http://k002.kiwi6.com/hotlink/41y70r3lp2/carry_on_early_version_.mp3
http://k003.kiwi6.com/hotlink/90taj348ng/01._0-gravity.mp3
http://k003.kiwi6.com/hotlink/ovw4aqg16h/once_and_forever.mp3
เสียงร่ำไห้ของมานะที่ดังก้องไปทั่วโรงเก็บ B.U. ของอิซานางิ โดยมานะที่ทรุดร่างลงกับพื้นระเบียงทางเดินกำลังกอดร่างของมิซึกิเอาไว้หลังจากที่เธอพยายามจะเข้าไปในห้องนักบินของยูกิคาเสะที่ยูกิเพื่อนของเธอเคยใช้แต่ถูกพวกทหารหน่วยแพทย์ที่มารับศพของเธอห้ามเอาไว้ โดยศพของเธอคงต้องเรียกว่าเก็บไปแค่ส่วนที่ยังเหลือเสียมากกว่า โดยตอนนี้ภายในห้องนักบินนั้นเต็มไปด้วยคลาบเลือดที่เปื้อนไปทั่วห้องนักบิน อาเธอร์และพวกเฉลิมชัยต่างก็ยืนมองอยู่ห่างๆ แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคืออนันต์กำลังยืนร้องไห้เป็นเผาเต่า ถ้าจะให้พูดอนันต์เคยคุยกับยูกิรวมแล้วยังไม่ถึง10 ชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่สำหรับทหารที่ผ่านสนามรบเดียวกันมันก็ราวกับมีสายสัมพันธ์บางอย่างที่เชื่อมโยงพวกเขาเอาไว้
“ถ้าตอนนั้นฉันดูแลพวกนั้นดีกว่านี้คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาหรอก” เฉลิมชัยพูดพลางเอามือกุมขมับ
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับ แล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น สงครามมันก็แบบนี้ล่ะ ความหมายของเครื่องแบบทหารมันก็แบบนี้ล่ะครับ ทั้งเราทั้งศัตรูไม่มีใครทั้งนั้นที่ผิด” อาเธอร์พูดพลางกัดลริมฝีปากแน่นจนมีเลือดซึ่มไหลออกมา
“ขอบใจนะ ต้องให้นายมาช่วยปลอบซะแล้วสิ” เฉลิมชัยพูด
“ทุกท่านขอบคุณมากค่ะ ขอเชิญพวกคุณทุกคนพักผ่อนกันเถอะค่ะ” เสียงที่คุ้นหูของเจ้าหญิงดังขึ้นจากด้านหลังของทุกคน
“ขอบคุณมากครับสำหรับคำเชิญ แต่ผมจะกลับไปอีกครับ ยูอิและลอร่ายังคงต่อสู้อยู่ เพื่อนๆของผมยังอยู่แนวหน้า ผมจะกลับไป” อาเธอร์พูดพลางหันกลับมาแต่หนนี้เขากลับต้องยืนอึ้งเมื่อเห็นองค์อยู่ในชุดนักบินรัดรูปสีขาวซึ่งมันค่อนข้างหนากว่าชุดธรรมดาเพราะมันเป็นรุ่นที่ใช้สำหรับอวกาศ และข้างๆเธอยังมีเด็กผู้หญิงตัเล็กดูแล้วอายุน่าจะราวๆ 8-9 ขวบ โดยเธอเองก็อยู่ในชุดนักบินเหมือนกัน
“อย่าบอกนะครับ ว่าคุณจะออกไปแนวหน้าน่ะ!!” อาเธอร์ร้องขึ้นส่วนเธอแค่พยักหน้าตอบเท่านั้น
“ฉันเองคงทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วล่ะค่ะ ภาพของเหล่าทหารที่ต้องตายไปทีละคนในการรบ ฉันเห็นแค่นั้นก็เกินพอแล้วค่ะ” เธอพูดพลางกำหมัดแน่น
“แต่ว่าท่านไม่เคยขับB.U. มาก่อนไม่ใช่เหรอครับ” เฉลิมชัยพูดขึ้น
“ใครว่าไม่เคยล่ะคะ ฉันเคยขับยูกิคาเสะเครื่องสีดำมาก่อนแล้วล่ะค่ะ” เธอตอบพลางมองไปยังด่านล่างของโลกเก็บซึ่งมันกำลังเปิดออกพร้อมกับสัญญาณเตือน ร่างของ B.U.ตัวหนึ่งถูกยกขึ้นมายังโรงเก็บซึ่งมันถูกผ้าสีน้ำตาลเก่าๆ คลุมเอาไว้
“นั่นมันอะไรน่ะ” อาเธอร์พูดพลางจ้องมอง B.U.ตัวนั้นด้วยความสงสัย ขนาดของมันสูงราว 16 เมตรเศษได้
“B.U.ที่ว่ากันตามหลักแล้วมันไม่มีได้ใช้งานอย่างเป็นทางการของประเทศเราค่ะ B.U. รุ่นที่ 3 ที่ประเทศเราใช้งานชิโรงาเนะ” เธอตอบเสียงเรียบ
“ไม่ได้ใช้งานอย่างเป็นทางการ” อาเธอร์พูดขึ้นลอยๆ
“ค่ะ B.U.ที่นานาชาติรู้จักนั้นจะมีแค่ คามิคาเสะ ยูกิคาเสะ แค่สองรุ่นแต่ยังมีรุ่นที่3 ที่ทั้งประเทศเรามีแค่ 10 เครื่องการผลิตขึ้นใช้งานเป็นความลับสุดยอดซึ่งมีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่จะได้ใช้ ชื่อของมันคือ คุโรงาเนะ และจะมีเพียงเครื่องเดียว นั่นคือเครื่องของจักรพรรดินั่นก็คือชิโรงาเนะ ซึ่งตอนนี้มันตกเป็นของฉันแล้วน่ะค่ะ” เธอตอบพร้อมกับที่ผ้าคลุมค่อยๆเปิดออกเผยร่างของ B.U. ที่มีสีขาวหม่น ส่วนหัวดูราวและใบหน้าของมันดูเหมือนกับสวมหน้ากากเอาไว้ ส่วนอกที่มีขนาดใหญ่ผิดกับช่วงเอวที่มีขนาดเล็ก บูสเตอร์ขนาดใหญ่ที่ติดเอาไว้ที่ส่วนหลังและระหว่างกลางของบูสเตอร์ทั้งสองนั้นมีดาบยาวแบบมาตรฐานติดตั้งเอาไว้
“เอาล่ะ ไปกันเถอะคานาโกะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกับเด็กสาวข้าง
“เด็กคนนั้นหมายใครเหรอครับ อย่าบอกนะครับว่าคุณจะพาเธอไปสนามรบด้วย” เฉลิมชัยพูดด้วยสีหน้าที่ดูจะไม่พอใจเอามากๆ
“ใช่ค่ะ เธอเป็นนักบินสองของชิโรงาเนะ เครื่องรุ่นนี้ต้องขับสองคนน่ะค่ะ” เธอตอบ
“งั้นขอให้ผมทำหน้าที่นักบินสองแทนแล้วกันครับ” อาเธอร์เสนอขึ้น
“คิดว่ายังไงคานาโกะ เขาจะขับไหวไหม” องค์หญิงถามเด็กหญิงข้าง ส่วนเธอแค่พยักหน้าน้อยๆแล้วพูดขึ้น
“เขาทำได้แน่”
“เช่นนั้นเชิญมากับฉันค่ะ” เธอสั้นๆแล้วเดินจากไป
พวกเฉลิมชัยเตรียมออกไปยังสนามรบอีกครั้ง โดยมานะได้รับคำสั่งโดยตรงจากองค์หญิงว่าห้ามออกไปในสนามรบอีกจนกว่าจงครามนี้จะจบ และให้ทหารสามคนคอยจับตาดูเธอเอาไว้ ส่วนที่เธอออกคำสั่งไปแบบนั้นเพราะว่าหากให้เธอไปในสภาพจิตใจไม่เต็มร้อยแบบนี้รับประกันว่าเธอไม่รอดแน่ๆ
อาเธอร์ที่เข้ามาภายในห้องควบคุมของชิโรงาเนะแล้วก็ถึงกับนั่งตัวแข็งทื่อ ห้องนักบินที่กว้างกว่าที่เขาเคยขึ้นบังคับ โดยเขานั่งอยู่ที่นั่งด้านล่างและองค์หญิงนั่งเยื้องขึ้นไปด้านบนเล็กน้อย อาเธอร์ค่อยๆทำการเช็คระบบต่างๆอย่างยากลำบากแต่ก็ค่อยเป็นไปค่อยไปเพราะมันเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด
“ระบบทุกอย่างทำงานเต็ม100% ไม่มีปัญหาอะไรครับ” อาเธอร์พูด
“ถึงห้องบังคับการ เตรียมเส้นทางส่งออกให้ด้วยชิโรงาเนะและคุโรงาเนะจะออกไปยังสนามรบ” สิ้นเสียงของเธอพื้นของโรงเก็บอีก 8 จุดก็เปิดออกพร้อมกับร่างของชิโรงาเนะไม่สิต้องเรียกมันว่าคุโรงาเนะ รูปร่างทั้งหมดมันเหมือนกับชิโรงาเนะแต่มันเป็นสีดำทั้งเครื่อง และเมื่อทั้งหมดเริ่มเดินเครื่องขึ้นมาพร้อมกันแสงสีแดงเล็กๆที่ดุราวกับดวงตาก็ทอประกายขึ้น ซึ่งพวกมันคือกล้องที่ใช้จับภาพภายนอกซึ่งปกติแล้วมันก็น่าจะมีแต่สองจุดแต่สำหรับพวกคุโรงาเนะกลับใช้กล้องถึงสี่ตัว
ภายในห้องควบคุมอาเธอร์กำลังมองไปรอบๆตัว ปกติหน้าจอมอนิเตอร์จะอยู่ด้านหน้า ที่นี่มันไม่ใช่หน้าจอพวกนั้นคงต้องพูดว่ามันอยู่รอบตัวไปหมดทั้งซ้าย ขวา ด้านหน้าและด้านบน มันฉายภาพทั้งหมดได้อย่างครบถ้วน จุดที่มันไม่ได้ฉายภาพมาก็คงมีแต่ด่านหลังกับด่านล่างเท่านั้น อาเธอร์มองสิ่งต่างๆด้วยใบหน้าซีดเผือด ได้แต่คิดในใจว่า “อะไรกันฟร๊ะระบบแบบนี้ไม่เคยเห็นไม่เคยใช้ แถมท่าทางมันจะแพงสุดๆ”
“เป็นอะไรไปคะ” องค์หญิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆสบายๆ
“แค่ตื่นเต้นปนประหม่านิดหน่อยครับ” อาเธอร์ตอบเธอไปตรงๆ ส่วนเจ้าตัวที่ได้ยินคำตอบนั้นกลับยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วนึกสนุกแล้วจึงพูดขึ้นพร้อมกับเริ่มเคลื่อนไหวชิโรงาเนะไปยังช่องทางส่งออก
“ฉันจะเล่าอะไรให้ฟังนะคะ เรื่องนี้อายุ 30 ปีแล้วล่ะค่ะ แล้วรู้มั้ยคะ ว่าตอนที่สร้างทั้ง 10เครื่องขึ้นมาน่ะมันทำให้ประเทศของเราต้องตกไปอยู่ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจซบเซาเลยล่ะค่ะ ตัวนึงราคาก็ราว 10,000 ล้านเห้นจะได้ อ่อเงินสกุลกลางนะคะ” เธอพูดขึ้นอย่างนึกสนุก สวนอาเธอร์ก็ทำให้เธอไม่ผิดหวังเหงื่อชุ่มทั่วใบหน้า ราคาแพงขนาดที่ ผลิตเรนเจอร์ของอเมริกาเอามาระเบิดเล่นได้เป็นพันๆตัวเลยด้วยซ้ำ
เมื่อชิโรงาเนะมาถึงช่องทางส่งออกก็ถึงหน้าที่ของนักบินสองทันที โดยตอนนี้แท่นส่งออกถูกยึดเข้าที่ส่วนขาของชิโรงาเนะอย่างแน่นหนาและเตรียมส่งออกแล้ว อาเธอร์ค่อยเริ่มเดินเครื่องบูสเตอร์และในตอนนั้นเองที่มีเสียงของหญิงชาวคนหนึ่งดังขึ้น
“นี่ห้องบังคับการอิซานางิ ตอนนี้หน่วยทำลายดาวหางกำลังพยายามฝ่าลงไปยังดาวอยู่แต่ดูเหมือนว่าหน่วยของพันตรีสุเมรากิกำลังถูกปินล้อมโดยพวกอีทเตอร์อยู่ค่ะ และกองยานจีนเองก็พยายามจะรวมพวกอีทเตอร์ให้เป็นกลุ่มแล้วใช้ปืนใหญ่ของยานยิงถล่ม และมีบางส่วนที่กำลังพยายามฝ่าเข้าไปเพื่อสนับสนุนหน่วยของพันตรี และก็หน่วยกำลังผสมของกองกำลังจีนไทยและญี่ปุ่นอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นพวกที่ถูกตัดขาดกำลังพยายามจะฝ่าลงล้อมเข้าไปเช่นกันและดูเหมือนว่าจะเป็นนักบินจากรัสเซียที่มากับยานวัลคีรี่ค่ะ” เธอรายงานสถานการณ์ร่าสุดให้พวกเขาฟัง ส่วนอาเธอร์ได้แต่คิดในใจว่าขอให้ปลอดภัยทีเถอะทั้งสองเท่านั้น
“ชิโรงาเนะพร้อมออกตัวแล้วครับ” อาเธอร์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ทราบแล้วค่ะ เส้นทางส่งออกเคลียร์ เชิญออกตัวได้ค่ะ”
“ชิโรงาเนะ ออกตัว!!” สิ้นเสียงของอาเธอร์อุปกรณ์ส่งออกก้เริ่มทำหน้าที่ทันที มันส่งชิโรงาเนะออกไปด้วยความเร็วสูงบวกกับการเร่งความเร็วของบูสเตอร์เต็มที่ตั้งแต่ต้นทำให้มันพุ่งออกไปเร็วมาก ดวงตาของอาเธอร์จับจ้องไปที่มาตรวัดที่บอกความเร็วที่กำลังพุ่งสูงขึ้นซึ่งมันทะลุ1300 กิโลเมตร/ชั่วโมงไปแล้ว
“กัปตัน ตอนนี้เครื่องยนต์ที่เสียหายเริ่มกลับมาใช้งานได้อีกครั้งแล้วครับ!!!” เจ้าหน้าที่ประจำยานวัลคีรี่พูดกับกัปตันสาว
“เยี่ยม!! งั้นเริ่มเดินหน้าเต็มกำลัง เราจะไปช่วยพวกลอร่ากัน!!” กัปตันสาวพูด
“แต่กัปตันยานเราโทรมจนหมดสภาพแล้วนะครับ!!”
“จะปล่อยให้ลอร่าตายไม่ได้เหมือนกัน ยังไงก็ต้องไปช่วย หน่วยผสมนั่นใกล้พินาศเต็มทีแล้วนะ” กัปตันสาวพูดขึ้นพลางทุบที่วางแขนอย่างแรง
“กัปตัน รีบนำยานออกจากแนวรบได้แล้วครับ ผมจะเข้าไปทำการสนับสนุนหน่วยอื่นๆให้เอง” เสียงของอาเธอร์ดังขึ้นในห้องบังคับการของยาน
“อาเธอร์ ว่าแต่ไม่ใช่ว่ากำลังไปถล่มรังเหรอ” กัปตันสาวถามขึ้น
“เสร็จไปแล้วครับงานนั้น ตอนนี้เวลาเหลือน้อยแล้ว หน่วยขุดเจาะต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการเจาะดาวก่อนถึงเส้นตาย ดังนั้นมีคนช่วยมากขึ้นซักนิดก้ดีกว่าใช่ไหมล่ะครับ”
“เข้าใจแล้วอย่าตายล่ะอาเธอร์” กัปตันสาวพูดขึ้น
“รับทราบครับ!!”
“กัปตันคะ ตรวจพบสัญญาณที่ยืนยันไม่ได้จำนวน 9 จุด อะไรกันเนี่ย ความเร็วขนาดนี้ เครื่องบินรบ ไม่สิแต่คลื่นความร้อนแบบนี้มัน B.U.” เจ้าหน้าที่ CIC สาวพูดขึ้นอย่างสงสัยกับสัญญาณที่เรด้าตรวจพบ เธอจึงเปลี่ยนเป็นดึงภาพขึ้นมาบนจอภาพแทน และภาพของ B.U.ที่ไม่รูปจัก 9 เครื่องก็ฉายขึ้นมา ซึ่งยานลำต่างๆเองก็เป็นเหมือนกันหมด “อะไรกันความเร็วขนาดนี้ 1500กิโลเมตร/ชั่วโมง มันเป็น B.U. แน่เหรอ”
เหล่าคุโรงาเนะเริ่มบินตรงดิ่งเข้าไปยังสนามรบอย่างรวดเร็ว และเมื่อเริ่มการปะทะเวลายังไม่ถึงนาทีจำนวนพวกฮันเตอร์ก็ลดลงเกิน 10 ตัว โดยจุดที่พวกเขากำลังไปคือตำแหน่งที่พวกลอร่ากำลังถูกปิดล้อมอยู่
“บ้าจริง คุณนักบินรัสเซียสงสัยเราจะแย่แล้วนะเอายังไงดี!!” เสียงของทหารจีนคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างของ B.U. สีเขียวเข้มที่ติดเกราะหนาเตอะเข้ามาใกล้เธอซึ่ง B.U. ตัวนั้นก็คือ เสวียนอู่ ของจีนนั่นเอง
“คงต้องถอยไปตั้งหลักแล้วจัดกำลังใหม่มาอีกรอบแล้วล่ะ” ลอร่าพูดพร้อมกับยิงกระหน้ำใส่เหล่าศัตรูด้วยปืนแกทลิ่งและปืนใหญ่ที่ติดเอาไว้ด้านหลัง
แต่ในระหว่างนั้นเองที่มีร่างของฮันเตอร์ตัวหนึ่งอ้อมมาทางด้านหลังของเธอและอีกตัวจากด้านบน ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่กระชั้นชิดเกินกว่าจะหลบทัน ในตอนนั้นเองที่เธอนึกถึงหน้าของอาเธอร์ขึ้นมา แต่จู่ๆร่างของพวกมันก็ขาดเป็นส่องท่อนพร้อมกับการปรากฏตัวของ B.U. สีดำสองเครื่องที่บินผ่านไป ทั้งสองเริ่มแยกย้ายกันออกไล่ล่าฮันเตอร์ตัวอื่นๆอย่างรวดเร็ว เพียงสองเครื่องก็ในเวลาไม่ถึงนาทีก็กำจัดฮันเตอร์ไปได้กว่าสี่ตัวในเวลาเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น ส่วนตัวไหนที่เริ่มหนีออกไปไกลพวกเขาจะไม่ตามต่อและเปลี่ยนเป้าทันที แต่เจ้าพวกนั้นเองก็ไม่รอดเหมือนเดิมมันถูกระดมยิงด้วยกระสุนขนาดใหญ่ของไรเฟิลซุ่มยิงขนาด60mm และวินาทีต่อมาการต่อสู้แบบตะลุมบอนก็เริ่มขึ้น B.U. สีดำเครื่องหนึ่งซึ่งใช่ปืนใหญ่105mm เป็นอาวุธที่กำลังยิงสนับสนุนคนอื่นๆอยู่ถูกฮันเตอร์บุกเข้าถึงตัวได้แต่เขากลับไม่หนีหรือมีท่าทางแตกตื่นเขาโยนปืนใหญ่นั้นทิ้งอย่างไม่ลังเลแล้วใช้ดาบที่มีเพียงเล่มเดียวที่ติดอยู่ที่หลังออกมาแล้วพุ่งเข้าไปฟันศัตรูอย่างไม่รอช้า
แต่ในตอนนั้นเองที่ลอร่าเห็นเครื่องหนึ่งที่แตกต่างออกไป หน้าตาของมันเหมือนกับตัวอื่นๆแต่สีของมันกลับเป็นสีขาวหม่น
“ลอร่า เธอปลอดภัยนะ!!” เสียงของอาเธอร์ดังขึ้นในช่องสัญญาณสื่อสารนั่นทำให้ลอร่าแปลกใจมาก
“ปลอดภัย ว่าแต่ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” เธอถามขึ้น
“เวลาไม่มีแล้วเธอรีบกลับไปจักกำลังใหม่แล้วค่อยกลับเข้ามา เอาไว้จะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง” สิ้นเสียงของอาเธอร์ลอร่าก็รีบผละออกจากการรบทันที แต่ถึงอย่างนั้นบริเวณนั้นพวกฮันเตอร์ก็โดนไล่ต้อนไปมากจนเรียกว่าเหลือแต่ซากซะเป็นส่วนใหญ่
ในเวลาเดียวกันที่ทำลายดาวเองก็กำลังพยายามจะลงไปให้ถึงผิวของดาวหางอย่างยากเย็นอยู่
“คุ้มกันแท่นเจาะเอาไว้ อีกแค่นิดเดียวก็จะถึงผิวดาวหางได้แล้ว พยายามเข้าทุกคน” ยูอิพูดพร้อมกับพยายามไล่ล่าฮันเตอร์ตัวหนึ่งที่กำลังพยายามบินหนีสุดชีวิตอยู่
“โธ่ว้อย เราไม่รอดแน่ๆ เลย!!!” ทหารคนหนึ่งร้องขึ้น
“เจ้าบ้า อย่าไปคิดแบบนั้นสิพยายามเข้า ครอบครัวกำลังรอการกลับไปของนายอยู่ไม่ใช่รึไง!!” ยูอิพูดเตือนสติของเขา ส่วนยูกิคาเสะที่เข้ามาเสริมก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาได้เปรียบขึ้นมาเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วก็กลับมาเป็นเหมืนเดิมเพราะว่าไม่สามารถกำจัดพวกฮันเตอร์ได้เร็วพอ
แต่ในตอนนั้นเองที่สัญญาณเตือนในทาเคมิคาสึจิดังขึ้นพร้อมกับฉายภาพของ B.U. ที่ไม่มีในฐานข้อมูลกลุ่มหนึ่งขึ้นมา ดวงตาของยูอิเปิดกว้างพร้อมกับร้องเสียงหลง
“คุโรงาเนะ!!! แถมยังมีชิโรงาเนะมาด้วย!! แถมยัง9 เครื่อง!!!!”
“โฮ่ หมาเฝ้าบ้านโดนปล่อยออกจากกรงแล้ว ว่าแต่คนแถวนี้ก็มีสิทธิ์จะขับแท้ๆ แต่ดันหายตัวไปเงียบๆ ไม่งั้นในกลุ่มนั้นคงมี 10 ตัว”เสียงของฮารุโกะที่ฟังดูเรียบๆดังขึ้นเหมือนทุกที
“ยะ ยุ่งน่าฮารุโกะ!!!” ยูอิร้องขึ้นพร้อมกับเอาดาบของทาเคมิคาสึจิจ้วงแทงฮันเตอร์ตรงหน้า
“ก็จริงนี่ เธอเองน่ะก็มีฐานะเป็นเชื้อพระวงศ์เองเลยด้วยซ้ำ แต่ดันอยากมาเป็นแค่ทหารราชองครักษ์ธรรมดา แถมในการรบจู่ๆก็ หายไปเงียบๆหนีไปซะเฉยๆ ที่แท้ก็แอบไปติดหนุ่มที่ไหนไม่รู้กลับมาก็มีคู่หมั้น แถมความสัมพันธ์ยังซับซ้อนอีก” ฮารุโกะพูด
“ฮารุโกะ ไม่เจอกันนาน พูดมากขึ้นนะ!!!” ยูอิร้องขึ้น
“เวลามันเปลี่ยนคนได้ เหมือนกับเธอไงเมื่อก่อนจะสุภาพกว่านี้ แต่นี่พอมีว่าที่สามีแล้วกลายสภาพเป็นจิซึรุหมายเลข2ไปซะแล้ว อีกหน่อยมีลูกทำตัวแบบนี้ลูกกลัวหมดนะ” เสียงเรียบๆของฮารุโกะดังขึ้นแต่มันแฝงเอาไว้ด้วยความสดใสอย่างบอกไม่ถูก
“เรื่องของฉันน่า!!!” ยูอิร้องขึ้นอีกครั้งพร้อมกับใช้ดาบผ่าร่างของฮันเตอร์ขาดเป็นสองซีก
“ยูอิ!! เธอยังปลอดภัยใช่ไหม!!” เสียงของอาเธอร์ดังขึ้นในช่องสัญญาณซึ่งนั่นมันทำให้ยูอิเกิดอาการสับสนอย่างมากทำไมสัญญาณติดต่อเข้ามามันถึงมีเสียงอาเธอร์ ก็กลุ่มที่เข้ามาเสริมมันมีแต่คุโรงาเนะกับชิโรงาเนะแท้ๆ
“อาเธอร์ทำไมถึงไปขับเครื่องพวกนั้นได้ล่ะ” ยูอิพูดขึ้นอย่างงงๆ
“ตอนนี้ฉันทำหน้าที่นักบินสองของชิโรงานเนะอยู่น่ะ” เขาตอบ
“เดี๋ยว ไม่จริงน่า นี่เธอคิดจะแต่งงานกับท่านยูกิโนะงั้นเหรอ” ยูอิถามขึ้นอย่างงงๆแต่ในน้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความเศร้าและเสียใจอย่างมาก
“หา!! หมายความว่ายังไงน่ะ ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นนะ ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ” อาเธอร์ถามขึ้น
“คนที่ขับชิโรงาเนะได้มีแค่องค์จักรพรรดิและคนในครอบครัวเท่านั้น นั่นหมายความว่าเธอเองก็ต้องเป็นคนในครอบครัวด้วยน่ะสิถึงจะมีสิทธิ์ขับมัน” ยูอิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความเย็นชา
“ยูอิ เธอโดนนอกใจแล้วล่ะ น่าสงสารจริงๆ แต่ก็นะเธอมันก็แค่ทหารราชองครักษ์ธรรมดาจะเอาอะไรไปสู้องค์หญิงของประเทศเราได้ แถมทางนั้นยังเป็นเด็กสาววัยกำลังเจริญเติมโตอายุ 17 ด้วย เธอแพ้แล้วล่ะ” ฮารุโกะพูดถอนหายใจ แต่ในตอนนั้นเองที่ยูอิเปลี่ยนเป้าไปบินไล่ฮารุโกะแทนพวกฮันเตอร์
อาเธอร์ที่ได้ยินคำนี้แล้วได้แต่หันกลับไปมองเด็กสาวด้านหลังที่กำลังมองไปทางอื่นแล้วผิวปากแบบไม่สนใจอะไร ตอนนี้เขาอยากจะพูดแต่พูดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย
“เจ้าหนุ่ม อย่าไปคิดมากน่ะ แค่มาช่วยเป็นนักบินแทนท่านคานาโกะใช่ไหมล่ะ เอาเถอะน่า อย่าคิดมาฉันเข้าใจความรู้สึก แล้วอีกอย่างนายไม่ใช่คนแรกที่ขึ้นขับในฐานะนักบินสองทั้งๆที่เป็นคนนอก” เสียงของชายวันกลางคนดังขึ้น ซึ่งเขาเป็นนักบินของคุโรงาเนะเครื่องหนึ่ง
“นั่นสินะ เรามาทำให้เรื่องมันจบๆกันดีกว่า!!” อาเธอร์พูดขึ้นพร้อมกับเริ่มทำการไล่ล่าฮันเตอร์ตัวหนึ่ง ส่วนยูกิโนะเองพอได้โอกาสก็ควบคุมให้ชิโรงาเนะใช้ดาบในมือฟันใส่เป้าหมายอย่างไม่รอช้า ปริมาณของพวกฮันเตอร์เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง และหน่วยทำลายดาวก็เริ่มลงไปตั้งแท่นขุดอย่างรวดเร็ว
“พวกเราต้องคุ้มกันนานแค่ไหนกับครับองค์หญิง” อาเธอร์ถามขึ้นขณะกำลังไล่ถล่มพวกฮันเตอร์ที่เข้ามา
“จนกว่าแท่นขุดเจาะจะเจาะเข้าไปในดาวได้แล้วน่ะค่ะ ถึงตอนนั้นก็หมดหน้าที่ของเราแล้ว ตัวระเบิดที่ตั้งเอาไวในแท่นเจาะจะระเบิดเองเมื่อถึงความลึกที่กำหนด แล้วนั่นจะทำให้ขาวหางดวงนี้แยกออกเป็นสองซีกแรงระเบิดจะผลักให้มันแยกออกจากกัน ส่วนเศษเล็กเศษน้อยเราจะทำลายด้วยระเบิดไฮโดรเจนทีหลังค่ะ” ยูกิโนะอธิบายให้อาเธอร์ ส่วนเขาเพียงแค่พยักหน้ารับอย่างว่างง่ายและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
“ยูอิ คุณยูอิครับตอบด้วย” อาเธอร์พูดเสียงแผ่วขณะกำลังเรียกคนที่ต้องการ แต่อีกฝ่ายตอบกลับด้วยความเงียบ “อย่าโกรธกันแบบนี้สิ เอาเป็นหมดเรื่องราวแล้วฉันจะเล่าให้ฟังทุกอย่างเลย ดังนั้นอย่าโกรธนะ” แต่อีกฝ่ายก็ยังคงเงียบและไม่พูดตอบ
และในเวลาต่อมาการติดต่อจากหน่วยทำลายดาวก็มาถึง ทุกคนเริ่มถอนตัวออกจากแนวรบอย่างรวดเร็ว เพื่อหนีให้พ้นจากการระเบิดและในเวลาต่อมาภาพการระเบิดของดาวหางนั้นก็เกิดขึ้น การระเบิดเป็นไปตามที่ยูกิโนะพูดเอาไว้ ดาวหางแยกออกเป็นสองซีกและค่อยๆลอยห่างออกจากกัน และการคำนวณของระบบ AIเองก็ยืนยันแล้วว่าเศษชิ้นส่วนขนาดใหญ่ที่สุดของดาวหางลอยผ่านดาว JP-103 ไปอย่างแน่นอน ทหารหลายคนที่เมื่อเห็นภาพนี้ต่างก็ถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความยินดีออกมา และในเวลาต่อมาระเบิดไฮโดรเจนที่เตรียมเอาไว้ก็เริ่มยิ่งเข้าใส่เศษขนาดเล็กของดาวหางที่ยังคงพุ่งตรงลงไปยังดาวพร้อมๆกับกำจัดพวกอีทเตอร์ที่ยังเหลืออยู่ เสียงโห่ร้องอย่างยินดีของเหล่าเจ้าที่ในยานอิซานางิดังก้องไปทั่วทั้งยาน
“ได้ยินรึเปล่ามานะ พวกเราชนะแล้วนะ การตายของยูกิไม่ศูนย์เปล่าหรอกนะ” มิซึกิพูดกับมานะที่นั่งขดตัวอยู่บนเตียงในห้องพัก
เมื่อพวกอาเธอร์กลับมายังยานอิซานางิพวกเขาถูกต้อนรับราวกับเป็นวีรบุรุษ เหล่าทหารที่ยังเดินไหวและเจ้าหน้าที่บนยานต่างมารอต้อนรับพวกเขากันอย่างเนืองแน่น แต่ดวงตาของอาเธอร์กลับไปสะดุดเข้ากับชายคนหนึ่งนั้นคือเฉลิมชัย ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ตามออกไปรบ เพราะพวกเขายืนรวมกับพวกทหารบนระเบียงของโรงเก็บ B.U.พอเจ้าตัวเห็นว่าอาเธอร์กำลังมองมาที่ตัวเองก็ชูนิ้วโป้งขึ้นมาพลางยิ้มให้เขา
ยานวัลคีรี่ ลอร่าที่กลับมาที่ยานเองก็มีเจ้าหน้าที่บนยานพากันมาต้อนรับเช่นกัน ตอนนั้นเองที่จู่ๆลอร่าก็มีน้ำตาไหลซึมออกมา มันเป็นความรู้สึกที่ยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันคือน้ำตาแห่งความดีใจ
และที่ห้องบังคับการยานวัลคีรี่เองก็ไม่ต่างกันกัปตันสาวที่ประกาศว่าให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่ห้องประชุมเพื่อที่จะได้ดื่มฉลองกัน ส่วนเหตุผลที่ไม่ให้ไปที่ห้องครัวนั่นก็เพราะมันพังจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
ที่ทางเดินของยานอิซานิงิในเขตพื้นที่อยู่อาศัย อาเธอร์ซึ่งเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดสีดำกำลังเดินตรงไปยังห้องพักห้องหนึ่งและเขาก็ต้องสะดุดตากับหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีดำยาวรวบเป้นผมหางม้า มิซึกินั่นเอง เธอออกมายืนอยู่นอกห้องพัก
“มานะล่ะ” อาเธอร์ถามเธอสั้นๆ ส่วนอีกกฝ่ายส่ายหน้าตอบแล้วพูดขึ้น
“ไม่ยอมพูดอะไรเลยค่ะ คุณเข้าไปเองแล้วกัน” มิซึกิพูดพลางส่ายหน้า อาเธอร์ที่ได้ยินแบบนั้นจึงเดินเข้าไปในห้อง และเมื่อเขาเดินเข้ามาก็พบกับห้องนอนขนาดกะทัดรัดมีสองเตียงนอนและสองโต๊ะทีงานและห้องอาบน้ำเท่านั้น เมื่อเขาเดินเลยประตูมาเล็กน้อยมันก็ปิดเองโดยอัตโนมัติ
มิซึกิถอนหายใจออกมาทางจมูกแล้วจึ่งพูดเสียงเบากับตัวเอง “เราเองก็แทบแย่เหมือนกัน ยูกิตายแล้ว สินะ” เมื่อสิ้นเสียงน้ำตาของเจ้าตัวก็เริ่มไหลออกมา แต่ไม่มีเสียงสะอื้นใดๆดังขึ้น “ประตูล็อค” เธอใช้คำสั่งเสียงกับประตูเมื่อให้มันล็อค แล้วจึงเดินจากไปอย่างเงียบด้วยความรู้สึกเศร้าและเสียใจในความไร้สามารถของตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนรักของตัวเองเอาไว้ได้ทั้งๆที่เขาอยู่ตรงหน้าตัวเองแท้ๆ
ภายในห้องนอนที่มืดสนิทมีร่างของมานะที่นั่งขนตัวไม่ยอมขยับไปไหนอยู่บนเตียงเงียบๆ ใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด อาเธอร์ค่อยๆขึ้นไปนั่งข้างๆเธอบนเตียงแล้วเอนหลังพิงผนังห้องและยืดขาออกไปจนสุด
“เราชนะแล้วนะ” เขาพูดเสียงเรียบ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงเงียบและไม่ตอบอะไร “ยูกิน่ะตั้งใจปกป้องเธอซึ่งเป็นเพื่อนรักด้วยชีวิตของตัวเอง และนั่นหมายความว่าเธอจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือนี้ทั้งหมดแทนส่วนของยูกิไปด้วย เหมือนกับฉันไง ฉันเองก็กำลังใช้ชีวิตแทนเพื่อนคนสำคัญที่ปกป้องฉันด้วยชีวิตเหมือนกัน ดังนั้นการที่เราจะมานั่งจมอยู่กับความเศร้าแล้วมาโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองน่ะมันจะผิดกับคนที่จากไปนะ”
“คุณเองก็เคยเสียเพื่อนที่รักมากๆไปเหมือนกันเหรอคะ” เธอถามเสียงเรียบอย่างไม่ใส่ใจ
“จะเรียกว่าเพื่อน ก็คงได้ล่ะนะ ยัยนั่นยศมากกว่าฉันสองขั้น เป็นร้อยเอก ในสมัยที่ฉันยังเป็นแค่เจ้าบ้าคนนึงที่กำลังไฟแรงเพราะได้ออกสนามรบครั้งแรก เธอเป็นทั้งหัวหน้าแล้วก็เพื่อนคนสำคัญของฉันน่ะ แต่แล้ววันนึงยัยนั้นก็เข้ามารับลูกปืนใหญ่แทนฉัน ฉันโทษว่าทุกอย่างมันเป็นความผิดของตัวเอง จนมีเจ้าบ้าอีกคนมาชกหน้าฉันเพื่อเตือนสติ แล้วก็พูดประโยคที่ฉันเพิ่งบอกเธอไปนั่นล่ะ ให้ตายสิยังจำได้อยู่เลยล่ะความเร็วในวันนั้น” อาเธอร์เล่าเรื่องในอดีตให้มานะฟัง หลังจากที่เขาพูดจบก็นั่งอยู่เงียบๆอย่างนั้นและในระหว่างนั้นเองที่มานะจับที่แขนเสื้อของเขาเบาๆ อาเธอร์ค่อยๆหันไปหาเธอและในตอนนั้นเองที่เธอเข้ามาประกบริมฝีมือจูบกับเขา อาเธอร์ที่จู่ๆก็ถูกจูบถึงจะมีท่าทางตกใจอยู่บ้างแต่กลับไม่มีท่าทีจะขัดขืนอะไรทั้งนั้น
“คืนนี้ ช่วยอยู่กับฉัน ได้รึเปล่าคะ” มานะพูดขึ้นพลางมองมายังเขา เธอใช้มือของเธอจับมือของอาเธอร์เอาไว้และค่อยๆยกมันขึ้นมาวางลงบนหน้าอกของเธออย่างแผ่วเบาพร้อมกับค่อยๆเข้ามาจูบกับอาเธอร์อีกครั้ง ทั้งสองค่อยๆเอนร่างลงนอนบนเตียงอย่างช้าๆ
ชั่วโมงต่อมา อาเธอร์ที่นอนอยู่บนเตียงภายในห้องของมานะ โดยตัวของมานะนั้นหลับอยู่ข้างๆอาเธอร์ อาเธอร์มองใบหน้ายามหลับของมานะแล้วใช้นิ้วมือค่อยๆเปิดผมที่ปิดใบหน้าของเธอออก แต่จู่ๆเขาก็ถอนภายใจออกมาแล้วพูดกับตัวเองอย่างแผ่วเบา “นี่เราทำอะไรอยู่กันเนี่ย”
ราวสองวันต่อมา ณ ดาวดวงใดดวงหนึ่ง
ภายในห้องนอนที่ดูหรูหราสไตล์ตะวันตก ร่างของชายหนุ่มผมดำคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบในยามเช้า แต่ในตอนนั้นเองที่ประตูห้องเปิดขึ้นพร้อมกับร่างของหญิงสาวในชุดโทนสีแดงและเรือนผมสีแดง เธอเดินตรงไปที่เตียงแล้วจึงกระซิบข้างหูชายหนุ่ม
“นายท่านคะ เช้าแล้วค่ะ” เมื่อสิ้นเสียงของเธอเขาจึงค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นอย่างง่ายดายราวกับว่าเขาแค่แกล้งหลับเพื่อรอให้เธอมาปลุก
เขาค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงในสภาพเปลือยครึ่งร่าง เขาค่อยๆเปลี่ยนชุดไปพลางฟังกำหนดการต่างๆจากหญิงสาวผู้ช่วยของเขา
“นายท่านคะ แล้วก็สิ่งนี้เราเพิ่งได้รับมาจากสายฯของเราที่เข้าไปแฝงตัวในที่ต่างๆค่ะ” เธอพูดพร้อมกับยืนเอกสารปึกเล็กๆให้ชายหนุ่ม เขาค่อยๆเปิดพูดมันคือข้อมูลลับในการพัฒนา B.U. รุ่นใหม่ 5 เครื่องจาก 4 ประเทศ
“ไทยกำลังซุ่มพัฒนา แฟนท่อม ญี่ปุ่นเองก็กำลังจะเข็นเอารุ่นใหม่อย่าง ไทฟูนกับทาเคมิคาสึจิออกมา รัสเซียเองก็พัฒนาโวลคเสร็จแล้ว ส่วนอเมริกาก็ฟอนค่อนสินะ” ชายหนุ่มพูดพลางโยนเอกสารพวกนั้นลงพื้น “พวกนี้มันก็แค่ B.U. กระจอกเท่านั้นล่ะนะ แล้วการทดลองที่ญี่ปุ่นล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“พวกอีทเตอร์ตายหมดค่ะ แต่โดยรวมถือว่าประสบผลสำเร็จตามเป้า เท่านี้แผน G ก็ขยับเข้ามาอีกขั้นหนึ่งแล้ว” เธอพูดเสียงเรียบ
“เท่านี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าเราสามารถควบคุมพวกอีทเตอร์ได้ตามที่เราต้องการ แล้วการถอดความจารึกโบราณของพวกต่างดาวนั่นล่ะ” เขาถามหญิงสาว
“ถอดความไปได้กว่า70% แล้วค่ะ อีกแค่นิดเดียวเราก็จะพบต้นต่อสถานที่ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเหล่าอีทเตอร์ และที่อยู่ของราชินีที่แท้จริงผู้ให้เกิดเนิดรังทั้งหมด” เธอตอบ
“เอาล่ะ ถ้างั้นก็มาเริ่มองก์ที่สองของบทละครนี้กันเถอะ”
ตอนหน้าเป็นตอนจบของช่วงที่ 1 แล้วนะครับ และจะเข้าสู่ช่วงที่สองในตอนถัดไป
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย vodooking1 เมื่อ 2013-4-24 14:14
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย vodooking1 เมื่อ 2013-4-24 14:14
Valkyrie ตอนที่6 สงครามที่สิ้นสุดและสัญญาณของม่านละครองก์ที่สอง