นอกชายฝั่งเมืองเอลกิล เขตปกครองสมาพันธ์การค้ามอร์แกน
ภาพของเรือสำเภาติดปืนสองชั้น โดยตัวเรือขึ้นธงสีดำน่าหวาดกลัว โดยเหล่าเรือขนสินค้าขนาดเล็กที่ใช้เดินทางระหว่างเกาะต่างก็พยายามหนีและหลีกทางไปให้ไกลที่สุด ผู้คนที่พบเห็นต่างก็หวาดกลัวกันจนขวัญหนีดีฝ่อกันหมด ใช่ธงดำแบบนี้หนีไม่พ้นโจรสลัดแน่นอนแถมมันยังเป็นเรือสำเภาปืนสองชั้นที่ขึ้นชื่อในเรื่องความเร็ว เสียงเพลงที่พวกลูกเรือร้องขณะกำลังทำงานบนเรือดังก้องไปทั่วบริเวณ
ในระหว่างที่พวกลูกเรือกำลังทำงานอย่างแข็งขันนั้น ร่างของชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีทองยาวปะบ่าคนหนึ่งในชุดสีเสื้อคอปกสีขาวทำจากผ้าเนื้อหยาบและหนาสวมรองเท้าบูททำจากหนังซึ่งมีสภาพเก่าซอมซ่อเต็มทีและที่เอวนั่นอาจเป็นของที่ดูมีค่าที่สุดบนตัวเขาก็ได้มันมีผ้าสีแดงที่คาดอยู่ที่เอวซึ่งมันทำจากผ้าไหมชั้นดีแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ถูกคาดทับด้วยเข็มขัดหนังเก่าๆอยู่ดี
ชายหนุ่มผมทองเดินตรงไปยังกราบเรือและเขาก็พบกับเหล่าลูกเรือบนเรือสำเภาขนาดเล็กที่กำลังหวาดกลัวและแตกตื่น ชายหนุ่มเพียงแค่สิ่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้เขาแต่อีกฝ่ายกลับดูยิ่งหวาดขึ้นกว่า แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้สนใจแล้วจึงกวาดตามองไปรอบๆ ตาของเขาสะดุดเข้ากับเรือสำเภาติดปืนอีกลำเข้า มันเป็นเรือสำเภาติดปืนแบบ 3 ชั้น ที่มีขนาดใหญ่โตที่กำลังทอดสมออยู่ ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้จักกับกัปตันเรือลำนี้ เขาทำท่าทักขายแบบชาวเรือด้วยการใช้มือขวายกขึ้นทำท่าเหมือนกับกำลังจับที่ปีกของหมวก แต่อีกฝ่ายกลับตอบกลับด้วยท่าทางแตกตื่นแล้วชี้ไปทางท้ายเรือของเขาแทน และเมื่อชายหนุ่มหันไปในทิศดังกล่าวเขาก็พบกับคำตอบที่ผู้คนต่างหวาดกลัวเรือของเขาแถมเปิดทางให้เรือผ่านไปได้อย่างสะดวกสบาย ใช่ตรงท้ายเรือของเขานั้นมีธงประจำกลุ่มอยู่ ธงโจรสลัด
“ไอ้คุณพูริ่ง!!” เขาตะโกนขึ้น
“ครับกัปตัน!!” เสียงตะโกนตอบดังมาจากยอดเสากระโดงกลาง
“รีบไปเปลี่ยนเป็นธงเป็นธงของสมาพันธ์การค้าเดี๋ยวนี้!!! คุณฮอร์รอง!! เตรียมสินค้าให้พร้อมสำหรับขนย้าย!! คุณแอนนี่!! เตรียมเงินสำหรับค่าภาษีท่าเรือแล้วก็เงินสำหรับลูกเรือเมื่อขึ้นฝั่งด้วย!!” เขาตะโกนสั่งงานพวกหัวหน้าลูกเรือและเจ้าหน้าที่ต่างๆ ถึงพวกเขาจะเป็นโจรสลัดแต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เป็นเรือพาณิชย์ โดยสินค้าที่พวกเขานำมาขายเป็นประจำก็ประกอบไปด้วยพวกเครื่องเทศจากตะวันออก ไวน์องุ่นชั้นดีจากเมืองบานาเรส ซึ่งเกาะบานาเรสนั้นขึ้นชื่อเรื่องไวน์ชั้นยอดและยังเป็นเมืองที่ค้าขายกับชาวตะวันออกอีกด้วย โดยแต่ละถังมีราคาสูงถึง 2 เหรียญทอง แต่ว่าถ้าเป็นถังที่บ่มเอาไว้นานอาจมีราคาสูงถึงถังละ 5-10 เหรียญทองเลยทีเดียว
และเมื่อเรือมาที่ท่าจอดเรือซึ่งมีขนาดใหญ่ของเมืองเอลกิล ซึ่งเป็นเมืองการค้าขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ท่าเรือก็จัดการเดินตรงดิ่งมาเพื่อเก็บภาษีอย่างไม่รอช้าทันที
“สวัสดีสภาพบุรุษ” เจ้าหน้าที่ท่าเรือสูงวัยทักทายกับกัปตันเรือเมื่อก้าวเท้าลงมาจากเรือ
“สวัสดีครับ” เขาตอบเสียงเรียบ
“ค่าเทียบเรือขนาดใหญ่ที่ท่า1 เหรียนทองต่อวันพ่อหนุ่ม” เจ้าหน้าที่ท่าเรือพูด
“แพงชิบ!!” เขาร้องขึ้นแล้วจึงหันไปดูด้านหลัง เรือใหญ่ทุกลำไม่มีใครเข้าจอดที่ท่าเลยแม้แต่ลำเดียว โดยพวกเขาใช้ขนสินค้าลงเรือเล็กแล้วนำมาส่งที่ท่าแทน
“ขอทราบชื่อของคุณแล้วก็ชื่อเรื่อด้วยครับ”
“ผมกัปตันอเล็กซ์ มอร์แกรน เรื่อลำนี้ก็มีชื่อว่า Princess” เขาตอบ เจ้าหน้าที่ท่าเรือพอได้ยินชื่อเขาแล้วได้แต่ทำหน้าตื่นตกใจ
“พอหนุ่ม20 เหรียญเงิน ก็พอ” เจ้าหน้าที่ท่าเรือรีบพูดขึ้นมาทันที
“ถูกเว่อร์!!” อเล็กซ์ร้องขึ้น
“แต่ท่านเจ้าเมืองรอคุณอยู่ ช่วยไปพบเขาด้วยครับ” เจ้าหน้าที่ท่าเรือบอกเขา
“ครับขอบคุณมาก ผมพอจะหาทางไปเองได้ ขอตัว” เขาตอบ “ไอ้คุณพูริ่ง เสร็จงานแล้วก็ให้พวกลูกเรือลงจากเรือไปพักผ่อนได้เลยนะ!!” เขาพูดขึ้นพลางเดินออกไปจากท่าเรือ
ราวสองชั่วโมงต่อมา ณ ที่ว่าการเมือง ด้วยขนาดที่ใหญ่โตของเมืองทำให้อเล็กซ์ต้องใช้เวลาเดินมากพอสมควรกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ และในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปด้านไหนทหารยามที่เฝ้าด้านหน้าสองคนจึงใช้ปืนยาวของตัวเองขวางเขาเอาไว้โดยทั้งสองคนใส่เครื่องแบบสีขาว
“คนแปลกหน้า มีธุระอะไรที่นี่มิทราบ” ทหารคนหนึ่งถาม
“ผมชื่ออเล็กซ์ มอร์แกรน เจ้าเมืองเรียกตัวมาพบ” อเล็กซ์บอกทั้งสองคนตามจริง
“อ๋อๆๆ นายคนนี้คืออเล็กซ์ มอร์แกรน นี่เอง ท่านเจ้าเมืองบอกว่าให้ทดสอบนายก่อน ถ้าผ่านตรงนี้ไม่ได้ก็ไม่ต้องเข้าไปและเชิญย้ายก้นออกไปจากเมืองนี้ด้วย ท่านว่างั้น” ทหารอีกคนพูดขึ้น
อเล็กซ์ที่ได้ยินดังนั้นได้แต่ถอนหายใจยาว ส่วนทหารทั้งสองคนได้แต่ยืนหัวเราะ แต่ทันใดนั้นเองอเล็กซ์อาศัยความไว้รีบคว้าปืนของทั้งสองเอาไว้แล้วใช้ปืนนั้นกระแทกเข้าที่หน้าทั้งสอง และรีบคว้าปืนของทหารคนทางขวาเอาไว้และยิงใส่ที่ขาของอีกคนจนเสียหลักล้มลง หลังจากนั้นเขาจึงใช้มือจับปืนกระบอกนั้นเอาไว้จนแน่นและใช้เท้าถีบเข้าใส่ทหารตรงหน้าพร้อมกับดึงปืนออกมา อีกฝ่ายล้มหงายอยู่บนพ้น อเล็กซ์ทำท่าเหมือนจะใช้ด้ามปืนฟาดหน้าของอีกฝ่ายแต่ก็ชะงักไปก่อน เขาส่งยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วค่อยโยนปืนนั้นทิ้งไป ระหว่างที่เขากำลังจะเดินเข้าไปด้านใน เขาโยนเหรียญเงินสองเหรียญไปให้ทหารที่ล้มอยู่แล้วจึงพูดขึ้น
“พานายนั่นไปหาหมอซะ” เขาพูดพลางเดินเข้าไปด้านใน
อเล็กซ์เดินตรงขึ้นมายังชั้นสองของอาคารที่ทำการโดยที่หัวบันไดด้านบนมีร่างของหญิงสาวในชุดสีบลอดน์ทองในชุดที่หาได้ยากยิ่งในยุคแบบนี้ มันคือชุดเกราะสีเงินเป็นประกายที่อกมีสัญลักษณ์รูปตาชั่งสีทอง โดยนี่คือเรื่องหมายบอกว่าเธอเป็นคนจากกองทหารพิเศษของสมาพันธ์การค้ามอร์แกน กองอัศวินซิลเวอร์ซอร์ด โดยทั้งหน่วยนั้นเป็นหญิงสาวทั้งหมด พวกเธอมีความสามารถทั้งการขี่ม้า ยิงปืน และฟันดาบในระดับสูง แถบในยุคนี้อัศวินใส่เกราะแบบนี้ถือว่าเป็นของที่หาได้ยากมากถ้าเทียบกับเมื่อหลายสิบปีก่อน ด้วยอาวุธยุคใหม่อย่างปืน ถึงจะใส่เกราะไปก็ไร้ค่าในยุคนี้
“เชิญทางนี้ ท่านไซมอนกำลังรออยู่ค่ะ” อัศวินสาวพูดพลางผายมือเชิญเขา อเล็กซ์เดินตามเธอไปอย่างเงียบๆตามระเบียงทางเดินที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย เธอพาเขาเดินเข้ามายังด้านในชุดของตัวอาคารจนถึงห้องที่ถูกปิดด้วยประตูบานคู่ที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง อัศวินสาวค่อยๆเปิดประตูให้เขา และเมื่ออเล็กซ์มองเห็นภาพในห้องเขาจึงค่อยๆใช้มือผลักประตูปิดช้าๆแทน
“รอแขกคนนั้นไปฉันค่อยเข้าแล้วกัน” อเล็กซ์ตอบเสียงเรียบ แต่ใบหน้าของเขานั้นกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ
แต่ในตอนนั้นเองที่ประตูห้องค่อยๆเปิดออกช้าๆ ร่างของหญิงสาวร่างสูงผู้มีใบหน้าสวยงามได้รูปถึงแม้ว่าตาซ้ายของเธอจะใช้ที่ปิดตาเอาไว้ก็ตาม เรือนผมสีน้ำตาลยาวถึงเอวถูกปล่อยให้พลิ้วไหวไปตามลม เธอสวมชุดที่ดูเสื้อแขนยาวคอปกสีขาวและกางเกงขายาวสีดำกับบูทหนัง ที่เอวทั้งสองข้างของเธอคาดกระบี่โค้งดาบที่ทหารเรือใช้กันโดยทั่วไปไว้ถึงสองเล่ม เธอเอื้อมมือมาคว้าคอเสื้อของอเล็กซ์แล้วเหวี่ยงเข้าไปในห้องอย่างแรงจนเขาเสียหลักล้มลงหน้ากระแทกพื้น
“ไปได้แล้ว” เสียงดุๆ ของเธอดังขึ้นพร้อมกับเสียงปิดประตู เธอเดินตรงมาหาอเล็กซ์ที่กำลังจะยืนขึ้นแล้วใช้เท้าเหยียบอเล็กซ์ลงไปกับพื้นอีกทีแล้วจึงพูดขึ้น “ไซมอน นี่เหรอคนที่จะให้ฉันร่วมงานในครั้งนี้” เธอพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“อย่างน้อยก็เอาเท้าออกจากหลังฉันก่อนได้ไหมอเดลน่า” อเล็กซ์พูดพร้อมกับพยายามดันตัวขึ้น
“ใช่ครับคุณอเดลน่า” เสียงที่ฟังดูเป็นมิตรของชายคนหนึ่งดังขึ้น และเมื่ออเล็กซ์พยายามจะเงยหน้ามองเขาก็พบกับร่างของชายวัย 30 ต้นๆ คนหนึ่งในชุดหนังสีน้ำตาลกำลังนั่งเอามือสองข้างประสานเอาไว้ในระดับดวงตา ดวงตาสีน้ำตาลของเขาจับจ้องมาที่อเล็กซ์ราวกับจะบอกว่า ผมขอโทษนะครับผมเองก็ไม่กล้าหือกับเธอเหมือนกัน
“อย่างน้อยก็ขอนั่งดีๆหน่อยได้ไหม” อเล็กซ์พูดพร้อมกับพยายามจะดันตัวขึ้น หนนี้อเดลน่ายกเท้าออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นนั่งทับเขาแทน “เธอเห็นฉันเป็นอะไรกันแน่!!”
“หุบปากเจ้าโจรสลัด” เธอตอบเสียงเรียบ
“เอาเป็นว่า ผมมีเรื่องสองเรื่องอยากคุยกับคุณครับ เรื่องแรกเป็นเรื่องเงินๆทองๆ เรื่องที่สองเป็นเรื่องยุ่งยากและวุ่นวาย” ชายวัยสามสิบพูด
“ว่ามาเลย ว่าแต่อเดลน่ามันหนักลุกไปที” อเล็กซ์ร้องขึ้นพลางใช้มือตบพื้น หนนี้เขาเลยโดนกำปั้นหนักๆทุบที่หัวแทน
“ครับเรื่องแรกคือผมอยากขอสิทธิ์ขาดการนำเข้าไวน์จากบานาเรส แล้วก็เรื่องของใบยาสูบของพวกคุณด้วย ผมอยากจะลองเปิดตลาดใหม่โดยใช้ใบยาสูบของบานาเรสครับ ส่วนเรื่องสิทธิ์ขาดการนำเข้านั้นผมจะรับมาขายเพียงแค่ไวน์ที่พร้อมนำออกขายเท่านั้น เพราะว่าตอนนี้ไวน์ของคุณเป็นที่ต้องการของชนชั้นสูงอย่างมาก โดยผมจะรับซื้อไวน์ของคุณในราคาเดิมทุกอย่าง แถมพวกคุณยังลดต้นทุนในการเดินทางไกลๆ ได้อีกด้วย” เขาอธิบายจบแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบไปส่วนอเล็กซ์เองก็กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาด้วยไหม แต่เขากลับคิดอะไรไม่ค่อยออกเท่าไหร่เพราะสมองกำลังคิดเรื่องหญิงสาวผู้กำลังใช้มือดึงผมเขาเล่นทีละเส้นสองเส้น
“โอเค ย่อมได้ ผมจะให้สิทธิ์ขาดคุณ แต่ช่วยให้เธอลุกออกไปที หนัก หนักมากๆ รู้สึกเหมือนหลังมันจะหักแล้ว” เขาตอบตกลงพร้อมกับร้องขอความช่วยเหลือ ส่วนอเดลน่าที่พอได้ยินคำว่าหนักๆหลายครั้งเธอจึงยืนขึ้นแล้วใช้เท้ากระทืบเข้าที่หัวของอเล็กซ์อย่างแรง มันเล่นเอาเขาแทบหมดสติไปเลยทีเดียว
“เรื่องต่อไป คือผมอยากให้คุณร่วมมือกับนักล่เรือศัตรู* อเดลน่า เอสพอรันซ่า คนนี้เพื่อช่วยเหลือคนคนหนึ่งครับ” ชายหนุ่มวัยสามสิบพูด
อเดลน่า เอสพอรันซ่า เธอเป็นสตรีผู้เป็นตำนานแห่งท้องทะเลอีกคนหนึ่งก็ว่าได้ โดยเมื่อห้าปีก่อนตอนที่มอร์แกนเกิดสงครามกับศาสนจักร อเดลน่าได้ทำการไล่ล่า จม เผา และยึดครองเรือของศาสนจักรได้กว่า 20 ลำในเวลาเพียง 2 ปี เป็นรองแค่เจ้าตำนานรุ่นใหญ่อย่างแกนดีน สตรีวัย 50 ปี นักล่าเรือศัตรูของโลกใหม่(ในเรื่องนี้เทียบได้กับอเมริกา) โดยว่ากันว่าอเดลน่านั้นรู้จักทะเลราวกับเป็นหลังมือของเธอเอง โดยเธอใช้ชีวิตอยู่บนเรือโจรสลัดมาตั้งแต่จำความได้และได้ผันตัวมาเป็นนักล่าเรือศัตรูให้กับสมาพันธ์การค้ามอร์แกนในภายหลัง
หลังจากที่อเล็กซ์นังฟังเนื้อหาทั้งหมดจนจบเขาก็ได้แต่นั่งหัวเราะอย่างเดียว “สรุปคืออยากให้ฉันไปช่วยVIP ที่ว่านั่นออกมาแล้วเอาไปหมกเอาไว้ที่บานาเรสโดยเราจะมีนัก่าเรือศัตรูคุ้มกันไปด้วย ส่วนเรื่องแผนก็แล้วแต่เราสินะ โอเค ย่อมได้ แต่ฉันขอถามข้อเดียว ไม่งั้นไม่ควรให้ฉันรับงานนะคุณไซมอน”
“ว่ามาเลยครับ” ชายวัยสามสิบตอบ
“คุณพร้อมจะให้โรงแรมของคุณเป็นรังโจรไหม ถ้าเธอจะมาใน2 อาทิตย์ มันมากพอจะเตรียมการทุกอย่าง แต่ว่าฉันคิดได้แต่แผนที่จะทำให้โรงแรมนายพังไม่เหลือชิ้นดี แผนการนี้ต้องพึ่งคนของเธอด้วยเหมือนกันอเดลน่า” อเล็กซ์พูดพลางแสยะยิ้ม
*นักล่าเรือศัตรู เป็นคำที่ใช้เรียกเรือที่คอยไล่ล่าเรือรบ เรือสินค้า เรือล่าปลาวาฬ ของประเทศศัตรู โดยพวกเขาจะได้รับค่าตอบแทนเป็น 30% ของทุกอย่างที่ยึดได้ ทั้งไขปลาวาฬ สินค้าและอื่นๆ โดยพวกเขาจะต่างกับโจรสลัดคือ พวกเขาจะเข้าร่วมกับประเทศใดประเทศหนึ่งและเข้าร่วมสงครามหากประเทศนั้นเกิดสงครามขึ้น และหากโดนจับจะถูกจับในฐานะทหารของประเทศอื่น ไม่ใช่ในฐานะโจรสลัด
ตอนนี้ผมไม่ได้ตั้งใจเขียนเท่าไหร่ ออกมาไม่ดีก็ขอโทษด้วยครับ
จอมโจรแห่งบานาเรส ตอนที่ 1 เขียนแก้ตัน