4 หน้าเอง พิมพ์ตั้งหลายชั่วโมง
การเดินทางของสาวน้อยกำลังจะเริ่มขึ้นถ้าหากว่า...
"เอลซ่าเดี๋ยวก่อน"เสียงของชายหนุ่มที่วิ่งตามสาวน้อยที่เขาเรียกว่า "เอลซ่า"อย่างกระหืดกระหอบ
สาวน้อยหยุดเดินและหันกลับมาตามเสียงเรียก ชายหนุ่มที่วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเธอเขาหายใจแรงเพราะวิ่งมาค่อนข้างไกล "แฮ่กๆ เดินเร็วจังนะ" เขาพูดเชิงบนแล้วเขาก็ยื่นของที่ถือมาให้ "เอ้านี่" มันเป็นกระเป๋าสะพายสีดำ(คนแต่งอ่อนเรื่องสีต้องทำใจ) ซึ่งมันก็มีขนาดใหญ่พอตัวเมื่อเทียบกับขนาดของ "เอลซ่า" แล้วแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รับมันมาและสะพายไว้ราวกับเป็นเรื่องปกติ
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็รู้สึกชื่นชมเขาก็ชมออกมา "แหม เก่งจังนะ ตัวแค่นี้แต่สะพายกระเป๋าใหญ่เนี่ย อ้อจริงสิ" เขานึกอะไรบางอย่างออก ซึ่งเหมื่อนมันจะสำคัญมาก"ในนั้นมีข้าวกล่องด้วยนะ ถ้าลืมล่ะก็มีหวังได้อดตายกลางป่าแน่"ชายหนุ่มพูดเหมือนเป็นคำเตือน ไม่สิ เขาเตือนจริงๆเลยล่ะ แต่รู้สึกว่าที่เขาจะพูดไม่ได้มีแค่นั้นแต่ทว่า เขากลับเลือกที่จะไม่พูดมันออกมาซึ่งสาวน้อยเห็นจากสีหน้าของเขาก็รู้ได้ทันที แต่เธอไม่อยากเซ้าซี้ให้มากความ "เอาเป็นว่าอย่ากลับดึกล่ะเอลซ่า"เขาพูดแล้วยิ้มให้ จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไปทิ้งไว้ให้เอลซ่ามองเขาเดินกลับบ้านอยู่ฝ่ายเดียว
หลังจากที่เห็นว่าชายหนุ่มเดินจากไปไกลแล้วเอลซ่าก็หันหลังให้ แล้วเริ่มเดินไปตามทางของตนเอง
ในป่าไม่ไกลจากบ้านมากนัก เอลซ่ามาถึงสถานที่ที่เธอมาเป็นอยู่ประจำเธอเลือกเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยหากเทียบกับเด็กทั่วไปในวัยใกล้เคียงกับเธอแล้วไซร้ เธอนับว่ามีความกล้าหาญมาก เอลซ่าสามารถเดินเข้าไปได้อย่างคล่องตัวทั้งๆที่สะพายกระเป๋าใบค่อนข้างใหญ่นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอสะพายมันจนชินกับน้ำหนักแล้ว หลังจากผ่านทางที่ค่อนข้างโล่งจนเธอพอเดินได้ไปซักพักก็มีกิ่งไม้ห้อยลงมาขวางเป็นระยะ เธอหยิบมีดยาวประมาณ 20 ซม.ออกมาจากกระเป๋าเธอใช้มันตัดกิ่งไม้ที่ขวางทาง แต่ส่วนหนึ่งก็เพื่อทำสัญลักษณ์ไว้ด้วยแล้วเธอก็เดินผ่านไปอย่างว่องไว ในที่สุดเธอก็ผ่านเข้ามาถึงส่วนที่เธอมาถึงเมื่อวันก่อนแต่วันนี้เป้าหมายของเธอคือเดินสำรวจให้ลึกขึ้นไป
ไม่ทราบว่าเหตุใดแต่เธอคิดว่า เธอรู้สึกเหมือนกับมีใครกำลังเรียกเธอ และความรู้สึกนั้นมันก็อยู่ข้างหน้า เอลซ่าจึงได้แต่วิ่งไปตามความรู้สึกแม้จะรู้สึกว่ามันอยู่ใกล้ๆ แต่ว่ายิ่งเธอไล่ตามมันเท่าไหร่ กลับไม่พบใคร สาวน้อยจึงหยุดวิ่งเธอได้แต่คิดว่าเธอคงจะคิดไปเอง ขณะนั้นเองก็มีกลิ่นหอมของเครื่องหอมอะไรซักอย่างลอยมาเตะจมูก
“กลิ่นนี้มัน...” ถึงเธอจะพูดเหมือนว่าเธอรู้จัก แต่จริงๆแล้วเด็กอย่างเธอคงจะไม่รู้เป็นแน่ว่ากลิ่นนั้นเป็นกลิ่นของอะไร แต่เธอกลับรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นของมันอย่างน่าประหลาด มันเป็นความรู้สึกระหว่างความคิดถึงกับความโศกเศร้า เมื่อได้กลิ่นมันใจของเธอก็เต้นเป็นจังหวะแบบที่ไม่เคยเป็น
สรุปแล้วมันเป็นความรู้สึกคิดถึงคะนึงหาใครกันแล้วเหตุใดจึงรู้สึกเศร้าในเวลาเดียวกัน?
ยิ่งเดินไปตามที่มากลิ่นหอมก็ยิ่งหอมขึ้นเรื่อยๆ นั่นทำให้เอลซ่าแน่ใจว่าเธอมาถูกทางแล้ว
เอลซ่าวิ่งมาตามกลิ่นหอมและเธอก็หยุดลง
เบื้องหน้าของเธอเป็นปราสาทหินศิลปะแบบบายน(ว่าไปนั่น)ตั้งตระหง่านอยู่
ทั่วทั้งปราสาทหินทำจากหิน(น่าจะ)ศิลาแลงขนาดใหญ่มาเรียงซ้อนๆกันเป็นชั้นๆจนเป็นกำแพง ลายประตูก็ถูกสลักเป็นรูปนางอัปสรทรงเครื่อง หน้าประตูมีนายประตู(นายทวารบาล)ท่าทางแข็งแรงยืนเฝ้าอยู่
“อ้อ รูปปั้นนี่เอง”เอลซ่าพูดขึ้นหลังจากเธอลองเอามือสัมผัสร่างของนายทวารบาล แต่จริงๆแล้วต้องเป็นหินแกะสลักมากกว่า แต่เอลซ่าไม่ได้ลงละเอียดเจาะลึกขนาดนั้น
เอลซ่าละมือจากรูปปั้นเดินขึ้นบันได เธอสังเกตเห็นรอบๆปราสาทมีเถาวัลย์ขึ้นเป็นย่านใหญ่ทั่วไป นั่นแสดงว่าที่แห่งนี้ถูกทิ้งไว้มาเป็นเวลานานแล้ว เธอตัดสินใจผลักประตูที่สลักรูปนางอัปสรที่เธอเห็นแล้วรู้สึกว่าพวกนางยิ้มให้เธออย่างน่าประหลาด
เสียงประตูดังครึ่กๆ ประตูหินค่อยๆเปิดขึ้นตามแรงผลักของสาวน้อย
ทันทีที่ประตูเปิดออกกลิ่นของเครื่องหอมยิ่งชัดมากขึ้น และที่มาต้องอยู่ในนี้แน่ ดังนั้นแล้วเอลซ่าจึงเข้าไปอย่างไม่ลังเล แต่ความจริงแล้วถ้าจะกล่างให้ถูกกว่านี้คือเอลซ่ามีความรู้สึกว่ามีบางอย่างดลใจให้เธอเข้าไปมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามในที่สุดเธอก็เข้าไปข้างใน เอลซ่าอาศัยแสงสว่างเพียงน้อยนิดที่เล็ดลอดจากประตูที่เธอผลักเข้ามาเป็นตัวส่องทาง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็เริ่มมืดลง เพราะยิ่งเข้าไปลึก แสงก็ยิ่งมีน้อยจนในที่สุดก็มืดสนิท แต่ทว่าฝีเท้าของเอลซ่ายังไม่ยอมหยุดเธอเดินไปเรื่อยๆราวกับว่าเธอเคยเดินที่นี่จนสามารถหลับตาเดินได้ อย่างน้อยตอนนี้เอลซ่าก็รู้สึกเช่นนั้น เอลซ่ากำมีดในมือไว้แน่นเพราะในความมืดเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง อย่างน้อยมีอาวุธสักอย่างก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นนิดหน่อย เสียงการย่างก้าวของเอลซ่าดังก้องสะท้อนไปมาจนบางทีเธอก็เผลอคิดว่ามีคนตามอยู่จนเธอต้องหันกลับไปมองเป็นระยะแต่สุดท้ายก็ไม่มีใคร เพราะแค่คิดไปเอง เอลซ่าก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆราวกับถูกชักนำต่อไป
ผ่านไปชั่วน้ำเดือดเธอก็เห็นแสงส่องอยู่ข้างหน้า ไม่รอช้าเธอเร่งฝีเท้าเข้าไปทันที แต่จริงๆแล้วแสงที่เธอเห็นเมื่อครู่นั้นมีที่มาจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นบ่อน้ำแต่น่าจะเป็นสระน้ำมากกว่า ในนี้มีน้าใสจนเห็นก้นสระ
เอลซ่าเห็นเช่นนั้นเธอก็คิดว่า “ไหนๆก็พบสระน้ำแล้ว อาบน้ำสักหน่อยดีกว่า” สำหรับสาวน้อยอย่างเธอการได้พบสระน้ำในที่แบบนี้และเวลาแบบนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่รอช้าเอลซ่ารีบถอดผ้าวางไว้กับสัมภาระอื่นๆข้างๆสระ ส่วนเธอก็ลงไปอาบน้ำเพราะมีบันไดให้ลงไป แต่ทว่าสระน้ำนั้นลึกกว่าที่เห็นมากนั่นอาจเป็นเพราะการหักเหของแสงจึงทำให้เห็นเหมือนกับตื้น แต่เอลซ่าก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเธอว่ายน้ำเป็น แต่เธอเลือกที่จะนั่งตรงขั้นหนึ่งของบันไดทางลงนั่นเอง
“เฮ้อ สบายจัง”สาวน้อยพูดขึ้นหลังจากที่ได้แช่น้ำชำระร่างกายจากการเดินทางที่ต้องเปื้อนคราบ...ตลอดทาง
จากนั้นเธอค่อยวักน้ำลูบไปตามส่วนต่างๆเพื่อชำระให้ทั่วร่างกายส่วนที่อยู่ในน้ำตั้งแต่เอวลงไปเธอก็อาศัยการลูบเอาแทน
เนื่องด้วยน้ำมีความเย็นเพื่อความสดชื่น เอลซ่าจึงจุ่มหัวลงไปในน้ำ ดำลงไปประมาณสิบวินาที จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสะบัดผมที่โดนน้ำทำให้เปียกและติดกันเหวี่ยงขึ้นไปด้านหลังตามเดิม จากนั้นเธอก็แช่น้ำต่ออีกสักพัก เอลซ่ามองไปที่เพดานซึ่งอยู่สูงจากพื้น และเมื่อเธอเทียบความสูงกับเพดานที่เธอเดินมาแล้ว ที่นี่สูงกว่ามาก “คงจะเป็นห้องนึงสินะ”เอลซ่าตั้งข้าสันนิษฐาน แต่เธอก็สังเกตเห็นแสงสะท้อนของน้ำบนเพดาน “แสงสะท้อนของน้ำ...” เอลซ่าพึมพำ “ตอนเราเดินมานี่มืดตลอดเลยนี่นา ไม่จริงน่า!” เอลซ่าทำท่าตกใจ
ใช่แล้วตลอดที่เธอเดินเข้ามาในวิหารนั้นมีแต่ความมืด แต่น้ำในที่นี้กลับมีแสงสะท้อนมันหมายความว่าอย่างไร?
เอลซ่าคิดว่า “หรือว่าจะมีหลอดไฟนะแต่ดูจากลักษณะหลายๆอย่างแล้วในยุคที่สร้างนี่คงไม่มีหรอกขนาดตัวปราสาทยังทำด้วยหินเลย... หรือว่าหินที่ใช้ทำสะท้อนแสงนะ?” เอลซ่าพยายามคิดหาสาเหตุ แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าความจริงเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอคิดอาจจะถูกก็ได้
เมื่อเอลซ่าเห็นว่าแช่น้ำจนสบายตัวแล้วสักพักเธอก็ขึ้นมาแต่งตัวตามเดิม
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีสระน้ำให้แช่สบายๆในที่แบบนี้” เธอพูดขึ้นในขณะที่สวมหมวก จากนั้นเธอก็เริ่มเดินต่อไป “ว่าแต่ ทางนั้นสินะ”เอลซ่ามองไปยังทางที่อยู่อีกด้านของสระ แล้วก็เดินไปตามทาง
แต่เอลซ่าไม่ได้สังเกตว่าตลอดที่เธออยู่ในห้องสระน้ำนี้ กลิ่นที่เธอได้กลิ่นมาตลอดทางนั้นได้หายไป
พอออกจากห้องเอลซ่าก็ได้กลิ่นเครื่องหอมอีกครั้ง “มาถูกทางสินะ”เอลซ่าคิดโดยไม่ได้คิดสงสัยอันใด ได้แต่เดินฝ่าความมืดตามกลิ่นนั้นไปอย่างเงียบๆ
ผ่านไปนานเท่าไรไม่อาจทราบได้
เทพธิดาผู้มีใบหน้างดงาม เส้นผมยาวถึงขา มีกร 8 กร ถือถ้วย คทา ดาบ ตามลำดับทั้งสองข้าง พาหาเบื้องล่างทั้งสองจับหอกที่มีคมสองด้านไว้มั่น ดวงเนตรหลับสนิท ชวนให้บุรุษอยากฝากจุมพิตไว้ หากว่านางไม่สวมชุดเกราะแลทรงอาวุธครบมือไซร้ ย่อมเป็นที่หมายปองของบุรุษทั้งแผ่นดิน
นั่นเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเอลซ่าในตอนนี้
“คนอะไรมีแปดมือ” นั่นเป็นสิ่งที่เอลซ่าพูดออกมาหลังจากที่เห็นภาพแกะสลักตรงกำแพงที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งสามารถแกะสลักได้ราวกับมีชีวิตจริงๆ เอลซ่าไล่มองดูภาพแกะสลักที่สลักตลอดแนวกำแพงซึ่งสรุปได้เป็นเรื่องราวประมาณว่า “เทพธิดาแห่งความรักตกหลุมรักกับมนุษย์ผู้มีเชื้อสายสุริยะเทพแต่ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับไปหลงรักดวงจันทรา” นั่นเป็นสิ่งที่เอลซ่าอ่านจากข้อความที่เขียนอธิบายบนภาพ “แม้ดวงจันทราเองก็ชื่นชอบในตัวเขาทั้งสองจึงครองรักกันอย่างมีความสุข” อ่านถึงตรงนี้ เอลซ่าก็พูดขึ้นว่า “อ้าวแบบนี้ก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งนี่นา แล้วมันยังไงกันนะเรื่องดีๆแบบนี้ไม่น่าจะได้บันทึกไว้เลยนะ” หลังจากพูดจบเธอก็ไปมองที่ภาพเทพธิดาองค์นั้นอีกครั้ง “นี่คงเป็นเทพธิดาแห่งความรักสินะ”เอลซ่าพูดขึ้นเบาๆ ก่อนที่จะหันไปมองตรงส่วนอื่นต่อ
“เทพธิดาผู้สูญเสียความรักกลับสร้างความวุ่นวายให้แก่มนุษย์ นำพามนุษย์เข้าสู่ยุคแห่งความโกลาหลหากแต่จะมีเพียงเทพธิดาแห่งความโกลาหลเท่านั้นที่ต่อต้าน ในที่สุด ความพ่ายแพ้ก็มีแก่เทพธิดาแห่งจันทรา” “แต่แล้วความพ่ายแพ้นั้นนำมาซึ่งหายนะครั้งยิ่งใหญ่ แท้จริงแล้วเทพธิดาแห่งความรักต้องการเพียงปกป้องมนุษย์เท่านั้น เมื่อเทพธิดาแห่งความรักสูญสลาย เทพแห่งการทำลายจริงบังเกิดขึ้น”
“ฉันอยากรู้จริงๆว่าใครเป็นคนคิดเรื่องนี้กันนะ?”นั่นเป็นสิ่งที่เอลซ่าคิดเมื่ออ่านจบ เพราะเธอรู้สึกว่ามันเหมือนกับการ์ตูนหรือเกมอะไรบางอย่างที่เธอเคยรู้จัก ความรู้สึกมันประมาณว่า เอาการ์ตูนมายำกันมั่วๆจนออกมาเป็นแบบนี้ได้
แต่ในความเป็นจริงไม่มีทางเป็นอย่างนั้นเพราะคนโบราณจะเอาการ์ตูนกับเกมมาจากไหน จริงไหม?
เอลซ่าที่อ่านข้อความทั้งหมดแล้วเธอบังเกิดความสงสัยขึ้นมา “แล้วหลังจากนั้นล่ะ” แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามหาอย่างไรก็ไม่พบอะไรเลย “ดูท่าคงจะไม่มีต่อแล้ว” เธอคิดพร้อมกับทำหน้าผิดหวังอย่างยิ่ง ที่ผิดหวังนั้นส่วนนึงก็เพราะยังค้างคาใจเรื่องเทพแห่งการทำลายแต่ที่เธอต้องการมากกว่านั้นคือเรื่องเทพธิดาแห่งความรักว่าเหตุใดจึงใส่ชุดเกราะและทรงอาวุธเต็มมือ
ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจละจากรูปภาพเหล่านี้ไปทั้งๆที่ใจก็ยังรู้สึกเสียดาย แต่ความรู้สึกที่แรกที่เธอเห็นรูป(ที่เธอคิดเองว่าเป็น)เทพธิดาแห่งความรักมันคืออะไรกันนะ?
เชื่อว่าสักวันหนึ่งเธอคงจะได้รู้และเข้าใจความรู้สึกนั้นได้ สักวันหนึ่ง...
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ffviicc เมื่อ 2013-4-9 00:02
Lost of Destiny ตอนที่ 2 ปราสาทหินกลางป่า
[IMG]