“เล็ง!! ยิง!!” เสียงตะโกนของนายทหารดังขึ้น การยิงสดุดีให้กับพันตรี ทาคามูระ ยูกิร่างของผู้เป็นแม่ที่กำลังร่ำไห้กับการจากไปของลูกสาวเพียงคนเดียวที่อายุเพียงแค่ 22เหล่าแฟนเพลงของเธอต่างมาร่วมงานกันอย่างเนืองแน่น มานะที่กำลังโอบกอดโรงศพของผู้เป็นเพื่อนรักพลางร้องไห้ไม่หยุดโดยมีมิซึกิยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ
“นับแต่นี้มันคงเป็นงานศพที่ไม่มีวันสิ้นสุด สำหรับพวกเธอสินะ” เฉลิมชัยพูดพลางมองไปยังงานศพ
“ตราบาปของผู้รอดชีวิต สินะครับ” อาเธอร์พูด
“เอาล่ะ ฉันต้องไปแล้ว อีกสามชั่วโมงต้องออกเดินทางจากที่นี่แล้ว” เขาพูดพร้อมกับทำความเคารพแบบทหารอย่างหนักแน่นแล้วจึงพูดขึ้น “ลาก่อพันตรียูกิ พวกเราจะไม่ลืมเธอเลย” พันตรีคือยศของเธอที่ถูกเลื่อนขึ้นสองขั้นจากการสละชีวิตในสนามรบ แต่ว่ากำแพงที่กำลังถูกสร้างอยู่ที่สุสานทหารแห่งนี้มันสถานที่ที่จะจารึกชื่อของทหารทุกคนที่ตายจากสงครามครั้งนี้รวม 736,376 ชีวิต และทหารอีกกว่าสามแสนชีวิตที่ต้องกลายเป็นคนพิการไปจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นความศูนย์เสียครั้งใหญ่อีกครั้งของประเทศนี้
อาเธอร์ที่ยืนมองอยู่ห่างๆค่อยๆยกมือขึ้นเพื่อทำความเคารพแต่เขากลับดึงมือกลับแล้วพูดขึ้น “เอาไว้ ฉันจะกลับมาเยี่ยมใหม่นะ แล้วเจอกันยูกิ”
ส่วนทางจีนที่มาช่วยอย่างไม่เต็มใจในครั้งนี้เองก็ได้ประโยชน์ติดไม้ติดมือไปด้วย หลังจากที่ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่มาตลอด แต่ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มหันหน้าเข้าหากันมากขึ้น
ส่วนพวกวีรบุรุษที่ไม่มีวันถูกบันทึกลงหน้าประวัติศาสตร์เองก็เตรียมออกเดินทางอีกครั้งแล้วเช่นกัน
“กัปตัน ตอนนี้ยานเราซ่อมไปได้พอสมควรแล้วล่ะครับ ตอนนี้น่าจะพอไปรวมกับกองพัน 607 ของอดีตกองทัพเยอรมันได้ หรือเราจะกลับไปที่สลัมโคโลนี่ก่อนดีครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มพูด
“ไปรวมกับกองพัน607 ก่อนดีกว่า แล้วก็เรื่องเตรียมชิ้นส่วนของ B.U.ที่ขาดแล้วก็เรื่องเสบียงกับสิ่งจำเป็นอื่นๆล่ะ” กัปตันสาวถามขึ้น
“ครับ ทางกองทัพญี่ปุ่นเตรียมให้พร้อมทุกอย่างแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็คงพร้อมออกเดินทาง ว่าแต่ B.U.รุ่นใหม่นี่มันอะไรกันครับ ให้เรามาตั้ง 3 เครื่อง” เขาพูดพลางดูข้อมูล B.U. ที่ได้รับมาใหม่
“ก็ทางญี่ปุ่นขอทาเคมิคาสึจิคืน แล้วก็บอกว่าเจ้าสามตัวนั้นเป็นค่าตอบแทนสำหรับพวกเรา แล้วก็พวกเงินอีกนิดหน่อยล่ะนะ” กัปตันสาวตอบ
“สเป็คนี่สูงสุดๆไปเลยนะครับ ยูกิคาเสะที่เราใช้ยังเทียบไม่ติดเลย”
“ก็นะ นั่นหมายความว่าอีกหน่อยมีสงครามคนก็จะตายกันมากขึ้นไปอีกยังไงล่ะ” กัปตันสาวตอบพลางเดินออกไปจากห้องบังคับการ
ในเขตฐานทัพเรือ ร่างของอาเธอร์ที่ยืนพิงรั้วพลางมองไปยังท้องทะเลที่ต้องแสงยามเย็นของของดวงอาทิตย์สีส้มนวลพูดขึ้นกับคนที่อยู่ด้านหลังของเขา
“ขอบคุณนะ สำหรับทุกอย่างนะ แต่พรุ่งนี้พวกเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะ” อาเธอร์พูดขึ้นโดยไม่หันกลับไปมองคนที่อยู่ด้านหลัง
“ไม่ค่ะ ฉันเองก็ตัดสินใจแล้วสำหรับเรื่องนี้ ฉันเองก็ ......” มานะพูดขึ้นแต่ก็ต้องหยุดพูดเมื่ออาเธอร์เริ่มขยับตัวและทำท่าเหมือนกำลังจะเดินจากไป
“เธอน่ะ ไม่มีเวลาพอจะมาทำเรื่องแบบนี้หรอกนะ ผู้คนจำนวนมากเองก็ยังรอเธออยู่ไม่ใช่รึไง เธอทำหน้าที่ของเธอที่นี่ให้ดีที่สุดเถอะนะ ตอนนี้เธอเองก็ต้องพยายามแทนในส่วนของยูกิที่จากไปด้วยไม่ใช่รึไง เอาล่ะเราลากันแค่นี้เถอะนะ ลาก่อน มานะ” อาเธอร์พูดพลางออกเดินไปโดยไม่หันกลับมาเบื้องหลังแม้แต่น้อย เขากำหมัดแน่นและฝืนเดินออกไป โดยมีเพียงเสียงสะอื้นของมานะตามหลังมา
“โหดร้ายจังนะนายน่ะ เธอชอบนายไม่ใช่รึไง” เสียงของเดินนี่ดังขึ้นขณะที่อาเธอร์กำลังเดินตรงกลับไปที่ยานซึ่งตอนนี้กำลังขนของจำนวนมากเข้าไปอยู่
“เธอยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก แล้วอีกอย่างถ้าเธอไปกับพวกเราเธออาจจะตายเข้าซักวันก็ได้ แล้วอีกอย่างถ้าให้เธอไปกับเราด้วยซักวันความสัมพันธ์ของพวกเรามันอาจจะเกินเลยไปมากกว่านี้ก็ได้” อาเธอร์พูดด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
“นายเนี่ยอ่อนโยนผิดคาดแฮะ” แดนนี่ตอบพลางเดินจากไป “ลองเอาเรื่องเธอไปคิดใหม่ซักหน่อยก็ได้มั้ง มีเวลาถึงพรุ่งนี้เช้านะ”
“โฮ่ อ่อนโยนผิดคาด ความสัมพันธ์ที่อาจจะเกินเลยกว่านี้ อะไรงั้นเหรอ” เสียงของลอร่าดังขึ้นจากด้านหลังของอาเธอร์ ซึ่งนั่นทำให้เขาตกใจอย่างมาก
“เธอยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะลอร่า” อาเธอร์ถาม
“ตั้งแต่แรกเลย” เธอตอบพลางหันไปหายูอิที่ตอนนี้สวมชุดหมีแบบพวกทหารช่าง “ยูอิ!! มานี่หน่อยสิ!!” เมื่อสิ้นเสียงของลอร่าอาเธอร์ก็ได้แต่มุมปากกระตุก
และด้วยความกดดันจากสายตาของยูอิและความเงียบและเย็นชาราวน้ำแข็งของลอร่าทำให้อาเธอร์เล่าทุกอย่างให้พวกเธอฟังจนหมด
“เอาล่ะอาเธอร์ จำวิธีนั่งคุกเข่าสำนึกผิดที่เคยสอนไปได้ไหม” ยูอิพูดขึ้น ส่วนอาเธอร์เองก็รีบทำตามทันที “ดีมากนั่งอยู่แบบนั้นจนกว่าพวกเราจะเสร็จงาน แล้วเราจะมาคุยกันต่อห้ามขยับไปไหนล่ะ”
และคืนนั้นเองที่เป็นครั้งแรกที่อาเธอร์โดนสั่งห้ามเข้าห้องนอนจนต้องบางหน้าไปนอนกับแดนนี่แทน และในตอนเช้าวันนั้นเองพวกอาเธอร์ก็ต้องเตรียมออกยานขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโดยมีกองยานจำนวนหนึ่งออกมาส่ง โดยตัวองค์หญิงยูกิโนะออกมาส่งด้วยตัวเอง
“โห มาส่งเรากันเยอะเลย แถมยานธงมินาโมโตะก็มาด้วย” แดนนี่พูดพลางมองไปยังจอภาพของห้องบังคับการขณะยานเพิ่งออกมาจากชั้นบรรยากาศ
“เป็นเกียรติมากเลยนะที่มีคนใหญ่โตมาส่งพวกเราด้วยตัวเองแบบนี้” อาเธอร์พูด
และในขณะที่ยานวัลคีรี่ออกมานอกเขตของญี่ปุ่นได้ซักพักแล้วก็มีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้น เจ้าหน้าที่ CIC รีบรายงานอย่างรีบตอนด้วยความตกใจ
“ตรวจพบซิสไซล์ จำนวน 13 ลูกกำลังพุ่งตรงมาค่ะ แต่ตรวจไม่พบยานในเรด้าเลย ไม่เดี๋ยวก่อน นี่มันกองยานจีนค่ะ!! แล้วก็ยังมี B.U. อีกจำนวนมากด้วยค่ะ”
“มาดักรองั้นเหรอ ว่าแต่มันรู้ได้ยังไงว่าเราจะไปทางนี้” กัปตันสาวพูด “เตรียมป้อมปืนเท่าที่ยังเหลือ แล้วพยายามอย่าเข้าไปในเขตของญี่ปุ่นเข้าล่ะ พยายามหนีให้พ้น!!” กัปตันสาวออกคำสั่ง
ยานธงมินาโมโตะ องค์หญิงยูกิโนะที่กำลังจับจ้องชายวัยกลางคนที่กำลังยืนแสยะยิ้มอย่างภูมิใจอย่างเงียบ ชายคนนั้นก็คือนายกฯของญี่ปุ่นนั่นเอง ยูกิโนะเพียงแค่เดินออกมานอกห้องบังคับการของยานเงียบๆ แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยว
“คุณมิซึกิ ช่วยทำตามแผนที่วางเอาไว้ด้วยค่ะ” ส่วนมิซึกิที่ได้ยินประโยคนั่นแล้วถึงกับยิ้มอย่างดีใจ
“ไม่อยากจะเชื่อ ประเทศเราขายพวกเขาให้จีนงั้นเหรอ” มานะพูดพลางลอยตัวไปตามทางเดินเพื่อตรงไปยังห้องเปลี่ยนชุด
“มานะ เธออยู่ที่ไหนน่ะ” เสียงของมิซึกิดังขึ้นในเครื่องมือสื่อสารที่เธอสวมเอาไว้ที่หู
“ขอโทษนะ มิซึกิ ฉันต้องไปแล้วล่ะ” มานะพูดเสียงเย็น
“ยัยบ้า!! ถ้าเธอไปตอนนี้ล่ะก็ จะกลับมาที่กองทัพหรือประเทศนี้ได้อีกแล้วนะ”
“แล้วจะให้ฉันยืนดูพวกเขาต้องตายรึยังไงกัน!!!”
“เธอเองก็อยากจะตายตามไปด้วยอีกคนรึยังไงกัน นึกถึงยูกิที่ปกป้องเธอเอาไว้ด้วยชีวิตสิ เธอไม่ได้ทำไปเพื่อให้เธอเอาชีวิตมาทิ้งแบบนี้นะ!!!”
“ขอร้องล่ะมิซึกิ ปล่อยให้ฉันไปเถอะ!! ขอร้องล่ะ!!!” มานะพอพูดจบประโยคช์ก็ถอดเครื่องมือสื่อสารทิ้งทันที
หลังจากที่เธอเปลี่ยนเป็นชุดสูทเสร็จแล้วก็ตรงมาที่โรงเก็บB.U. ทันที แต่สิ่งที่รอเธออยู่คือมิซึกิที่สวมชุดสูทรอเธออยู่พร้อมกับทหารอาวุธครบมืออีกสามคนที่จ่อปืนเข้าหาเธอ
“จะไปให้ได้สินะ” มิซึกิพูดเสียงเรียบ
“ใช่ ถึงตาย ฉันก็จะไป ไปหาเขา” เธอตอบเสียงเข้ม
“ให้ตายสิ หัวแข็งจริงๆนะ” มิซึกิพูดพลางถอนหายใจ แต่ตอนนั้นเองที่ทหารทั้งสามล้มลงกองกับพื้นเพราะโดนมิซึกิซัดเข้าใส่ ส่วนมานะได้แต่ยืนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“เอาล่ะจะไปกันไปรึยัง!!” เสียงของทหารคนหนึ่งดังขึ้น และเมื่อมานะหันไปทางต้นเสียงก็พบกับทหารหน่วยราชองครักษ์ที่เธอคุ้นหน้ากว่าสิบคนที่ยืนรอพวกเธออยู่
“อะไรกันน่ะ” มานะพูดขึ้น
“ท่านยูกิโนะคาดการเรื่องนี้เอาไว้แล้วให้พวกเรามารอน่ะ” มิซึกิตอบ
“แล้วที่คุยกันนั่นล่ะ” มานะถามขึ้น
“ฉันก็แค่อยากรู้ความรู้สึกของเธอเฉยๆ แล้วอีกอย่างนะถ้ายูกิยังอยู่ แต่คงพูดว่า “มานะไปเถอะจ๊ะ” อยู่แล้วใช้ไหมล่ะ” มิซึกิพูดพลางเดินเข้ามากอดร่างของมานะเอาไว้ “พวกเราไปด้วยกันนะ” มานะที่ได้ยินคำนี้ก็ถึงกับหลั่งน้ำตาออกอย่างกลั้นไม่อยู่
“แล้วก็นั่น ดาบเล่มใหม่ของเธอ เพิ่งออกจากโรงงานมาเมื่อคืนเลย ส่วนอีกสามตัวส่งไปให้พวกนักบินบนยานวัลคีรี่แล้ว” ทหารคนหนึ่งพูดพลางผายมือไปทาง B.U.สีขาว รูปร่างของมันดูแปลกตา ส่วนอกที่ดูใหญ่และส่วนเอวที่ดูเล็กจนไม่สมส่วนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ B.U. ญี่ปุ่นผลิต ส่วนขาบริเวณหัวเข่ามีลักษณะดูแหลมคมคล้ายใบมีด และที่ส้นเท้าของมันก็ติดใบมีดเอาไว้ด้วยเล่มหนึ่ง นิ้วของมือทั้งหมดส่วนปลายทำมาให้ดูแหลมคม ดูราวกับว่าทุกส่วนของมันใช้เป็นอาวุธได้หมดก็ไม่ปาน
“Jp-606 Typhoon Type-01” มิซึกิพูด
และในเวลาเพียงชั่วอึดใจต่อมาสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น ช่องทางส่งออกของยานมินาโมโตะถูกทำลาย B.U.รุ่นยูกิคาเสะกว่าสิบเครื่องและไทฟูนรุ่นใหม่บินออกมาพร้อมกับโจมตีใส่ยานทุกลำที่อยู่บริเวณนั้นแล้วจึงรีบตรงไปยังแนวรบ โดยยานที่ถูกโจมตีนั้นถ้าไม่โดนยิงที่เครื่องยนต์ก็โดนทำลายตามป้อมปืนต่างๆทิ้งจนหมด
ที่ยานวัลคีรี่การรบยังคงติดพันและหนักหน่วง ด้วยสภาพยานที่ไม่เต็มร้อยเลยทำให้หนีไปไหนได้ไม่ไกล ห่างจากยานมาไม่ไกลเบเฮมอธของลอร่ากำลังต่อสู้กับ B.U. ที่ไม่คาดฝัน มันคือเบเฮมอธที่ติดตั้งอาวุธสำหรับสู้ประชิดตัวอีกเครื่องหนึ่ง นั่นหมายความว่าในกองทัพนี้มีพวกรัสเซียรวมอยู่ด้วย
“กัปตันคะ ขออนุญาตใช้ระบบซิกฟรีดค่ะ” ลอร่าพูดขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับตอบกลับมาแบบหัวเสียมากๆแทน
“คิดจะกลับไปเป็นแบบเมื่อก่อนอีกรึไง!! ไม่ได้!! ไม่อนุญาต แล้วก็ถ้าใช้ล่ะก็จะเอายืนหลักประจำยานยิงใส่ให้ดู!!” กัปตันสาวพูดอย่างหัวเสีย
ระหว่างที่ลอร่ากำลังต่อสู้กับเบเฮมอธอย่างยากลำบากอยู่นั้นจู่ๆเจ้าเบเฮมอธตัวนั้นก็ถอยห่างออกไปพอสมควร และในตอนนั้นเองที่มี B.U. ที่แสนคุ้นตาบุกเข้ามา ส่วนเกราะไหล่และเกราะขาที่ใหญ่โตที่แขนทั้งสองข้างติดของที่มีลักษณะดูแหลมคมคล้ายใบมีดเอาไว้ ชื่อของมันคือพรีเดเตอร์ B.U.รุ่นที่ใช้ประจำการในกองทัพของรัสเซียนั่นเอง ส่วนที่มันคุ้นตาลอร่ามากก็คือรูปหัวหมาป่าสีดำที่เกราะไหล่ของมัน
“ตกต่ำลงนะลอร่า ฉันนึกว่าเธอหนีหายไปไหนที่แท้ก็มารวมหัวอยู่กับพวกมันสินะ” เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยดังขึ้น
“พันตรีอิวาคอฟ!!” ลอร่าร้องขึ้น
“เป็นแค่ตุ๊กตาก็หัดทำตัวให้สมกับเป็นตุ๊กตาหน่อย แล้วก็กลับมาเป็นตุ๊กตาที่แสนดีของกองทัพได้แล้ว” อิวาคอฟพูดเสียงเ:X้ยม
“ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่ตุ๊กตา!!!” ลอร่าร้องขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้าใส่อย่างขาดสติ
“ตอนนี้ล่ะโลแลน!!” เมื่อสิ้นเสียงของอิวาคอฟเบเฮมอธที่ถอยออกไปก็เข้ามาขวางระหว่างกลางทั้งสอง มันใช้เบลดคัทเตอร์ของมันตัดแขนเบเฮมอธของลอร่าทั้งสองข้างแล้วต่อด้วยการฟันส่วนหัวจนพังเป็นชิ้นๆ
“เอาล่ะลอร่า กลับไปที่ที่เธอควรอยู่ซะ”
“ลอร่า!!” เสียงของอาเธอร์ดังขึ้นพร้อมกับห่ากระสุนที่พุ่งเข้ามาขวางทั้งสองเอาไว้
“เฮ้ยๆ เจ้าบ้าสู้กับฉันอยู่มีเวลาไปห่วงคนอื่นรึยังไงวะ!!!” เสียงของนักบินรัสเซียคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างของพรีเดเตอร์ที่ติดอาวุธหนักมาเต็มที่ ที่มือซ้ายของมันมีปืนใหญ่ 105mm และที่มือขวามีปืนกลขนาด 35mm ที่หลังติดตั้งปืนกดแกทลิ่งสองกระบอก
“อย่ามากวางน่า!!” อาเธอร์ร้องขึ้นพร้อมกับกระหน่ำยิงใส่เป้าหมายอย่างไม่รอช้า แต่อีกฝ่ายกลับบินหลบไปมาอย่างรวดเร็วโดยมีอาเธอร์ตามไปติด แต่ในชั่วเสี้ยววินาทีอีกฝ่ายก็เปลี่ยนมาเป็นฝ่ายไล่ล่าแทน
“คุณแดนนี่แย่แล้วค่ะทุกคน เครื่องของเขาถูกยิงถึงจะยังไม่ตายก็เถอะ!!!” เสียงของเจ้าหน้าที่ CIC ดังขึ้น
ส่วนยูอิที่ใช้ยูกิคาเสะเครื่องขาวอยู่นั้นก็กำลังตกที่นั่งลำบากเช่นกันเพราะเธอกำลังรับมือกับเบเฮมอธถึงสองเครื่อง
แต่ในตอนนั้นเองที่มีห่ากระสุนจำนวนมากพุ่งเข้าโจมตีใส่ B.U. ของทั้งรัสเซียและจีน โดยกระสุนเหล่านั้นถูกยิงมาจากเหล่ายูกิคาเสะ
“มิซึกิ ฉันไปก่อนนะ” มานะพูดขึ้นแล้วจึงเร่งเครื่องของไทฟูนเต็มกำลัง โดยเธอพุ่งเข้าใส่เจ้าพรีเดเตอร์ที่กำลังไล่โจมตีใส่เดสทรอยเยอร์ของอาเธอร์อยู่ทันที เธอใช้ดาบที่ติดอยู่ที่หลังฟันเข้าใส่เจ้าพรีเดเตอร์ตัวนั้น ถึงแม้ว่ามันจะพยายามหลบการโจมตีนั้นแล้วแต่ก็ยังช้าเดินไป ดาบนั้นฟันแขนซ้ายของมันขาดกระเด็น
“อะไรกันว๊ะ!!! แกเป็นใคร!!!” นักบินของรัสเซียคนนั้นร้องพร้อมกับสา.ดกระสุนเข้าใส่เธอทันที มานะควบคุมไทฟูนบินหลบไปมาอย่างรวดเร็ว แล้วฉวยโอกาศเพียงเสี้ยววินาทีพุ่งเข้าโจมตีใส่ ดาบฟันผ่าที่นั่งคนขับตรงบริเวณส่วนหน้าอกของพรีเดเตอร์จนขาดเป็นสองท่อน หลังจากนั้นไม่นานพรีเดเตอร์เครื่องนั้นก็ระเบิดเป็นชิ้นๆ
ส่วนอาเธอร์ที่ไม่มีใครกวนใจแล้วจึงรีบไปช่วยลอร่าต่อทันที ส่วนทางของยูอิที่กำลังลำบากนั้นตอนนี้ได้ยูกิคาเสะเครื่องทองของมิซึกิเข้ามาช่วยเอาไว้ และในขณะที่การต่อสู้กำลังเป็นไปอย่างดุเดือดก็มีอีกเสียงที่ดังแทรกเข้ามาในสนามรบ
“ขอแจมด้วยคนได้ไหมอาเธอร์!!! พอดีนึกขึ้นได้ว่าจากไปเงียบๆมันไม่ใช่สไตล์ของพวกฉันน่ะ!!!” เสียงของเฉลิมชัยดังขึ้น พร้อมกับสัญญาณของกองยานจากไทยที่ควรจะกลับไปแล้ว
“อะไรกันเนี่ย” กัปตันสาวพูดขึ้นอย่างงงๆ แต่ในตอนนั้นก็มีการติดต่อเข้ามา“กัปตันโซร่า ขอโทษนะครับที่ไม่ได้แจ้งเอาไว้ก่อน ดูเหมือนว่าองค์หญิงยูกิโนะของญี่ปุ่นจะคาดการถึงเรื่องนี้เอาไว้ พร้อมๆกับที่จะทำการจับกุมขบถด้วยในเวลาเดียวกันน่ะครับ” เสียงของกัปตันพรพรตดังขึ้น ส่วนกัปตันสาวที่ได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“นี่พวกเราโดนใช้งานเพื่อจะจับขบถงั้นเหรอ!!! ให้ตายสิฉันโดนเด็กสาวอายุ17 หลอกใช้งั้นเหรอเนี่ย ยอมเลยจริงๆคุณหนูคนนี้” กัปตันสาวพูดพลางหัวเราะออกมาสุดเสียง
“ขอให้กองทัพรัสเซียและจีนหยุดการต่อสู้ลงเดี๋ยว ถ้าหากคุณยังคงโจมตีใส่ยานลำนั้นต่อล่ะก็ ทางกองยานของเราจะทำการโจมตีใส่พวกคุณทันที เพราะยานลำนั้นเป็นแขกของฉันด้วยสิ” เสียงของยูกิโนะดังขึ้น ถึงในช่องสัญญาณที่เปิดมานั้นจะมีเสียงปืนดังแทรกเข้ามาเป็นช่วงๆก็ตาม
“ตอนนี้นายกฯอิโตกาวะ ที่ให้การสนับสนุนแผนการของพวกคุณอยู่นั้นถูกจับกุมในข้อหาขบถที่คิดจะทำการปฏิวัติภายใน ดังนั้นทางเราจึงขอให้คุณถอนกองกำลังออกไปด้วยค่ะ” เมื่อสิ้นเสียงของยูกิโนะ ภาพของกองยานอีกจำนวนหนึ่งของญี่ปุ่นก็แสดงขึ้นบนเรด้า
หลังจากนั้นสัญญาณถอยทัพจากกองทัพทั้งสองก็ตามมาทันที แต่เสียงของเฉลิมชัยกลับดังแทรกขึ้น
“อ่าวๆ รีบไปไหนกัน กลับมาก่อนเซ่พวกรัสเซีย” เฉลิยชัยพูดขึ้น โดยเจ้าตัวนั้นถ้าจะให้พูดก็คือเหม็นขี้หน้ารัสเซียเข้าเส้นจากสงครามครั้งก่อนอยู่แล้ว โดยคติของเฉลิยชัยนั้นจำง่ายๆสั้นๆคือ ขอแค่ได้ชกหน้าพวกรัสเซียก็พอใจแล้ว
“ต้องขอบคุณมากเลยนะคะ ท่านยูกิโนะ ที่ช่วยพวกเราเอาไว้” กัปตันสาวพูด
“ไม่เป็นอะไรค่ะ อีกอย่างฉันเองก็ใช้พวกคุณเป็นตัวเบี้ยด้วยสิ ต้องขอโทษด้วยนะคะ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งเรื่องค่าตอบแทนสำหรับงานนี้ ช่วยรับพวกขบถตรงนั้นไปได้รึเปล่าคะ แบบว่าพวกนั้นโจมตีใส่กองยานของเรา ไม่ไหวเลยจริงๆนะคะ ทหารพวกนี้” ยูกิโนะพูดพลางโบกมืออย่างเหนื่อยใจ
กัปตันสาวกุมขมับอย่างเหนื่อยใจ “ลงทุนจริงๆ เพื่อที่จะให้พวกเขามาร่วมทางกับเราเลยจงใจให้โจมตีกองยานของตัวเองแล้วตั้งข้อหา แล้วตอนนี้พวกเขาก็ไม่ต่างไปจากทหารที่มีโทษกำลังหลบหนีสินะคะ แถมแบบนั้นก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพญี่ปุ่นด้วย ดังนั้นการโจมตีกองทัพจีนและรัสเซียเองกองทัพก็ไม่ต้องรับผิดชอบ อื้ม~~” กัปตันสาวพูด
“ช่วยรับไปหน่อยได้ไหมคะ” ยูกิโนะถามขึ้น
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะรับพวกเขาเอาไว้” กัปตันสาวตอบ
“เอาล่ะ พวกคุณทุกคนในโทษที่ทำการโจมตีกองยานที่ฉันโดยสารมาด้วยนั่นคือ ฉันขอเนรเทศพวกคุณทุกคนออกจากประเทศนี้ค่ะ!!!” ยูกิโนะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูทรงพลัง
“รับทราบครับ/ค่ะ!!” กลุ่มทหารราชองครักษ์ที่โดนเนรเทศทั้งหมดพูดขึ้นพร้อมกัน
“เอาล่ะ หมดเรื่องแล้วงั้นเราก็ไปรวมกับกองยาน 607 กันเถอะ” กัปตันสาวพูดพลางคอกับความเหนื่อยยากในวันนี้แถบยังเกือบได้ไปเกิดใหม่แล้วด้วยสิ
เรื่องนี้ก็ได้จบลงแล้วะครับกับช่วงที่ 1 แล้วพบกันใหม่ได้ซีซั่นที่สองของนิยายเรื่องนี้