สามอาทิตย์แล้วหลังจากที่พวกอาเธอร์มาอยู่ที่ดาว L-87 พวกเขาต้องพบกับความว่างเกินคำบรรยาย เพราะว่าที่นี่แทบไม่มีอะไรให้ทำเต็มที่ก็ฝึกซิมูเลชั่นกับพวกทหารที่นี่บ้าง ส่วนมานะที่หมายหัวเอริก้าเป็นศัตรูอย่างไม่มีสาเหตุเองก็เช่นกัน เธอจะท้าดวลกับเอริก้าวันละ 3 รอบ และแน่นอนแพ้ทุกรอบอีกด้วย โดยมานะใช้ไทฟูนสู้กับไทเกอร์อีกต่างหาก ด้านสเป็คสูงกว่าทุกด้านแต่ฝีมือนั้นต่างชั้นกันเกินไปจนเทียบกันไม่ติด โดยมานะได้มารู้เอาไม่กี่วันมานี้ว่าเอริก้ามีฉายาที่ทัพอังกฤษตั้งให้คือประกายแสงสุดท้าย โดย B.U.ประจำตัวของเธอคือ แพนเตอร์สีทองอันโด่ดเด่นในเรื่องความเร็วด้วยการปรับจูนจนมันกลายเป็น B.U. จอมพยศไป และไม่มีใครขับนอกจากเอริก้า ส่วนเอริก้าที่ได้ลองใช้ไทฟูนดูครั้งแรกก็ปรากฏว่า เธอได้เปิดเส้นทางสู้มิติใหม่แห่งการรบไปเลย เพราะเธอสามารถดึงประสิทธิภาพของไทฟูนออกมาได้เต็มที่
ส่วนเรื่องตื่นเต้นอื่นๆก็คงจะเป็นราวสองอาทิตย์ก่อน ระหว่างที่ลอร่าไปที่ห้องทดลองเหมือนทุกวันเพื่อไปดูร่างโคลนฯของพี่สาวเธอ ปรากฏว่าอยู่ดีๆร่างโคลนก็เกิดอาการผิดปกติ โดยเธอพยายามจะออกจากหลอดทดลองซะดื้อๆ หลังจากนั้นลอร่าก็พบว่าร่างโคลนนั้นถึงจะมีร่างกายเหมือนกับเด็กสาววัย 17 แต่ด้านสมองของเธอนั้นราวกับเด็กอายุ 10 ขวบไม่มีผิด แถมที่เลวร้ายสุดๆเธอตามติดลอร่าตลอดเวลาแบบไม่ยอมห่างจากเธอเลยแม้แต่น้อย โดยลอร่าเรียกเธอมาเอลร่าซึ่งเป็นชื่อเดิมของพี่สาวเธอ โดยดร.สูงวัยได้บอกกับเธอว่าเด็กคนนี้ไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเธอแม้แต่น้อย แต่คงเป็นสัญชาติญาณบางอย่างมากกว่าเลยทำให้เด็กคนนี้ตามเธอตลอด ส่วนเรื่อง B.U. ตัวใหม่ของเธอนั้นสามารถดำเนินการไปได้ไวมาก โดยใช้เบเฮมอธของเธอและของอีฟรีดในการสร้าง ส่วนอีฟรีดเปลี่ยนไปใช้ B.U. เครื่องอื่นแทน
“เบื่อจังเลยน้า~~ ไม่มีอะไรให้เราทำมั่งเลยรึไงกัน” แดนนี่พูดพลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
“เบื่อกันทั้งนั้นล่ะ” อาเธอร์ตอบ
“ถ้าแบบนั้นจะลองไปอยู่กับหน่วยวิจัยไหม พวกเขาอยากได้คนเพิ่มน่ะ เห็นว่าโบราณสถานกว้างมากต้องการคนเพิ่ม” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น และเมื่อทั้งสองหันทางต้นทางพวกเขาก็รีบเด้งตัวขึ้นทำความเคารพแบบทหาร เบื้องหน้าของเขาคือชายผิวแทนผู้มีเรือนผมสีทองและดวงตาสีฟ้าแบบชาวเยอรมันแท้ๆ
“สวัสดีครับพันเอกวิคเตอร์” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมๆ กัน ส่วนอีกฝ่ายเองก็ทำความเคารพตอบเช่นกัน
“โบราณสถานที่ว่าหมายความว่ายังไงเหรอครับ” อาเธอร์ถาม
“อืม ไม่กี่เดือนก่อนพวกทหารที่ว่างงานออกไปสำรวจดาวกันน่ะ แล้วก็พบกับโบราณสถานใต้ดินเข้าน่ะ ว่าไงลองไปดูไหม” เขาถามเสียงเรียบ
อาเธอร์และแดนนี่หันหน้าเข้าหากันแล้วค่อยฉีกยิ้มและจึงร้องขึ้นพร้อมกัน “ไปครับ!!” อีกฝ่ายพอได้ยินคำตอบก็ได้แต่เดินจากไปเงียบๆโดยไม่พูดอะไร
“โอ้ว!!! ความโรแมนติกของลูกผู้ชาย!!!” แดนนี่ร้องขึ้นเสียงดังพร้อมกับขึ้นไปยืนบนโต๊ะอาหาร
“จิตวิญญาณนักสำรวจลุกโชนแล้ว!!!” อาเธอร์เองก็ก็ไม่แพ้กัน แต่คนที่อยู่ในโรงอาหารกลับคิดในใจเหมือนกันว่า ‘พวกแกเป็นเด็กประถมเรอะ’
หลังจากที่พวกอาเธอร์ตัดสินใจได้ก็รีบตรงดิ่งไปยังโรงเก็บB.U. หมายเลข 22ทันที โดยช่วงบ่ายทุกคนนัดจะมาฝึกร่วมกัน แต่พวกอาเธอร์กลับมาด้วยเหตุผลที่ต่างออก
“พวกเราไปสำรวจโบราณสถานกันเถอะ!!! ใครไปบ้าง!!!” อาเธอร์ร้องถามพวกนักบินจากยานวัลคีรี่ที่มารวมตัวกัน
“ไปค่า!!” มานะตอบทันทีโดยไม่มีการคิดอะไรทั้งนั้น
“แต่ฉันคงไปไม่ได้หรอก เพราะฉันต้องคอยดูแลเด็กคนนี้น่ะ” ลอร่าพูดพลางหันไปมองเอลร่าที่อยู่ข้างๆ โดยเธอดูกำลังสนุกกับการได้ลองกินไอศกรีมครั้งแรก “กินดีๆหน่อยสิเลอะหมดแล้วเห็นไหม” ลอร่าพูดพลางเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากของเอลร่าที่ตอนนี้เปื้อนไอศกรีมไปเต็มไปหมด
“ขอโทษค่ะ” เอลร่าตอบพลางหดคอ “แต่ว่าเอลร่าก็อยากไปด้วย!!” เอลร่าพูดขึ้นพร้อมกับโผเข้ามากอดแขนของอาเธอร์ ในวินาทีนั้นยูอิ ลอร่า มานะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างรวดเร็วและจางหายไปแทบจะในทันที
“แหมๆ ช่วยไม่ได้นะ แบบนี้ฉันคงต้องตามไปดูแลเธอแล้วสิ” ลอร่าตอบเสียงเย็น เส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้นมา
“ช่วงนี้ก็ว่างๆไปหาอะไรน่าตื่นเต้นทำก็ไม่เลวนะ แต่โบราณสถานมันอันตรายนะ อาจจะเกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นก็ได้นะ” ยูอิพูดเสียงเย็นจนน่ากลัว
“อาเธอร์ ฉันว่าการสำรวจครั้งนี้คงจะตื่นเต้นแบบแปลกๆเลยล่ะ โดยเฉพาะนายน่ะนะ ระวังหลังเอาไว้ด้วยล่ะ” แดนนี่กระซิบบอกอาเธอร์ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
หลังจากนั้น อาเธอร์ แดนนี่ ยูอิ ลอร่า มานะ มิซึกิและเอลร่าก็เริ่มการเดินทางทันทีโดยใช้รถเกราะในการเดินทางไปยังที่หมาย ระหว่างทางที่กำลังไปยังที่หมายด้วยยูอิได้แต่นั่งเงียบปล่อยบรรยากาศชวนอึดอัดออกมาตลอดทาง เพราะว่าเอลร่าที่มาด้วยกำลังนั่งตักอาเธอร์อยู่ โดยเธอถามโน่นบ้างนี่บ้างตามนิสัยเด็กๆแต่ด้วยร่างกายของเด็กสาววัย 17นั้นมันทำให้ภาพนี้ดูแล้วไม่ได้เข้ากับความเป็นจริงๆเลย
หลังจากที่มาถึงที่หมายแล้วสิ่งที่พวกอาเธอร์พบคือ อาคารสูง 1 ชั้น สร้างขึ้นแบบง่ายๆด้วยเหล็กทรงโค้งๆ เมื่อพวกเขาเข้ามาก็พบกับทางเดินแคบๆ ซึ่งตลอดสองข้างทางนั้นมีกล่องเหล็กขนาดต่างๆวางเอาไว้ตลอดทาง แต่ที่เป็นจุดสนใจคือหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีดำยาวถึงเอวและดวงตาสีฟ้าครามในชุดกันหนาว เธอกำลังนั่งกินขนมปังก้อนโตอยู่ ซึ่งแน่นอนพวกอาเธอร์รู้จักเธอเป็นอย่างดี
“ไงเอลก้า ก็ว่าที่ไมถึงไม่เห็นที่ฐานเลย” อาเธอร์ตอบ
“ฉันโดนไล่มาที่นี่เพราะเมื่อสองเดือนก่อนฉันแอบเข้าไปในห้องเก็บอาหารแล้วกินอาหารจนหมดน่ะ เลยโดนส่งมาอยู่ที่นี่” เธอตอบพลางหยิบขนมปังก้อนใหม่ขึ้นมาจากกระเป๋าที่เอว
“ยังกินมากเกินไปเหมือนเดิมเลยนะ” ยูอิพูดพลางมองไปที่กระเป๋าของเธอ เพราะในนั้นมันคงใส่อาหารเอาไว้อีกแน่ๆ เพราะทุกคนรู้กันนี่ว่าถ้าเธอคนนี้เคลื่อนไหวได้ด้วยอาหาร หากไม่มีอาหารให้กินก็หลับเป็นแบบนี้เสมอๆ
“ฉันมารอรับน่ะ เดี๋ยวพวกนายจะหลงกัน ไปกันเถอะ ของกินใกล้หมดแล้ว” เธอพูดพลางเดินนำทุกคนมาที่ลิฟท์ที่อยู่ใกล้ๆ และเมื่อลิฟท์เพิ่มขยับเธอก็เริ่มพูดต่อ “ด้านล่างอันตรายมากนะ เป็นโบราณสถานอายุประมาณหนึ่งหมื่นถึงหนึ่งหมื่นห้าพันปีราวๆนั้น ด้านล่างค่อนข้างชื้อด้วยตอนเดินก็ระวังด้วยล่ะ อ่อ ใช่ๆ เกือบลืม ถ้าเดินออกนอกเส้นทางระวังจะหลงนะ เพราะตอนนี้มีคนลองดีเดินออกนอกเส้นทาง จนตอนนี้ก็ยังไม่เจอตัวเลย หายไปได้เดือนนึงแล้วด้วย อาจจะตายไปแล้วก็ได้” เธอพูดเสียงเรียบแบบไม่คิดอะไร
หลังจากนั้นเอลก้าก็พาทุกคนมาที่ลิฟท์ที่อยู่ด้านใน มันเป็นลิฟท์ที่สร้างเอาไว้ชั่วคราว ระหว่างที่ทุกคนกำลังลงไปชั้นล่างต่างก็รู้สึกได้ว่ามันหนาวมากขึ้นเรื่อย เผลอๆจะหนาวยิ่งกว่าข้างบนตอนนี้อีกด้วย แต่ความหนาวของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไปเมื่อภาพของโบราณสถาน ไม่สิ ต้องเรียกมันว่านครใต้ดิน มันเป็นเมืองที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่ที่น่าแปลกคือมันมีแสงจางๆ ลงมาจากเพดานบ้านบนราวกับเป็นแสงจางๆ จากดวงจันทร์ และที่ใจกลางที่ห่างออกไปมีโบราณสถานรูปทรงแปลงตา มันดูเหมือนอาคารที่มีลักษณะดูบิดเป็นเกลียวแถมมันยังส่องแสงสีเขียวจางๆออกมา
เมื่อลิฟท์ลงมาจนสุดซึ่งมันเป็นส่วนที่อยู่กลางถนนของเมือง พื้นถนนถูกสร้างขึ้นจากหินเช่นเดียวกับบ้านหรืออาคารต่างๆ โดยอาคารทั้งหมดตลอดสองข้างทางนั้นเป็นรูปทรงที่ดูแปลกตาทั้งนั้น
“ตอนเดินระวังลื่นนะ พื้นมันเปียก” เอลก้าพูดพลางเดินนำพวกเขาไป โดยทุกย่างก้าวของเธอนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเธอพยายามกดน้ำหนักลงที่เท้าพอสมควร แถมดูดีๆรองเท้าของเธอไม่ใช่บูททั่วๆ ไป แต่มันเป็นบูทสำหรับปีนหน้าผาพื้นตะปูเจาะลงไปบนพื้นหินที่ผุกร่อนตามกาลเวลา
“น่ากลัวจังเลย” เอลร่าพูดพลางกอดลอร่าจนแน่น
“นั่นสิ รู้สึกไม่ดีเลย” ยูอิพูดพลางกวาดตามองไปรอบ
“เฮ้ย นั่นอะไรน่ะ!!” อาเธอร์ร้องขึ้นสุดเสียงพลางชี้นิ้วไปทางซอยที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก ส่วนพวกสาวๆ ที่เดินตามมาต่างก็ตกใจสะดุ้งสุดตัว “ล้อเล่น ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากลองเล่นอะไรแบบนี้ซักครั้ง” อาเธอร์พูดพลางรีบเดินจ้ำไปทันที ส่วนพวกสาวๆต่างก็มองด้วยสายตาที่กำลังสื่อว่าอย่าให้ถึงโอกาสของพวกเรา
หลังจากเดินมานานกว่าสองชั่วโมง ตอนนี้อาเธอร์ต้องเปลี่ยนมาให้เอลร่าขี่หลังแทน แถมเจ้าตัวแสดงสีหน้าออกมาอย่างชัดเจนว่าหนักเหลือเดินเพราะให้เธอขี่หลังต่อเนื่องมาชั่วโมงเศษๆแล้ว
“เอาล่ะถึงแล้ว” เอลก้าพูดพลางชี้นิ้วไปยังบันไดตรงหน้าที่อยู่สุดทางถนนสายนี้ โดยมันสูงประมาณตึกสามชั้น อาเธอร์ที่มองเห็นความสูงกับภาระที่ติดหลังตอนนี้แล้วได้แต่ถอนหายใจ
“เอลร่า มาทางนี้ดีกว่า อาเธอร์เหนื่อยมากแล้ว” ลอร่าพูดพลางเดินเข้ามาใกล้เธอ แต่ตอนนั้นเองที่เอลร่าใช้แขนกับขารัดร่างของอาเธอร์เอาไว้แน่นจนหลังแทบหัก
“ไม่เอา!!! ไม่เอา!!!” เอลร่าร้องออกมาสุดเสียงในขณะที่ลอร่าพยายามจะดึงตัวเธอออกมา โดนตอนนี้วงแขนของเธอกำลังรัดคอของอาเธอร์เอาไว้แน่นจนเจ้าตัวเริ่มส่งสายตาของความช่วยเหลือไปหาคนอื่น และมานะก็รีบตอบสนองทันที เธอรีบเข้ามาช่วยดึงเอาเอลร่าออก โดยเธอใช้เท้าข้างหนึ่งยันไปที่หลังของอาเธอร์แล้วค่อยออกแรงดึงสุดตัว “ไม่เอา!!! ม่าย~~!!” เอลร่าที่เห็นว่ามานะมาช่วยอีกแรงจึงยิ่งร้องดังกว่าเดิมพร้อมกับออกแรงรัดมากยิ่งขึ้น แดนนี่ที่เห็นภาพนี้ก็ได้แต่หัวเราะงอหายโดยไม่ยอมเข้ามาช่วยเพื่อนของตัวเองแม้แต่น้อย
“ยะ...ยะ... ยู... อิ” อาเธอร์ค่อยๆ เรียกคือของคู่หมั้นอีกคนของตัวเองด้วยแรงเฮือกสุดท้าย
พอเจ้าตัวได้ยินจึงเดินเข้ามาจับที่บ่าของเอลร่าเบาๆ และเมื่อเอลร่าหันมาเห็นใบหน้าของยูอิ หลังจากนั้นทุกคนต่างก็ไม่มีใครรู้เลยว่ายูอิทำสีหน้ายังไง มีเพียงแค่เอลร่าเท่านั้นที่รู้ โดยเอลร่าเมื่อเห็นมันแล้วเธอจึงค่อยๆปล่อยแขนและขาที่รัดตัวอาเธอร์ออกแล้วเปลี่ยนไปเกาะหนึบที่ลอร่าแล้วส่งเสียงสะอื้นออกมาแทน
และเมื่อทุกคนเดินขึ้นมาจนถึงชั้นบนก็พบกับลานกว้าง ที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากสิ่งที่ดูคล้ายวงกบประตูขนาดใหญ่ โดยมีคนสองคนกำลังทำการตรวจสอบบางอย่างกับมัน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นคนคุ้นหน้าของยูอิ
“ท่านซึคุโยมิ” ยูอิพูดเสียงเบากับตัวเองพลางวิ่งเข้าไปกอดเธอคนนั้นโดยเจ้าตัวไม่ได้ตั้งตัว ทั้งสองล้มลงกับพื้น
“เดี๋ยวๆ ใครเนี่ย” เธอค่อยๆ ดันร่างของตัวเองขึ้นมาแล้วใช้มือปัดเรือนผมสีน้ำตาลที่ปิดหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามได้รูป และดวงตาสีอำพัน โดยถ้ามองๆแล้วเธอเหมือนกับหญิงสาวยี่สิบต้นๆ แต่จริงๆแล้วปีนี้เธออายุเข้า 34 ปีแล้ว
“ฉันเองค่ะ สุเมรากิ” ยูอิพูดพลางร้องไห้ออกมา
“ยูอิจังเองเหรอ ว่าแต่ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” ซึคุโยมิถามด้วยความสงสัย
“ท่านเองก็เหมือนกัน ทำไมถึงอยู่ที่นี่” ยูอิถามพลางกอดเจ้าตัวเอาไว้จนแน่น พวกอาเธอร์ที่ยืนอยู่ห่างๆ ได้แต่ยืนงงกับเหตุการณ์นี้ เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นยูอิร้องไห้เยอะขนาดนี้มาก่อน
“ก็หลังจากที่เธอหายตัวไป หลังจากนั้นฉันก็โดนย้ายไปอยู่ในอวกาศ เพื่อทำการรบขับไร่กองยานศัตรู แล้วในเหตุการณ์นั้นฉันก็โดนประกาศว่า KIA*(เสียชีวิตระหว่างการรบ)ก็แค่นั้นเอง ฉันก็เลยมาหลบอยู่ที่นี่น่ะ” ซึคุโยมิพูด
“ตายในการรบ” ยูอิทวน
“ตอนนั้นฉันระเบิดตัวเองน่ะ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าฉันหนีออกมาทัน ฉันเสียคุโรงาเนะไป ระหว่างลอยเคว้งอยู่ในอวกาศ ฉันก็ได้ยาน:X้ภัยช่วยเอาไว้ ฉันก็เลยคิดว่าไหนๆ ใครๆก็คือว่าตายแล้วก็เลยหลบมาอยู่ที่นี่แทน” เธอพูดพลางหัวเราะแห้ง
“เอ่อ ยูอิคน คนนี้คือใครงั้นเหรอ” อาเธอร์ถามด้วยความสงสัยเพราะจู่ๆยูอิก็ไปกระโดดกอดผู้หญิงคนนั้น หรือจะคนรักเก่า
“ท่านผู้นี้คือท่านซึคุโยมิ เป็นหัวหน้าหน่วยของฉันสมัยที่ยังอยู่กับกองทัพ แล้วก็เป็นหนึ่งในนักบินของคุโรงาเนะ” ยูอิพูดแนะนำเธอ
“แต่ตอนนี้ขับฟุบุกิแทนน่ะ” เธอพูดจบก็ระเบิดหัวเราะออกมาสุดเสียง ส่วนยูอิที่ได้ยินชื่อของหุ่นก็แทบหยุดหายใจ JP-AX002 FubukiB.U. ตกรุ่นที่หลุดจากผังการผลิตของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นไปแล้ว อดีตเครื่องประจำทัพราชองครักษ์ เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน ซึ่งในยุคปัจจุบันโดนเอาไปใช้ให้พวกทหารใหม่หัดขับ B.U. แทน ซึ่งเทียบกับ B.U. ยุคนี้หรือยุคต่อไปแล้วคงมีค่าประมาณ ปืนพกกับจรวดมิสไซด์ลูกนึงได้
“ทำไมถึงไปของขับแบบนั้นล่ะคะ!!” ยูอิร้องขึ้น
“ซึคุโยมิ อย่าเรียกผลงานชิ้นโบว์แดงของพวกฉันว่าเป็นฟุบุกิรุ่นโบราณจะได้ไหม” ผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เอาแต่เงียบทีแรกแย้งขึ้นขณะที่เธอกำลังใช้เครื่องมือตรวจวัดของเหลวสีเงินที่อยู่ตรงกลางของวงกบประตูประหลาดนี้
“ก็ตามนั้นล่ะ ฟุบุกิรุ่นอัพเกรด” ซึคุโยมิตอบ “ฉันเชื่อว่าB.U. รุ่นที่16* ที่กำลังจะออกมาเฉิดฉายในไม่ช้านี้เทียบมันไม่ติดเลยล่ะแบบนี้ใช่ไหมมิก้า(ชื่ออรัสเซีย)”
“ใช่แล้วล่ะ แล้วยังสุดยอดอาวุธที่พวกเรากำลังทำการวิจัยอยู่อีกด้วย” ผู้หญิงที่ชื่อมิก้าตอบเสียงเรียบ
“หมายความว่ายังไงเหรอ” แดนนี่ถาม
“เอาเป็นง่ายๆ แล้วกัน มันคืออาวุธที่มีเอาไว้กำจัดพวกอีทเตอร์แบบทีเดียวจอดยกรัง โดยไม่ต้องส่งใครเข้าแกนกลาง ไม่ต้องให้ใครเข้าไปตายโดยเปล่าประโยชน์ ยิงเพียงครั้งเดียวก็สามารถฆ่าพวกมันได้เป็นพันๆตัว และเป็นอาวุธที่พวกมันไม่สามารถที่จะวิวัฒนาการเพื่อรับมือได้ นั่นล่ะคือสิ่งที่เราสร้าง” มิก้าตอบ
“ถ้ามีสุดยอดอาวุธที่ยิงได้ขนาดนั้นล่ะก็ ขอถวายชีวิตปกป้องทีมวิจัยนี้จนเสร็จเลยล่ะ” อาเธอร์ตอบเสียงเรียบ
“เพราะมันยิงได้ยังไงล่ะ ได้ผลด้วย แต่ผลข้างเคียงมันหนักหนาเกินกว่าจะเอามาใช้งานในตอนนี้” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหดหู่
“เพราะเมื่อครึ่งปีก่อน รังของอีทเตอร์ไปตกไปยังดาวของบราซิลเข้า พวกเราก็เลยไปช่วย แล้วก็เอาปืนนั่นไปด้วย ผลก็คือเราทำให้ป่าที่เคยเขียวขจีกลายเป็นทะเลเกลือไปเลยน่ะสิ” ซึคุโยมิตอบ
“แล้วรังล่ะ” มานะตามด้วยความสนใจกับปืนกระบอกนี้ไม่น้อย
“ไม่เหลือแม้แต่ซากเลยล่ะ แถมกวาดอีทเตอร์หลายพันตัวไปพร้อมกันเลยด้วย” ซึคุโยมิตอบ
“อาจเป็นล้าน ที่หลักหมื่นนั่นนับแค่จำนวนที่เห็นด้วยตา ไม่นับรวมพวกที่อยู่ในรัง แต่ก็นะ ยิงหนนั้นเสร็จปืนก็พังเลยด้วยสิ ถึงอยากจะวิจัยต่อแต่ไม่มีงบมันก็เท่านั้นล่ะ แถมยังให้ B.U.ถือยิงก็ไม่ได้ ขนาดเอาไปติดตั้งกับฐานทัพเคลื่อนที่ที่ใช้บนโลก แล้วยิง ยังทำเอาเกราะด้านนอกที่ยึดปืนเอาไว้พังไม่มีชิ้นดีเลย” มิก้าตอบ
“นั่นก็หมายความว่าถึงจะดี แต่ไม่คุ้มทุนที่จะสร้างสินะ” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน
“ของห่วยแตก!!” เอลร่าเสริม
“เอาเถอะ ตอนนี้เรามาสนใจกับที่นี่ก่อนดีกว่า” อาเธอร์พูดพลางเดินเข้าไปใกล้ของเหลวแล้วใช้นิ้วจิ้มมันเบาๆ
“อย่าจิ้มมันซี้ซั้วสิ!! มันเป็นอะไรก็ไม่รู้นะ” มิก้าดุใส่อาเธอร์
“แหม โทษทีๆ มันอดไม่ได้น่ะ” อาเธอร์พูดดึงนิ้วกลับแต่เขากลับรู้สึกถึงความผิดปกติ นิ้วของเขากำลังโดนดูดเข้าไปช้าๆ “เฮ้ยๆ อะไรเนี่ย!!”
“เล่นอะไรอีกล่ะ” ลอร่าพูดพลางถอนหายใจ
“อย่าคิดจะแกล้งกันแบบเดิมๆได้สองหนเลย” ยูอิพูดพลางส่ายหัว
“แหม คุณอาเธอร์ล่ะก็ ชอบแกล้งมานะจังเลยนะคะ!!” มานะตอบพลางหน้าแดง
“ฉันเองก็ไม่ยอมโดนหลอกสองรอบหรอกค่ะ” มิซึกิเสริม
“ของกินหมดแล้วสิ ทำยังไงดี” เอลก้าพูดหน้าเครียด
“ไม่ได้ล้อเล่น นี่จริงจังนะ มันดูดเข้าไปจริงๆ ใครก็ได้ช่วยทีสิ!!” อาเธอร์ตอบหน้าเครียด เพียงเท่านั้นทุกคนรู้ได้ทันทีว่างานนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกแล้ว ทุกคนรีบเข้าไปช่วยกันดึงเข้าออกมาแต่ผลคือตอนนี้แขนอาเธอร์หายเข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว โดยอาเธอร์ใช้เท้ายันเจ้ากวงกบประตูสยองขวัญนี้เอาไว้แล้วพยายามดันตัวเองออกมา
“เล่นอะไรกันเหรอ เอลร่าเล่นด้วยสิ!!” เอลร่าร้องขึ้นพร้อมกับกระโจนเข้าใส่พวกเขา นั่นทำให้ทุกคนเสียหลักแต่ที่เดินความคาดหมายคืออาเธอร์และทุกคนโดนดูดเข้าไปในเจ้าของเหลวสีเงินอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว
“นี่ ตื่นสิ ตื่นได้แล้ว!!” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้น
อาเธอร์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ และภาพของเด็กชาวผู้มีเรือนผมสีทองยาว ซึ่งมันยาวเสียยิ่งกว่าลำตัวของเธอซะอีก อาจยาวเป็นสองรึสามเท่าของเธอเลยก็ได้ ดวงตาสีมรกตจับจ้องมาที่อาเธอร์อย่างห่วงใย และเมื่อเธอเห็นเข้าตื่นขึ้นแล้วจึงระบายยิ้มอันแสนอ่อนหวานออกมาโดยชุดที่เธอใส่อยู่นั้นมันราวกับว่าเธอหลุดออกมาจากพวกโลกแฟนตาซีรึอะไรเทือกนั้น
“เธอเป็นใคร แล้วนี่ที่ไหน” เขาถามพลางยันตัวลุกขึ้น และในตอนนั้นเองที่เขามองเห้นสภาพรอบตัว มันเป็นสีดำไปหมด แยกแยะบนหรือล่างก็ไม่ได้
“ฉันมีชื่อว่า ชื่ออะไรดีน้า มีหลายชื่อแฮะ โดนเรียกมาเป็นล้านชื่อเลือกเอาไม่ถูกเลยล่ะ” เธอตอบกลางยิ้มกว้าง “ส่วนคำตอบของที่นี่คือที่ไหน ก็จะขอตอบว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าช่องว่างของมิติ ช่องว่างของเวลา ก็ประมาณนั้นล่ะนะ” เธอตอบ
“แล้วเธอต้องการอะไร” อาเธอร์เธออีกครั้ง
“อ่าว ไม่ใช่นายหรอกเหรอที่อยากมาเจอฉันเองน่ะ” เธอพูดพลางทำสีหน้าไม่พอใจ
“ฉันเหล่านะ” อาเธอร์ตอบ
“แล้วนายมาเคาะประตูห้องฉันทำไมล่ะ” เธอถามกลับ
“จะบอกว่าไอ้นั่นคือประตูห้องเธอเหรอ!!” อาเธอร์ร้องขึ้น
“ก็ไม่เชิงล่ะนะ” เธอตอบ “อ๊ะ คิดออกแล้วล่ะว่าจะให้นายเรียกว่าอะไร!!” จู่ๆเธอก็ร้องขึ้นมา “เรียกฉันว่าพระเจ้าสิ รึไม่ก็พระผู้สร้าง แบบนี้ล่ะกันตรงกับภาษาของพวกนายพอดีเลยด้วย”
“อย่ามาตลกนะเฟ้ย คนบ้าอะไรจะชื่อแบบนั้น” อาเธอร์พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“อะไรกันเล่า ฉันก็ไม่ได้อย่างมีชื่อประมาณนี้ซักหน่อย ฉันยังมีชื่อในภาษาของพวกอื่นนะ แต่แปรภาษาไหนก็จะตรงกับภาษาของพวกนาย พระเจ้าไงล่ะ” เธอระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ออก
“เฮ้ยๆ นี่มันยังไงกันเนี่ย” อาเธอร์พูดขึ้น เขารู้สึกได้ว่าเธอตรงหน้านี้เริ่มไม่ธรรมดาเสียแล้ว
“ฉันก็คือคนที่สร้างทุกๆอย่างในจักรวาลนี้ เผ่าพันธุ์ต่างๆในจักรวาล ฉันก็คือผู้สร้างยังไงล่ะ” เธอพูดขึ้น “แล้วก็ยินดีต้อนรับสู่มอร์เกรน ภาษาของผู้ที่สร้างที่นี่ หมายถึงความหวังยังไงล่ะ” เธอพูดขึ้นพร้อมกับเคาะปลายเท้าเบาๆ ทันใดนั้นรอบตัวก็ปรากฏภาพของเมืองแห่งหนึ่งขึ้น มันคือโบราณสถานใต้ดินที่พวกอาเธอร์มากันนั้นเอง
“เธอเป็นอะไรกันแน่” อาเธอร์พูดขึ้นด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ก็บอกแล้วไงล่ะ ว่าฉันเป็นพระเจ้า แล้วก็อยากรู้ใช่ไหมล่ะ ความลับของสิ่งที่พวกเธอเรียกมันว่าอีทเตอร์ หรืออีกชื่อคือ คาเกรนฉันจะบอกให้เอง ความลับของพวกมัน ความลับของจักรวาลนี้ และความรู้ทั้งหมดที่ฉันมี”
ตอนหน้า ตอนความจริง
*B.U.รุ่น ที่ 16 หมายถึงพวกไทฟูนเป็นต้นครับ ส่วนฟุบุกิเป็น B.U. ยุคปลายๆ รุ่นที่ 14
Valkyrie S2 ตอนที่3 โบราณสถานแห่งพระเจ้า