“เธอบอกว่าที่นี่คือช่องว่างของเวลาใช่ไหม แล้วฉันจะออกไปได้ยังไงกันน่ะ” อาเธอร์ถามอย่างร้อนรน
“เข้าได้ก็ต้องออกได้อยู่แล้วล่ะ” เธอตอบพลางทำหน้าบึ้ง
“งั้นขอถามอีกข้อ ที่นี่มันคือช่องว่างของเวลาจริงๆ สินะ” เขาถามต่ออย่างอดสงสัยไม่ได้
“ใช่แล้วล่ะ ที่นี่คือสถานที่ ที่อนาคต อดีต และปัจจุบันมารวมกัน ถ้าไม่เชื่อฉันจะให้ดูอนาคตซักนิดแล้วกัน” เธอพูดพลางเคาะเท้าเบาๆ อีกครั้ง
ทิวทัศน์รอบตัวก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง มันเป็นทิวทัศน์ของทองฟ้า ใช่ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่บนท้องฟ้า
“มองลงไปใต้เท้าสิ” เธอพูดพลางชี้ลงไปด้านล่าง ทันใดนั้นภาพก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
และทันใดนั้นภาพของบ้านหลังหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา มันเป็นบ้านไม้สองชั้นที่ขนาดไม่ใหญ่โตแต่ก็ไม่เล็กจนเกินไป ที่หน้าบ้านมีโต๊ะและเก้าอี้ที่ทำจากไม้วางเอาไว้ และที่โต๊ะนี้เองมีร่างของชายคนหนึ่งที่คุ้นตาของเขาอย่างมาก ไม่สิมันยิ่งกว่าคุณ เพราะนั่นคือตัวของอาเธอร์เอง แต่จะต่างก็ตรงที่แขนซ้ายของเขาหายไป
ในขณะที่เขากำลังยืนอึ้งกับภาพตรงหน้า จู่ๆก็มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีทอง ใช่เธอคือมานะนั่นเองแต่จุดที่ทำให้อาเธอร์แทบหยุดหายใจคือท้องของมานะที่ใหญ่ขึ้นกว่าปกติ ใช่เธอกำลังตั้งท้องอยู่ เธอเดินเอาถาดอาหารมาวางลงบนโต๊ะแล้วจึงนั่งลงข้างๆเขาเธอซบลงที่ไหล่ของอาเธอร์อย่างช้าๆ และทันใดนั้นอีกร่างก็เดินอ้อมมาจากด้านหลังของบ้าน ร่างที่คุ้นตาของหญิงสาวผมเงิน เธอก็คือลอร่านั่นเอง โดยหลังจากนั้นเด็กชายและหญิงก็วิ่งตามมาติดๆ โดยทั้งสองมีเรือนผมสีเงินเช่นเดียวกับแม่ของพวกเขา
“ไงล่ะ พูดพอรึยังเอ่ย” เธอถามพลางมองมายังอาเธอร์
“แล้วยูอิล่ะ เธอหายไปไหน” อาเธอร์ถามพลางหันไปมองเธอช้าๆ
“อยากดูงั้นเหรอ” เธอถามพลางตบเท้าเบาๆ ภาพถูกย้ายไปด้านหลังบ้าน มันคือที่ตั้งของป้ายหลุมศพ ป้ายหลุมศพของหยิงคนรักอีกคนของเขา “ในอนาคตนี้ เธอตายในศึกสุดท้ายกับพวกอีทเตอร์” เธอพูดขึ้น
“ในอนาคตนี้ งั้นหมายความว่ายังมีอนาคตอื่นๆอีกสินะ ขอฉันดูมันหน่อยเถอะ ขอร้องล่ะ!!” อาเธอร์พูดพลางคว้าตัวเธอเอาไว้แน่น
หลังจากที่ได้พบเห็นอนาคตของตัวเขาอีกมากมายอาเธอร์ได้แต่ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว อนาคตที่เขาได้พบนั้นมีทั้ง อนาคตที่ต้องเสียมานะไป อนาคตที่ลอร่าต้องตาย หรือแม้แต่อนาคตที่ตัวเขาต้องกลายเป็นผู้เสียสละ หรืออนาคตที่มนุษย์ล่มสลายและทั้งจักรวาลเหลือเพียงพวกอีทเตอร์ และอนาคตอื่นๆอีกมากมาย
“ยังมีเหลืออนาคตที่เป็นไปได้อีกนับพันนะ อยากจะดูต่ออีกไหมล่ะ” เธอถามเสียงเรียบ
“มันไม่มีอนาคตไหนที่จะได้ความสุขที่สมบูรณ์มาเลยสินะ” อาเธอร์พูดขึ้น
“มีสิ ต้องมีแน่ๆ ใช้มือของนายสร้างมันขึ้นมาสิ อนาคตน่ะ มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ถึงนายจะดูของพวกนี้ไปแต่มันก็ยังไม่เกิดขึ้นจริงไหม แต่ว่านะ ไม่ว่าอนาคตแบบไหนตัวของนายก็ไม่เคยมาเจอกับฉันเลย นั่นหมายความว่าตัวของนายอาจจะสร้างอนาคตที่แตกต่างออกไปก็ได้ จริงไหมล่ะ” เธอพูดพลางมองไปยังภาพที่อยู่ด้านหน้า มันคือภาพของร่างไร้วิญญาณของลอร่า โดยส่วนกระโหลดถูกเจาะและโดนนำสมองออกไปโดยพวกอีทเตอร์
“ถ้างั้นก็บอกฉันมาสิ ถ้าหากว่าความจริงทุกอย่างมันจะสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตที่เลวร้ายได้ทั้งหมดล่ะก็” อาเธอร์พูดขึ้นพลางกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดไหลซึมออกมาเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังของยูอิ
“ย่อมได้ แต่ที่จริงก็กะจะทำอยู่แล้วล่ะนะ” เธอตอบพลางเคาะเท้าเบาๆ ทันใดนั้นภาพรอบตัวก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพของทุ่งดอกไม้ซักที่ ซึ่งมันดูสวยงามผิดกับภาพก่อนหน้านี้
“พร้อมแล้วบอกได้ทุกเมื่อนะ” เธอพูดขึ้นเบา
“งั้นขอถามหน่อยสิ ชื่อจริงๆของเธอชื่อว่าอะไร ไม่เอาชื่อที่หมายถึงพระเจ้าอะไรนะ” อาเธอร์ถามเธอ
“ชื่อของฉันคือเนีย ในภาษาของพวกฉันเนียหมายถึงท้องฟ้าอันกว้างใหญ่” เธอตอบ
“งั้น เนีย ช่วยบอกฉันที ถึงทุกอย่างที่เธอรู้” อาเธอร์พูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่บอกว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงอนาคตทั้งหมดที่เห็นมาให้ดู
“งั้นฉันก็จะเริ่มเล่าล่ะนะ นั่นสิมันนานเท่าไหร่แล้วนะ เหตุการณ์ตอนนั้น อืม~~ เอาเป็นว่ามันนานจนฉันลืมไปแล้วล่ะ” เธอพูดขึ้นพลางเคาะปลายเท้าเบาๆ ทันใดนั้นภาพรอบตัวก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ภาพตรงหน้าของอาเธอร์ตอนนี้คือภาพร่างของเด็กสาวผู้มีเรือนผมสีทองยาว หรือนั้นก็คือเนีย โดยตอนนี้เธอกำลังนั่งเบื่อเอาหน้าซุบกับโต๊ะกินข้าวในบ้านอยู่ “นี่คือภาพในอดีต ส่วนนั่นคือฉันในวันที่กำลังเบื่อสุดๆ” เธออธิบาย
“เนีย!!” เสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเธอ และจากนั้นไม่นานภาพของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น “สุดยอดเลยเนีย ทฤษฏี การสร้างสิ่งมีชีวิตของเธอได้รับการยอมรับด้วยล่ะ พวกผู้ใหญ่บอกว่าอยากจะเปิดโครงการนี้แล้วก็จะเชิญเธอไปเป็นหัวหน้าโครงการล่ะ ยอดเลย!!” เขาพูดด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นแต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบแล้วถอนหายใจ
“ยอดอะไรล่ะ ก็แค่เรื่องง่ายๆ เท่านั้นเอง ฉันสนใจเรื่องโลกคู่ขนานมากกว่าซะอีก แต่พวกผู้ใหญ่กลับไม่สนใจกันเลย” เธอพูดอย่างเบื่อหน่าย
“และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่างยังไงล่ะ” เนียพูดพลางมองมายังอาเธอร์
“ตอนนั้นเธออายุเท่าไหร่เนี่ย” อาเธอร์ถามเธอด้วยความสงสัย
“14น่ะ” เธอตอบพลางยิ้มกว้าง
“หลังจากนั้นฉันก็เข้าร่วมโครงการการสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญา โครงการดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว พวกเราสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญารวม 200 สายพันธุ์ และหนึ่งในนั้นก็คือมนุษย์อย่างพวกนายนั่นล่ะ หลังจากนั้นเราก็สร้างเพิ่มขึ้นโดยเป็นรุ่นแรกชนิดละหนึ่งแสนคน แล้วส่งกระจายไปยังดาวต่างๆที่สามารถอยู่อาศัยได้” เนียพูดอธิบายพร้อมกับภาพต่างๆที่ดำเนินไปตามที่เธอพูดอธิบาย “หลังจากฉันก็เปลี่ยนโครงการ เปลี่ยนเป็นโครงการเรื่องการเดินทางไปยังโลกคู่ขนานแทน แต่ระหว่างทดลองมันเปิดเหตุผิดพลาดขึ้น สุดท้ายฉันก็เลยมาแหงกอยู่ที่นี่ แถมที่แย่สุดคือ ฉันพาคนอื่นเข้ามาที่นี่และส่งกลับได้ แต่ตัวฉันกลับออกไปจากที่นี่ไม่ได้ซะเอง มันน่าขำใช่ไหมล่ะ” เธอพูดด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
“โชคชะตามันก็อบเล่นตลกแบบนี้ล่ะนะ” อาเธอร์พูดพร้อมกับใช้มือของลูบที่ใบหน้าของเธอเบาราวกับกำลังพยายามจะปลอบเธอ ส่วนอีกฝ่ายนั้นกลับใบหน้าแดงก่ำ และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยหมัดหนักๆ ซัดเข้าที่หน้าอาเธอร์จนปลิว
“ฉันไม่ยอมเป็นบ้านเล็กให้นายหรอกนะ ถึงจะบอกว่าอนาคตเปลี่ยนแปลงได้ก็เถอะ!!!” เธอพูดพลางหอบหายใจแหง
“บ้านเล็กหรอก เดี๋ยวๆ เธอคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว!!” อาเธอร์พูดขึ้นพลางเอามือลูบแก้มของเขา ที่มันรู้สึกเจ็บแบบสุดๆ ราวกับที่โดนไปมันไม่ใช่หมัดของเด็กสาวแต่มันเหมือนโดนท่อเหล็กฟาดใส่มากกว่า
“อะแฮ่ม!! ฉันจะเล่าต่อล่ะนะ หลังจากนั้นเวลาก็กำเนิดต่อไปอีกหลายร้อยปี เผ่าพันธุ์ต่างๆเริ่มพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่ร้อยปีพวกเขาเริ่มที่จะสร้างอารยธรรมต่างๆขึ้นอย่างรวดเร็ว และในเวลาเพียงไม่กี่พันปีพวกเขาก็ติดต่อกับเผ่าพันธุ์อื่นๆได้ ยกเว้นเผ่าพันธุ์เดียว ก็คือพวกนายยังไงล่ะ ในเวลาเดียวกันกับพวกเขาพวกนายก็ยังเป็นมนุษย์ถ้ำกันอยู่เลย” เนียพูดพลางส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ “ทั้งๆที่ฉันสร้างพวกนายให้มีรูปร่างเหมือนพวกฉันแท้ๆ” เธอถอนภายในอย่างเบื่อหน่าย
“ไม่รู้นะว่ายังไง แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนอยากจะซัดใส่เธอซักหมัดจริงๆ” อาเธอร์พูดพลางทำตาขวาง
“และในระหว่างนั้นก็ได้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายครั้งใหญ่ขึ้น เผ่าพันธุ์ของฉันต้องมาถึงจุดสิ้นสุด นั่นก็คือการระเบิดของดวงอาทิตย์ ซึ่งเผ่าพันธุ์ของฉันไม่เหมือนกับพวกนายที่กระจายกันไปทั่ว ดังนั้นพวกเราก็เลยถึงการล่มสลาย และนี่ก็คือจุดจบของผู้สร้างอย่างพวกฉัน” เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เมินฉันสินะ นี่กำลังเมินฉันอยู่สินะ” อาเธอร์พูดเสียงเข้ม
“หลังจากนั้นไม่นานเผ่าพันธุ์ที่ฉันสร้างก็ได้พบกับดาวล้าสมัย หรือก็คือเผ่าพันธุ์ของพวกนายยังไงล่ะ” เธอพูดพลางมองไปยังด้านหน้า ภาพของยานอวกาศลำใหญ่ที่ลงจอดบนดาวโลก ซึ่งพวกชนพื้นเมืองต่างก็มองพวกเขาอย่างตื่นตกใจ ภาพร่างของสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด พวกเขามีร่างกายใหญ่โตดูคล้ายมนุษย์ แต่หัวกะโหลกของพวกมีลักษณะเรียวยาวและส่วนขาที่ดูคล้ายกับพวกจงโจ้
“หลังจากนั้นเรื่องของเผ่าพันธุ์ของพวกนายก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น แล้วก็ เอ่อ เรียกว่าอะไรดีล่ะ เอ่อ ในภาษาของพวกนายใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็น การประชุมนานาชาติ ล่ะมั้ง แต่ในที่นี้แต่ละเผ่าพันธุ์มาส่งตัวแทนมาประชุมกันแทน” เนียพูดอธิบายพร้อมกับเปลี่ยนทิวทัศน์รอบตัวให้กลายเป็นการประชุมที่ว่า ซึ่งมันทำเอาอาเธอร์ต้องเบิกตากว้าง ภาพของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่เขาไม่เคยพบไม่เคยเห็นมีอยู่มากมาย แถมแต่ล่ะเผ่าพันธุ์นั้นรูปร่างแปลกประหลาดเกินจะบรรยาย โดยในตอนนั้นอาเธอร์ได้แต่บอกกับตัวเองว่า ดีจริงๆ ที่เราเกิดเป็นคน
“เนื้อหาการประชุมที่ได้รับความสนใจมากที่สุดก็คือ จะทำอย่างไร้กับเผ่าพันธุ์ที่เพิ่งถูกค้นพบ ความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมีความคิดที่จะยื่นมือเข้าช่วยในเรื่องต่างๆและอยู่ร่วมกับพวกเขา แต่อีกฝ่ายกลับคิดต่างออกไป พวกเขาต้องการให้เผ่าพันธุ์ใหม่นี้เป็นแรงงานทาสแทน และหวังจะแสวงหาผลประโยชน์จากดาวของพวกเขา” และเมื่อเธออธิบายเสร็จจึงหันมามองอาเธอร์ที่กำลังทำหน้าเครียดแบบสุดๆ
“ก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากนะ แต่นี่มันเป็นเรื่องการเมืองใช่มะ ขอผ่านได้ไหม แบบฉันไม่ค่อยชอบเรื่องการเมืองเท่าไหร่” อาเธอร์พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและแฝงเอาไว้ด้วยความเครียด
“งั้นสรุปผลการประชุมก็คือความเห็นไม่สามารถที่จะลงรอยกันเลย และนั่นก็คือชนวนคือสิ่งที่แม้แต่ฉันเองก็คิดไม่ถึง สงครามยังไงล่ะ” เธอพูดพลางหันไปมองอาเธอร์ที่ตอนนี้แสดงท่าทางราวกับจะบอกว่า ฟังง่ายขึ้นเยอะ
“หลังจากนั้นพวกเขาก็แตกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือมัวแอ๊ค พวกเขามีแนวคิดที่จะอยู่ร่วมกับพวกนายและเป็นกลุ่มที่มีมากที่สุด และอีกกลุ่มคือโฟดา เป็นพวกหัวรุนแรงอย่างแท้จริงเลย พวกเขาสู้รบกันเป็นเวลายาวนานกินเวลาเป็นร้อยปีและหาจุดสิ้นสุดไม่ได้เลย แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อารยธรรมพวก เอ่อ พวกอะไรนะ อ่อ ใช่ๆ พวกโรมันกำลังเฟื่องฟูพอดีล่ะมั้งนะ” เธอพูดพลางส่ายหัวเบาๆ ราวกับจะบอกว่ามันช่างต่างกันจริงๆ “หลังจากนั้นอีกเกือบร้อยปีพวกโฟดาก็มาถึงจุดที่ใกล้แพ้สงคราม พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะสร้างกำลังรบใหม่ที่สามารถหาได้อย่างรวดเร็วและมีปริมาณมาก และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของพวกคาเกรนรุ่นแรก และจากการมาพวกของคาเกรนทำให้โฉมหน้าของสงครามเปลี่ยนไป พวกมัวแอ๊คที่เคยได้เปรียบกลับต้องพ่ายแพ้บ่อยครั้งขึ้นและที่เลวร้ายที่สุดคือพวกมันเข้าโจมตีดาวดวงต่างๆ เข่นฆ่าอย่างไร้ปราณี พวกมันวิฒนาการตัวเองตลอด ยิ่งสร้างอาวุธใหม่ๆมากำจัดมันมากเท่าไหร่พวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและรับมือยากขึ้น”
“แบบนี้เองเหรอ จุดเริ่มต้นของพวกอีทเตอร์” อาเธอร์พูดเสียงเบากับตัวเอง พลางมองภาพสงครามที่อยู่ตรงหน้าซึ่งมันต่างออกไปจากการรบกันของพวกมนุษย์มาก อาวุธที่ทันสมัยกว่ามากแม้แต่ในตอนนี้ ถึงจะไม่มี B.U.เหมือนพวกเขาแต่ก็มีหุ่นยนต์ขนาดใหญ่ที่ดูคล้ายพวกแมลงแต่มีอาวุธที่รุนแรงกว่ามาก แถมที่ทำให้เขาทึ่งสุดๆคือพวกเขายังคงต่อสู้ระยะประชิดตัวอยู่ แถมที่อาเธอร์ต้องนับถือเลยคือพวกเข้าต่อสู้กับพวกอีทเตอร์ในระยะประชิดได้อย่างไร้ความเกรงกลัวใดๆ แถมอาวุธของพวกเขาดูจะใช้ได้ผลกับพวกอีทเตอร์มากกว่าที่มนุษย์มีอยู่อีกด้วย
“หลังจากนั้นในเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปี พวกมัวแอ๊คก็ล่มสลายจนหมด พวกที่เหลือรอดกลุ่มสุดท้ายแยกออกเป็นสองกลุ่มพร้อมกับแผนผังและตำแหน่งดวงดาวของพวกคาเกรน แล้วหลังจากนั้นไม่นานพวกคาเกรนก็เริ่มหันกลับไปเล่นงานพวกโฟดาต่อ ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีดาวของพวกโฟดาทั้งหมดก็ถูกทำลาย พวกมัวแอ๊คที่หนีรอดมาได้จึงเริ่มสร้างอารยธรรมขึ้นใหม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไปไม่รอด เพราะพวกคาเกรนยังคงตามพวกเขามา โดยแผนผังที่ว่าโดนแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งถูกเก็บรักษาเอาไว้ที่นี่ และอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่ดาวห่างออกไป แต่ว่านะ ที่ดาวอีกดวงเหมือนว่าจะมีมนุษย์บางกลุ่มไปถึงที่นั่นและทำการแกะข้อความรวมถึงแผนที่นั้นไปแล้วล่ะนะ” เธอพูดพลางถอนหายใจ
“พวกไหนงั้นเหรอ” อาเธอร์ถามด้วยความสงสัย
“นั้นสิ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอตอบ
“เอาเป็นว่าเรื่องราวมันก็ราวๆนี้ล่ะ ไงล่ะอธิบายเข้าใจง่ายใช่ไหมล่ะ” เธอพูดพลางเอามือท้าวเอว
“ขอบคุณมากนะ ที่เล่าให้ฟัง!!” อาเธอร์พูดพลางใช้มือทั้งสองข้างจับบ่าของเธอเอาไว้แน่น ส่วนอีกฝ่ายได้แต่ยืนตัวแข็ง
“อะ เอาล่ะทีนี้ก็ถึงเวลาของความรู้ที่ฉันมีอยู่ในหัวแล้วล่ะนะ ฉันจะถ่ายถอดให้นายเอง” เธอพูดพลางทุบหน้าอกไม้กระดาน ของเธอเบาๆ “คุกเข่าลงซะ!!” เธอพูดขึ้นพลางชี้นิ้วลง ส่วนอาเธอร์เองก็ทำตามอย่างว่าง่าย
หลังจากนั้นเธอจึงค่อยๆขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วจึงทาบหน้าผากของเธอลงที่หน้าผากของอาเธอร์เบาๆ ทันใดนั้นข้อมูลต่างๆในหัวของเธอก็ถูกถ่ายถอดไปยังอาเธอร์ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาทีเธอจึงขยับออกมา
“นั่นน่ะแค่ส่วนเดียวเท่านั้น แต่มันน่าจะเป็นส่วนที่จำเป็นล่ะนะ” เธอพูดขึ้นพลางยิ้มให้เขา
“เธอทำแบบนั้นได้ยังไงน่ะ” อาเธอร์ถามด้วยความสงสัย
“เผ่าพันธุ์ของฉันน่ะทำได้ทุกคนแหละ มันเป็นลักษณะพิเศษทางเผ่าพันธุ์ล่ะนะ” เธอตอบ
“แล้วทำไมไม่สร้างให้มนุษย์มีอะไรเจ๋งๆมั่งล่ะ” อาเธอร์พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“อะไรกัน เผ่าพันธุ์ของพวกนายน่ะ รอดตายจากพวกคาเกรนมาเป็นพันๆปีเลยนะ ต่างจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่ล่มสลายไปหมดแล้ว เผ่าพันธุ์ของพวกนายน่ะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉันภูมิใจมากเลยนะ เรื่องความดื้อด้านตายยากเหมือนแมลงสาบน่ะ” เธอพูดขึ้น แต่อาเธอร์กลับรู้สึกว่าอยากจะตอกหน้าเธอซักครั้งจริงๆ เอามนุษย์ไปเปรียบเทียบกับแมลงสาบซะได้
“เอาล่ะ ก่อนจะจากกันฉันจะให้อะไรดีๆ แล้วกัน” เธอพูดพลางกุมมือของอาเธอร์เอาไว้ และเมื่ออาเธอร์ดึงมือกลับมาก็พบกับของที่มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆอันหนึ่งอยู่ในมือ “นั้นคือตัวฉันอีกคน มันเป็น พวกนายเรียกว่าอะไรนะ อ่อใช่ A.I. เอากลับไปสิ ถ้ามีเจ้านั่นอยู่ด้วยล่ะก็มันต้องช่วยพวกนายได้มากแน่ๆ A.I. นี้น่ะ ทั้งนิสัยหน้าตาแล้วก็ความรู้ต่างๆ ถูกถ่ายทอดจากฉันไปทั้งหมดเลย รักษามันเอาไว้ดีๆ ล่ะเอาล่ะถึงเวลาส่งนายกลับแล้วล่ะนะ” เมื่อเธอพูดจบเธอจึงใช้สันมือตีลงมาที่หัวอาเธอร์เบาๆ
อาเธอร์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น และพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องทรงสี่เหลี่ยมที่มีตัวหนังสือแปลงตาเขียนเอาไว้ตามผนังทุกด้าน เขามองไปรอบๆพบว่าทุกคนยังคงนอนแผ่อยู่บนพื้นยกเว้นเอลร่าที่ดูเหมือนว่าจะนั่งอยู่ข้างๆลอร่าที่ยังหมดสติอยู่ ในตอนนั้นอาเธอร์ได้แต่คิดว่าทั้งหมดมันอาจจะเป็นแค่ความฝัน แต่ไม่ใช่เลย ในมือของเขามีของที่เนียให้มาอยู่ นั่นหมายความว่าทุกอย่างเป็นความจริง
“เอลร่า เป็นอะไรรึเปล่า ฉันหลับไปนานแค่ไหนน่ะ” อาเธอร์ถามพลางเดินเข้าไปหาเธอ
“เราเพิ่งจะตกกระแทกพื้นกันเองไม่ใช่เหรอคะ” เธอตอบพลางเอียงคอด้วยความสงสัย อาเธอร์ที่ได้ยินแบบนั้นจึงรีบปลุกทุกคนทันที
และเมื่อทุกคนรู้สึกตัวกันหมดต่างก็เริ่มโวยวายใส่อาเธอร์กันเป็นการใหญ่ ยกเว้นมานะที่เอาแต่พูดว่า “คุณอาเธอร์ไม่ผิด” อยู่คนเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่อาเธอร์แสดงท่าทีแปลกๆ ออกมาก็คือพอเขาเห็นหน้า ยูอิ ลอร่า กับมานะ เขาได้แต่ยืนน้ำตาซึมออกมา แถมเขายังโอมทั้งสามเอาไว้จนแน่นๆ ส่วนทั้งสามได้แต่ทำท่างงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
หลังจากที่ทุกย่างเข้าที่อาเธอร์จึงเล่าทุกอย่างให้ทุกคนฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อเขาแม้แต่น้อยยกเว้นมานะที่พูดออกมาว่า “ฉันเชื่อค่ะ” แค่คนเดียว ซึ่งมิซึกิได้แต่คิดว่าเพื่อนสนิทของเธอคนนี้พยายามทุกวิถีทางเพื่อทำแต้มเลยสินะ
“เอาล่ะ เราไปกันเถอะ ไปเอาแผนที่ ทีฉันบอกไง” อาเธอร์พูดพลางเดินไปยังผนังของห้องด้านหนึ่ง
“แล้วเราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง ห้องนี่มันปิดตายนะ” มิก้าพูดพลางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย แต่จู่ๆเธอก็ต้องกลืนคำพูดของตัวเองทันที เมื่ออาเธอร์สามารถเปิดห้องนี้ได้อย่างง่ายๆดาย “นายเปิดมันได้ยังไงน่ะ” เธอถามด้วยความสงสัย
“ก็มันเขียนเอาไว้นี่ไง ประตู” อาเธอร์ชี้ไปที่ตัวหนึงสือด้านบน ซึ่งทุกคนได้แต่ยืนอึ้งอ้าปากค้างยกเว้นเอลร่าที่วิ่งเข้าไปเกาะติดอาเธอร์เอาไว้
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ ไปเอาแผนที่ที่ว่ากันได้แล้ว” อาเธอร์พูดพลางเดินนำทุกคนไปก่อน ส่วนทุกคนจึงรีบวิ่งตามมาทันที
Valkyrie S2 ตอนที่4 ความจริง