งดงามปานเทพธิดาบนชั้นฟ้า
คำเปรียบเทียบเช่นนั้นอาจจะดูเกินเลยไปเพื่อให้ทราบถึงความงามของคนที่ผู้พูดเปรียบ
แต่สำหรับเธอคนนี้คำเปรียบเทียบนั้นคงไม่เกินเลยความจริงเลย
เจ้าหญิงมณฑา(กรุณาอ่านว่า "มน-ทา") พระธิดาแห่งพระเจ้ากบิลราช และเป็นพระธิดาเพียงองค์เดียวที่พระองค์มี ดังนั้นพระองค์จึงให้เลี้ยงดูพระนางอย่างดี
พระเจ้ากบิลราช ยินพระนามแล้วหลายคนคงจะพาลนึกว่าพระองค์มีพระลักษณะเหมือนลิงหรือไร
แต่ว่าไม่ใช่
พระองค์ไม่ได้มีลักษณะเหมือนลิงเพียงเพราะคำว่า "กบิล" แปลว่า "ลิง"
พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่เพรียบพร้อมไปด้วยลักษณะแห่งผู้มีบุญญาธิการทั่วๆไป กล่าวให้ชัดคือหน้าตาดีนั่นเอง
หากแต่คำว่า "กบิล" ในพระนามของพระองค์นั้นแปลว่า "แดง" หากแปลอีกอย่างก็คือ "พระอาทิตย์"
ซึ่งนั่นดูเหมือนว่าจะตรงตัวพระองค์ที่สุด
พระมหากษัตริย์ผู้สามารถรวบรวมแว่นแคว้นน้อยใหญ่ให้ยอมสยบในอำนาจของพระองค์อย่างเต็มใจได้ภายในเวลาไม่กี่ปี ตอนนี้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
แต่ทว่าพระองค์มีพระธิดาเพียงพระองค์เดียว
เจ้าหญิงมณฑา
มณฑาเป็นดอกไม้ที่ขึ้นบนสรวงสวรรค์ นานครั้งจะร่วงลงมาสู่โลกมนุษย์สักครา แต่ถ้าลงมาเมื่อใดก็มักจะมีเหตุการณ์สำคัญเท่านั้น
พระนามนั้นบอกถึงสถานะได้เป็นอย่างดี ดอกฟ้าที่หมู่แมลงไม่อาจเอื้อมถึง...
ใช่ พระธิดาเพียงพระองค์เดียวของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีพระสิริโฉมงดงามดั่งเทพธิดาลาวัลย์ จนรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับมนุษย์
เหล่าชายที่เห็นเจ้าหญิงแล้วต่างก็พากันนอนวันคิดถึงแต่ดวงแขแจ่มนภาดวงนั้น
แม้จะไม่อาจเอื้อม แต่แค่คิด คงไม่เป็นไร...
.............................................................................
ปุโรหิตนั่งอยู่เบื้องพระพักตร์ของท้าวกบิลราช มีเพียงไอแพด เอ๊ย กระดานชะนวน
จากนั้นก็ทำท่าราวกับคำนวณอะไรบางอย่าง แล้วค่อยลืมตาขึ้นช้าๆ
"ว่าอย่างไรท่านปุโรหิต" พระราชาตรัส
ท่านปุโรหิตไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงแต่หันกระดานด้านที่ตนเขียนไว้ให้พระราชาทอดพระเนตร
"มันหมายความเช่นไรฤ?" พระราชาตรัสถาม
ฝ่ายปุโรหิตกราบทูลว่า "หมายความว่าเลขงวดนี้ บน 35 ล่าง 42 พะยะค่ะ"
"บัดซบ!" พระราชาสบถ จากนั้นตรัสต่อ "อุตส่าห์แทงล่าง 43 ไปเต็มที่เลย พลาดไปนิดเดียวเอง"
"นั่นสิพะยะค่ะ พลาดไปนิดเดียว"
"เอาล่ะ เลิกเล่นแค่นี้เถอะท่านปุโรหิต แล้วเรื่องที่ข้าใ้ห้ท่านดูล่ะเป็นอย่างไรบ้าง?"
"อืมม" ปุโรหิตพลิกกระดานชะนวนที่ตนหันให้พระราชากลับมาจ้องดูแล้วครุ่นคิด
ไม่นานก็กราบทูลว่า
"ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท พระอาญามิพ้นเกล้า ทูลเกล้าทูลกระหม่อม..."
"เอ่อ ไอมุกแบบนั้นขอทีเถอะท่าน ว่ามาเลยไม่ต้องมากพิธี" พระราชาตรัสดักทางก่อนที่ท่านปุโรหิตจะเล่นยาวกว่านี้
"อะแฮ่ม!!" ท่านปุโรหิตกระแอม จากนั้นกราบทูลว่า "หากดูจากคำทำนายแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจเท่าไหร่"
"งั้นหรือ เฮ่อ" พระเจ้ากบิลราชถอนหายใจอย่างโล่งพระทัย
"..."
"..."
"..."
"มีอะไรอีกงั้นฤ ท่านปุโรหิต?"
"ไม่มีอะไรพะยะค่ะ"
"งั้นรึ แต่ดูแล้วดูเหมือนว่าท่านจะยังปิดบังอะไรข้าไว้ซะอีก"
"ฝ่าบาท"
"มีอะไรฤ?"
"หม่อมฉันขอถวายคำเตือนไว้อย่างพะยะค่ะ"
"อืม..."
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม เพราะคนเราไม่อาจขัดขืนชะตากรรมได้"
"ท่านหมายความเยี่ยงไรฤ?" พระราชาทำพระพักตร์แบบฉงน
ท่านปุโรหิตหลับตาลง จากนั้นก็กราบทูลขึ้นว่า "จากการทำนายนั้น พระธิดาของพระองค์กำลังมีเคราะห์ตามที่ข้าพระองค์ทำนายไว้เมื่อพระธิดาประสูติ"
พระราชามีสีพระพักตร์หนักใจ ก่อนจะถามขึ้นมาน้ำเสียงสั่่นว่า "นี่ท่านคงไม่ได้หมายความว่า..."
แล้วไม่มีทางแก้เลยฤ? พระราชาตรัสถาม
ฝ่ายปุโรหิตยิ้มขึ้นราวกับรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ต้องถามอย่างนี้
"ก็ไม่ใช่จะไม่มี แต่ว่า..." ท่านปุโรหิตพูดเบาจนยากที่จะได้ยิน หากแต่พระราชาทรงสดับแล้วกลับตกพระทัย
..................................................................
"เจ้าหญิงมณฑาเพคะ" เสียงของนางบาทจาริกา วิ่งมาจากหน้าประตูห้องบรรทมของพระธิดา
"มีอะไรจ๊ะมาลี?" พระธิดาตรัสถามด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะราวกับดนตรีสวรรค์
ว่าแต่มาลีมีอะไร
"นี่เพคะ พวงมาลัยสำหรับพระธิดาวันนี้"
ว่าแล้วมาลีก็นำมาลัยไปถวายพระธิดาซึ่งประทับนั่งอยู่บนแท่นที่บรรทม
พระธิดารับพวงมาลัยมาอย่างอ่อนโยนเพื่อป้องกันดอกไม้ช้ำ จากนั้นก็จ้องอย่างพินิจ
จากนั้นพระธิดาก็หยิบเข็มยาวซึ่งวางอยู่บนพานข้างๆขึ้นมา แล้วก็หยิบดอกไม้ซึ่งใส่ไว้ในอีกพานขึ้นมาบรรจงเอาก้านวางลงบนปลายแหลมของเข็ม
จากนั้นก็ออกแรงกดเล็กน้อยจนก้านดอกไม้ทะละลง พระองค์ก็รูดลงไปอยู่ช่วงปลาอีกด้านที่ไว้สำหรับร้อยด้าย
กิริยาดูเชื่องช้า แต่แม่นยำ ทุกดอกที่บรรจงใส่ถูกจัดเรียงอย่างสวยงาม ไม่นานนักดอกไม้ที่ร้อยก็ซ้อนกันจนเกือบเต็มเข็ม
พระธิดาวางเข็มที่เต็มลงบนพาน จากนั้นหยิบเข็มใหม่มาแล้วก็ร้อยอีก แต่คราวนี้เปลี่ยนดอกไม้แล้ว
ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของมาลี นางจ้องมองพระธิดามณฑาอย่างไม่ละ
ในใจก็อดชื่นชมไม่ได้ที่พระธิดานั้นมีความทรงจำเป็นเลิศ แค่สอนครั้งเดียวก็ทำได้
ผ่านไปนานพอดู พระธิดาก็นำด้ายมาร้อยที่ปลายเข็มจากนั้นบรรจงเลื่อนพวงมาลาลงบนด้าย
ยังขาดไปอีกหน่อย ดังนั้นพระธิดาจึงร้อยมาลัยเพิ่มลงไป
พอดี ขึ้นรูปเป็นพวงมาลัยได้พอดี
คราวนี้พระธิดานำอีกเข็มที่ร้อยด้วยดอกอย่างอื่นมา ตรงปลายนั้นเป็นดอกกุหลาบที่ยังไม่บาน ถัดขึ้นไปก็เป็นดอกรักที่แกะแล้ว
ในที่สุดก็ได้มาสองอัน พระธิดานำทั้งสองสิ่งนั้นมาเชื่อมกับพวงมาลัยโดยนำดอกกุหลาบที่บานแล้วมาเป็นตัวคั่น
เพื่อความสวยงาม พระธิดาร้อยมาลาลงภายใต้ดอกกุหลาบนั้น
พวงมาลัยเสร็จสมบูรณ์
พวงมาลัยดอกมะลิสีขาวนวลดัดกับสีของกุหลาบแดงที่เป็นตัวคั่นและห้อยที่ปลายทั้งสองของส่วนที่ร้อยด้วยดอกรัก
เหล่าดอกไม้ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบสวยงาม
"ว่าแต่พระธิดา" มาลีมองแล้วกล่าวขึ้น "พระองค์ไม่คิดจะร้อยเป็นลายอื่นเลยหรือเพคะ รู้สึกว่ามันธรรมดามากๆเลย" จากนั้นก็จับพวงมาลัยนั้นสำรวจดู
อ้อ นางนั่งอยู่ข้างล่างแท่นบรรทมนะ
ซึ่งก็เป็นไปตามที่มาลีคิด พวงมาลัยนั้นกลับไม่มีลวดลายอะไรเลย คงไม่ใช่เพราะพระธิดาพึ่งทำครั้งแรกแน่ เพราะตัวอย่างที่นางทำเองแล้วนำมาให้นั้นก็ทำแบบแม้จะไม่ซับซ้อนมาก แต่ก็แฝงลวดลายไว้
จะว่าไปแล้วพระธิดาไม่ชอบเรื่องยุ่งยากนี่นะ มาลีคิดก่อนที่จะถวายพวงมาลัยคืน
พระธิดามณฑารับพวงมาลัยกลับมา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า "ถึงแม้ว่าลวดลายพวกนั้นจะดูสวยงามและทำได้ไม่ยาก แต่เรากลับชมชอบความเป็นธรรมชาติของดอกไม้ที่ยังไม่ได้ตกแต่งมากกว่า" พระธิดานำพวงมาลัยขึ้นมาทอดพระเนตร "หากจะกล่าวว่าเราก็เป็นดั่งพวงมาลัยนี้คงไม่ผิดนัก" แต่พระนางตรัสเบาๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่พ้นหูของมาลีอยู่ดี
รอยยิ้มประหลาดปรากฏบนใบหน้าของนางบาทจาริกาผู้นี้
"เอ๋ ฉันมีอะไรหรือจ๊ะ มาลี?" เจ้าหญิงมณฑาถามขึ้น
"เปล่าเพคะ" นางยังคงตอบทั้งๆที่ยิ้มอย่างนั้น
แต่ทว่ามาลีกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว นางผลักพระธิดาลงบนแท่นบรรทม แล้วนางก็ขึ้นคร่อมพระธิดาไว้
"เอ๋ เอ๋ เอ๋???" พระธิดาที่ตกพระทัยได้แต่อุทานอย่างนั้น พระเนตรจ้องมาที่มาลีซึ่งอยู่บนตัวพระนาง
"เรียบร้อยเหมือนดอกไม้ที่ร้อยเหรอ? อย่างนี้ต้องสำรวจสักหน่อยแล้วเพคะ"
"เดี๋ยว จะทำอะไรฉันกันจ๊ะมาลี? นี่เดี๋ยวสิ ไม่ได้นะ!!" พระธิดารีบห้ามหลังจากที่มือของมาลีเริ่มเล่นซนบนพระวรกายของพระนาง
"หึๆๆ ดอกปทุมสินะ ว่าแต่ดอกปทุมนี่มันใหญ่ดีนะ น่าจับจัง"
"เอ๋?? หมายความว่าไงจ๊ะ? ห๊ะ!" ทีแรกอยากจะถาม แต่ตอนนี้คงไม่ต้องแล้ว
ไม่ทราบว่าทำตั้งแต่เมื่อใด แต่ทว่า พระธิดาถูกถอดชุดเหลือแต่ผ้าบางๆปิดไว้เสียแล้ว
"จะทำอะไรต่อดีน้า" มาลีทำสีหน้าชั่วร้าย
"ว้ายยยยยยยย" เสียงของพระธิดากรีดร้องดังมาจากประตูห้องบรรทม
"หา เสียงนี้มัน พระธิดานี่!!!" ทหารองครักษ์คนหนึ่งได้ยินก็รีบถีบประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
มือของเขามือหนึ่งถือดาบ อีกข้างถือฝักดาบ(มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนี่นะ - -") ตะโกนเรียก "พระธิดา มีอะไรหรือพะยะค่ะ!!!" เสียงที่เขาตะโกนออกมานั้นทั้งกังวลและเป็นห่วง จากนั้นก็สอดสายตามองไปรอบๆ
"อุโฮะ อุโฮะ อุโฮะ" เสียงองครักษ์อุทานขึ้นหลังจากเห็นบนแท่นพระบรรทม
ในสายตาเขานั้น ตอนนี้มาลีที่นอนคร่อมบนร่างเจ้าหญิงที่ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นกำลังลูบพระพักตร์ของเจ้าหญิงอย่างอ่อนโยน ทั้งสองมองกันด้วยสายตาสเน่หา...
"มาลี..."
"พระธิดา..."
จากนั้นก็มีเสียงเก็บดาบเข้าฝัก เสียงฝักดาบกับกรอบดาบกระทบกัน
"ขออภัยที่มารบกวน"
จากนั้นองครักษ์ก็เดินออกไปอย่างอายๆราวกับไปเห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นเข้า
เจ้าหญิงเห็นเช่นนั้นก็รีบอธิบาย "เอ๋ เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่นะ คือว่า นี่มัน" แต่เวลากระทันหันเจ้าหญิงมักจะนึกหาคำไม่ออก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกันทุกคนนั่นแหละ
....................................................................................
มาอธิบายกันหน่อยดีกว่า
กบิล
พระนามของพระราชาในเรื่องนี้ ส่วนใหญ่จะรู้จักความหมายของชื่อนี้ว่า "ลิง" ซึ่งคำว่ากบิลนี้แหละคงจะเพี้ยนเป็น "กระบี่" ซึ่งแปลว่าลิง (อ้างผู้แต่ง) แต่ทว่าในเรื่องนี้ประสงค์ใช้คำว่า "กบิล" ที่แปลว่า "สีแดง" หรือ "ดวงอาทิตย์" เพราะพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีอำนาจมาก จะแปลว่าลิงคงจะไม่เหมาะ เรื่องนี้นี่ต้องขอบคุณท้าวกบิลพรหมแห่งเรื่องตำนานสงกรานต์ที่ได้อ่านไปทำให้นึกออก
อ้อ นอกจากนี้ที่่เคยเจอ "กบิล" ยังแปลว่า "วัวแดง" ได้ด้วยนะเออ เอาดิ
ปุโรหิต
คำๆนี้เด็กสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักก็เป็นได้
ปุโรหิตเป็นหน้าที่หรือตำแหน่งหนึ่งในพระราชวัง มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์(เรียกพระราชาดีกว่า สั้นดี) นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการทำนายดวงของพระราชา พระบรมวงศานุวงศ์ และเหตุการณ์บ้านเมือง และของที่ดูเหมือนว่าเด็กสมัยนี้ไม่รู้จักกันแล้วอย่างกระดานชะนวนจะเป็นของอย่างหนึ่งที่ปุโรหิตมี
้อ้อ ปุโรหิตนี่ส่วนใหญ่จะต้องเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาด จะกล่าวว่าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นก็ได้ และไม่ได้เป็นกันได้ง่ายๆเนื่องด้วยคนที่เป็นนั้นจะต้องเป็นวรรณะพราหมณ์หรือพราหมณ์นั่นเอง และวิชาความรู้ที่เรียนนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเรียนจบกันได้ง่ายๆแบบหลักสูตรสมัยนี้ บางคนก็ใช้เวลานาน บางคนก็ใช้เวลาแป๊บเดียว แล้วแต่สติปัญญาของแต่ละคน แต่จบแล้วมีงานทำจริง เชื่อสิ (แต่งานอะไรไม่รู้นะ เอาเป็นว่าไม่อดตายแน่ มั้ง?)
มาลี
ความหมายก็คือดอกไม้หรือพวงดอกไม้ อารมณ์ตอนแต่งดูเหมือนว่าจะนึกอะไรไม่ออก เพราะสาวใช้น่าจะมีชื่อที่ง่ายๆและไม่จำเป็นต้องใช้ศัพท์ที่สูงส่งอะไร
เอาเป็นว่ามาลีนี่แหละ ไหนๆก็โผล่ออกมาตอนที่ร้อยมาลัยอยู่แล้วนี่
มณฑา
จริงแล้วดอกมณฑานั้นเป็นดอกไม้ที่หาได้บนโลกนี่แหละ แต่ส่วนตัวผู้แต่งที่ไม่ชำนาญเรื่องพันธุ์ได้ชนิดใดเลยทั้งไม้ดอกแลไม้ประดับเลยมิอาจอธิบายอันใดได้ แต่ในเรื่องนี้เจ้าหญิงพระนามว่า "มณฑา" หากจะให้เต็มก็คือ "มณฑาทิพย์" ซึ่งมีที่มาจาก "ดอกมณฑารพ" ซึ่งอยู่บนสวรรค์ัชั้นดาวดึงส์นั่นเอง แต่ทว่าคำว่า "มณฑารพ" ไม่ค่อยเหมาะกับผู้หญิง เลยใช้แค่ห้วนๆว่า "มณฑา"
................................................................................................
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะสบายกว่าเรื่องอื่นหน่อยตรงที่ไม่ต้องคิดชื่อให้ปวดหัว แต่ก็ปวดหัวกับราชาศัพท์นี่แหละ
ถามว่ามีต้นคิดจากอะไร?
ก็บอกว่าไปฟังเพลงมาเพลงนึงที่ไม่ได้ฟังมานานแล้ว เลยคิดแต่งขึ้นมา แต่รู้สึกว่ามันจะไม่ได้เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่เรื่องนั้นก็ช่างมันเถอะ!!!
เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร?
ไม่รู้เหมือนกัน คงจะเป็นประมาณนิทานล่ะมั้ง? แม้จะไม่เข้ากันแต่ก็พยายามจะใส่มุกที่รู้กันในปัจจุบันเข้าไปในเรื่องด้วยแล้วกัน ถ้าทำได้น่ะนะ
ลองติดตามตอนต่อไปดูละกัน ถ้ามีน่ะนะ
...................................................................................
คำเปรียบเทียบเช่นนั้นอาจจะดูเกินเลยไปเพื่อให้ทราบถึงความงามของคนที่ผู้พูดเปรียบ
แต่สำหรับเธอคนนี้คำเปรียบเทียบนั้นคงไม่เกินเลยความจริงเลย
เจ้าหญิงมณฑา(กรุณาอ่านว่า "มน-ทา") พระธิดาแห่งพระเจ้ากบิลราช และเป็นพระธิดาเพียงองค์เดียวที่พระองค์มี ดังนั้นพระองค์จึงให้เลี้ยงดูพระนางอย่างดี
พระเจ้ากบิลราช ยินพระนามแล้วหลายคนคงจะพาลนึกว่าพระองค์มีพระลักษณะเหมือนลิงหรือไร
แต่ว่าไม่ใช่
พระองค์ไม่ได้มีลักษณะเหมือนลิงเพียงเพราะคำว่า "กบิล" แปลว่า "ลิง"
พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่เพรียบพร้อมไปด้วยลักษณะแห่งผู้มีบุญญาธิการทั่วๆไป กล่าวให้ชัดคือหน้าตาดีนั่นเอง
หากแต่คำว่า "กบิล" ในพระนามของพระองค์นั้นแปลว่า "แดง" หากแปลอีกอย่างก็คือ "พระอาทิตย์"
ซึ่งนั่นดูเหมือนว่าจะตรงตัวพระองค์ที่สุด
พระมหากษัตริย์ผู้สามารถรวบรวมแว่นแคว้นน้อยใหญ่ให้ยอมสยบในอำนาจของพระองค์อย่างเต็มใจได้ภายในเวลาไม่กี่ปี ตอนนี้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
แต่ทว่าพระองค์มีพระธิดาเพียงพระองค์เดียว
เจ้าหญิงมณฑา
มณฑาเป็นดอกไม้ที่ขึ้นบนสรวงสวรรค์ นานครั้งจะร่วงลงมาสู่โลกมนุษย์สักครา แต่ถ้าลงมาเมื่อใดก็มักจะมีเหตุการณ์สำคัญเท่านั้น
พระนามนั้นบอกถึงสถานะได้เป็นอย่างดี ดอกฟ้าที่หมู่แมลงไม่อาจเอื้อมถึง...
ใช่ พระธิดาเพียงพระองค์เดียวของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีพระสิริโฉมงดงามดั่งเทพธิดาลาวัลย์ จนรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับมนุษย์
เหล่าชายที่เห็นเจ้าหญิงแล้วต่างก็พากันนอนวันคิดถึงแต่ดวงแขแจ่มนภาดวงนั้น
แม้จะไม่อาจเอื้อม แต่แค่คิด คงไม่เป็นไร...
.............................................................................
ปุโรหิตนั่งอยู่เบื้องพระพักตร์ของท้าวกบิลราช มีเพียงไอแพด เอ๊ย กระดานชะนวน
จากนั้นก็ทำท่าราวกับคำนวณอะไรบางอย่าง แล้วค่อยลืมตาขึ้นช้าๆ
"ว่าอย่างไรท่านปุโรหิต" พระราชาตรัส
ท่านปุโรหิตไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงแต่หันกระดานด้านที่ตนเขียนไว้ให้พระราชาทอดพระเนตร
"มันหมายความเช่นไรฤ?" พระราชาตรัสถาม
ฝ่ายปุโรหิตกราบทูลว่า "หมายความว่าเลขงวดนี้ บน 35 ล่าง 42 พะยะค่ะ"
"บัดซบ!" พระราชาสบถ จากนั้นตรัสต่อ "อุตส่าห์แทงล่าง 43 ไปเต็มที่เลย พลาดไปนิดเดียวเอง"
"นั่นสิพะยะค่ะ พลาดไปนิดเดียว"
"เอาล่ะ เลิกเล่นแค่นี้เถอะท่านปุโรหิต แล้วเรื่องที่ข้าใ้ห้ท่านดูล่ะเป็นอย่างไรบ้าง?"
"อืมม" ปุโรหิตพลิกกระดานชะนวนที่ตนหันให้พระราชากลับมาจ้องดูแล้วครุ่นคิด
ไม่นานก็กราบทูลว่า
"ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท พระอาญามิพ้นเกล้า ทูลเกล้าทูลกระหม่อม..."
"เอ่อ ไอมุกแบบนั้นขอทีเถอะท่าน ว่ามาเลยไม่ต้องมากพิธี" พระราชาตรัสดักทางก่อนที่ท่านปุโรหิตจะเล่นยาวกว่านี้
"อะแฮ่ม!!" ท่านปุโรหิตกระแอม จากนั้นกราบทูลว่า "หากดูจากคำทำนายแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจเท่าไหร่"
"งั้นหรือ เฮ่อ" พระเจ้ากบิลราชถอนหายใจอย่างโล่งพระทัย
"..."
"..."
"..."
"มีอะไรอีกงั้นฤ ท่านปุโรหิต?"
"ไม่มีอะไรพะยะค่ะ"
"งั้นรึ แต่ดูแล้วดูเหมือนว่าท่านจะยังปิดบังอะไรข้าไว้ซะอีก"
"ฝ่าบาท"
"มีอะไรฤ?"
"หม่อมฉันขอถวายคำเตือนไว้อย่างพะยะค่ะ"
"อืม..."
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม เพราะคนเราไม่อาจขัดขืนชะตากรรมได้"
"ท่านหมายความเยี่ยงไรฤ?" พระราชาทำพระพักตร์แบบฉงน
ท่านปุโรหิตหลับตาลง จากนั้นก็กราบทูลขึ้นว่า "จากการทำนายนั้น พระธิดาของพระองค์กำลังมีเคราะห์ตามที่ข้าพระองค์ทำนายไว้เมื่อพระธิดาประสูติ"
พระราชามีสีพระพักตร์หนักใจ ก่อนจะถามขึ้นมาน้ำเสียงสั่่นว่า "นี่ท่านคงไม่ได้หมายความว่า..."
แล้วไม่มีทางแก้เลยฤ? พระราชาตรัสถาม
ฝ่ายปุโรหิตยิ้มขึ้นราวกับรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ต้องถามอย่างนี้
"ก็ไม่ใช่จะไม่มี แต่ว่า..." ท่านปุโรหิตพูดเบาจนยากที่จะได้ยิน หากแต่พระราชาทรงสดับแล้วกลับตกพระทัย
..................................................................
"เจ้าหญิงมณฑาเพคะ" เสียงของนางบาทจาริกา วิ่งมาจากหน้าประตูห้องบรรทมของพระธิดา
"มีอะไรจ๊ะมาลี?" พระธิดาตรัสถามด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะราวกับดนตรีสวรรค์
ว่าแต่มาลีมีอะไร
"นี่เพคะ พวงมาลัยสำหรับพระธิดาวันนี้"
ว่าแล้วมาลีก็นำมาลัยไปถวายพระธิดาซึ่งประทับนั่งอยู่บนแท่นที่บรรทม
พระธิดารับพวงมาลัยมาอย่างอ่อนโยนเพื่อป้องกันดอกไม้ช้ำ จากนั้นก็จ้องอย่างพินิจ
จากนั้นพระธิดาก็หยิบเข็มยาวซึ่งวางอยู่บนพานข้างๆขึ้นมา แล้วก็หยิบดอกไม้ซึ่งใส่ไว้ในอีกพานขึ้นมาบรรจงเอาก้านวางลงบนปลายแหลมของเข็ม
จากนั้นก็ออกแรงกดเล็กน้อยจนก้านดอกไม้ทะละลง พระองค์ก็รูดลงไปอยู่ช่วงปลาอีกด้านที่ไว้สำหรับร้อยด้าย
กิริยาดูเชื่องช้า แต่แม่นยำ ทุกดอกที่บรรจงใส่ถูกจัดเรียงอย่างสวยงาม ไม่นานนักดอกไม้ที่ร้อยก็ซ้อนกันจนเกือบเต็มเข็ม
พระธิดาวางเข็มที่เต็มลงบนพาน จากนั้นหยิบเข็มใหม่มาแล้วก็ร้อยอีก แต่คราวนี้เปลี่ยนดอกไม้แล้ว
ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของมาลี นางจ้องมองพระธิดามณฑาอย่างไม่ละ
ในใจก็อดชื่นชมไม่ได้ที่พระธิดานั้นมีความทรงจำเป็นเลิศ แค่สอนครั้งเดียวก็ทำได้
ผ่านไปนานพอดู พระธิดาก็นำด้ายมาร้อยที่ปลายเข็มจากนั้นบรรจงเลื่อนพวงมาลาลงบนด้าย
ยังขาดไปอีกหน่อย ดังนั้นพระธิดาจึงร้อยมาลัยเพิ่มลงไป
พอดี ขึ้นรูปเป็นพวงมาลัยได้พอดี
คราวนี้พระธิดานำอีกเข็มที่ร้อยด้วยดอกอย่างอื่นมา ตรงปลายนั้นเป็นดอกกุหลาบที่ยังไม่บาน ถัดขึ้นไปก็เป็นดอกรักที่แกะแล้ว
ในที่สุดก็ได้มาสองอัน พระธิดานำทั้งสองสิ่งนั้นมาเชื่อมกับพวงมาลัยโดยนำดอกกุหลาบที่บานแล้วมาเป็นตัวคั่น
เพื่อความสวยงาม พระธิดาร้อยมาลาลงภายใต้ดอกกุหลาบนั้น
พวงมาลัยเสร็จสมบูรณ์
พวงมาลัยดอกมะลิสีขาวนวลดัดกับสีของกุหลาบแดงที่เป็นตัวคั่นและห้อยที่ปลายทั้งสองของส่วนที่ร้อยด้วยดอกรัก
เหล่าดอกไม้ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบสวยงาม
"ว่าแต่พระธิดา" มาลีมองแล้วกล่าวขึ้น "พระองค์ไม่คิดจะร้อยเป็นลายอื่นเลยหรือเพคะ รู้สึกว่ามันธรรมดามากๆเลย" จากนั้นก็จับพวงมาลัยนั้นสำรวจดู
อ้อ นางนั่งอยู่ข้างล่างแท่นบรรทมนะ
ซึ่งก็เป็นไปตามที่มาลีคิด พวงมาลัยนั้นกลับไม่มีลวดลายอะไรเลย คงไม่ใช่เพราะพระธิดาพึ่งทำครั้งแรกแน่ เพราะตัวอย่างที่นางทำเองแล้วนำมาให้นั้นก็ทำแบบแม้จะไม่ซับซ้อนมาก แต่ก็แฝงลวดลายไว้
จะว่าไปแล้วพระธิดาไม่ชอบเรื่องยุ่งยากนี่นะ มาลีคิดก่อนที่จะถวายพวงมาลัยคืน
พระธิดามณฑารับพวงมาลัยกลับมา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า "ถึงแม้ว่าลวดลายพวกนั้นจะดูสวยงามและทำได้ไม่ยาก แต่เรากลับชมชอบความเป็นธรรมชาติของดอกไม้ที่ยังไม่ได้ตกแต่งมากกว่า" พระธิดานำพวงมาลัยขึ้นมาทอดพระเนตร "หากจะกล่าวว่าเราก็เป็นดั่งพวงมาลัยนี้คงไม่ผิดนัก" แต่พระนางตรัสเบาๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่พ้นหูของมาลีอยู่ดี
รอยยิ้มประหลาดปรากฏบนใบหน้าของนางบาทจาริกาผู้นี้
"เอ๋ ฉันมีอะไรหรือจ๊ะ มาลี?" เจ้าหญิงมณฑาถามขึ้น
"เปล่าเพคะ" นางยังคงตอบทั้งๆที่ยิ้มอย่างนั้น
แต่ทว่ามาลีกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว นางผลักพระธิดาลงบนแท่นบรรทม แล้วนางก็ขึ้นคร่อมพระธิดาไว้
"เอ๋ เอ๋ เอ๋???" พระธิดาที่ตกพระทัยได้แต่อุทานอย่างนั้น พระเนตรจ้องมาที่มาลีซึ่งอยู่บนตัวพระนาง
"เรียบร้อยเหมือนดอกไม้ที่ร้อยเหรอ? อย่างนี้ต้องสำรวจสักหน่อยแล้วเพคะ"
"เดี๋ยว จะทำอะไรฉันกันจ๊ะมาลี? นี่เดี๋ยวสิ ไม่ได้นะ!!" พระธิดารีบห้ามหลังจากที่มือของมาลีเริ่มเล่นซนบนพระวรกายของพระนาง
"หึๆๆ ดอกปทุมสินะ ว่าแต่ดอกปทุมนี่มันใหญ่ดีนะ น่าจับจัง"
"เอ๋?? หมายความว่าไงจ๊ะ? ห๊ะ!" ทีแรกอยากจะถาม แต่ตอนนี้คงไม่ต้องแล้ว
ไม่ทราบว่าทำตั้งแต่เมื่อใด แต่ทว่า พระธิดาถูกถอดชุดเหลือแต่ผ้าบางๆปิดไว้เสียแล้ว
"จะทำอะไรต่อดีน้า" มาลีทำสีหน้าชั่วร้าย
"ว้ายยยยยยยย" เสียงของพระธิดากรีดร้องดังมาจากประตูห้องบรรทม
"หา เสียงนี้มัน พระธิดานี่!!!" ทหารองครักษ์คนหนึ่งได้ยินก็รีบถีบประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
มือของเขามือหนึ่งถือดาบ อีกข้างถือฝักดาบ(มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนี่นะ - -") ตะโกนเรียก "พระธิดา มีอะไรหรือพะยะค่ะ!!!" เสียงที่เขาตะโกนออกมานั้นทั้งกังวลและเป็นห่วง จากนั้นก็สอดสายตามองไปรอบๆ
"อุโฮะ อุโฮะ อุโฮะ" เสียงองครักษ์อุทานขึ้นหลังจากเห็นบนแท่นพระบรรทม
ในสายตาเขานั้น ตอนนี้มาลีที่นอนคร่อมบนร่างเจ้าหญิงที่ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นกำลังลูบพระพักตร์ของเจ้าหญิงอย่างอ่อนโยน ทั้งสองมองกันด้วยสายตาสเน่หา...
"มาลี..."
"พระธิดา..."
จากนั้นก็มีเสียงเก็บดาบเข้าฝัก เสียงฝักดาบกับกรอบดาบกระทบกัน
"ขออภัยที่มารบกวน"
จากนั้นองครักษ์ก็เดินออกไปอย่างอายๆราวกับไปเห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นเข้า
เจ้าหญิงเห็นเช่นนั้นก็รีบอธิบาย "เอ๋ เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่นะ คือว่า นี่มัน" แต่เวลากระทันหันเจ้าหญิงมักจะนึกหาคำไม่ออก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกันทุกคนนั่นแหละ
....................................................................................
มาอธิบายกันหน่อยดีกว่า
กบิล
พระนามของพระราชาในเรื่องนี้ ส่วนใหญ่จะรู้จักความหมายของชื่อนี้ว่า "ลิง" ซึ่งคำว่ากบิลนี้แหละคงจะเพี้ยนเป็น "กระบี่" ซึ่งแปลว่าลิง (อ้างผู้แต่ง) แต่ทว่าในเรื่องนี้ประสงค์ใช้คำว่า "กบิล" ที่แปลว่า "สีแดง" หรือ "ดวงอาทิตย์" เพราะพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีอำนาจมาก จะแปลว่าลิงคงจะไม่เหมาะ เรื่องนี้นี่ต้องขอบคุณท้าวกบิลพรหมแห่งเรื่องตำนานสงกรานต์ที่ได้อ่านไปทำให้นึกออก
อ้อ นอกจากนี้ที่่เคยเจอ "กบิล" ยังแปลว่า "วัวแดง" ได้ด้วยนะเออ เอาดิ
ปุโรหิต
คำๆนี้เด็กสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักก็เป็นได้
ปุโรหิตเป็นหน้าที่หรือตำแหน่งหนึ่งในพระราชวัง มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์(เรียกพระราชาดีกว่า สั้นดี) นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการทำนายดวงของพระราชา พระบรมวงศานุวงศ์ และเหตุการณ์บ้านเมือง และของที่ดูเหมือนว่าเด็กสมัยนี้ไม่รู้จักกันแล้วอย่างกระดานชะนวนจะเป็นของอย่างหนึ่งที่ปุโรหิตมี
้อ้อ ปุโรหิตนี่ส่วนใหญ่จะต้องเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาด จะกล่าวว่าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นก็ได้ และไม่ได้เป็นกันได้ง่ายๆเนื่องด้วยคนที่เป็นนั้นจะต้องเป็นวรรณะพราหมณ์หรือพราหมณ์นั่นเอง และวิชาความรู้ที่เรียนนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเรียนจบกันได้ง่ายๆแบบหลักสูตรสมัยนี้ บางคนก็ใช้เวลานาน บางคนก็ใช้เวลาแป๊บเดียว แล้วแต่สติปัญญาของแต่ละคน แต่จบแล้วมีงานทำจริง เชื่อสิ (แต่งานอะไรไม่รู้นะ เอาเป็นว่าไม่อดตายแน่ มั้ง?)
มาลี
ความหมายก็คือดอกไม้หรือพวงดอกไม้ อารมณ์ตอนแต่งดูเหมือนว่าจะนึกอะไรไม่ออก เพราะสาวใช้น่าจะมีชื่อที่ง่ายๆและไม่จำเป็นต้องใช้ศัพท์ที่สูงส่งอะไร
เอาเป็นว่ามาลีนี่แหละ ไหนๆก็โผล่ออกมาตอนที่ร้อยมาลัยอยู่แล้วนี่
มณฑา
จริงแล้วดอกมณฑานั้นเป็นดอกไม้ที่หาได้บนโลกนี่แหละ แต่ส่วนตัวผู้แต่งที่ไม่ชำนาญเรื่องพันธุ์ได้ชนิดใดเลยทั้งไม้ดอกแลไม้ประดับเลยมิอาจอธิบายอันใดได้ แต่ในเรื่องนี้เจ้าหญิงพระนามว่า "มณฑา" หากจะให้เต็มก็คือ "มณฑาทิพย์" ซึ่งมีที่มาจาก "ดอกมณฑารพ" ซึ่งอยู่บนสวรรค์ัชั้นดาวดึงส์นั่นเอง แต่ทว่าคำว่า "มณฑารพ" ไม่ค่อยเหมาะกับผู้หญิง เลยใช้แค่ห้วนๆว่า "มณฑา"
................................................................................................
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะสบายกว่าเรื่องอื่นหน่อยตรงที่ไม่ต้องคิดชื่อให้ปวดหัว แต่ก็ปวดหัวกับราชาศัพท์นี่แหละ
ถามว่ามีต้นคิดจากอะไร?
ก็บอกว่าไปฟังเพลงมาเพลงนึงที่ไม่ได้ฟังมานานแล้ว เลยคิดแต่งขึ้นมา แต่รู้สึกว่ามันจะไม่ได้เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่เรื่องนั้นก็ช่างมันเถอะ!!!
เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร?
ไม่รู้เหมือนกัน คงจะเป็นประมาณนิทานล่ะมั้ง? แม้จะไม่เข้ากันแต่ก็พยายามจะใส่มุกที่รู้กันในปัจจุบันเข้าไปในเรื่องด้วยแล้วกัน ถ้าทำได้น่ะนะ
ลองติดตามตอนต่อไปดูละกัน ถ้ามีน่ะนะ
...................................................................................
มณฑา ตอนที่ ๑
[IMG]