพยาบาลบ่อยๆแล้วกันนะลูกะพวกเราจะได้มาเยี่ยมบ่อยๆไง”
“แบบนั้นชั้นคงได้ลงโลงก่อนแน่เลยละ....” ลูกะตอบเนือยๆ
หลังจากนั้นโยริโกะก็ตบมือแล้วถามขึ้นมา
“งั้นไหนๆเราก็อยู่พร้อมหน้ากันแล้ว เรามาแรกเปลี่ยนประสบการณ์เช่นผลัดกันเล่าเรื่องอะไรทำนองนี้ไหมคะ?”
ทั้งลูกะและชิอิริได้ยินก็รู้สึกสนใจ ลูกะยืนจึงขึ้นแล้วพูด“งั้นชั้นเริ่มก่อนนะ”
ชิอิริมองลูกะแล้วพูด “ถ้าเธอเล่าก่อนวันนี้ก็ไม่จบนะซิ”
“เรื่องของชั้นไม่ยาวขนาดนั้นหรอกน่า” แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น
ชีวิตไอดอลก็เป็นชีวิตที่น่าเบื่อ น่าตื่นเต้น และน่าประหลาดใจ มีเรื่องให้ทำตลอดเวลา
เพราะงั้นถ้าจะให้เล่าจริงๆก็ยาวพอตัวเลยละ
“เอาเป็นว่าให้ชั้นเริ่มก่อนแล้วกัน”ชิอิริพูดแล้วลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปข้างหน้าโซฟา
“เอางั้นก็ได้...”ลูกะบ่นๆเบาแล้วกลับมานั่งตามเดิม
ชิอิริไอกระแอ้มหนึ่งแล้วพูด “ชั้นนะเป็นหวัดตั้งแต่ก่อนปีใหม่เลยนะแล้วไม่พอยังมี....”
ระหว่างที่ชิอิริเล่า โยริโกะก็ฟังอย่างตั้งใจส่วนลูกะก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ทั้งๆที่คิดว่าปีนี้ท่าจะเจอแต่เรื่องแย่ๆแท้ๆแต่ทุกอย่างกลับมีแต่เรื่องดีๆทั้งนั้นเลยเธอคิด
“นี่ฟังอยู่รึเปล่าลูกะ?”
ลูกะที่นั่งเหม่ออยู่ก็ตกใจ แล้วรีบหันไปตอบ “ฟังอยู่สิ”ชิอิริมองหน้าลูกะซักพักก็เล่าต่อ “แล้วตอนนั้นน่ะนะ....”
พอชิอิริเริ่มเล่าต่อ ลูกะก็ถามแทรกเข้ามา“ว่าแต่ว่านะ”
“อะไรเล่า? กำลังจะถึงจุดสำคัญแล้วนะ!!”ชิอิริถามกลับแบบอารมณ์เสียนิดๆ
“โทษทีๆ ว่าแต่ว่าแล้วชิโซระละ?ไม่มาด้วยเหรอ?” ชิอิริจึงถอนหายใจแล้วตอบ
“ทำงานแบบเดียวกันแท้ๆไม่รู้เหรอ?”
“ก็จริงละนะที่งานไอดอลมันยุ่งๆ แต่พวกเธอก็ไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างกับตัวติดกันเลยไม่ใข้เหรอ? ก็เลยคิดว่าชิโซระจะมาด้วย” ลูกะสงสัย
ชิอิริหัวเราะฮึๆแล้วพูด“ตั้งแต่เธอหยุดยาวไปชิโซระก็ยุ่งขึ้นมาทันทีเหมือนแย่งงานเธอเลยละ ก็เลยไม่ได้มาด้วยเผลอๆเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอหยุดไปนะลูกะ”
"งั้นเหรอ..." ลูกะพูดเบาๆ "แสดงว่าถ้าชั้นหายเป็นปกติิทุกๆอย่างก็น่าจะเหมือนเดิมซินะ?"
“แน่นอนซิ” ชิอิริยิ้มแล้วพูดต่อ “เพราะงั้นก็รีบๆหายเข้าละจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติซะทีซิ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงจะเป็นรุ่นน้องก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้หรอก”ลูกะพูดตอบอย่างตั้งใจ
“งั้นชั้นจะเล่าเรื่องต่อละนะ หลังจากนั้นชั้นก็เริ่มท่องบทใหม่อีกครั้ง....”
ใช่แล้วละ....ลูกะคิด พอเราหายทุกๆอย่างจะกลับไปเป็นปกติ....เมื่อทุกอย่างกลับไปเป็นปกติเราคงจะไม่ได้สนุกอย่างนี้อีกแล้ว...
ในเวลาเดียวกันสถานีโทรทัศน์ชื่อดังแห่งหนึ่งในใจกลางเมือง
“สวัสดีค่ะพี่ โทรมามีอะไรเหรอคะ?”ชิโซระนั่งคุยโทรศัพท์ในห้องแต่งตัวนักแสดง
ชิโซระเป็นเด็กผู้หญิงตัวไม่สูงมากนักให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูเหมือนเด็กรวมถึงหน้าอกที่แบนราบด้วย
ตรงข้ามกับดวงตาของเธอที่คมกริบจนดูเหมือนเหยี่ยวเพราะกรรมพันธุ์ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ
เพราะเธอก็เก่งเรื่องการแสดงพอตัว เพราะงั้นจะทำตาแอ็บหน้ากล้องเลยไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ตอนนี้เธอปล่อยผมอยู่เพราะผู้จัดการบังคับให้ไว้ทรงนี้เวลาออกรายการทีวี
เพราะจะได้ดูน่าสนใจมากกว่า แต่โดยปกติจะมัดผมทวินเทลส์เอาไว้
“เอ๋? พี่จะกลับบ้านแล้วเหรอคะ?” ชิโซระได้ยินข่าวดีก็ดีใจจนเผลอยืนขึ้น
“จะกลับมาเมื่อไรเหรอคะ? พรุ่งนี้เหรอคะ? ” ชิโซระถามอย่างตื่นเต้น
หลังจากฟังที่พี่ของเธอพูดจนจบก็ตอบด้วยความดีใจ
“ค่ะๆ พรุ่งหนูจะไปรับนะคะ 7 โมงใช่ไหมคะ” ชิโซระพูดเสร็จก็วางสายแล้วกุมโทรศัพท์ด้วยมือสองข้างเอาไว้ที่อก
“ดีใจจังเลย” เธอยิ้มความดีใจครั้งนี้มากจนแทบจะทำให้น้ำตาไหลได้เลย
พี่ของชิโซระได้ทุนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศปีๆหนึ่งก็เลยแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลย
การที่พี่ของเธอกลับมาก็ทำให้เธอดีใจมาก “นี่ชิโซระได้เวลาแล้วนะ”เสียงของผู้จัดการของเธอดังออกมาจากนอกห้อง
“ค่ะ!! ไปแล้วค่ะ” ชิโซระก็รีบวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแล้ววิ่งออกไปนอกห้อง
“พร้อมแล้วค่ะ”ชิโซระออกมาจากห้องแต่งตัวแล้วออกไปหาผู้จัดการของเธอที่รออยู่ข้างนอก
“เอาละไปกันเถอะ”ผู้จักการของชิโซระพูดแล้วเดินนำไปชิโซระจึงรีบเดินตามไปติดๆ
“เป็นยังไงบ้างช่วงนี้งานมากันติดๆเลย ไหวไหม?” ผู้จัดการของเธอถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ”ชิโซระตอบอย่างหนักแน่นแววตาของเธอเด็ดเดี่ยวจนทำให้หน้าตาเธอดูจริงจังขึ้นมาทันที
“ก็เพราะลูกะลาหยุดไป หลายๆที่ก็เลยให้ความสนใจเธอทันทีเลยเพราะงั้นก็ตั้งใจเข้าละ”
“เดี๋ยวนะคะ? เมื่อกี้บอกว่าคุณลูกะลาหยุดงั้นเหรอคะ?”ชิโซระถามเพื่อความแน่ใจ แล้วก็เร่งตามผู้จัดการของเธอให้ทัน
“ใช่แล้วละ รู้แล้วเงียบไว้นะที่จริงแล้วลูกะน่ะโดนทำร้ายระหว่างทางกลับบ้านนะ
แล้วตอนนี้เราก็พยายามปิดข่าวเอาไว้อยู่เพื่อไม่ให้พวกนักข่าวมันแตกตื่นนะ...นี่เป็นอะไรไปนะชิโซระ?”
ผู้จัดการเห็นชิโซระที่อยู่ดีๆก็หยุดเดินไปจึงถาม “อะ...ป..เปล่าค่ะ”ชิโซระส่ายหน้าปฏิเสธไปแล้วเดินต่อ
แล้วเมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงห้องส่ง ผู้จัดการก็เปิดประตูให้ชิโซระแล้วพูด“พยายามเข้าละ”
“ค่ะ” ชิโซระพยักหน้าแล้วรีบเดินเข้าห้องส่งไป
เย็นวันนั้นเวลาตะวันยังไม่รับขอบฟ้า
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ” ชิโซระก้มหัวขอบคุณผู้จัดการของเธอที่มาส่งที่ซอยก่อนจะถึงบ้านของเธอ
เพราะทางไปต่อมันแคบเกินกว่าที่จะใช้รถเข้าไปได้
“ไม่เป็นไรหรอก แล้วพรุ่งนี้เช้า 7 โมงจะมารับตามกำหนดการนะ”
ค่ะ"" ชิโซระตอบ แล้วผู้จัดการของเธอก็ขับรถออกไป
หลังจากที่ชิโซระมองรถของผู้จัดการเธอขับออกไป
ชิโซระก็เดินเข้าไปในซอยแคบๆ ที่เป็นทางไปบ้านของเธออย่างอ่อนแรง
ก็เพราะงานในวันนี้มากกว่าที่คิดอยู่ดีๆก็มีงานมาโยนให้อย่างนี้เป็นใครก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว
ชิโซระเดินไปจนถึงที่ๆเธออาศัยอยู่ ที่นั้นเป็นอพาร์ทเม้นท์ขนาดกลางมีจำนวนห้องไม่มากเท่าไร
แต่ราคาก็ถูกเมื่อเทียบกับขนาดห้อที่มีขนาดใหญ่แล้ว
อพาร์ทเม้นท์แบบนี้จึงเป็นอะไรที่หายากเหมือนขุดหาน้ำมันหลังบ้านตัวเอง
ชิโซระเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องของตัวเองในชั้นสอง
พอชิโซระก็ไขกุณแจห้องของตนก็รู้ได้เลยว่าห้องของเธอไม่ได้ล็อค“เอ๊ะ?”
เธอกลืนน้ำลายลงคอ แล้วค่อยๆแง้มประตูห้อง ข้างในห้องมืดจนมองเห็นอะไรไม่ชัด
ชิโซระจึงก็ค่อยๆเดินเข้าไปในห้องของเธอแล้วค่อยๆเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟ
หลังเปิดไฟเสร็จชิโซระก็ค่อยๆเดินเข้าไปในห้องและไล่เช็คตามห้องทีละห้อง
หลังจากเดินจนทั่วก็ไม่มีท่าทีของการบุกรุกหรือมีอะไรหายเลยชิโซระจึงยืนนิ่งคิดอยู่ซักพักหนึ่ง
“นี่เราลืมล็อคห้องรึเปล่านะ?”ชิโซระเอียงคอคิด “ช่างเถอะ...” แล้วเธอก็เลิกสนใจเรื่องที่ห้องไม่ได้ล็อค
แล้วก็เดินกลับไปถอดรองเท้าหน้าห้อง
ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นพอชิโซระดูหมายเลขที่โทรมาก็เห็นว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก
เธอลังเลอยู่ซักพักว่าจะรับดีไหมเพราะอาจจะเป็นพวกคนแปลกๆก็ได้ แต่คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
อาจจะเป็นธุระสำคัณก็ได้ เธอจึงตัดสินใจรับในที่สุด
“สวัสดีค่ะ? ใครคะ?” “ว่าไงเป็นไงบ้าง ว่างอยู่รึเปล่าชิโซระ”
พอชิโซระได้ยินเสียงของคนที่อยู่อีกฟากหนึ่งก็แปลกใจ“ชิอิริเหรอ? ก็ว่างอยู่นะ ว่าแต่ใช้โทรศัพท์ใครโทรมานะ?”
“จะพูดมันก็ยุ่งยากละนะ ชั้นกับโยริโกะทิ้งโทรศัพท์เอาที่บ้านก็เลยต้องยืมโทรศัพท์คนอื่นนะ
อ่า!! แล้วก็เธอรู้ข่าวแล้วซินะว่าลูกะลาหยุดเพราะอุบัตติเหตุนะ”
“อืมได้ข่าวมาอยู่...”ชิโซระตอบด้วยเสียงที่เบาลง
“ตอนนี้ชั้นอยู่กับลูกะนะ” ชิอิริพูดแบบสบายๆ
ชิโซระได้ยินก็ตกใจ “เอ๋!!พูดจริงอะ!!อย่ามาหลอกกันนะ!!”
“งั้นก็คุยกับเจ้าตัวเลยแล้วกันนะ”ชิอิริพูดแล้วก็เปลี่ยนให้ลูกะพูดแทน
“ฮัลโหล นี่ชั้นเองนะ” “ร...รุ่นพี่!?” ชิโซระได้ยินเสียงของลูกะก็ตกใจปนดีใจ
“ตอนนี้ชั้นอยู่กับชิอิริและโยริโกะนะแค่อยากชวนเธอมากินอาหารเย็นด้วยกันนะว่างรึเปล่า?”
“ว่างค่ะๆ” ชิโซระตอบอย่างดีใจ“โอเคงั้นเดี๋ยวให้มาหาชั้นที่...”
หลังจากวางสายเสร็จชิโซระก็รีบกลับไปสวมรองเท้า
แล้วก้าวเท้าถี่ๆออกจากห้อง แล้วรีบปิดประตูแล้ววิ่งออกไปทันที
โดยที่ใบหน้าของเธอยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความสุข
ชิโซระหลังจากลงจากรถไฟมาก็เดินไปตามทางไปยังที่หมายที่ลูกะบอกเธอ
ตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าแล้วไฟตามถนนก็เริ่มที่จะเปิดขึ้น
“อืม...” ชิโซระมองดูกระดาษบอกถานที่แล้วเดินไปตามทางเรื่อยๆ
“อีกไม่นานจะได้เจอกับรุ่นพี่แล้วอีกไม่นานจะได้เจอกับรุ่นพี่แล้ว” ชิโซระเดินพูดประโยคนี้ซ้ำๆกันเป็นเพลง
หลังจากเดินมาซักพักก็มาถึงที่หมาย“ที่อยู่ตรงนี้ซินะ...”ชิโซระมาหยุดอยู่หน้าประตูลูกกรงบานใหญ่
“เป็นร้านอาหารงั้นเหรอ?”ชิโซระกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะเดินไปที่ประตูเล็กแล้วพยายามมองเข้าไปข้างใน
ก็เห็นคฤหาสน์ยักษ์ตั้งตระง่านอยู่ ชิโซระกลืนน้ำลายอีกอึกใหญ่
ก่อนจะลองโทรกลับไปที่เบอร์ที่ชิอิริใช้โทรหาตนดู“สวัสดีค่ะ?” เสียงหญิงสาวที่ชิโซระไม่คุ้นเคยเป็นคนรับโทรศัพท์
“เอ่อคือชั้นเป็นคนรู้จักของคุณซุยเร็นจิลูกะน่ะค่ะ....”
“อ๋อ เพื่อนของคุณซุยเร็นจิซินะคะ เดินเข้าประตูได้เลยนะคะ”
ชิโซระได้ยินก็มองไปที่ประตูบานใหญ่อย่างหวั่นๆ“ประตูนี่....จะเข้ายังไงคะ?”
“แค่ดันเบาๆมันก็เปิดแล้วนะค่ะ” ดันเบาๆ?ชิโซระคิดในใจแล้วค่อยๆเอามือไปดันประตูเบาๆตามที่เขาบอก
แล้วประตูก็เปิดได้อย่างง่ายดาย“แล้วก็แค่เดินตามทางเข้ามาเรื่อยๆก็พอนะคะ” “งั้นเหรอคะ..”
ชิโซระตอบแล้วก็เดินเข้าไปอย่างงงๆ แต่ระหว่างนั้นอยู่ดีๆก็มีมือมาจับแขนของเธอไว้“ขอโทษนะครับ”
ชิโซระจึงรีบหันกลับไปหาอีกฝ่ายแล้วมองดูอีกฝ่ายมีอยู่ 5 คน
แต่ละคนสวมเสื้อกันหนาวและสวมหมวกไอ้โม่งเอาไว้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีแน่นอน
“มีอะไรคะ? อยู่ๆมาจับแขนชั้นทำไมละคะ?”
ชิโซระถามด้วยความตกใจตอบพลางพยายามจะดึงแขนตัวออกมาแต่ก็ไม่ไหว
“คุณเป็นคนของนี้รึเปล่าครับ” ชายคนนั้นถาม น้ำเสียงของเขาราบเรียบแต่ก็แฝงไว้ด้วยความน่ากลัว
“ชั้นไม่มีเหตุผลต้องตอบค่ะ ปล่อยชั้นนะคะ!!”ชิโซระตอบแล้วพยายามดิ้นให้หลุดจากอีกฝ่ายอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่หลุดด้วยแรงเด็กผู้หญิงแบบนี้คงไม่ไหวแน่ๆ เธอคิด
เธอเลยคิดจะขอความช่วยเหลือผ่านทางโทรศัพท์ แต่ชายคนนั้นรู้ทันจึงปัดโทรศัพท์จนตกพื้น
“คิดว่าไงละ?”ชายคนที่จับมือแขนชิโซระอยู่ถามชายคนอื่นๆ
“ดูจากลักษณะแล้วไม่ใช่แต่น่าจะใช้ต่อรองได้เหมือนกัน”
ชิโซระได้ฟังก็ตกใจแล้วพยายามดิ้น แล้วใช้มืออีกข้างทุบชายคนที่จับเธอไว้“นี่พวกคุณพูดเรื่องอะไรนะ?”
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”ชายคนนั้นพูดแล้วก็หยิบผ้าผืนหนึ่งมาปิดปากของชิโซระไว้
“คุณจะทำอะไรนะ...”แม้ชิโซระพยายามจะขัดขืนแต่ก็เปล่าประโยชน์
จมูกของเธอถูกปิดด้วยผ้าที่มีกลิ่นแรงคล้ายแอลกอฮอล์แม้ชิโซระพยายามจะกลั้นหายใจ
แต่ก็ทนได้ไม่นานก็สูดกลิ่นแรงจากผ้าผืนนั้นเข้าไปก่อนที่ชิโซระจะคิดอะไรออก
ความรู้สึกว่างเปล่าก็เข้าครอบคลุมเธอมันคล้ายๆกับว่าง่วงแต่ทรมานกว่า
ทุกๆครั้งที่หายใจก็รู้สึกเจ็บปวด ดวงตาก็ค่อยๆปิดลงอย่างไร้เรี่ยวแรงจนในที่สุดก็มืดในที่ลง
“ฮัลโหลคะ? ได้ยินรึเปล่าคะเกิดอะไรขึ้นคะ?...” หญิงสาวในสายโทรศัพท์พยายามถามถึงชิโซระ
แต่ชายสวมหมวกไอ้โม่งได้ยินก็หยิบมันขึ้นมาแล้วกดวางสายไปแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า
ก่อนที่จะอุ้มตัวชิโซระขึ้นรถตู้ที่จอดอยู่ใกล้ๆไปและแล้วตะวันก็ลับขอบฟ้าไปวันเวลาก็ก้าวเข้าสู่ราตรี
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย gaganehehe เมื่อ 2013-3-11 18:05
Hayate no gotoku cross time ตอนที่ 6