ในยามค่ำคืนที่ถูกย้อมด้วยสีเลือด เมืองที่เคยดังก้องไปด้วยเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขในยามนี้กลายเป็นเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังของผู้คน การสังหารหมู่ทั้งทหารแล้วชาวบ้านอย่างโหดร้ายของเหล่าทหารผู้บ้าคลั่ง เปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำแผดเผาเมืองที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา อากาศที่ใช้สูดเข้าไปเต็มไปด้วยกลิ่นเลือด เนื้อที่กำลังไหม้ไฟ
“รีบพาองค์หญิงหนีไปเร็วเขา!!” เสียงของอัศวินหนุ่มในชุดเกราะสีเงินคนหนึ่งร้องขึ้น เมื่อเขาเห็นกลุ่มทหารบ้านกลุ่มหนึ่งที่นำโดยอัศวินเกราะดำร่างโตโผล่มา โดยในมือของเขานั้นถือศีรษะของกษัตรที่มีใบหน้าอันบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดเอาไว้
“เอาตัวองค์หญิงมา!! ที่เหลือฆ่าให้หมด!!” เมื่อพวกทหารบ้านได้ยินคำสั่งพวกมันต่างก็วิ่งกรูเข้ามาทันที พวกนางกำนัลรีบพาองค์หญิงน้อยผู้มีเรือนผมสีทองยาวในชุดฟูฟ่องหนีออกจากที่นั่น วิ่งไปตามระเบียงอันกว้างขวางของพระราชวัง โดยทิ้งให้พวกทหารรับมือพวกทหารบ้านและอัศวินเกราะดำ
ระหว่างที่พวกนางกำนัลกำลังพาองค์หญิงหนีอยู่นั้นจู่ๆก็มีเสียงดังสนั่นของปืนคาบศิลาดังขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายนัด อาวุธรุ่นใหม่ที่ถูกนำเข้ามาขายโดยสมาพันธ์การค้าแห่งมอร์แกน
พวกนางกำนัลพาองค์หญิงหนีมาจนถึงห้องนอนขนาดใหญ่ ที่ตกแต่งเอาไว้อย่างโอ่อ่าและสวยงาม พวกนางกำนัลรีบพยายามย้ายตูเสื้อผ้าและโต๊ะมาขวางประตูบานคู่ที่ทำจากไม้เนื้อแข็งเอาไว้ หมายจะกันไม่ให้พวกทหารบ้านเข้ามาได้เพียงซักนาทีก็ยังดี
หญิงชราในชุดคลุมสีน้ำตาลซอมซ่อมเธอเดินจูงมือขององค์หญิงน้อยเดินมาที่ด้านหน้าเตาผิงในห้อง เธอใช้นิ้วกดลงไปที่ดวงตาของสิงโตซึ่งเป็นรูปสลักด้านบนเตาผิง ทันใดนั้นเองเตาผิงก็เปิดออกเผยให้เห็นช่องทางลับ
“องค์หญิง ท่านจะต้องหนีออกไปจากที่นี่ ท่านวิ่งไปตามทางใต้ดินมันจะพาท่านออกไปนอกเมืองได้” หญิงชราพูดพลางผลักด้านหลังขององค์หญิงเบาๆ
“ท่านผู้พยากร แล้วท่านล่ะจะทำยังไง เราจะได้เจอกันอีกไหม” องค์หญิงน้อยพูดพลางจ้องไปที่ใบหน้าของหญิงชรา ดวงตาสีมรกตของเธอฉายแววประกายแห่งความสิ้นหวังออกมา หญิงชราที่เห็นดังนั้นจึงยิ้มและเอ่ยขึ้น
“แน่นอน เราจะได้พบกันอีก แต่มันคงจะต้องใช้เวลาอีกนานมากๆกว่าเราจะได้พบกัน แต่องค์หญิง ท่านจงจำคำของข้าเอาไว้ให้ดี จากนี้อีกหลายปี ท่านจะได้พบกับมหาโจรผู้ครองทั้งผืนดินและท้องทะเล เขาคือผู้ที่เป็นทั้งนักรบผู้เก่งกล้า จอมโจรผู้ยิ่งใหญ่ และเขาจะเป็นผู้กอบ:X้เมืองแห่งนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ท่านจงจำเอาไว้ให้ดี” หญิงชราพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเองที่เสียงทุบประตูและเสียงตะโกนของพวกทหารชาวบ้านดังขึ้นจากด้านนอก เหล่านางกำนัลต่างเริ่มหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะหนีเอาตัวรอด “ยูมิล มานี่!!” หญิงชราร้องเรียกเด็กสาวในชุดเมดคนหนึ่งให้มาหา เด็กสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวปะบ่าผู้ถูกเรียกเลยรีบวิ่งมาเข้ามาด้วยสีหน้าดูแตกตื่นเอามากๆ
“ค่ะ ท่านผู้พยากร!!” เธอตอบรับ
“ไปกับองค์หญิง” หญิงชราพูดและรีบผลักทั้งสองเข้าไปในทางลับ
และเมื่อทั้งสองถูกผลักเข้ามาด้านในทางลับแล้ว มันจึงปิดตัวเองทันที ทั้งสองนั่งนิ่งอยู่ในความมืด แต่ในตอนนั้นเองที่มือเล็กๆของยูมิลคว้ามือขององค์หญิงเอาไว้
“ไปกันค่ะ องค์หญิง ยูมิลคนนี้จะปกป้ององค์หญิง เอาไว้.. กรี๊ด~” ยูมิร้องขึ้นอย่างตกใจ ร่างของเธอกลิ้งตกลงไปตามบันได “ฉันไม่เป็นอะไร~” ยูมิลร้องขึ้น
หลังจากนั้นทั้งสองจึงค่อยๆใช้มือคลำทางไปตลอดทางท่ามกลางความมืด
“นี่ยูมิล พวกเราจะรอดใช่ไหม” องค์หญิงน้อยถามขึ้น
“แน่นอนค่ะ ท่านมากับยูมิลทั้งคน ถึงเรื่องงานทำความสะอาดจะห่วย ทำอาหารก็แย่ แต่เรื่องเอาตัวรอดและความอึดล่ะก็โลกนี้ไม่มีใครเท่ายูมิลคนนี้แน่นอน” เธอตอบอย่างภูมิใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่เมื่อสิ้นเสียงของเธอทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความสิ้นหวังของเหล่านางกำนัลดังตามหวังมา ทั้งสองที่ได้ยินเสียงนี้ได้แต่รีบเดินไปจากที่นั่นโดยไม่เหลียวหลังกลับไป เสียงสะอื้นน้อยๆขององค์หญิงดังขึ้น ส่วนยูมิลเพียงแค่เร่งฝีเท้าเดินอย่างรวดเร็วและพยายามข่มอารมณ์เอาไว้
และเมื่อทั้งสองมาจนถึงทางออก มันกลับไม่ใช่ภาพแห่งความหวังแต่มันคือความสิ้นหวัง เมื่อสิ่งที่รอพวกเธออยู่คือกองทหารในชุดสีดำ ทหารบ้านสี่คนกรูเข้ามาจับทั้งสองแยกออกจากกัน
“ให้ข้ารอนานเลยนะครับองค์หญิง” ชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีดำที่มีรวดรายสีทองคนหนึ่งพูดขึ้น พลางเดินเข้ามาหาเธอ
“ข้าจะไม่ฆ่าท่าน แต่ข้าจะให้ท่านแต่งงานกับลูกชายคนเล็กของข้ากาอูลก็แล้วกัน” เขาพูดเสียงเย็น
“ท่านเป็นใครกัน” องค์หญิงถามเสียงสั่น
“ข้าเป็นกษัตรแห่งเดรนยังไงล่ะท่าน จงจำใบหน้าของข้าเอาไว้ให้ดีๆ เพราะข้านี่ล่ะที่ทำให้บ้านเมืองของท่านต้องถูกทำลาย เพราะข้านี่แหละที่ทำให้พ่อ แม่ และพี่น้องของท่านต้องตาย” เขาพูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ดวงตาสีฟ้าจับจ้องเข้าไปในดวงตาสีมรกตราวกับจะกลืนกินเธอเข้าไป
“ท่านพ่อ จะให้ข้าแต่งงานกับนางรึขอรับ” เสียงของเด็กหนุ่มร่างอ้วนคนหนึ่งดังขึ้น เด็กหนุ่มร่างอ้วนเดินเข้ามาใกล้ๆ เธอ เขาใช้มือที่เปื้อนไปด้วยคราบมันของอาหารจับใบหน้าของเธอหันซ้ายทีขวาที่ แล้วจึงแลบลิ้นเลียใบหน้าของเธอ องค์หญิงน้อยได้แต่ยืนสั่นด้วยความหวาดกลัวจนขยับตัวไม่ได้
“อย่าแตะต้ององค์หญิงนะ ไอ้หมูตอนน่ารังเกียจ เดี๋ยวแม่เอารองเท้ายัดปากซะนี่เน่!! แกรู้จักฉันยูมิลน้อยเกินไปแล้ว!!” เสียงของยูมิลดังขึ้น ซึ่งมันดึงความสนใจของทุกคนไปทางเธอจนหมด และภาพที่อยู่ตรงนั้นคือทหารสองคนที่ควรจะจับเธอเอาไว้นั้นนอนกองอยู่บนพื้นเสียแล้ว
“น่ารำคาญจริง ฆ่ามัน!!” เมื่อสิ้นเสียงของกาอูล ทหารบ้านราวยี่สิบคนก็เดินตรงเข้าไปหาเธอทันที
“เดี๋ยวๆๆๆๆ ผู้ใหญ่ยี่สิบคนรุมเด็กคนเดียวหรอก จะเป็นตัวร้ายก็มีขอบเขตหน่อยสิ” ยูมิลพูดพลางทำท่าจะวิ่งหนี
“อย่าทำอะไรยูมิลนะ!!” องค์หญิงร้องขึ้น เธอค่อยๆคุกเข่าแล้วโค้งตัวลงจนหน้าผากนาบลงกับพื้น “ฉันขอโทษแทนยูมิลด้วย ได้โปรดอย่าฆ่าเธอเลยนะ ฉันจะยอมทุกอย่างเลย ได้โปรดไว้ชีวิตยูมิลด้วยเถอะ” เธอร้องขอชีวิตให้นางกำนัลตัวน้อย กาอูลที่พอเห็นดังนั้นจึงค่อยๆยกเท้าขึ้นเหยียบลงไปที่หัวของเธอแล้วกดลงกับพื้นแล้วจึงพูดขึ้น
“จะคุกเข่าขอโทษน่ะ หน้ามันต้องนาบกับพื้นแบบนี้ต่างหากล่ะองค์หญิง” มันพูดพลางขยี้เท้าไปมาแล้วหัวเราะออกมา “ไว้ชีวิตมันเอาไว้ก่อน!!”
หลายปีต่อมา ณ โรงเตี้ยมเล็กๆ นอกเมือง
“สวัสดี ไม่ได้พบกันนานนะคะ คุณพ่อค้าเร่” เสียงหวานของเด็กสาวในชุดกระโปรงฟูฟ่องผู้ซ่อนใบหน้าเอาไว้ใต้ฮูดสีขาว
“โอ้ ท่านหญิง ไม่ได้พบกันตั้งสองปี วันนี้ข้ามีเรื่องราวการเดินทางใหม่ๆมาเล่าให้ท่านฟังมากมายเลยล่ะ” พ่อค้าเร่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ข้ายินดีจริงๆที่จะได้ฟังเรื่องการเดินทางของท่านอีก” เธอตอบอย่างกระตือรือร้น
“ท่านอยากจะฟังเรื่องไหนก่อนดีล่ะ การเดินทางผ่านดินแดนที่เต็มไปด้วยหิมะ หรือเรื่อง การเดินทางไปยังนครกลางป่าลึกในทวีปทางใต้ หรือประเทศที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่ออกใบสีชมพูสวยงาม หรืออยากจะได้เรื่องที่น่าตื่นเต้นหน่อยอย่างเรื่องการที่ข้าได้พบเจอกับจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่แห่งบานาเรสดีล่ะ” เขาถามเธอ
“เรื่องไหนก่อนก็ได้ค่ะ” เธอตอบ เมื่อพ่อค้าเร่ได้ยินแล้วเขาจึงใช้แก้วเบียร์ที่ทำจากไม้เคาะโต๊ะแรงๆ 3 ครั้ง นั่นทำให้คนทั้งร้านหันความสนใจมาทางเค้า
“ทุกท่าน วันนี้ข้ามีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับจอมโจรแห่งบานาเรสมาเล่าให้ทุกท่านได้ฟังกัน!!” เขาตะโกนขึ้น ซึ่งการตอบรับของคนทั้งร้านก็เป็นไปตามคาด พวกเขาให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก
“ในตอนที่ข้ากำลังเดินทางกลับจากทวีปทางตะวันออก เรือของพวกเราเดินทางผ่านพายุใหญ่และอันตรายอีกมากมายแห่งท้องทะเล แต่ไม่มีอะไรเลวร้ายเท่าโจรสลัด ระหว่างทางเราถูกพวกโจรสลัดโจมตีใกล้อ่าวฟูเซส พวกมันบุกปล้นและฆ่าผู้คนบนเรืออย่างสนุกสนาน และในวินาทีที่ข้าคิดว่าเราไม่รอดแล้วแน่ๆ ข้าก็พบเรือลำหนึ่ง เรือที่มีธงสีดำที่ขึ้นสัญลักษณ์หัวหมาป่าที่มีดาบไขว้ ใช่พวกนั้นคือกองโจรสลัดแห่งบานาเรส ในวินาทีที่พวกมันโผล่ออกมาเสียงปืนใหญ่ก็ดังขึ้น ลูกปืนใหญ่ถูกระดมยิงเข้าใส่เรือของพวกโจรสลัดอย่างแม่นยำ และเมื่อเรือของพวกนั้นเขาเทียบกับเรือของพวกโจรสลัด ข้าเห็นชายผู้หนึ่งโหนตัวขึ้นไปบนเรือของพวกโจรสลัด แค่ตัวคนเดียว เพียงแค่ตัวคนเดียวเขาจัดการกับลูกเรือนับสิบคนที่กรูเข้าไป ชายคนนั้นต่อสู้อย่างบ้าคลั่งราวกับปีศาจในคราบของมนุษย์ หลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่นาที ศพมากมายของพวกโจรสลัดที่พยายามจะฆ่าเขานอนตายเต็มดาดฟ้าเรือ ไม่มีใครหยุดเขาได้ หลังจากที่จัดการพวกโจรสลัดจดหมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียวชายคนนั้นและเรือของเขาก็แล่นจากไป เหลือทิ้งไว้แค่ศพมากมายของพวกโจรสลัดที่โดนฆ่า หลายๆคนบอกว่าพวกเขาเป็นโจรสลัดที่ถูกสมาพันธ์การค้ามอร์แกนเลี้ยงเอาไว้ให้คอยไล่ล่าพวกโจรสลัด และพวกโจรตามเส้นทางการค้าตามที่ต่างๆบนบก บ้างก็ว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่พวกโจรธรรมดา แต่ที่แน่ๆไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องต่อกรกับพวกเขา ไม่เคยมีแม้แต่คนเดียวที่รอดชีวิตกลับมา”
นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งชั่วคราวนะจ๊ะ
“รีบพาองค์หญิงหนีไปเร็วเขา!!” เสียงของอัศวินหนุ่มในชุดเกราะสีเงินคนหนึ่งร้องขึ้น เมื่อเขาเห็นกลุ่มทหารบ้านกลุ่มหนึ่งที่นำโดยอัศวินเกราะดำร่างโตโผล่มา โดยในมือของเขานั้นถือศีรษะของกษัตรที่มีใบหน้าอันบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดเอาไว้
“เอาตัวองค์หญิงมา!! ที่เหลือฆ่าให้หมด!!” เมื่อพวกทหารบ้านได้ยินคำสั่งพวกมันต่างก็วิ่งกรูเข้ามาทันที พวกนางกำนัลรีบพาองค์หญิงน้อยผู้มีเรือนผมสีทองยาวในชุดฟูฟ่องหนีออกจากที่นั่น วิ่งไปตามระเบียงอันกว้างขวางของพระราชวัง โดยทิ้งให้พวกทหารรับมือพวกทหารบ้านและอัศวินเกราะดำ
ระหว่างที่พวกนางกำนัลกำลังพาองค์หญิงหนีอยู่นั้นจู่ๆก็มีเสียงดังสนั่นของปืนคาบศิลาดังขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายนัด อาวุธรุ่นใหม่ที่ถูกนำเข้ามาขายโดยสมาพันธ์การค้าแห่งมอร์แกน
พวกนางกำนัลพาองค์หญิงหนีมาจนถึงห้องนอนขนาดใหญ่ ที่ตกแต่งเอาไว้อย่างโอ่อ่าและสวยงาม พวกนางกำนัลรีบพยายามย้ายตูเสื้อผ้าและโต๊ะมาขวางประตูบานคู่ที่ทำจากไม้เนื้อแข็งเอาไว้ หมายจะกันไม่ให้พวกทหารบ้านเข้ามาได้เพียงซักนาทีก็ยังดี
หญิงชราในชุดคลุมสีน้ำตาลซอมซ่อมเธอเดินจูงมือขององค์หญิงน้อยเดินมาที่ด้านหน้าเตาผิงในห้อง เธอใช้นิ้วกดลงไปที่ดวงตาของสิงโตซึ่งเป็นรูปสลักด้านบนเตาผิง ทันใดนั้นเองเตาผิงก็เปิดออกเผยให้เห็นช่องทางลับ
“องค์หญิง ท่านจะต้องหนีออกไปจากที่นี่ ท่านวิ่งไปตามทางใต้ดินมันจะพาท่านออกไปนอกเมืองได้” หญิงชราพูดพลางผลักด้านหลังขององค์หญิงเบาๆ
“ท่านผู้พยากร แล้วท่านล่ะจะทำยังไง เราจะได้เจอกันอีกไหม” องค์หญิงน้อยพูดพลางจ้องไปที่ใบหน้าของหญิงชรา ดวงตาสีมรกตของเธอฉายแววประกายแห่งความสิ้นหวังออกมา หญิงชราที่เห็นดังนั้นจึงยิ้มและเอ่ยขึ้น
“แน่นอน เราจะได้พบกันอีก แต่มันคงจะต้องใช้เวลาอีกนานมากๆกว่าเราจะได้พบกัน แต่องค์หญิง ท่านจงจำคำของข้าเอาไว้ให้ดี จากนี้อีกหลายปี ท่านจะได้พบกับมหาโจรผู้ครองทั้งผืนดินและท้องทะเล เขาคือผู้ที่เป็นทั้งนักรบผู้เก่งกล้า จอมโจรผู้ยิ่งใหญ่ และเขาจะเป็นผู้กอบ:X้เมืองแห่งนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ท่านจงจำเอาไว้ให้ดี” หญิงชราพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเองที่เสียงทุบประตูและเสียงตะโกนของพวกทหารชาวบ้านดังขึ้นจากด้านนอก เหล่านางกำนัลต่างเริ่มหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะหนีเอาตัวรอด “ยูมิล มานี่!!” หญิงชราร้องเรียกเด็กสาวในชุดเมดคนหนึ่งให้มาหา เด็กสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวปะบ่าผู้ถูกเรียกเลยรีบวิ่งมาเข้ามาด้วยสีหน้าดูแตกตื่นเอามากๆ
“ค่ะ ท่านผู้พยากร!!” เธอตอบรับ
“ไปกับองค์หญิง” หญิงชราพูดและรีบผลักทั้งสองเข้าไปในทางลับ
และเมื่อทั้งสองถูกผลักเข้ามาด้านในทางลับแล้ว มันจึงปิดตัวเองทันที ทั้งสองนั่งนิ่งอยู่ในความมืด แต่ในตอนนั้นเองที่มือเล็กๆของยูมิลคว้ามือขององค์หญิงเอาไว้
“ไปกันค่ะ องค์หญิง ยูมิลคนนี้จะปกป้ององค์หญิง เอาไว้.. กรี๊ด~” ยูมิร้องขึ้นอย่างตกใจ ร่างของเธอกลิ้งตกลงไปตามบันได “ฉันไม่เป็นอะไร~” ยูมิลร้องขึ้น
หลังจากนั้นทั้งสองจึงค่อยๆใช้มือคลำทางไปตลอดทางท่ามกลางความมืด
“นี่ยูมิล พวกเราจะรอดใช่ไหม” องค์หญิงน้อยถามขึ้น
“แน่นอนค่ะ ท่านมากับยูมิลทั้งคน ถึงเรื่องงานทำความสะอาดจะห่วย ทำอาหารก็แย่ แต่เรื่องเอาตัวรอดและความอึดล่ะก็โลกนี้ไม่มีใครเท่ายูมิลคนนี้แน่นอน” เธอตอบอย่างภูมิใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่เมื่อสิ้นเสียงของเธอทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความสิ้นหวังของเหล่านางกำนัลดังตามหวังมา ทั้งสองที่ได้ยินเสียงนี้ได้แต่รีบเดินไปจากที่นั่นโดยไม่เหลียวหลังกลับไป เสียงสะอื้นน้อยๆขององค์หญิงดังขึ้น ส่วนยูมิลเพียงแค่เร่งฝีเท้าเดินอย่างรวดเร็วและพยายามข่มอารมณ์เอาไว้
และเมื่อทั้งสองมาจนถึงทางออก มันกลับไม่ใช่ภาพแห่งความหวังแต่มันคือความสิ้นหวัง เมื่อสิ่งที่รอพวกเธออยู่คือกองทหารในชุดสีดำ ทหารบ้านสี่คนกรูเข้ามาจับทั้งสองแยกออกจากกัน
“ให้ข้ารอนานเลยนะครับองค์หญิง” ชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีดำที่มีรวดรายสีทองคนหนึ่งพูดขึ้น พลางเดินเข้ามาหาเธอ
“ข้าจะไม่ฆ่าท่าน แต่ข้าจะให้ท่านแต่งงานกับลูกชายคนเล็กของข้ากาอูลก็แล้วกัน” เขาพูดเสียงเย็น
“ท่านเป็นใครกัน” องค์หญิงถามเสียงสั่น
“ข้าเป็นกษัตรแห่งเดรนยังไงล่ะท่าน จงจำใบหน้าของข้าเอาไว้ให้ดีๆ เพราะข้านี่ล่ะที่ทำให้บ้านเมืองของท่านต้องถูกทำลาย เพราะข้านี่แหละที่ทำให้พ่อ แม่ และพี่น้องของท่านต้องตาย” เขาพูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ดวงตาสีฟ้าจับจ้องเข้าไปในดวงตาสีมรกตราวกับจะกลืนกินเธอเข้าไป
“ท่านพ่อ จะให้ข้าแต่งงานกับนางรึขอรับ” เสียงของเด็กหนุ่มร่างอ้วนคนหนึ่งดังขึ้น เด็กหนุ่มร่างอ้วนเดินเข้ามาใกล้ๆ เธอ เขาใช้มือที่เปื้อนไปด้วยคราบมันของอาหารจับใบหน้าของเธอหันซ้ายทีขวาที่ แล้วจึงแลบลิ้นเลียใบหน้าของเธอ องค์หญิงน้อยได้แต่ยืนสั่นด้วยความหวาดกลัวจนขยับตัวไม่ได้
“อย่าแตะต้ององค์หญิงนะ ไอ้หมูตอนน่ารังเกียจ เดี๋ยวแม่เอารองเท้ายัดปากซะนี่เน่!! แกรู้จักฉันยูมิลน้อยเกินไปแล้ว!!” เสียงของยูมิลดังขึ้น ซึ่งมันดึงความสนใจของทุกคนไปทางเธอจนหมด และภาพที่อยู่ตรงนั้นคือทหารสองคนที่ควรจะจับเธอเอาไว้นั้นนอนกองอยู่บนพื้นเสียแล้ว
“น่ารำคาญจริง ฆ่ามัน!!” เมื่อสิ้นเสียงของกาอูล ทหารบ้านราวยี่สิบคนก็เดินตรงเข้าไปหาเธอทันที
“เดี๋ยวๆๆๆๆ ผู้ใหญ่ยี่สิบคนรุมเด็กคนเดียวหรอก จะเป็นตัวร้ายก็มีขอบเขตหน่อยสิ” ยูมิลพูดพลางทำท่าจะวิ่งหนี
“อย่าทำอะไรยูมิลนะ!!” องค์หญิงร้องขึ้น เธอค่อยๆคุกเข่าแล้วโค้งตัวลงจนหน้าผากนาบลงกับพื้น “ฉันขอโทษแทนยูมิลด้วย ได้โปรดอย่าฆ่าเธอเลยนะ ฉันจะยอมทุกอย่างเลย ได้โปรดไว้ชีวิตยูมิลด้วยเถอะ” เธอร้องขอชีวิตให้นางกำนัลตัวน้อย กาอูลที่พอเห็นดังนั้นจึงค่อยๆยกเท้าขึ้นเหยียบลงไปที่หัวของเธอแล้วกดลงกับพื้นแล้วจึงพูดขึ้น
“จะคุกเข่าขอโทษน่ะ หน้ามันต้องนาบกับพื้นแบบนี้ต่างหากล่ะองค์หญิง” มันพูดพลางขยี้เท้าไปมาแล้วหัวเราะออกมา “ไว้ชีวิตมันเอาไว้ก่อน!!”
หลายปีต่อมา ณ โรงเตี้ยมเล็กๆ นอกเมือง
“สวัสดี ไม่ได้พบกันนานนะคะ คุณพ่อค้าเร่” เสียงหวานของเด็กสาวในชุดกระโปรงฟูฟ่องผู้ซ่อนใบหน้าเอาไว้ใต้ฮูดสีขาว
“โอ้ ท่านหญิง ไม่ได้พบกันตั้งสองปี วันนี้ข้ามีเรื่องราวการเดินทางใหม่ๆมาเล่าให้ท่านฟังมากมายเลยล่ะ” พ่อค้าเร่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ข้ายินดีจริงๆที่จะได้ฟังเรื่องการเดินทางของท่านอีก” เธอตอบอย่างกระตือรือร้น
“ท่านอยากจะฟังเรื่องไหนก่อนดีล่ะ การเดินทางผ่านดินแดนที่เต็มไปด้วยหิมะ หรือเรื่อง การเดินทางไปยังนครกลางป่าลึกในทวีปทางใต้ หรือประเทศที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่ออกใบสีชมพูสวยงาม หรืออยากจะได้เรื่องที่น่าตื่นเต้นหน่อยอย่างเรื่องการที่ข้าได้พบเจอกับจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่แห่งบานาเรสดีล่ะ” เขาถามเธอ
“เรื่องไหนก่อนก็ได้ค่ะ” เธอตอบ เมื่อพ่อค้าเร่ได้ยินแล้วเขาจึงใช้แก้วเบียร์ที่ทำจากไม้เคาะโต๊ะแรงๆ 3 ครั้ง นั่นทำให้คนทั้งร้านหันความสนใจมาทางเค้า
“ทุกท่าน วันนี้ข้ามีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับจอมโจรแห่งบานาเรสมาเล่าให้ทุกท่านได้ฟังกัน!!” เขาตะโกนขึ้น ซึ่งการตอบรับของคนทั้งร้านก็เป็นไปตามคาด พวกเขาให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก
“ในตอนที่ข้ากำลังเดินทางกลับจากทวีปทางตะวันออก เรือของพวกเราเดินทางผ่านพายุใหญ่และอันตรายอีกมากมายแห่งท้องทะเล แต่ไม่มีอะไรเลวร้ายเท่าโจรสลัด ระหว่างทางเราถูกพวกโจรสลัดโจมตีใกล้อ่าวฟูเซส พวกมันบุกปล้นและฆ่าผู้คนบนเรืออย่างสนุกสนาน และในวินาทีที่ข้าคิดว่าเราไม่รอดแล้วแน่ๆ ข้าก็พบเรือลำหนึ่ง เรือที่มีธงสีดำที่ขึ้นสัญลักษณ์หัวหมาป่าที่มีดาบไขว้ ใช่พวกนั้นคือกองโจรสลัดแห่งบานาเรส ในวินาทีที่พวกมันโผล่ออกมาเสียงปืนใหญ่ก็ดังขึ้น ลูกปืนใหญ่ถูกระดมยิงเข้าใส่เรือของพวกโจรสลัดอย่างแม่นยำ และเมื่อเรือของพวกนั้นเขาเทียบกับเรือของพวกโจรสลัด ข้าเห็นชายผู้หนึ่งโหนตัวขึ้นไปบนเรือของพวกโจรสลัด แค่ตัวคนเดียว เพียงแค่ตัวคนเดียวเขาจัดการกับลูกเรือนับสิบคนที่กรูเข้าไป ชายคนนั้นต่อสู้อย่างบ้าคลั่งราวกับปีศาจในคราบของมนุษย์ หลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่นาที ศพมากมายของพวกโจรสลัดที่พยายามจะฆ่าเขานอนตายเต็มดาดฟ้าเรือ ไม่มีใครหยุดเขาได้ หลังจากที่จัดการพวกโจรสลัดจดหมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียวชายคนนั้นและเรือของเขาก็แล่นจากไป เหลือทิ้งไว้แค่ศพมากมายของพวกโจรสลัดที่โดนฆ่า หลายๆคนบอกว่าพวกเขาเป็นโจรสลัดที่ถูกสมาพันธ์การค้ามอร์แกนเลี้ยงเอาไว้ให้คอยไล่ล่าพวกโจรสลัด และพวกโจรตามเส้นทางการค้าตามที่ต่างๆบนบก บ้างก็ว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่พวกโจรธรรมดา แต่ที่แน่ๆไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องต่อกรกับพวกเขา ไม่เคยมีแม้แต่คนเดียวที่รอดชีวิตกลับมา”
นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งชั่วคราวนะจ๊ะ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย vodooking1 เมื่อ 2013-5-24 17:39
จอมโจรแห่งบานาเรส ปฐมบท