ดาวแม่ของจักรวรรดิญี่ปุ่น JP-100
เสียงกรีดร้องของผู้คนที่กำลังวิ่งหนีตายจากคมกระสุนที่ถูกยิงออกมาจากปากกระบอกปืน และการปรากฏตัวของกองทัพปริศนาที่เข้าโจมตีโดยไร้การแจ้งเตือนใดๆ ร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหารและประชาชนที่นอนแน่นิ่งท่ามกลางซากปรักหักพังของเมืองที่โดนโจมตี
บนท้องฟ้าเองก็เช่นกัน B.U.และเครื่องบินรบของกองทัพกำลังปะทะกับพวกกองกำลังปริศนาอย่างสุดชีวิต แต่ที่น่าตกใจคือมีทหารบางส่วนที่ไปเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรูด้วย
ภายในห้องนักบินของชิโรงาเนะยูกิโนะกำลังหมดสติ โดยที่ใบหน้าของเธอชุ่มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากการกระแทกอย่างแรง ส่วนที่เยื้องลงไปด้านล่างเล็กน้อยคือคานาโกะ แต่ตอนนี้เธอกลับนั่งนิ่งไม่หายใจอีกแล้วโดยระหว่างอกทั้งสองข้างมีแผ่นเหล็กจากผ้าปิดที่ถูกฟันจนพังแทงทะลุเข้ามา
และที่ภายนอกร่างของ B.U. สีดำรูปร่างแปลกตา มันดูผอมบางแต่กลับใช้ดาบเล่มใหญ่โตเป็นอาวุธ มันค่อยใช้ส่วนเท้าเหยียบลงไปบนที่นั่งคนขับของชิโรงาเนะแล้วค่อยๆกดลงช้าๆ แต่ในตอนนั้นเองที่มีคุโรงาเนะสองเครื่องพุ่งตรงเข้ามา โดยเครื่องหนึ่งเสียแขนขวาไปและอีกเครื่องเกราะหลายจุดบนเครื่องถูกทำลายจนเห็นชิ้นส่วนภายในจนหมด
“ปกป้องท่านยูกิโนะเอาไว้!!” นักบินเครื่องแขนเดียวพูดพร้อมกับพุ่งเข้าใส่เจ้า B.U. สีดำทันที
โดยเจ้า B.U. สีดำเองก็รีบถอยไปเล็กน้อยเพื่อตั้งหลัก นั่นจึงเป็นโอกาศให้คุโรงาเนะอีกเครื่องรีบพุ่งตรงเข้าไปช่วยเหลือยูกิโนะทันที
“ฉันจะถ่วงเวลาเอาไว้ให้ รีบพาท่านยูกิโนะออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!!” นักบินเครื่องแขนเดียวพูดพร้อมกับพุ่งตรงเข้าใส่ศัตรูทันที ส่วน B.U.สีดำนั้นกลับเบี่ยงตัวหลบออกมาเล็กน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ มันใช้ดาบในมือฟาดลงมาใส่คุโรงาเนะแขนเดียวจนขาดครึ่ง ซึ่งมันเป็นจังหวะเดียวกับที่คุโรงาเนะอีกเครื่องพังห้อองนักบินของชิโรงาเนะและได้ตัวยูกิโนะมาพอดี
โดยเจ้า B.U. สีดำเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ โดยไม่ไล่ตามอะไรทั้งนั้น แต่มันกลับเบนเป้าไปหาพวกทัพราชองค์รักษ์ที่กำลังเข้ามาแทน โดยมียูกิคาเสะเครื่องดำ 8 เครื่อง เครื่องทอง 6 เครื่อง
ดาวแม่ของไทย TH-01 เมืองหลวง
เมืองที่เคยคึกคักไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยกันในช่วงวันหยุดตอนนี้เปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องของผู้คนที่กำลังวิ่งหนีจากพื้นที่การรบอันดุเดือดแทน โดยทางกองทัพไทยได้ส่งเอาฐานทัพเคลื่อนที่ขนาดยักษ์ออกมาใช้งานด้วย โดยความสูงของมันกว่า 30 เมตร และยาวถึง 300เมตร
“บ้าเอ้ย!! นี่มันอะไรกัน พวกไหนมันบุกมากันเนี่ย รัสเซียอีกแล้วเหรอ!!” เฉลิมชัยพูดขึ้นขณะปะทะกับB.U. สีดำตัวหนึ่งอย่างยากลำบาก
“จะบ้าเหรอ ดูจากดีรูปร่าง B.U. แล้วมันไม่น่าใช่เลยนะ หรือว่าจะเป็นพวกอังกฤษ!!” อักษรพูดแทรกเข้ามา
“เจ้าพวกโง่ ดูดีๆสิ หน้าตาเชยระเบิดแบบนี้ พวกจีนชัวร์!!” อนันต์แย้งขึ้นมาทันที
“เจ้าพวกบ้า!! มันจะพวกประเทศไหนก็เอาเถอะ แต่นี่มันเข้าขันตึงมือแล้วนะ จะเอายังไงกันดีคะหัวหน้า” ทัศนีย์ด่าทั้งสามคนพร้อมๆกันแบบไม่ไว้หน้า
“คุณเฉลิมชัย พาทุกคนถอยออกมาเถอะค่ะ ตอนนี้เราเสียดาวแม่ไปแล้วโดยสมบูรณ์ ไม่สิ ประเทศของเราจบแล้วล่ะค่ะ การโจมตีเกิดขึ้นในดาวสำคัญๆทุกดวงแล้วยังมีคนในเข้าร่วมด้วย เราต้องถอยไปตั้งหลักใหม่” เสียงหวานของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นหลักจากที่ทัศนีย์เรียกเธอ
“เข้าใจแล้ว!! ไอ้พวกบ้าทั้งหลาย จงใช้วิชาที่กองทัพลงทุนลงแรงสอนเรามาทั้งให้ โกยให้ไวเลย!!!” เฉลิมชัยร้องขึ้นซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ดาบของไวเปอร์ของเขาแทงทะลุเข้าไปในห้องนักบินของB.U. สีดำได้พอดี
แต่ในจังหวะนั่นกลับมีลำแสงสีแดงขนาดใหญ่ยักษ์พุ่งเข้าใส่ฐานทัพเคลื่อนที่ โดยฐานทัพเคลื่อนที่นั้นระเบิดแทบจะในทันทีที่ถูกโจมตี เฉลิมชัยที่เห็นภาพนั้นจึงรีบบังคับให้ B.U.หันไปยังต้นทางของลำแสงนั้นแล้วก็ต้องพบกับเงาร่างบางอย่างที่อยู่ภายในกลุ่มควันแล้วจึงอุทานเสียงเขาขึ้น “นั่นมัน..... ตัวอะไรวะ”
ที่ดาว TH-304 แนวรบนอกชั้นบรรยากาศ
“กัปตันพรพตครับ ตอนนี้เราเป็นต่อฝ่ายตรงข้ามแล้วล่ะครับ รูปทัพของศัตรูเริ่มเสียรูปแล้ว แบบนี้เราชนะแน่ครับ!!” เจ้าหน้าที่บนยานคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ดูยินดีกับชัยชนะที่กำลังจะมาถึง
“กัปตันคะ มีการติดต่อมาจากแนวหน้าค่ะ!!” เจ้าหน้าที่CIC สาวคนหนึ่งพูดขึ้น
“รีบต่อเข้ามา” พรพตพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด และทันใดนั้นจอภาพก็ฉายภาพจากต้นทาง ร่างของชายในชุดนายทหารสีขาวคนหนึ่งที่กำลังแสดงท่าทางแตกตื่น
“พรพต รีบถอยทัพเร็ว อีทเตอร์ มีอีทเตอร์ที่พวกเราไม่รู้จักกำลังบุกมา เราต้านมันไม่อยู่แล้ .........” แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบภาพก็ถูกตัดไปนั่นหมายความว่ายานรำนั้นถูกจมไปแล้ว พวกเจ้าหน้าที่ที่เห็นภาพนี้เริ่มแตกตื่นกับสิ่งที่ได้ยิน
“พวกคุยอะไรกัน!! ส่งสัญญาณถอยทัพเร็วเข้า!!” พรพตรีบออกคำสั่งทันที แต่ตอนนั้นกลับมีลำแสงสีแดงเข้มพุ่งตรงเข้าใส่ยานลำหนึ่งจนระเบิด และจอภาพขนานใหญ่ที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งดังขึ้นมาก็ฉายภาพของยานของทัพศัตรู ซึ่งพวกมันจัดรูปทัพแบบแปลกๆ พวกมันเว้นช่องว่างระหว่างแต่ละกลุ่มเอาไว้ ทำแสงสีแดงขนาดใหญ่พุ่งมาจากด้านหลังของยานรบพวกนั้น พุ่งตรงเข้าทำลายยานทุกๆ ลำที่กำลังถอยหนีออกมา
“หมายความว่ายังไงกัน อีทเตอร์ไม่โจมตีใส่พวกมันงั้นเหรอ!!” พรพตพูดพลางกัดฟันแน่น แต่ในตอนนั้นเองที่มีลำแสงพุ่งตรงเข้ามาทางยานของเขา
“รีบเคลื่อนหลบเร็ว!!” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งร้องขึ้น
“ไม่ทันแล้วล่ะ” พรพตพูดเสียงเบา “เราต้องฝากทุกอย่างเอาไว้ที่พวกหน่วยเขี้ยวขาวแล้วก็เด็กอัจฉริยคนนั้นแล้ว” เขาพูดเสียงเขากับตัวเอง ลำแสงสีแดงนั้นพุ่งทะลุเข้ามาภายในยานได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นไม่นานยานก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง โดยที่ยังไม่มียานหนีภัยรำไหนถูกปล่อยออกมาเลย
ในเวลาเดียวกันทางฝั่งของพวกอาเธอร์
พวกเขากำลังเดินอยู่ภายในซากโบราณสถานที่พวกมนุษย์ต่างดาวสร้างเอาไว้ โดยเป้าหมายคืออาคารที่มีรูปร่างบิดเป็นเกลียวที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร
“นี่อาเธอร์ เธอแน่ใจนะว่าไม่ต้องไปหาหมอ” ยูอิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง
“หัวกระแทกแรงไปแน่ๆ” ลอร่าเสริม
“ไม่ว่าคุณอาเธอร์จะเป็นยังไงมานะก็จะอยู่ข้างๆคุณเสมอนะคะ ไม่ต้องกลัว” มานะพูดพลางหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา
“นี่ๆมานะ ใจเย็นหน่อยสิ” มิซึกิพูดพลางจ้องเพื่อนสาวของเธออย่างเหนื่อยใจ
“อาจจะเป็นผลกระทบจากการใช้สิ่งนั้นก็ได้นะ” มิก้าพูดพลางจ้องอาเธอร์แบบจับผิดบางอย่าง
“อาจจะกลายพันธ์ก็ได้” ซึคุโยมิพูดทีเล่นทีจริง แต่นั่นกลับทำให้แดนนี่ระเบิดหัวเราะออกมาสุดเสียง
“แล้วจะกลายเป็นตัวอะไรล่ะ” เอลก้าเสริม
“มนุษย์ต่างดาว มนุษย์ต่างดาว!!” เอลร่าที่เพิ่งได้เรียนคำพูดใหม่อย่างมนุษย์ต่างดาวจึงช่วยเสริมอีกแรง
“โอ้ อาเธอร์จะกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวสินะ” แดนนี่เสริมพลางหัวเราะออกมา
“เอาเลย หัวเราะให้เต็มที่ คอยดูเถอะจะทำให้ทุกคนอึ้งจนอ้าปากค้าง ว่าแต่ดูอยู่สินะเนีย ดูอยู่สินะ ขำมากสินะ ขำสินะ” อาเธอร์กัดฟันพูดเสียงเบากับตัวเอง พลางเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นราวสามชั่วโมงพวกอาเธอร์ก็มาถึงอาคารที่เป็นเป้าหมาย โดยทุกคนได้แต่นั่งมองอาเธอร์ว่าสุดท้ายแล้วจะเอายังไงต่อ พวกเขาจะต้องเอาตัวไปหาจิตแพทย์หลังจากกลับไปไหม หรือจู่ๆก็เกิดอาการฉลาดเฉียบพลันขึ้นมาจริงๆ
อาเธอร์ก้มๆ เงยๆมองผนังของอาคารที่ไม่มีทางเข้านี้ พลางใช้มีจับตรงนู้นที่ตรงนี้ที
“ประตูๆ ประตูอยู่ไหน” อาเธอร์พูดหน้าเครียดพลางมองหาจุดที่น่าจะเป็นประตู
“อาเธอร์ มันต้องใช้รหัสเปิดรึเปล่า อย่างเช่น เซซามี ประตูจงเปิด!! อะไรแบบนั้น” แดนนี่อดที่จะแซวอาเธอร์ไม่ได้ แถมเจ้าตัวยังระเบิดหัวเราะออกมาสุดเสียง
“เจอแล้วเฟ้ย!!!” อาเธอร์ร้องขึ้นพร้อมกับเอาเท้าถีบเข้าไปที่ผนังตรงหน้า ทันใดนั้นผนังตรงส่วนนั้นก็หายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน “จะเข้าไปไหม” อาเธอร์พูดพลางหันมาถามคนอื่นๆ ที่กำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่
“คุณอาเธอร์เก่งจังเลยค่า!! มานะเชื่อมาตลอดว่าต้องหาเจอแน่ๆ!!” มานะร้องขึ้นพลางวิ่งไปหาอาเธอร์ ส่วนคนอื่นๆได้แต่เบ้หน้าเหนื่อยใจกับมานะ
“นี่อาเธอร์ถามจริง ในนี้มีอะไร” แดนนี่พูดพลางมองไปรอบๆ มันเป็นทางเดินที่ดูกว้างขวาง โดยตลอดทั้งสองข้างทางจะมีห้องเป็นช่วงๆ ซึ่งแต่ละห้องมีขนาดใหญ่มากพอจะให้รถเข้าไปจอดได้ทั้งคัน โดยในแต่ละห้องจะมีแสงจางๆจากเพดานห้องคอยให้แสงสว่าง ซึ่งมันเผยให้เห็นกล่องเหล็กขนาดใหญ่อยู่ลอยอยู่กลางห้องอย่างชัดเจน
“สุสานน่ะ” อาเธอร์ตอบ
“สุสานงั้นเหรอ!!” มิก้าร้องขึ้นพลางทำตาเป็นประกาย เธอแสดงท่าทีราวกับเด็กน้อยที่ได้รับของขวัญในวันเกิดก็ไม่ปาน
“ที่นี่มีแผนที่ดวงดาวอยู่ ถึงจะแค่ครึ่งเดียว แต่ถ้าได้มาล่ะก็มันจะช่วยเราได้มาเลยล่ะ” อาเธอร์พูด
“แล้วจะมาเอาของเก่าทำไมล่ะ แผนที่ดวงดาวมนุษย์เราก็มีนะ” ซึคุโยมิถามขึ้น
“มันมีตำแหน่งดาวแม่ของพวกอีทเตอร์อยู่ แล้วที่ดาวดวงนั้นมีตัวราชินีที่แท้จริงอยู่ด้วย แล้วก็ถ้าฆ่ามันได้ พวกอีทเตอร์ทั้งหมดก็จะตายไปเอง” อาเธอร์อธิบาย
“แล้วเธอไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกันล่ะ ถามจริงๆเถอะ” มิก้าถามเสียงเครียด
“ถ้าจะบอกว่าไปเจอกับผู้ที่สร้างมนุษย์กับเผ่าพันธุ์ต่างๆขึ้นมาเนี่ยจะเชื่อรึเปล่า ถ้าบอกว่าฉันอ่านภาษาต่างดาวพวกนี้ออกจะเชื่อไหมล่ะ ถ้าบอกว่าฉันเห็นทุกความเป็นไปได้ของอนาคตมาแล้วจะเชื่อไหมล่ะ” อาเธอร์พูดขึ้นพร้อมกับค่อยๆ หันกลับมาแล้วก็พบกับสายตาของทุกคนที่เหมือนจะบอกว่า กลับไปแล้วต้องรีบพาไปหาจิตแพทย์ด่วน “เออ!! ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ รอเจอแผ่นที่ดวงดาวที่ว่าก่อนเถอะ!!”
หลังจากที่พวกเขาเดินกันอยู่พักหนึ่งก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่ โดยตรงกลางห้องมีแท่นหินเล็กๆยืนขึ้นมาโดดๆ โดยรอบๆไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่อาเธอร์กลับเดินตรงดิ่งไปหามันพร้อมกับกวักมือเรียกทุกคนให้เข้าไปหา
“มันคืออะไรงั้นเหรอ มนุษย์ต่างดาวอาเธอร์” แดนนี่พูด
“มันคืออะไรเดี๋ยวรูปเอง” อาเธอร์พูดพลางเอามือวางลงไปบนแท่นหินนั้น และนั่นทำให้พื้นตรงกลางห้องค่อยๆยกตัวขึ้น ซึ่งทุกคนดูตกใจปนความทึ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งมันค่อยๆลอยตัวขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว
“มันคือลิฟท์สินะ” ลอร่าพูดขึ้นเบาๆ
“มันน่าทึ่งจริงๆ มันลอยได้ยังไงกัน” มิก้าพูด
“แถมตกลงไปไม่ได้ด้วยค่ะ!!” มานะเสริมโดยเธอพยายามจะโยนแดนนี่ลงไปด้านล่างแต่เขากลับกระแทกเข้ากลับผนังที่มองไม่เห็น
“ก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากหรอกนะ แต่เรากำลังจะชนเพดานนะ” ยูอิพูดพลางชี้ไปด้านบน ซึ่งมันเหลืออีกไม่ไกลก็จะชนเข้ากลับเพดานแล้วจริงๆ
“ไม่ต้องกลัวหรอก ตรงกลางของเพดานนี้มันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว” อาเธอร์ขึ้น ซึ่งมันก็จริงอย่างที่เข้าว่า ลิฟท์นี้มันพุ่งทะลุขึ้นมาด้านบนของเพดานได้จริงๆ แถมที่น่าตกใจคือ ด้านบนเพดานนี้สว่างมากกว่าด้านล่างมากแถมบนนี้มันดูราวกับจะเป็นห้องอะไรบางอย่าง
เมื่อขึ้นมาได้แล้วอาเธอร์จึงเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งมีกล่องเหล็กขนาดใหญ่ลอยอยู่ห่างจากพื้นเล็กน้อย
“นั่นมันอะไรน่ะ อย่าบอกนะว่าโรงศพ” มิก้าพูดพลางมองตามหลังอาเธอร์ไป
“ใช่ โรงศพ ของที่ว่าอยู่ในนั้นล่ะ” เมื่อสิ้นเสียงของอาเธอร์มิก้าก็รีบวิ่งตรงดิ่งที่ยังโรงศพนั้นทันที
“เปิดหน่อยๆ เปิดเร็ว มันเปิดยังไงรีบๆมาเปิดเร็ว!!” เธอพูดพลางเอามือตีลงไปที่โรงศพหลายทีแบบไม่รู้จักเจ็บเลย
อาเธอร์เดินมาที่โรงศพที่ว่า แล้วจึงใช้นิ้ววางลงที่ปลายด้านหนึ่งของโรงศพแล้วจึงค่อยๆลากนิ้วจากปลายด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน ทันใดนั้นโรงศพก็เปิดออกอย่างง่ายดาย
ภาพร่างของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาก่อนมนุษย์โลกอยู่ตรงหน้าของทุกคนแล้ว มันมีรูปร่างที่ใหญ่โตกว่ามนุษย์หลายเท่า ดูๆแล้วน่าจะสูงราวๆ 230 เซนติเมตร มีนิ้วเพียงแค่สามนิ้ว และข้อต่อของเข่าที่บิดไปด้านหลัง และยังไม่นับรวมใบหน้าที่เรียวยาวต่างจากมนุษย์
“นี่มันของจริงสินะ” มิก้าพูดพลางพยายามจะเอื้อมมือไปจับแต่เธอกลับดึงมือกลับมาซะก่อน แต่อาเธอร์เอื้อมมือไปหยิบของทรงกลมที่อยู่ข้างๆร่างไร้วิญญาณนี้ขึ้นมา
“ได้ของแล้วล่ะ กลับกันเถอะ ก่อนเจ้าถิ่นจะมาตามซิวเราซะก่อน” อาเธอร์พูดพลางกลับหลังหันแล้วมองไปรอบๆ ห้องเพื่อมองหาอาวุธ
“เจ้าถิ่น อะไรของนาย เจ้าถิ่นก็นอนตายอยู่นี่แล้วไง” แดนนี้แย้งขึ้นมาทันที
“ไม่หรอก ดูด้านนอกสิ” ลอร่าพูดพลางชี้ไปที่ผนังซึ่งมันเป็นผนังกึ่งโปร่งใส และสิ่งที่แดนนี่หันไปเห็นก็คือสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่เขาไม่คุ้นตา มันมีรูปร่างเหมือนสัตว์สี่ขาไม่มีขน รูปหน้าเรียวยาวในปากของมันนั้นเต็มไปด้วยเขี้ยวอันแหลมคม โดยมันเดินอยู่ที่ระเบียงด้านนอกราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“นั่นมันตัวอะไรฟร๊ะ!!” แดนนี่ร้องขึ้นสุดเสียง“อีทเตอร์รุ่นแรกสุดเลยยังไงล่ะ” อาเธอร์ตอบ
“เดี๋ยวๆ งั้นแสดงว่าพวกมันก็ต้องมีอายุเป็นหมื่นๆปีเลยน่ะสิ” ยูอิพูดขึ้น
“ใช่ ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีชีวิตอยู่ได้เรื่อยๆ นั่นล่ะ ไม่จำเป็นต้องกินอะไรก็สามารถอยู่ได้” อาเธอร์อธิบาย
“แล้วไหงรุ่นพวกเรามันถึงจับคนฉีกกินด้วยฟร๊ะ!!” แดนนี่แย้งขึ้นมา
“มันทำไปตามสัญชาตญาณขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตยังไงล่ะ ถึงจริงๆแล้วพวกมันไม่จำเป็นต้องกินอะไรก็ตาม” อาเธอร์อธิบายพลางเดินตรงไปอีกด้านหนึ่งของห้อง ซึ่งมีกล่องขนาดใหญ่ทำจากหินอยู่
“สุดท้าย มนุษย์เราก็กลายเป็นผู้ถูกล่าสินะ” ยูอิเสริม
“เอาล่ะ ไปกันรึยัง” อาเธอร์พูดพลางเปิดกล่องหินนั้นออก โดยด้านในมีอาวุธรูปร่างแปลกตาอยู่เต็มไปหมดยังมีใครจำกัปตันพรพตได้บ้างไหม เฮียแกบทน้อยแสนจะน้อย แล้วตอนนี้ก็ได้จากไปแล้วในฐานะตัวประกอบที่บทรวมทั้งเรื่องยังไม่ถึง 1 หน้า A4 น้อยยิ่งกว่าแดนนี่จืดจางซะอีก