มาสปอยล์ต่อให้
มีเหตุการณ์หนึ่งที่ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในจิตใจของพระสันตะปาปา แห่งโบสถ์โรมัน คาทอลิก
เหตุการณ์นั่นเกิดขึ้นระหว่างที่เขาไปเยี่ยมเยียนลอนดอน โดยมีเป้าหมายเพื่อหยุดยั้งความขัดแย้งระหว่างโบสถ์โรมัน และโบสถ์อังกฤษ
เหตุการณ์ที่ว่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่อายุจริงถือเป็นปริศนา : ลอร่า สจ๊วต ผูนำของโบสถ์อังกฤษ หนึ่งในนิกายขนาดใหญ่ทั้งสามของศาสนาคริสต์ ผู้หญิงคนนั้นมีพรสวรรค์ในการควบคุมผู้คนจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ได้ผลดีที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องซ่อนความตั้งใจที่แท้จริง ถึงคู่สนทนาจะสามารถรู้ได้ถึงความตั้งใจที่แท้จริงของหล่อนได้ระหว่างการส นทนา แต่เขาคนนั้นก็ยังไม่มีทางทำอะไรอื่นได้นอกจากรับฟังต่อไป ลอร่า สจ๊วต นั้นเป็นผู้หญิงที่สามารถใช้ประโยคคำพูดของตนฝ่าฟันปัญหาไปได้อย่างไม่ลำบาก ยากเย็น ถ้าไม่ระวังให้ดี ก็อาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าโดนผู้หญิงคนนั้นหลอกให้ไปทำอะไรกันแน่ เมื่อพระสันตะปาปาได้เจอหน้ากับเธอ เลขาทั้งสามคนของโบสถ์โรมันคาทอลิก ที่ทำหน้าที่ติดตามพระสันตะปาปา ได้สลบไปกลางการสนทนาเนื่องจากเครียดมากเกินไป ผลลัพธ์ก็คือถูกจับส่งโรงพยาบาลตามระเบียบ
แต่สำหรับพระสันตะปาปาแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาประทับใจในตัวเธอ ไม่ใช่สิ่งนั้น
ตำแหน่งในตอนนั้นคือ ที่พระราชวังแลมเบธ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับ วิหารของเซนต์จอร์จ ที่ที่อาร์คบิชอปของโบสถ์อังกฤษอาศัยอยู่ ในตอนนั้น พระสันตะปาปากำลังนั่งอยู่บนรถที่ได้รับการตกแต่งจนหรูหรา และเนื่องจากรถถูกบังคับให้หยุดอยู่ใกล้ๆกับพระราชวังแลมเบธ เนื่องจากสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาก็เลยเปิดกระจกลง ตอนนั้นเอง ที่เขาได้ยินเสียงดังมาจากพระราชวังแลมเบธ
“ เพิ่งจะต้นเดือนกันยายนเองนี่ ไหงถึงมีการ์ดวันคริสมาสต์เยอะอย่างนี้ล่ะ... ”
“ ถ้าจะรอให้วันคริสมาสต์มาถึงก่อนก็สายไปแล้วล่ะค่ะ พวกเราต้องตรวจดูการ์ดคริสมาสต์ทั้งหมด 250,000 ใบจากทั่วอิงแลนด์นะ เป็นงานหนักนะรู้มั้ย ”
“ พูดเหมือนกับว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวด้วยอย่างงั้นแหละ คันซากิ ”
“ แล้วหลังจากนี้ต้องไปทำอะไรต่อนะ? ดูซิ... ใช่ๆ เขาส่งตารางงานสำหรับเดือนธันวาคมมาให้แล้ว ท่านอาร์คบิชอปจะต้องแต่งตัวเป็นซานตา ครอส แล้วไปเยี่ยนสถานรับเลี้ยงเด็กทั้ง 43 แห่ง เป็นหน้าที่ทางสังคมของพวกเรา กรุณาเข้าใจด้วยค่ะ ”
“ มืม ฉันเตรียมชุดซานต้า พร้อมกับมินิ สเกิร์ต ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนแค่เห็นก็ต้องเลือดกำเดาพุ่งกระฉูดมาไว้แล้วล่ะจ้า ”
“ เอ๋?! ไหงถึงพูดอะไรแปลกๆออกมาได้อย่างมั่นใจ แถมยังผงกหัวหงึกๆยืนยันอีกล่ะ?! ”
“ ไม่หรอกๆ จริงๆแล้ว ฉันก็อายอยู่นี้ดนึงเหมือนกัน ...แต่นี่ก็เพื่อผู้นับถือในโบสถ์อังกฤษ ถ้าจะให้ถอดนู่นถอดนี่ออกซักชิ้นสองชิ้นก็บ่ยั่นจ้า ”
“ นี่คิดจะถอดเสื้อออกด้วยเหรอเนี่ย ลามกที่สุด! ”
“ เหอะ! นี่เธอจะบอกว่า การใส่ชุดซานต้า พร้อมกับมินิ สเกิร์ต ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนแค่เห็นก็ต้องสั่นสะท้าน จะทำให้ฉันกลายเป็นคนลามกอย่างงั้นเหรอ?! ”
“ ไม่ได้พูดอย่างน้าน... อย่างน้อยก็ไม่ได้หมายความแบบนั้นล่ะ อีกอย่างนะคะ ท่านอาร์คบิชอป เปิดเผยพื้นที่บริเวณต้นขามากเกินไปมันจะ----- ”
“ หึ ไม่อนุญาติให้ใส่มินิ สเกิร์ตงั้นเหรอ? ใช่สิ อย่างฉันเนี่ยมันจะไปเทียบกับ ไอดอลล์ที่ยิ่งใหญ่แถมยังสุดเซ็กซี่ ที่พยายามไปเซอร์วิสคนนู้นคนนี้อย่างเอาเป็นเอาตายอย่างเธอได้ยังไงกันล่ะ เพราะงี้เองสินะที่คันซากิต้องถ่อไปที่ญี่ปุ่น แล้วก็ถอดเสื้อออกต่อหน้าพ่อหนุ่ม อิมเมจิ้น เบรกเกอร์นั่น เพื่อจะ “ ตอบแทนบุญคุณ ” จริงๆเลยน้า ถ้าเป็นเรื่องผู้หญิงล่ะก็ เธออยู่แนวหน้าของโลกเลยล่ะ ”
“ หุบปากนะ ยัยมือสมัครเล่น! ”
“ อ๊าย?! ”
“ พอฉันไม่พูดอะไรหน่อยล่ะจ้อไม่หยุดเชียวนะ! นี่ถ้าเธอไม่สร้างวงแหวนเวทมนตร์แปลกๆขึ้นมา แล้วก็ไปเริ่มใช้งานมันมั่วๆล่ะก็ ฉันก็คงไม่ต้องไปตอบแทนบุญคุณ แล้วถูกเจ้าสึจิมิคาโดะมาล้อเลียนเอาแบบนี้หรอก! ”
“ คัน-คันซากิ? คุณคันซากิคะ...? เรื่องนั้นน่ะ... อืม... น้ำเสียงแปลกๆตั้งแต่เริ่ม... ”
“ ไม่อยากถูกผู้หญิงสวยใสไร้สมองอย่างหล่อนมาเล็กเชอร์หรอกย่ะ! ”
“ อ๊า?! ฉัน... เพิ่งจะได้ยินคำพุดที่จะทำเมินไม่ได้ซะแล้วสิ... เอาล่ะ มาให้เล็กเชอร์ซะดีๆ เฮ้ย คันซากิ! นี่ใช้น้ำเสียงแบบนั้นกับอาร์คบิชอปของโบสถ์อังกฤษได้ยังไงห๊ะ?! ”
“ หุบปากนะ ยัยมือสมัคเล่น ฉันน่ะตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจตั้งแต่ที่เห็นเจ้างั่งสึจิมิคาโดะหัวเราะปัญญาอ่อนหลังจากที่เห็น ฉันตอนอยู่แถวบ้านติดทะเลนั่นแล้ว ในที่สุดก็รู้ซักทีว่าต้นเหตุมันเป็นเพราะหล่อนนั่นแหละ ยัยผู้หญิงบ้าเอ้ย! ถ้าไม่ได้เป็นเพราะยัยผู้หญิงบ้านี่ ฉันก็คงไม่ต้องไปตอบแทนบุญคุณอะไรเลยแท้ๆ แล้วก็คงไม่ต้องมาแสดงความนับถืออะไรเธอด้วย บ้าจริง ยัยบ้าเอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! ”
“ หา อ๊ายยยยยยยยยยยยย!? ส-สเตลลลลลลลลล! ”
ตูม! ปึง! แคร้ง! เปรี้ยง!
เสียงอะไรบางอย่างแตกหัก และเสียงร้องไห้อย่างมีความสุข ดังออกมาจากพระราชวังแลมเบธ
ถึงจะไม่พูดก็คงรู้ว่าถ้าเป็นเรื่องประเพณีที่ดีงาม ยัยสองคนนั้นสอบตกเลย ถึงจะสมมติว่าทั้งสองคนไม่ได้มีสถานะยิ่งใหญ่อะไรเหมือนกับตอนนี้ แต่การสนทนาพรรค์นั้นมันก็ไม่ควรจะมีอยู่ในเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ ที่มีชื่อว่า พระราชวังแลมเบธแห่งนี้เลย ในที่ที่เป็นความลับของความลับแห่งนี้ ได้ยินนักเวทย์สนทนากันแบบนั้นมันน่าช็อคตายเลยจริงๆ ตอนแรก แม่บ้านคนหนึ่งที่เดินแบกลูกๆมาตามถนนก็ดูจะตกใจ แต่ไม่นานรอยยิ้มก็ขึ้นมาแทนที่บนใบหน้าของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สนว่าการสนทนานั่นมาจากใคร
เธอยิ้ม
อายุที่แตกต่างกัน พลังนั้นได้มาจากอำนาจ และชื่อเสียง ถ้าทิ้งความคิดแบบนั้นไป สิ่งที่จะรออยู่ก็คือ โลกของความเท่าเทียมกัน
พระสันตะปาปาทำได้แค่มองไปที่ฉากข้างหน้าด้วยความไม่เชื่อถือ ระหว่างที่ถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าผู้ดูแล
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงคนที่อยู่เบื้องหน้าเขานี้จะเป็นคนเดียวกับ ผู้หญิงที่เขาได้สนทนาเรื่องต่างๆกันเมื่อครู่ แต่ถึงเธอจะทำตัวอย่างไร ก็คงไม่มีใครไปเถียงว่าเธอกำลังทำตัวผิดคำสอนของคริสต์ศาสนาได้ ใช่แล้ว ท่านพ่อที่ทำหน้าที่คุ้มครองผู้นับถือทุกคนได้กล่าวไว้ว่า “ จงรักเพื่อนบ้าน ” มนุษย์นั้นเป็นพี่น้องของกันและกัน และเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้าแล้ว ทุกคนนั้นเท่าเทียมกันหมด นี่เขากำลังเห็นหลักคำสอนนั้นอยู่รึเปล่านะ?
อายุ สถานะ สิ่งพวกนั้นยิ่งได้รับมามากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งแบกรับได้ยากขึ้นเท่านั้น
เธอไม่ได้ทำตัวดีกับผู้ที่มีสถานะเหนือกว่าเธอ และไม่เคยดูถูกเหยียดหยามผู้ที่ต่ำต้อยกว่า ถ้าเป็นลอร่า สจ๊วต ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครมาจากไหน เธอก็จะเถียงด้วย เปิดเผยนิสัยแย่ๆให้เห็น ทำตัวบ้าๆบอๆใส่ แล้วบางครั้งก็ยังร้องไห้ แต่สุดท้าย คนที่จะหัวเราะก็มักจะเป็นผู้หญิงคนนั้นเสมอ
การถกเถียงกันเมื่อกลางวันหน่อยๆ ทำให้พระสันตะปาปาเกิดอาการอิจฉาขึ้นมา
นั่นล่ะคือ อาร์คบิชอปของโบสถ์อังกฤษ
ไม่สำคัญหรอกว่าจะผ่านมากี่สิยี่สิบปีแล้ว … ตั้งแต่ที่พระสันตะปาปาได้รับตำแหน่งมา อายุของผู้หญิงคนนั้นก็ได้เป็นปริศนามาตั้งแต่ตอนนั้น และเขาก็รู้สึกว่าเธอคนนั้นยังคงยิ้มแบบนั้นมาตลอด
ล้อมรอบโดยทุกคน อยู่ร่วมกันกับทุกคน
พระสันตะปาปาที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้น กำลังเดินไปตามถนนของเมืองหลวงของอิตาลี โรม
หลังจากที่ออกจากกำแพงเมืองวาติกันไปทำการเทศนาเล็กๆที่ Basilica di Sant'Agostino สำเร็จแล้ว เขาก็จะกลับสู่ที่อยู่อาศัยของเขา ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากวาติกันประมาณ กิโลครึ่ง เมื่อเขามีธุระอะไรที่ทำให้ต้องมาโรมเมื่อไหร่ เขาก็มักจะเลือกเดินกลับมากกว่าจะขี่พาหนะกลับเสมอ ที่เขาตัดสินใจอย่างนั้นไม่ใช่เพราะแค่กังวลเรื่องสุขภาพอย่างเดียว แต่เขาชื่นชอบบรรยากาศของโรม และที่สำคัญที่สุด เขาอยากจะสื่อสารกับประชาชนของเมืองนี้
ในสภาพแวดล้อมตอนนี้ มีนักท่องเที่ยวที่กำลังยืนช็อกจนกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปไม่ได้ ตรงหน้าต่างของตึกๆหนึ่ง มีผู้หญิงวัยกลางคนกำลังสวดภาวนาแก่เขาอย่างจริงจัง
ทว่า...
“ จะบอกว่าสถานการณ์นี้จะทำให้ทุกคนมีความสุขมันก็ยากนะครับ ” เลขาที่ยืนอยู่ข้างๆเขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งจนมีแค่พระสันตะปาปา เท่านั้นที่ได้ยิน
ถึง เขาจะดูเหมือนเลขาธรรมดาๆ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นยามรักษาภัยที่เคยสังกัดอยู่ในกลุ่มนักสู้มาก่อน โดยการเปลี่ยนอาชีพ ทำให้เขาได้รับหน้าที่ติดตามพระสันตะปาปาไปทุกที่ แม้แต่ “ ที่ที่เหล่าผู้คนซึ่งไร้พลังไม่สามารถเข้าไปได้ ” ก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น
เลขาคนนั้นพูดต่อไป “ ตามที่คาดไว้ครับ การเดินกลับเนี่ยมันเสี่ยงเกินไป ถึงจะมีพวกยามเฝ้าเรียงรายแบบนี้ แต่จะพูดว่าไร้อันตรายเลยก็คงจะไม่ได้ ท่านควรจะกลับด้วยภาหนะติดเกราะเสริมด้วยเวทมนต์ป้องกันมากกว่านะครับ ”
“ เข้าใจแล้วล่ะ ”
“ “ ทุกคนเท่าเทียมกันในคริสต์:Xนา ”... ถ้าท่านอยากจะโปรโมตแนวคิดนั้นล่ะก็ ก็มีวิธีอื่นอีกไม่ใช่เหรอครับ? อย่างเช่น บริจาคเงินหรือไม่ก็ไปเยี่ยมสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือจะไปตรวจดูโรงเวชภัณฑ์ประมาณนั้นน่ะครับ แบบนั้นจะช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีของท่านได้มากกว่าวิธีนี้ด้วยนะครับ...? ”
อารมณ์ของพระสันตะปาปาถูกทำลายแหลกหมด เขาพูดซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่รุนแรงกว่าเดิม “ ก็บอกว่าเข้าใจแล้วไง ”
เลขาปิดปากของเขาเงียบ
พระสันตะปาปาถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ถึงเขาจะพยายามสร้างความเท่าเทียมขึ้นมาซักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่สำเร็จ เห็นคนผ่านทางและเหล่านักท่องเที่ยวรอบๆตัวเขาจ้องมาที่เขาด้วยความช็อกและ ความเกรงกลัวแบบนี้ มันแตกต่างกับวิธีที่ลอร่า สจ๊วตแฝงตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแบบสุดขั้วเลย
ลูกบอลสกปรกกลิ้งมาตามซอยเล็กๆ
ลูกบอลนั่นมีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 30 เซนติเมตร ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เด็กๆเล่น มันถูกสร้างขึ้นมาจากยางที่ดูๆไปก็เหมือนกับพลาสติกโปร่งใส ลูกบอลนั่นมีผิวไม่เรียบ ทำให้รู้สึกว่าเป็นของถูก
พระสันตะปาปาก้มตัวลงและจะหยิบลูกบอล โดยที่ไม่คิดอะไรมาก แต่เลขาของเขายื่นมือเข้ามาหยุดไว้ นาทีนั้นเอง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งปรากฎตัวออกมาจากซอย เธอวิ่งตามลูกบอลมา เธอเป็นเด็กเร่ร่อนที่มาจากถนนใกล้ๆนี้ เป็นเด็กที่นานๆจะโผล่มาที่นี่ซักที เด็กคนนั้นมีอายุอยู่ประมาณ 10 ปี ใส่ชุดที่เปื้่อนโคลนซะยิ่งกว่าลูกบอลนั่นซะอีก
พระสันตะปาปาผลักมือของเลขาไปข้างๆ แล้วเดินไปหยิบลูกบอล
แต่ก่อนที่เขาจะได้หยิบ เสียงอันแหลมคมก็หยุดการกระทำของเขา
“ อย่าเลยค่ะ ”
นั่นคือเสียงของเด็กผู้หญิงคนนั้นเอง
“ ถ้าท่านทำชุดสวยๆแบบนั้นเปื้อน มันจะทำความสะอาดยากนะคะ ”
น้ำเสียงอันเย็นชาของเด็กผู้หญิงคนนั้นเสียดแทงเข้าไปในหูของพระสันตะปาปา เขาหยุดเคลื่อนไหวเหมือนกับถูกฟ้าผ่า เด็กผู้หญิงใช้จังหวะนั้นหยิบลูกบอลขึ้นมาเอง ค่อยๆถอยห่างออกจากพระสันตะปาปาเหมือนกับกลัวจะโดนพวกม็อบพุ่งเข้ามาทำร้าย และวิ่งกลับเข้าไปในซอย
“ … ”
พระสันตะปาปาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืนรากงอกอยู่กับตำแหน่งนั้นอย่างเงียบๆ
จงรักเพื่อนบ้าน ถึงจะไม่ได้เป็นญาติที่มีสายเลือดเดียวกันก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้าแล้ว มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันทั้งหมด
พระสันตะปาปากัดฟันของเขาให้แรงที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยมีคำพูดเหล่านั้นปรากฎขึ้นมาในจิตใจ
“ เป็นปัญหาจริงๆด้วย ”
เขาพูดแบบนั้นออกมาโดยไม่มีความลังเล และเลขาที่อยู่ข้างหลังเขาก็ผงกหัวร่วมด้วย
“ ใช่ครับ สำหรับพระสันตะปาปาของโบสถ์โรมัน คาทอลิก ผู้ที่สามารถควบคุมผู้นับถือทั้งหมด 2 พันล้านคนได้ด้วยมือเดียวแล้ว คำพูดหยาบคายเช่นนั้นมันช่างอวดดีจริงๆ อีกอย่าง ที่นี่คืออิตาลี ศูนย์กลางของโรมัน คาทอลิกเชียวนะ... ถ้าอยากจะเป็นผู้นับถือ ก็น่าจะมีกิริยามารยาทดีกว่านี้หน่อยสิ ”
“ … ”
พระสันตะปาปาได้แค่ถอนหายใจ เมื่อได้ยินคำพูดไร้สาระของเลขา
สุดท้าย นี่เขาอยากจะให้มีความเท่าเทียมเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ด้วยระยะห่างที่เขารู้สึกได้จากทุกๆคน ทำให้หัวใจของเขามีแค่ความหนาวเย็นเท่านั้น
ชั่วโมงเรียนที่ 4 ของตอนเช้าถูกดีเลย์เพราะสถานการณ์หนึ่ง
วันนี้ เป็นวันสุดท้ายของงานเทศกาลโรงเรียนแล้ว เด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆ คามิโจ โทมะ และเพื่อนร่วมชั้นของเขาอีกจำนวนหนึ่ง ต่างก็กำลังมุ่งหน้าไปที่โรงอาหาร และร้านขายอาหารอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเวลาผ่านมานานมากแล้ว ขนมปังทั้งหมดที่อยู่ในร้านขายก็เลยหมดเกลี้ยงไปแล้วเรียบร้อย ในโรงอาหารก็ไม่มีที่นั่งว่างเหลืออยู่เลยเช่นกัน แถมยังเหมือนกับว่าจะไม่มีทางว่างจนกว่าช่วงพักกลางวันจะจบเลยด้วยซ้ำ ส่วนเครื่องขายอาหารอัตโนมัติที่มีรูปร่างคล้ายกับเครื่องขายบุหรี่ อัตโนมัติก็ยังมีแสงไฟขึ้นมา บ่งบอกว่าของหมดสต๊อกแล้ว อีกต่างหาก ช่างโชคร้ายเสียจริงๆ และเหตุผลเดียวที่ทำให้นักเรียนทั้งชั้นต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ก็เพราะว่า คามิโจ โทมะ พูดกับอาจารย์ประวัติศาสตร์ไปว่า “ เหรอครับ? ถ้างั้น ถ้าโอดะ โนบุนางะ ทำการสร้างมหาโชกุนโอดะขึ้นมา ญี่ปุ่นในตอนนี้จะเป็นยังไงเหรอ? ” ทำให้ทุกๆคนโดนสวดตัวติดเก้าอี้
เนื่องจากคามิโจเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เขาก็เลยรับอาสาเข้าไปในห้องทำงานของพวกครูๆ เพื่อไปบ่นกับอาจารย์โคโมเอะ ที่กำลังยัดโซบะบำรุงสุขภาพราคา 580 เยน เข้าปาก คามิโจร้องขอว่า “ อย่างน้อยก็ช่วยเปิดให้ชั่วโมงต่อไปเป็นวิชาทำอาหารทีเหอะครับ! เดี๋ยวผมจะทำอาหารเซ็ตคามิโจเอง!! ขอวัตถุดิบเป็นของเหลือก็ได้ อย่างเศษชีสกับน้ำจิ้มประมาณนั้นอ่ะครับ!! ” แต่ทว่า อาจารย์กลับทำได้แค่ยิ้มให้แล้วก็ตอบมาแบบไม่เคลียร์ ในขณะเดียวกัน คุณครูคณิต โอยาฟุเนะ ซัวมะ ก็กำลังรับประทานอาหารทะเลดงบุริเดอร์ลักซ์ โรยด้วยหอยเม่น และคุณครูพละ โยมิคาวะ ไอโฮะ ก็กำลังรับประทานขนมปังใส้เนื้อที่มีส่วนประกอบของข้าวอยู่พอๆกับที่ร่างกาย เธอเผาผลาญหมดพอดี ทั้งหมดนี้ทำให้ห้องทำงานโชยไปด้วยกลิ่มหอมหวลที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้อง ทุกข์ทรมาน และคามิโจก็ทำได้แค่ออกมจากห้องทำงานโดยที่สภาพจิตถูกทำลายแหลกเหลวไปแล้ว
“ ห-เหลือแค่เครื่องขายน้ำผลไม้เท่านั้นเอง... แต่กินแค่นั้นอยู่ไม่รอดคาบเรียนตอนกลางวันแน่ๆ ”
เหล่าผู้คนที่กำลังเผชิญหน้ากับภาวะอาหารขาดแคลนก็คือ เหล่าผู้คนที่อยู่ในกลุ่ม ร้านอาหาร และร้านขายของ กลุ่มนี้มีคามิโจเป็นผู้นำ สมาชิกคนอื่นๆของกลุ่มก็คือ อาโอกามิ เพียร์ซ สึจิมิคาโดะ โมโตฮารุ ฮิเมกามิ ไอสะ ที่บังเอิญลืมทำเบนโตะของตัวเองมา และฟุกิโยเสะ เซย์ริ ที่บังเอิญเห็นว่าสินค้าบำรุงสุขภาพในเว็บไซต์ประจำหมดสต๊อก และเพื่อนในห้องทั้งชายและหญิง รวมทั้งหมดแล้วได้ 21 คน
และที่อยู่ข้างๆ ก็คือกลุ่มที่เอาเบนโตะมา ซึ่งกำลังลิ้มรสอาหารของพวกเขา มีคนหนึ่งกำลังยัดแฮมเบอร์เกอร์สเต็กขนาดเล็กดูท่าจะอร่อยเข้าปากอย่างดุ เดือด ทำให้กองกำลังของพวกนักเรียนที่ท้องว่างทำการตัดสินใจ
“ ออกไปกันเลย!! เราจะแอบเผ่นออกจากโรงเรียนไปร้านสะดวกซื้อ!! ”
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าใครเป็นคนตะโกน
แต่เมื่อพวกเขาทุกคนรู้สึกตัว เหล่าเด็กหนุ่มและหญิงสาวทั้งหมดที่อยู่ในกลุ่มโรงอาหาร และร้านขายของ ก็มารวมตัวกันเป็นวงกลมเพื่อสนทนาแผนการรบ
ในตอนนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า คนที่จะขับพลังออกมาได้มากที่สุดก็คือ ฟุกิโยเสะ เซย์ริ
“ ถ้าทุกคนวิ่งออกไปกันหมด เราโดนพวกครูๆจับได้แน่ๆ นี่แผนที่น่าจะสำเร็จที่สุด : เราจะแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆประมาณ 3-4 คน และทุกคนเอาเงินในกระเป๋าให้พวกตัวแทนนั่นซะ ให้กลุ่มนั่นเป็นตัวแทนทุกคนไปซื้อ!! ”
“ แล้วพวกที่เหลือล่ะ? ”
หลังจากที่เห็นฮิเมกามิพูดขึ้นด้วยท่าทีสงสัย คามิโจก็ยกมือขึ้นตอบไป
“ ไปรวบรวมสถานการณ์ของพวกครูๆมา แบบนั้นจะใช้สนับสนุนการเคลื่อนไหวของทัพหลักได้ จะให้พวกครูๆรู้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะงี้แหละ ติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์อย่างสม่ำเสมอด้วย -- เพราะว่าถ้าข่าวคราวสถานการณ์ไม่ได้อัพเดตถึงที่สุดได้เจอปัญหาแน่ ”
“ เอาล่ะ งั้นพวกเราจะไปเลือกทางหนีทีไล่ล่ะนะ นย้า ”
สึจิมิคาโดะดึงเอาเศษกระดาษปริ้นท์ออกมาจากกระเป๋า แล้วก็วาดแผนที่ของโรงเรียนลงไปอย่างะเอียด
“ ตรงนี้จะเป็นสัญญาณเตือนถ้าคนเข้าออก แต่ไอ้เจ้าเซนเซอร์อินฟราเรจนี่จะทำงานตอนกลางคืนเท่านั้น เพราะงั้นเราจะเมินไปก็ได้... จากนั้น ดูจากตำแหน่งที่ทำงานครูแล้ว ถ้าเราผ่านทางเข้าหลักไปล่ะก็ได้มีคนเห็นแน่ เพราะจากที่ทำงานมองเห็นด้านหน้าของโรงเรียนได้ทั้งหมด ฉะนั้นเราต้องออกทางประตูหลัง แต่ลุงที่ขายอยู่ในโรงอาหารก็เข้าออกผ่านประตูหลังเหมือนกัน เพราะงั้นถ้าบังเอิญเจอกัน งานเข้าหนักแน่ล่ะ นย้า ”
“ เข้าใจล่ะ... ประเด็นหลักก็คือการกะเวลาให้พอเหมาะ แล้วค่อยออกไปทางประตูหลังสินะ ได้เลย มาแบ่งงานกันเถอะ!! ”
เหล่านักรบทั้ง 21 คนแแยกกันไปรวมเป็นกลุ่มเล็กๆ ภายใต้คำสั่งของฟุกิโยเสะ คามิโจ โทมะ อาโอกามิ เพียร์ซ สึจิมิคาโดะ โมโตฮารุ และฟุกิโยเสะ เซย์ริ มีหน้าที่เคลื่อนไหวแทนทุกคน ทั้งสี่คนนี้ต่างก็มีทักษะการเผ่นขั้นเทพ คงเพราะเป็นพวกชอบก่อเรื่องนั่นล่ะ
“ ...แต่ให้ไอ้ตัวซวยคามิโจไปจัดการแบบนี้ จะไม่เป็นอะไรเรอะ? ”
“ ...ไม่ต้องห่วง หมอนั่นมีหน้าที่เป็นเหยื่อล่อไง ”
คามิโจใช้หมัดของเขา เพื่อทำให้เพื่อนร่วมชั้นที่กำลังคุยกันจ้อกแจ้กเงียบสนิท
หลังจากนั้น สมาชิกทั้งหมดก็มารวมตัวกันเป็นวงกลม และดึงเอามือถือของตัวเองออกมา ตั้งค่าให้รับทีละหลายๆสายได้ และปรับนาฬิกามือถือให้แสดงถึงวินาทีด้วย
“ ---ผู้โดยสารทุกคน เริ่มภารกิจได้!! ”
* แปะ แปะ! * ฟุกิโยเสะปรบมือสองครั้ง และสมาชิกทั้งหมดของกลุ่ม โรงอาหาร และ ร้านขายของ ก็กระจายตัวออก เหมือนผึ้งแตกรัง
ถึงคามิโจ อาโอกามิ เพียร์ซ สึจิมิคาโดะ และฟุกิโยเสะ จะรีบเร่งซักเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็ต้องระวังความผิดพลาดระดับต่ำอย่าง “ โดนด่าเพราะวิ่งบนทางเดิน ” และเคลื่อนไหวไปข้างหน้าได้แค่ “ ทำเหมือนกับก้าวเท้าไปเร็วๆ ”
“ เป็นการแข่งกับเวลาล่ะ ”
หลังจากยิ้มให้คุณครูไปหลายคน ฟุกิโยเสะ ที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างๆคามิโจ ก็พูดขึ้น
“ ถ้าเป็นร้านสะดวกซื้อ ตอนกลางวันนี่แหละคนเยอะสุด ถ้าเราออกไปได้แต่ที่ร้านสะดวกซื้อของหมดทั้งร้าน มันก็ไร้ค่าเหมือนกับเอาตะกร้าไม้ไผ่ไปตวงน้ำนั่นแหละ!! ”
พวกเขาทั้งสี่คนตัดสินใจไม่ไปที่ที่เก็บรองเท้า เนื่องจากมีสวิตซ์อยู่ในที่เก็บ ถ้าทำแบบนั้นแผนการหนีจากโรงเรียนของพวกเขาก็จะถูกเปิดโปง แถมรองเท้าใช้สำหรับกิจกรรมนอกห้องเรียนก็ไม่มี เพราะว่าวันนี้ไม่มีคาบนั้น... ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เลยทีเดียว
ฉะนั้น พวกเขาจึงต้องขอให้พรรคพวกที่กระจายตัวไปแล้วส่งรองเท้าสปอร์ตมาให้ โดยส่งรองเท้าแตะที่ใช้ในตึกกลับไป หลังจากนั้น พวกเขาก็ต้องผ่าน “ เส้นทางนอก ” ที่เชื่อมระหว่างโรงเรียนและหอกีฬาก่อนเพื่อเปลี่ยนรองเท้า แล้วค่อยบุกฝ่าไปข้างนอก แล้วจากนั้น พวกเขาก็ต้องกลับมาผ่านประตูหลังอีกทีก่อนจะมีใครรู้เข้า
ทหารกล้าทั้งสี่เห็นรั้วกั้นเหล็กแล้ว
ไม่มีใครอยู่เลย แม้แต่ลุงที่โรงอาหาร ที่พวกเขากังวลว่าจะอยู่ ก็ไม่อยู่
“ เอาล่ะ! ออกไปทั้งอย่างงี้เลย!! ”
คามิโจเตรียมตัวจะต่ายรั้วกั้นออกไปข้างนอก
ในนาทีนั้นเอง
* ปี๊นปี๊น--- * พวกเขาได้ยินเสียงบีบแตรดังสนั่นมาจากรถยนต์
พอมองไป ก็เห็นอาจารย์กอริลล่าที่เพิ่งจะกลับมาจากร้านอาหารข้างนอก
คุณครูที่มีหน้าที่แบ่งแยกแผนงานให้นักเรียนกำลังขี่รถ 4 ประตูสำหรับครอบครัวอยู่ แต่รถนั่นสร้างมาให้คนขับนะ ปล่อยให้กอริลล่าไปขับแบบนี้เลยทำให้รถดูแน่นเหมือนกับตู้โทรศัพท์ที่มีคน แออัดยังไงยังงั้นเลย
“ เชอะ!! ลืมไปสนิทเลยว่ารถของพวกครูเข้ามาทางประตูหลังได้!! ”
ดูท่าว่าฟุกิโยเสะจะเสียใจที่แผนของเธอพลาด แต่ความคิดของคามิโจกลับต่างกันไปคนละเรื่อง
เขาตะโกนสิ่งที่คิดอยู่ออกมาหมด
“ บ้ารึเปล่าว้า!! นี่คิดจะไปกินชิวๆที่ร้านอาหารข้างนอกเอาตอนนี้เร้อ!? ไอ้อสูรกายบ้ากล้ามที่เป็นร่างแปลงของเจ้ากอริลล่านั่นออกไปกินข้าวชิวๆ ทิ้งให้พวกเราต่อสู้กันอยู่ในโรงอาหารเนี่ยนะ!! ”
“ ง-โง่น่า คามิยัง อย่าไปท้าต่อยกับคนพรรค์นั้นเด้! ถ้าพวกเราโดนจับได้ที่นี่แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าวกลางวันของทุกคนเล่า!!? ”
เสียงตะโกนของอาโอกามิ เพียร์ซ ทำให้คามิโจใจเย็นลงได้เล็กน้อย
ในการที่จะหนีจากผ่ามือของอาจารย์กอริลล่าที่สามารถเปลี่ยนห้องเรียนให้กลาย เป็นแดนเถื่อนได้ ที่กำลังลงมาจากรถแล้วบึ่งมาหา คามิโจรีบต่ายข้ามรั้วกั้นออกไปข้างนอกทันที ฟุกิโยเสะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องเลยหนีไปอีกทาง และเมื่อสึจิมิคาโดะกำลังจะโดนรวบ เขาก็เตะอาโอกามิ เพียร์ซที่กำลังต่ายรั้วอยู่ตกลงไป ใช้อาโอกามิ เพียร์ซ เป็นตัวแลกเปลี่ยนสำหรับการหลบหนีของเขา
ในการที่จะไม่ให้ความพยายามของผู้เสียสละที่น่านับถือต้องสูญเปล่า คามิโจ และสึจิมิคาโดะ ใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อเผ่นไปตามท้องถนน
สึจิมิคาโดะเหลียวไปมองข้างหลังระหว่างที่วิ่ง แล้วจากนั้นก็อ้าปากค้าง
“ ไอ้เกรียนกอริลล่านั่นเมินอาโอกามิ เพียร์ซสนิด แล้วยังพุ่งตรงมาทางนี้อีกด้วยเร้อ นย้า!? ”
“ ล้อกันเล่นป่าวฟะ!? เฮ้ย สึจิมิคาโดะ แยกกันเร็ว! จะยอมให้กองกำลังของเราถูกขจัดลงทั้งหมดไม่ได้นะเฮ้ย!! ”
เหตุการณ์นั่นเกิดขึ้นระหว่างที่เขาไปเยี่ยมเยียนลอนดอน โดยมีเป้าหมายเพื่อหยุดยั้งความขัดแย้งระหว่างโบสถ์โรมัน และโบสถ์อังกฤษ
เหตุการณ์ที่ว่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่อายุจริงถือเป็นปริศนา : ลอร่า สจ๊วต ผูนำของโบสถ์อังกฤษ หนึ่งในนิกายขนาดใหญ่ทั้งสามของศาสนาคริสต์ ผู้หญิงคนนั้นมีพรสวรรค์ในการควบคุมผู้คนจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ได้ผลดีที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องซ่อนความตั้งใจที่แท้จริง ถึงคู่สนทนาจะสามารถรู้ได้ถึงความตั้งใจที่แท้จริงของหล่อนได้ระหว่างการส นทนา แต่เขาคนนั้นก็ยังไม่มีทางทำอะไรอื่นได้นอกจากรับฟังต่อไป ลอร่า สจ๊วต นั้นเป็นผู้หญิงที่สามารถใช้ประโยคคำพูดของตนฝ่าฟันปัญหาไปได้อย่างไม่ลำบาก ยากเย็น ถ้าไม่ระวังให้ดี ก็อาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าโดนผู้หญิงคนนั้นหลอกให้ไปทำอะไรกันแน่ เมื่อพระสันตะปาปาได้เจอหน้ากับเธอ เลขาทั้งสามคนของโบสถ์โรมันคาทอลิก ที่ทำหน้าที่ติดตามพระสันตะปาปา ได้สลบไปกลางการสนทนาเนื่องจากเครียดมากเกินไป ผลลัพธ์ก็คือถูกจับส่งโรงพยาบาลตามระเบียบ
แต่สำหรับพระสันตะปาปาแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาประทับใจในตัวเธอ ไม่ใช่สิ่งนั้น
ตำแหน่งในตอนนั้นคือ ที่พระราชวังแลมเบธ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับ วิหารของเซนต์จอร์จ ที่ที่อาร์คบิชอปของโบสถ์อังกฤษอาศัยอยู่ ในตอนนั้น พระสันตะปาปากำลังนั่งอยู่บนรถที่ได้รับการตกแต่งจนหรูหรา และเนื่องจากรถถูกบังคับให้หยุดอยู่ใกล้ๆกับพระราชวังแลมเบธ เนื่องจากสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาก็เลยเปิดกระจกลง ตอนนั้นเอง ที่เขาได้ยินเสียงดังมาจากพระราชวังแลมเบธ
“ เพิ่งจะต้นเดือนกันยายนเองนี่ ไหงถึงมีการ์ดวันคริสมาสต์เยอะอย่างนี้ล่ะ... ”
“ ถ้าจะรอให้วันคริสมาสต์มาถึงก่อนก็สายไปแล้วล่ะค่ะ พวกเราต้องตรวจดูการ์ดคริสมาสต์ทั้งหมด 250,000 ใบจากทั่วอิงแลนด์นะ เป็นงานหนักนะรู้มั้ย ”
“ พูดเหมือนกับว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวด้วยอย่างงั้นแหละ คันซากิ ”
“ แล้วหลังจากนี้ต้องไปทำอะไรต่อนะ? ดูซิ... ใช่ๆ เขาส่งตารางงานสำหรับเดือนธันวาคมมาให้แล้ว ท่านอาร์คบิชอปจะต้องแต่งตัวเป็นซานตา ครอส แล้วไปเยี่ยนสถานรับเลี้ยงเด็กทั้ง 43 แห่ง เป็นหน้าที่ทางสังคมของพวกเรา กรุณาเข้าใจด้วยค่ะ ”
“ มืม ฉันเตรียมชุดซานต้า พร้อมกับมินิ สเกิร์ต ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนแค่เห็นก็ต้องเลือดกำเดาพุ่งกระฉูดมาไว้แล้วล่ะจ้า ”
“ เอ๋?! ไหงถึงพูดอะไรแปลกๆออกมาได้อย่างมั่นใจ แถมยังผงกหัวหงึกๆยืนยันอีกล่ะ?! ”
“ ไม่หรอกๆ จริงๆแล้ว ฉันก็อายอยู่นี้ดนึงเหมือนกัน ...แต่นี่ก็เพื่อผู้นับถือในโบสถ์อังกฤษ ถ้าจะให้ถอดนู่นถอดนี่ออกซักชิ้นสองชิ้นก็บ่ยั่นจ้า ”
“ นี่คิดจะถอดเสื้อออกด้วยเหรอเนี่ย ลามกที่สุด! ”
“ เหอะ! นี่เธอจะบอกว่า การใส่ชุดซานต้า พร้อมกับมินิ สเกิร์ต ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนแค่เห็นก็ต้องสั่นสะท้าน จะทำให้ฉันกลายเป็นคนลามกอย่างงั้นเหรอ?! ”
“ ไม่ได้พูดอย่างน้าน... อย่างน้อยก็ไม่ได้หมายความแบบนั้นล่ะ อีกอย่างนะคะ ท่านอาร์คบิชอป เปิดเผยพื้นที่บริเวณต้นขามากเกินไปมันจะ----- ”
“ หึ ไม่อนุญาติให้ใส่มินิ สเกิร์ตงั้นเหรอ? ใช่สิ อย่างฉันเนี่ยมันจะไปเทียบกับ ไอดอลล์ที่ยิ่งใหญ่แถมยังสุดเซ็กซี่ ที่พยายามไปเซอร์วิสคนนู้นคนนี้อย่างเอาเป็นเอาตายอย่างเธอได้ยังไงกันล่ะ เพราะงี้เองสินะที่คันซากิต้องถ่อไปที่ญี่ปุ่น แล้วก็ถอดเสื้อออกต่อหน้าพ่อหนุ่ม อิมเมจิ้น เบรกเกอร์นั่น เพื่อจะ “ ตอบแทนบุญคุณ ” จริงๆเลยน้า ถ้าเป็นเรื่องผู้หญิงล่ะก็ เธออยู่แนวหน้าของโลกเลยล่ะ ”
“ หุบปากนะ ยัยมือสมัครเล่น! ”
“ อ๊าย?! ”
“ พอฉันไม่พูดอะไรหน่อยล่ะจ้อไม่หยุดเชียวนะ! นี่ถ้าเธอไม่สร้างวงแหวนเวทมนตร์แปลกๆขึ้นมา แล้วก็ไปเริ่มใช้งานมันมั่วๆล่ะก็ ฉันก็คงไม่ต้องไปตอบแทนบุญคุณ แล้วถูกเจ้าสึจิมิคาโดะมาล้อเลียนเอาแบบนี้หรอก! ”
“ คัน-คันซากิ? คุณคันซากิคะ...? เรื่องนั้นน่ะ... อืม... น้ำเสียงแปลกๆตั้งแต่เริ่ม... ”
“ ไม่อยากถูกผู้หญิงสวยใสไร้สมองอย่างหล่อนมาเล็กเชอร์หรอกย่ะ! ”
“ อ๊า?! ฉัน... เพิ่งจะได้ยินคำพุดที่จะทำเมินไม่ได้ซะแล้วสิ... เอาล่ะ มาให้เล็กเชอร์ซะดีๆ เฮ้ย คันซากิ! นี่ใช้น้ำเสียงแบบนั้นกับอาร์คบิชอปของโบสถ์อังกฤษได้ยังไงห๊ะ?! ”
“ หุบปากนะ ยัยมือสมัคเล่น ฉันน่ะตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจตั้งแต่ที่เห็นเจ้างั่งสึจิมิคาโดะหัวเราะปัญญาอ่อนหลังจากที่เห็น ฉันตอนอยู่แถวบ้านติดทะเลนั่นแล้ว ในที่สุดก็รู้ซักทีว่าต้นเหตุมันเป็นเพราะหล่อนนั่นแหละ ยัยผู้หญิงบ้าเอ้ย! ถ้าไม่ได้เป็นเพราะยัยผู้หญิงบ้านี่ ฉันก็คงไม่ต้องไปตอบแทนบุญคุณอะไรเลยแท้ๆ แล้วก็คงไม่ต้องมาแสดงความนับถืออะไรเธอด้วย บ้าจริง ยัยบ้าเอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! ”
“ หา อ๊ายยยยยยยยยยยยย!? ส-สเตลลลลลลลลล! ”
ตูม! ปึง! แคร้ง! เปรี้ยง!
เสียงอะไรบางอย่างแตกหัก และเสียงร้องไห้อย่างมีความสุข ดังออกมาจากพระราชวังแลมเบธ
ถึงจะไม่พูดก็คงรู้ว่าถ้าเป็นเรื่องประเพณีที่ดีงาม ยัยสองคนนั้นสอบตกเลย ถึงจะสมมติว่าทั้งสองคนไม่ได้มีสถานะยิ่งใหญ่อะไรเหมือนกับตอนนี้ แต่การสนทนาพรรค์นั้นมันก็ไม่ควรจะมีอยู่ในเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ ที่มีชื่อว่า พระราชวังแลมเบธแห่งนี้เลย ในที่ที่เป็นความลับของความลับแห่งนี้ ได้ยินนักเวทย์สนทนากันแบบนั้นมันน่าช็อคตายเลยจริงๆ ตอนแรก แม่บ้านคนหนึ่งที่เดินแบกลูกๆมาตามถนนก็ดูจะตกใจ แต่ไม่นานรอยยิ้มก็ขึ้นมาแทนที่บนใบหน้าของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สนว่าการสนทนานั่นมาจากใคร
เธอยิ้ม
อายุที่แตกต่างกัน พลังนั้นได้มาจากอำนาจ และชื่อเสียง ถ้าทิ้งความคิดแบบนั้นไป สิ่งที่จะรออยู่ก็คือ โลกของความเท่าเทียมกัน
พระสันตะปาปาทำได้แค่มองไปที่ฉากข้างหน้าด้วยความไม่เชื่อถือ ระหว่างที่ถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าผู้ดูแล
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงคนที่อยู่เบื้องหน้าเขานี้จะเป็นคนเดียวกับ ผู้หญิงที่เขาได้สนทนาเรื่องต่างๆกันเมื่อครู่ แต่ถึงเธอจะทำตัวอย่างไร ก็คงไม่มีใครไปเถียงว่าเธอกำลังทำตัวผิดคำสอนของคริสต์ศาสนาได้ ใช่แล้ว ท่านพ่อที่ทำหน้าที่คุ้มครองผู้นับถือทุกคนได้กล่าวไว้ว่า “ จงรักเพื่อนบ้าน ” มนุษย์นั้นเป็นพี่น้องของกันและกัน และเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้าแล้ว ทุกคนนั้นเท่าเทียมกันหมด นี่เขากำลังเห็นหลักคำสอนนั้นอยู่รึเปล่านะ?
อายุ สถานะ สิ่งพวกนั้นยิ่งได้รับมามากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งแบกรับได้ยากขึ้นเท่านั้น
เธอไม่ได้ทำตัวดีกับผู้ที่มีสถานะเหนือกว่าเธอ และไม่เคยดูถูกเหยียดหยามผู้ที่ต่ำต้อยกว่า ถ้าเป็นลอร่า สจ๊วต ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครมาจากไหน เธอก็จะเถียงด้วย เปิดเผยนิสัยแย่ๆให้เห็น ทำตัวบ้าๆบอๆใส่ แล้วบางครั้งก็ยังร้องไห้ แต่สุดท้าย คนที่จะหัวเราะก็มักจะเป็นผู้หญิงคนนั้นเสมอ
การถกเถียงกันเมื่อกลางวันหน่อยๆ ทำให้พระสันตะปาปาเกิดอาการอิจฉาขึ้นมา
นั่นล่ะคือ อาร์คบิชอปของโบสถ์อังกฤษ
ไม่สำคัญหรอกว่าจะผ่านมากี่สิยี่สิบปีแล้ว … ตั้งแต่ที่พระสันตะปาปาได้รับตำแหน่งมา อายุของผู้หญิงคนนั้นก็ได้เป็นปริศนามาตั้งแต่ตอนนั้น และเขาก็รู้สึกว่าเธอคนนั้นยังคงยิ้มแบบนั้นมาตลอด
ล้อมรอบโดยทุกคน อยู่ร่วมกันกับทุกคน
พระสันตะปาปาที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้น กำลังเดินไปตามถนนของเมืองหลวงของอิตาลี โรม
หลังจากที่ออกจากกำแพงเมืองวาติกันไปทำการเทศนาเล็กๆที่ Basilica di Sant'Agostino สำเร็จแล้ว เขาก็จะกลับสู่ที่อยู่อาศัยของเขา ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากวาติกันประมาณ กิโลครึ่ง เมื่อเขามีธุระอะไรที่ทำให้ต้องมาโรมเมื่อไหร่ เขาก็มักจะเลือกเดินกลับมากกว่าจะขี่พาหนะกลับเสมอ ที่เขาตัดสินใจอย่างนั้นไม่ใช่เพราะแค่กังวลเรื่องสุขภาพอย่างเดียว แต่เขาชื่นชอบบรรยากาศของโรม และที่สำคัญที่สุด เขาอยากจะสื่อสารกับประชาชนของเมืองนี้
ในสภาพแวดล้อมตอนนี้ มีนักท่องเที่ยวที่กำลังยืนช็อกจนกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปไม่ได้ ตรงหน้าต่างของตึกๆหนึ่ง มีผู้หญิงวัยกลางคนกำลังสวดภาวนาแก่เขาอย่างจริงจัง
ทว่า...
“ จะบอกว่าสถานการณ์นี้จะทำให้ทุกคนมีความสุขมันก็ยากนะครับ ” เลขาที่ยืนอยู่ข้างๆเขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งจนมีแค่พระสันตะปาปา เท่านั้นที่ได้ยิน
ถึง เขาจะดูเหมือนเลขาธรรมดาๆ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นยามรักษาภัยที่เคยสังกัดอยู่ในกลุ่มนักสู้มาก่อน โดยการเปลี่ยนอาชีพ ทำให้เขาได้รับหน้าที่ติดตามพระสันตะปาปาไปทุกที่ แม้แต่ “ ที่ที่เหล่าผู้คนซึ่งไร้พลังไม่สามารถเข้าไปได้ ” ก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น
เลขาคนนั้นพูดต่อไป “ ตามที่คาดไว้ครับ การเดินกลับเนี่ยมันเสี่ยงเกินไป ถึงจะมีพวกยามเฝ้าเรียงรายแบบนี้ แต่จะพูดว่าไร้อันตรายเลยก็คงจะไม่ได้ ท่านควรจะกลับด้วยภาหนะติดเกราะเสริมด้วยเวทมนต์ป้องกันมากกว่านะครับ ”
“ เข้าใจแล้วล่ะ ”
“ “ ทุกคนเท่าเทียมกันในคริสต์:Xนา ”... ถ้าท่านอยากจะโปรโมตแนวคิดนั้นล่ะก็ ก็มีวิธีอื่นอีกไม่ใช่เหรอครับ? อย่างเช่น บริจาคเงินหรือไม่ก็ไปเยี่ยมสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือจะไปตรวจดูโรงเวชภัณฑ์ประมาณนั้นน่ะครับ แบบนั้นจะช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีของท่านได้มากกว่าวิธีนี้ด้วยนะครับ...? ”
อารมณ์ของพระสันตะปาปาถูกทำลายแหลกหมด เขาพูดซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่รุนแรงกว่าเดิม “ ก็บอกว่าเข้าใจแล้วไง ”
เลขาปิดปากของเขาเงียบ
พระสันตะปาปาถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ถึงเขาจะพยายามสร้างความเท่าเทียมขึ้นมาซักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่สำเร็จ เห็นคนผ่านทางและเหล่านักท่องเที่ยวรอบๆตัวเขาจ้องมาที่เขาด้วยความช็อกและ ความเกรงกลัวแบบนี้ มันแตกต่างกับวิธีที่ลอร่า สจ๊วตแฝงตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแบบสุดขั้วเลย
ลูกบอลสกปรกกลิ้งมาตามซอยเล็กๆ
ลูกบอลนั่นมีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 30 เซนติเมตร ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เด็กๆเล่น มันถูกสร้างขึ้นมาจากยางที่ดูๆไปก็เหมือนกับพลาสติกโปร่งใส ลูกบอลนั่นมีผิวไม่เรียบ ทำให้รู้สึกว่าเป็นของถูก
พระสันตะปาปาก้มตัวลงและจะหยิบลูกบอล โดยที่ไม่คิดอะไรมาก แต่เลขาของเขายื่นมือเข้ามาหยุดไว้ นาทีนั้นเอง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งปรากฎตัวออกมาจากซอย เธอวิ่งตามลูกบอลมา เธอเป็นเด็กเร่ร่อนที่มาจากถนนใกล้ๆนี้ เป็นเด็กที่นานๆจะโผล่มาที่นี่ซักที เด็กคนนั้นมีอายุอยู่ประมาณ 10 ปี ใส่ชุดที่เปื้่อนโคลนซะยิ่งกว่าลูกบอลนั่นซะอีก
พระสันตะปาปาผลักมือของเลขาไปข้างๆ แล้วเดินไปหยิบลูกบอล
แต่ก่อนที่เขาจะได้หยิบ เสียงอันแหลมคมก็หยุดการกระทำของเขา
“ อย่าเลยค่ะ ”
นั่นคือเสียงของเด็กผู้หญิงคนนั้นเอง
“ ถ้าท่านทำชุดสวยๆแบบนั้นเปื้อน มันจะทำความสะอาดยากนะคะ ”
น้ำเสียงอันเย็นชาของเด็กผู้หญิงคนนั้นเสียดแทงเข้าไปในหูของพระสันตะปาปา เขาหยุดเคลื่อนไหวเหมือนกับถูกฟ้าผ่า เด็กผู้หญิงใช้จังหวะนั้นหยิบลูกบอลขึ้นมาเอง ค่อยๆถอยห่างออกจากพระสันตะปาปาเหมือนกับกลัวจะโดนพวกม็อบพุ่งเข้ามาทำร้าย และวิ่งกลับเข้าไปในซอย
“ … ”
พระสันตะปาปาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืนรากงอกอยู่กับตำแหน่งนั้นอย่างเงียบๆ
จงรักเพื่อนบ้าน ถึงจะไม่ได้เป็นญาติที่มีสายเลือดเดียวกันก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้าแล้ว มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันทั้งหมด
พระสันตะปาปากัดฟันของเขาให้แรงที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยมีคำพูดเหล่านั้นปรากฎขึ้นมาในจิตใจ
“ เป็นปัญหาจริงๆด้วย ”
เขาพูดแบบนั้นออกมาโดยไม่มีความลังเล และเลขาที่อยู่ข้างหลังเขาก็ผงกหัวร่วมด้วย
“ ใช่ครับ สำหรับพระสันตะปาปาของโบสถ์โรมัน คาทอลิก ผู้ที่สามารถควบคุมผู้นับถือทั้งหมด 2 พันล้านคนได้ด้วยมือเดียวแล้ว คำพูดหยาบคายเช่นนั้นมันช่างอวดดีจริงๆ อีกอย่าง ที่นี่คืออิตาลี ศูนย์กลางของโรมัน คาทอลิกเชียวนะ... ถ้าอยากจะเป็นผู้นับถือ ก็น่าจะมีกิริยามารยาทดีกว่านี้หน่อยสิ ”
“ … ”
พระสันตะปาปาได้แค่ถอนหายใจ เมื่อได้ยินคำพูดไร้สาระของเลขา
สุดท้าย นี่เขาอยากจะให้มีความเท่าเทียมเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ด้วยระยะห่างที่เขารู้สึกได้จากทุกๆคน ทำให้หัวใจของเขามีแค่ความหนาวเย็นเท่านั้น
ชั่วโมงเรียนที่ 4 ของตอนเช้าถูกดีเลย์เพราะสถานการณ์หนึ่ง
วันนี้ เป็นวันสุดท้ายของงานเทศกาลโรงเรียนแล้ว เด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆ คามิโจ โทมะ และเพื่อนร่วมชั้นของเขาอีกจำนวนหนึ่ง ต่างก็กำลังมุ่งหน้าไปที่โรงอาหาร และร้านขายอาหารอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเวลาผ่านมานานมากแล้ว ขนมปังทั้งหมดที่อยู่ในร้านขายก็เลยหมดเกลี้ยงไปแล้วเรียบร้อย ในโรงอาหารก็ไม่มีที่นั่งว่างเหลืออยู่เลยเช่นกัน แถมยังเหมือนกับว่าจะไม่มีทางว่างจนกว่าช่วงพักกลางวันจะจบเลยด้วยซ้ำ ส่วนเครื่องขายอาหารอัตโนมัติที่มีรูปร่างคล้ายกับเครื่องขายบุหรี่ อัตโนมัติก็ยังมีแสงไฟขึ้นมา บ่งบอกว่าของหมดสต๊อกแล้ว อีกต่างหาก ช่างโชคร้ายเสียจริงๆ และเหตุผลเดียวที่ทำให้นักเรียนทั้งชั้นต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ก็เพราะว่า คามิโจ โทมะ พูดกับอาจารย์ประวัติศาสตร์ไปว่า “ เหรอครับ? ถ้างั้น ถ้าโอดะ โนบุนางะ ทำการสร้างมหาโชกุนโอดะขึ้นมา ญี่ปุ่นในตอนนี้จะเป็นยังไงเหรอ? ” ทำให้ทุกๆคนโดนสวดตัวติดเก้าอี้
เนื่องจากคามิโจเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เขาก็เลยรับอาสาเข้าไปในห้องทำงานของพวกครูๆ เพื่อไปบ่นกับอาจารย์โคโมเอะ ที่กำลังยัดโซบะบำรุงสุขภาพราคา 580 เยน เข้าปาก คามิโจร้องขอว่า “ อย่างน้อยก็ช่วยเปิดให้ชั่วโมงต่อไปเป็นวิชาทำอาหารทีเหอะครับ! เดี๋ยวผมจะทำอาหารเซ็ตคามิโจเอง!! ขอวัตถุดิบเป็นของเหลือก็ได้ อย่างเศษชีสกับน้ำจิ้มประมาณนั้นอ่ะครับ!! ” แต่ทว่า อาจารย์กลับทำได้แค่ยิ้มให้แล้วก็ตอบมาแบบไม่เคลียร์ ในขณะเดียวกัน คุณครูคณิต โอยาฟุเนะ ซัวมะ ก็กำลังรับประทานอาหารทะเลดงบุริเดอร์ลักซ์ โรยด้วยหอยเม่น และคุณครูพละ โยมิคาวะ ไอโฮะ ก็กำลังรับประทานขนมปังใส้เนื้อที่มีส่วนประกอบของข้าวอยู่พอๆกับที่ร่างกาย เธอเผาผลาญหมดพอดี ทั้งหมดนี้ทำให้ห้องทำงานโชยไปด้วยกลิ่มหอมหวลที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้อง ทุกข์ทรมาน และคามิโจก็ทำได้แค่ออกมจากห้องทำงานโดยที่สภาพจิตถูกทำลายแหลกเหลวไปแล้ว
“ ห-เหลือแค่เครื่องขายน้ำผลไม้เท่านั้นเอง... แต่กินแค่นั้นอยู่ไม่รอดคาบเรียนตอนกลางวันแน่ๆ ”
เหล่าผู้คนที่กำลังเผชิญหน้ากับภาวะอาหารขาดแคลนก็คือ เหล่าผู้คนที่อยู่ในกลุ่ม ร้านอาหาร และร้านขายของ กลุ่มนี้มีคามิโจเป็นผู้นำ สมาชิกคนอื่นๆของกลุ่มก็คือ อาโอกามิ เพียร์ซ สึจิมิคาโดะ โมโตฮารุ ฮิเมกามิ ไอสะ ที่บังเอิญลืมทำเบนโตะของตัวเองมา และฟุกิโยเสะ เซย์ริ ที่บังเอิญเห็นว่าสินค้าบำรุงสุขภาพในเว็บไซต์ประจำหมดสต๊อก และเพื่อนในห้องทั้งชายและหญิง รวมทั้งหมดแล้วได้ 21 คน
และที่อยู่ข้างๆ ก็คือกลุ่มที่เอาเบนโตะมา ซึ่งกำลังลิ้มรสอาหารของพวกเขา มีคนหนึ่งกำลังยัดแฮมเบอร์เกอร์สเต็กขนาดเล็กดูท่าจะอร่อยเข้าปากอย่างดุ เดือด ทำให้กองกำลังของพวกนักเรียนที่ท้องว่างทำการตัดสินใจ
“ ออกไปกันเลย!! เราจะแอบเผ่นออกจากโรงเรียนไปร้านสะดวกซื้อ!! ”
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าใครเป็นคนตะโกน
แต่เมื่อพวกเขาทุกคนรู้สึกตัว เหล่าเด็กหนุ่มและหญิงสาวทั้งหมดที่อยู่ในกลุ่มโรงอาหาร และร้านขายของ ก็มารวมตัวกันเป็นวงกลมเพื่อสนทนาแผนการรบ
ในตอนนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า คนที่จะขับพลังออกมาได้มากที่สุดก็คือ ฟุกิโยเสะ เซย์ริ
“ ถ้าทุกคนวิ่งออกไปกันหมด เราโดนพวกครูๆจับได้แน่ๆ นี่แผนที่น่าจะสำเร็จที่สุด : เราจะแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆประมาณ 3-4 คน และทุกคนเอาเงินในกระเป๋าให้พวกตัวแทนนั่นซะ ให้กลุ่มนั่นเป็นตัวแทนทุกคนไปซื้อ!! ”
“ แล้วพวกที่เหลือล่ะ? ”
หลังจากที่เห็นฮิเมกามิพูดขึ้นด้วยท่าทีสงสัย คามิโจก็ยกมือขึ้นตอบไป
“ ไปรวบรวมสถานการณ์ของพวกครูๆมา แบบนั้นจะใช้สนับสนุนการเคลื่อนไหวของทัพหลักได้ จะให้พวกครูๆรู้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะงี้แหละ ติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์อย่างสม่ำเสมอด้วย -- เพราะว่าถ้าข่าวคราวสถานการณ์ไม่ได้อัพเดตถึงที่สุดได้เจอปัญหาแน่ ”
“ เอาล่ะ งั้นพวกเราจะไปเลือกทางหนีทีไล่ล่ะนะ นย้า ”
สึจิมิคาโดะดึงเอาเศษกระดาษปริ้นท์ออกมาจากกระเป๋า แล้วก็วาดแผนที่ของโรงเรียนลงไปอย่างะเอียด
“ ตรงนี้จะเป็นสัญญาณเตือนถ้าคนเข้าออก แต่ไอ้เจ้าเซนเซอร์อินฟราเรจนี่จะทำงานตอนกลางคืนเท่านั้น เพราะงั้นเราจะเมินไปก็ได้... จากนั้น ดูจากตำแหน่งที่ทำงานครูแล้ว ถ้าเราผ่านทางเข้าหลักไปล่ะก็ได้มีคนเห็นแน่ เพราะจากที่ทำงานมองเห็นด้านหน้าของโรงเรียนได้ทั้งหมด ฉะนั้นเราต้องออกทางประตูหลัง แต่ลุงที่ขายอยู่ในโรงอาหารก็เข้าออกผ่านประตูหลังเหมือนกัน เพราะงั้นถ้าบังเอิญเจอกัน งานเข้าหนักแน่ล่ะ นย้า ”
“ เข้าใจล่ะ... ประเด็นหลักก็คือการกะเวลาให้พอเหมาะ แล้วค่อยออกไปทางประตูหลังสินะ ได้เลย มาแบ่งงานกันเถอะ!! ”
เหล่านักรบทั้ง 21 คนแแยกกันไปรวมเป็นกลุ่มเล็กๆ ภายใต้คำสั่งของฟุกิโยเสะ คามิโจ โทมะ อาโอกามิ เพียร์ซ สึจิมิคาโดะ โมโตฮารุ และฟุกิโยเสะ เซย์ริ มีหน้าที่เคลื่อนไหวแทนทุกคน ทั้งสี่คนนี้ต่างก็มีทักษะการเผ่นขั้นเทพ คงเพราะเป็นพวกชอบก่อเรื่องนั่นล่ะ
“ ...แต่ให้ไอ้ตัวซวยคามิโจไปจัดการแบบนี้ จะไม่เป็นอะไรเรอะ? ”
“ ...ไม่ต้องห่วง หมอนั่นมีหน้าที่เป็นเหยื่อล่อไง ”
คามิโจใช้หมัดของเขา เพื่อทำให้เพื่อนร่วมชั้นที่กำลังคุยกันจ้อกแจ้กเงียบสนิท
หลังจากนั้น สมาชิกทั้งหมดก็มารวมตัวกันเป็นวงกลม และดึงเอามือถือของตัวเองออกมา ตั้งค่าให้รับทีละหลายๆสายได้ และปรับนาฬิกามือถือให้แสดงถึงวินาทีด้วย
“ ---ผู้โดยสารทุกคน เริ่มภารกิจได้!! ”
* แปะ แปะ! * ฟุกิโยเสะปรบมือสองครั้ง และสมาชิกทั้งหมดของกลุ่ม โรงอาหาร และ ร้านขายของ ก็กระจายตัวออก เหมือนผึ้งแตกรัง
ถึงคามิโจ อาโอกามิ เพียร์ซ สึจิมิคาโดะ และฟุกิโยเสะ จะรีบเร่งซักเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็ต้องระวังความผิดพลาดระดับต่ำอย่าง “ โดนด่าเพราะวิ่งบนทางเดิน ” และเคลื่อนไหวไปข้างหน้าได้แค่ “ ทำเหมือนกับก้าวเท้าไปเร็วๆ ”
“ เป็นการแข่งกับเวลาล่ะ ”
หลังจากยิ้มให้คุณครูไปหลายคน ฟุกิโยเสะ ที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างๆคามิโจ ก็พูดขึ้น
“ ถ้าเป็นร้านสะดวกซื้อ ตอนกลางวันนี่แหละคนเยอะสุด ถ้าเราออกไปได้แต่ที่ร้านสะดวกซื้อของหมดทั้งร้าน มันก็ไร้ค่าเหมือนกับเอาตะกร้าไม้ไผ่ไปตวงน้ำนั่นแหละ!! ”
พวกเขาทั้งสี่คนตัดสินใจไม่ไปที่ที่เก็บรองเท้า เนื่องจากมีสวิตซ์อยู่ในที่เก็บ ถ้าทำแบบนั้นแผนการหนีจากโรงเรียนของพวกเขาก็จะถูกเปิดโปง แถมรองเท้าใช้สำหรับกิจกรรมนอกห้องเรียนก็ไม่มี เพราะว่าวันนี้ไม่มีคาบนั้น... ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เลยทีเดียว
ฉะนั้น พวกเขาจึงต้องขอให้พรรคพวกที่กระจายตัวไปแล้วส่งรองเท้าสปอร์ตมาให้ โดยส่งรองเท้าแตะที่ใช้ในตึกกลับไป หลังจากนั้น พวกเขาก็ต้องผ่าน “ เส้นทางนอก ” ที่เชื่อมระหว่างโรงเรียนและหอกีฬาก่อนเพื่อเปลี่ยนรองเท้า แล้วค่อยบุกฝ่าไปข้างนอก แล้วจากนั้น พวกเขาก็ต้องกลับมาผ่านประตูหลังอีกทีก่อนจะมีใครรู้เข้า
ทหารกล้าทั้งสี่เห็นรั้วกั้นเหล็กแล้ว
ไม่มีใครอยู่เลย แม้แต่ลุงที่โรงอาหาร ที่พวกเขากังวลว่าจะอยู่ ก็ไม่อยู่
“ เอาล่ะ! ออกไปทั้งอย่างงี้เลย!! ”
คามิโจเตรียมตัวจะต่ายรั้วกั้นออกไปข้างนอก
ในนาทีนั้นเอง
* ปี๊นปี๊น--- * พวกเขาได้ยินเสียงบีบแตรดังสนั่นมาจากรถยนต์
พอมองไป ก็เห็นอาจารย์กอริลล่าที่เพิ่งจะกลับมาจากร้านอาหารข้างนอก
คุณครูที่มีหน้าที่แบ่งแยกแผนงานให้นักเรียนกำลังขี่รถ 4 ประตูสำหรับครอบครัวอยู่ แต่รถนั่นสร้างมาให้คนขับนะ ปล่อยให้กอริลล่าไปขับแบบนี้เลยทำให้รถดูแน่นเหมือนกับตู้โทรศัพท์ที่มีคน แออัดยังไงยังงั้นเลย
“ เชอะ!! ลืมไปสนิทเลยว่ารถของพวกครูเข้ามาทางประตูหลังได้!! ”
ดูท่าว่าฟุกิโยเสะจะเสียใจที่แผนของเธอพลาด แต่ความคิดของคามิโจกลับต่างกันไปคนละเรื่อง
เขาตะโกนสิ่งที่คิดอยู่ออกมาหมด
“ บ้ารึเปล่าว้า!! นี่คิดจะไปกินชิวๆที่ร้านอาหารข้างนอกเอาตอนนี้เร้อ!? ไอ้อสูรกายบ้ากล้ามที่เป็นร่างแปลงของเจ้ากอริลล่านั่นออกไปกินข้าวชิวๆ ทิ้งให้พวกเราต่อสู้กันอยู่ในโรงอาหารเนี่ยนะ!! ”
“ ง-โง่น่า คามิยัง อย่าไปท้าต่อยกับคนพรรค์นั้นเด้! ถ้าพวกเราโดนจับได้ที่นี่แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าวกลางวันของทุกคนเล่า!!? ”
เสียงตะโกนของอาโอกามิ เพียร์ซ ทำให้คามิโจใจเย็นลงได้เล็กน้อย
ในการที่จะหนีจากผ่ามือของอาจารย์กอริลล่าที่สามารถเปลี่ยนห้องเรียนให้กลาย เป็นแดนเถื่อนได้ ที่กำลังลงมาจากรถแล้วบึ่งมาหา คามิโจรีบต่ายข้ามรั้วกั้นออกไปข้างนอกทันที ฟุกิโยเสะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องเลยหนีไปอีกทาง และเมื่อสึจิมิคาโดะกำลังจะโดนรวบ เขาก็เตะอาโอกามิ เพียร์ซที่กำลังต่ายรั้วอยู่ตกลงไป ใช้อาโอกามิ เพียร์ซ เป็นตัวแลกเปลี่ยนสำหรับการหลบหนีของเขา
ในการที่จะไม่ให้ความพยายามของผู้เสียสละที่น่านับถือต้องสูญเปล่า คามิโจ และสึจิมิคาโดะ ใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อเผ่นไปตามท้องถนน
สึจิมิคาโดะเหลียวไปมองข้างหลังระหว่างที่วิ่ง แล้วจากนั้นก็อ้าปากค้าง
“ ไอ้เกรียนกอริลล่านั่นเมินอาโอกามิ เพียร์ซสนิด แล้วยังพุ่งตรงมาทางนี้อีกด้วยเร้อ นย้า!? ”
“ ล้อกันเล่นป่าวฟะ!? เฮ้ย สึจิมิคาโดะ แยกกันเร็ว! จะยอมให้กองกำลังของเราถูกขจัดลงทั้งหมดไม่ได้นะเฮ้ย!! ”
เด็กหญิงที่สังกัดอยู่ในโบสถ์สไตล์อามาคุสะ อิทสึวะ กำลังยืนอยู่ใกล้ๆโรงเรียนมัธยมปลายของคามิโจ
เธอกำลังใส่เสื้อขนสัตว์สีชมพูที่ดูนุ่มและปุกปุยเหมือนกับแกะ และกางเกงขายาวสีดำ... ถ้าดูดีๆแล้ว จะเห็นว่ากางเกงนั่นมีรอยขาดอยู่ทั่ว และที่อยู่ข้างใต้นั่นก็คือพลาสติกโปร่งใส ---- ไม่สิ เป็นเสื้อต่างหาก ---- การเปิดเผยเนื้อหนังนิดหน่อยแบบนี้ถือเป็นเทรนด์ล่าสุดของเมืองแห่งการศึกษา ในการที่จะแฝงตัวเข้าไปในเมืองที่ประชาชนทั้ง 80% เป็นนักเรียน เธอจึงเลือกที่จะใส่ชุดแบบนี้ ถ้าจะให้เธอไปเขตที่กำลังจัดการถ่ายทอดรายการอยู่ เธอจะเลือกใส่เสื้อผ้าทางตะวันตก ถ้าเป็นถนนที่มีคนพลุกพล่าน เธอจะใส่มินิ สเกิร์ต แต่การตัดสินใจว่าจะใส่อะไรนี้ไม่ใช่ในฐานะอิทสึวะ แต่ในฐานะพวกอามาคุสะทั้งหมด
แล้วทำไมอิทสึวะต้องมาอยู่ในเมืองแห่งการศึกษาด้วยล่ะ?
สองวันที่แล้ว โบสถ์อังกฤษ และพวกเบื้องบนของเมืองแห่งการศึกษา ต่างได้รับจดหมายที่มีเนื้อหาคล้ายเคียงกัน ผู้ที่ส่งจดหมายมาก็คือ หนึ่งในสมาชิกขององกรณ์ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ที่อยู่ในห้วงลึกที่สุดของโรมัน คาทอลิก อควาแห่งเบื้องหลัง ตัวจดหมายนั่นบ่งบอกว่า เขาจะบุกเข้าไปตัวคนเดียว และจะทำการขยี้คามิโจ โทมะให้เป็นผุยผง และถ้ามีใครคิดจะหยุดเขา คนคนนั้นก็จะต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่... สั้นๆเลยก็คือ เป็นจดหมายท้านั่นแหละ
แน่นอน อาจจะเป็นของปลอมก็ได้
แต่มีความแตกต่างระหว่างโบสถ์อังกฤษ และเมืองแห่งการศึกษาอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้มากขึ้น โบสถ์อังกฤษได้รับอะไรบางอย่างเพิ่มมาอีกหนึ่งชิ้น
สิ่งนั้นก็คือ ศพของเทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้าย
“ สิ่งนั้น ” ได้ถูกพันมาด้วยผ้าฝ้ายคุณภาพที่ดีที่สุด และถูกวางไว้ในกล่องปัวโรว์เนียพร้อมกับฉีดน้ำหอมก่อนจะถูกส่งมา ดูจากลายลักษณ์อักษรที่อยู่บนกล่อง ก็พอจะรู้ว่านี่เป็นกล่องที่มักจะใช้เก็บหินและอัญมนีล้ำค่า ไม่มีใครทราบเลยว่าที่ส่งมาแบบนี้นี่ จงใจล้อเลียนกันหรือเพื่อแสดงความเคารพกันแน่
เขาถูกผ่าเป็นสองเสี่ยงตรงบริเวณเอว ร่างกายท่อนบนของเขานั้น เป็นสมาชิกของ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” จริงๆ
อิทสึวะ ที่ได้ต่อสู้กับเทอร์ร่าตรงๆ ก็ยังถูกเรียกให้มาตรวจดูศพเช่นเดียวกัน... แต่ถึงจะอย่างนั้น ก็ยังคงมีจุดที่น่าสงสัยอยู่
มีอยู่ 2 ข้อ
ข้อแรกคือ เทอร์ร่านั้นควรจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปเพราะอาวุธที่สร้างขึ้นมาในเมืองแห่ง การศึกษา แต่พอดูจากศพแล้ว ใครๆก็คงจะบอกได้ว่าต้นเหตุของการตายนั้นเกิดจากรอยตัดบริเวณเอว
ข้อสองคือ ถ้าอาวุธทำมือของเมืองแห่งการศึกษาไม่สามารถสังหารเขาได้ แล้วพลังของ “ อควาแห่งเบื้องหลัง ” ที่สามารถใช้สังหารเทอร์ร่าได้อย่างง่ายดายแบบนี้มันจะยิ่งใหญ่ถึงขนาดไหน กัน?
ถูกฆ่าในพริบตา
ในสถานการณ์นี้ พวกเขาบรรยายถึงบาดแผลนี้ได้ด้วยคำพูดนั้นคำเดียว
อิทสึวะรู้ถึงความแข็งแกร่งของเทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้ายดี หลังจากที่ได้ต่อสู้ักับเขาโดยตรง พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และถึงเมืองแห่งการศึกษาจะส่งกองทัพจำนวนมากไป ก็ยังทำให้เทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้าย แห่ง “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” เหงื่อตกได้เท่านั้นเอง แต่ชะตากรรมของเขา -- กลับโหดร้าย ร่างกายของเขาถูกขยี้แหลกออกเป็นสองเสี่ยง
แล้วก็ ยังมีจุดที่น่าสงสัยอยู่อีกหนึ่งข้อ
จนถึงตอนนี้ วิธีที่พวก “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ได้เริ่มลงมือนั้น พวกเขาไม่เคยใช้แผนการที่ปกติธรรมดาเลยซักครั้งเดียว ฉะนั้นทำไมคราวนี้ศัตรูถึงได้เลือกใช้วิธีสมัยเก่าอย่างส่งจดหมายท้าล่ะ?
และสิ่งที่ส่งมาพร้อมกับจดหมายท้า เทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้าย ทำไมเขาถึงได้ถูกตัวอควาแห่งเบื้องหลังเองสังหารได้ล่ะ?
เนื่องจากวิธีการของอความันแตกต่างไปจากเดิมมาก ฝั่งที่ได้รับคำประกาศก็เลยเกิดความสังสัยขึ้นมามากมาย ถึงโบสถ์อังกฤษ และเมืองแห่งการศึกษาจะคิดว่ามันเป็นกับดัก แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจถึงความตั้งใจของอควาเช่นเดียวกัน ยังไงก็ตาม ถ้าเป้าหมายของเขาคือ คามิโจ โทมะ ถ้างั้นพวกเขาก็แค่ต้องขยี้อควาให้ได้ซะก่อนเท่านั้นเอง -- นี่คือสิ่งที่ฝั่งที่ได้รับคำประกาศสรุป ฉะนั้น โบสถ์อังกฤษจึงส่งโบสถ์สไตล์อามาคุสะไปจัดการ
ปกติแล้ว องกรณ์ทั้งหมดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ นั้นจะถูกห้ามให้กระทำการต่างๆในเมืองแห่งการศึกษา
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า มีเส้นแบ่งเขตระหว่างฝั่งวิทยาศาสตร์ และเวทมนตร์ ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้
แต่ทว่า คราวนี้พวกเขาเลือกที่จะทำลายเส้นแบ่งเขตนั่น
อิทสึวะอาจจะไม่รู้เหตุผล แต่ดูเหมือนว่าอาร์คบิชอปของโบสถ์อังกฤษ ได้ทำสัญญาอะไรบางอย่างกับเบื้องบนของเมืองแห่งการศึกษา
สำหรับโบสถ์อังกฤษ พวกอามาคุสะก็เป็นแค่กลุ่มนิกายเล็กๆ ถ้าสถานการณ์เลวร้ายลง พวกเขาก็สามารถตัดมันทิ้งไปได้เหมือนกับที่กิ้งก่าสามารถทิ้งหางของตัวเอง ได้เสมอ แถมพวกอามาคุสะยังเคยสังกัดอยู่ในญี่ปุ่นมาก่อน ทำให้มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์
ไม่ว่าจะยังไง อิทสึวะ ที่ไม่น่าจะมายืนอยู่ในเมืองแห่งการศึกษา ก็กำลังยืนอยู่
บางทีโลกอาจจะกำลังแบ่งออกเป็น กองกำลัง “ เมืองแห่งการศึกษา - โบสถ์อังกฤษ ” ปะทะ กองกำลัง “ โรมัน คาทอลิก - รัซเซีย ออโธด็อกซ์ ” ก็เป็นได้... ไม่ว่ายังไง อควาคนนี้ ที่มีพลังยิ่งใหญ่กว่าระเบิดลูกใหญ่ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะสามารถชนะได้ง่ายๆ
ในขณะเดียวกัน ปัญหาที่ว่า “ โลกจะต้องเผชิญกับความหายนะหากมีคนข้ามเส้นแบ่งเขตระหว่างฝั่งวิทยาศาสตร์ และเวทมนตร์ไป ” นั้นยังเล็กน้อยยิ่งกว่า “ การที่อควาบุกเข้ามาโจมตีคนเดียว ” เสียอีก และทั้งโบสถ์อังกฤษ และเมืองแห่งการศึกษาต่างก็เห็นด้วย อควาแห่งเบื้องหลังเป็นศัตรูที่มีความอันตรายสูงถึงขนาดนั้นนั่นแหละ
“ … ”
ก็เพราะอย่างนั้น ในฐานะบอดี้การฺดของคามิโจ อิทสึวะจึงตัดสินใจจะต่อสู้
อิทสึวะอยากจะเจอกับคามิโจให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เธอก็ไม่สามารถแอบเข้าไปในโรงเรียนระหว่างที่มีการเรียนการสอนอยู่ได้ เช่นกัน เนื่องจากสามัญสำนึก และความรับผิดชอบชั่วดีของเธอ ตอนนี้ เธอกำลังรอคอยอยู่ตรงตำแหน่งที่มองเห็นห้องเรียนของคามิโจได้พอดี เธอคิดว่าจะเริ่มลงมือทันทีที่คามิโจออกมาจากห้องเรียน
( ...ถ้าไม่ทำสุดความสามารถล่ะก็ ไม่ได้การแน่ )
อิทสึวะกำหมัดเล็กๆของเธอ ระหว่างที่กระตุ้นแรงจูงใจให้ตัวเองไปด้วย
ในอุบัติเหตุเกี่ยวกับ ซี-โดคิวเมนต์คราวที่แล้ว อิทสึวะไม่ได้แข็งแกร่งพอจะปกป้องคามิโจไปจนถึงที่สุดได้ ในการที่จะทดแทนความผิดพลาดนั้น อิทสึวะจึงได้สาบานไว้กับตัวเองว่า เธอจะเป็นนักเวทย์มืออาชีพ เพื่อจะปกป้องประชาชนธรรมดาๆอย่างคามิโจ โทมะ ไม่ให้ผมแม้แต่เส้นเดียวได้รับอาการบาดเจ็บให้ได้
กระเป๋าพาดไหล่ที่เธอแบกอยู่นั้น บรรจุชิ้นส่วนของหอกฟริอุลิอยู่ เธอกำลังทำการวัดน้ำหนักอยู่ในตอนนี้ ( คน คนนั้นสามารถต่อกรกับสมาชิกของ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ได้ถึง 2 คน เวนต์แห่งเบื้องหน้า กับ เทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้าย แต่อย่างเราก็ต้องทำอะไรได้บ้างเหมือนกันแน่ ต้องทำให้ดีที่สุด )
ในขณะที่เธอคิดแบบนั้น ก็มีคนคนหนึ่งที่ดูคลับคล้ายคลับคลาวิ่งตัดหน้าอิทสึวะไป
เขาเป็นคนคนเดียวกับที่ถูกพูดถึงเมื่อครู่ คามิโจ โทมะ
“ เอ๋? ”
ทำไมล่ะ? อิทสึ วะงุนงง และหลังจากที่ตรวจดูเวลาอีกครั้ง เธอก็รู้ว่าถึงจะเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียน แต่อารมณ์ของคามิโจตอนที่ำกำลังวิ่งไปตามถนนนั่นมันไม่ปกติเลย เหมือนกับว่าเขากำลังวิ่งหนีจากผู้ไล่ล่ายังไงยังงั้น
อาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้
เธอรู้สึกเครียดขึ้นมาหน่อย แล้วจากนั้นคนที่วิ่งผ่านตาของอิทสึวะไปอีกคนหนึ่งก็คือ...
มีเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้มีคนตัวยาวดูเหมือนกับกอริลล่าอย่างแปลกๆกำลังตามล่าคามิโจอยู่ เขาวิ่งผ่านสายตาของอิทสึวะไป
จะพูดยังไงดีล่ะ ชายแปลกๆคนนั้น ดูเหมือนกับนักเลงที่เห็นบ่อยๆในเกมของยุโรปกับอเมริกายังยังงั้นแหละ
อิทสึวะพยายามนึกถึงคามิโจ และจินตนาการใบหน้าของนักเลงคนนั้นขึ้นมาในใจอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็นึกถึงอารมณ์ของคามิโจอีกที
คนแบบนั้นไม่มีทางเป็นคนธรรมดาแน่
คนที่สามารถทำให้ชายผู้ก้าวผ่านสนามรบมานับไม่ถ้วนอย่าง คามิโจ โทมะ ต้องแสดงอารมณ์ตื่นตระหนก
หัวได้หลุดจากบ่าแน่ อารมณ์ของคามิโจบ่งบอกแบบนั้นออกมาอย่างชัดเจน
ในที่สุด เธอก็ทำการสรุปผล
ดูจากรายงานที่ได้มาเมื่อ 30 กันยายน อควาแห่งเบื้องหลังน่าจะเป็นผู้ชาย
( -ไม่คิดเลยว่าจะโผล่ตัวมาเร็วขนาดนี้!! )
อิทสึวะประกอบอาวุธของเธออย่างทันที และรีบวิ่งตามศัตรูไป
เนื่องจากปัญหาทางสุขภาพ คุณครูหายนะที่ทำหน้าที่แบ่งแผนงานให้เหล่านักเรียนจึงลี้ภัยกลับไป
“ ...เฮ่อ ”
หลังโรงเรียนเลิก คามิโจ ที่ในที่สุดก็สามารถจบสงครามอาหารลงได้อย่างสวยงาม ก็กำลังถอนหายใจอย่างหนักหน่วงระหว่างที่เดินออกมาจากประตูโรงเรียน หลังจากที่ไปเปลี่ยนรองเท้าที่ที่เก็บรองเท้าแล้ว ตอนนี้ อิทสึวะ ที่ยังคงไม่หายช็อค ก็ยังยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิม
เพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้เธอโผล่มาในช่วงพักกลางวัน แล้วก็พุ่งเข้ามาสกัดคุณครูที่มีหน้าที่แบ่งแผนงานด้วยหอก ราวกับผีร้าย ( สกัดด้วยหอก หอกจริงๆ ) ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง “ เอ๋? ไม่ใช่อควาแห่งเบื้องหลังหรอกเหรอคะ? เอ๋--!? คุณครูที่โรงเรียนเหรอ!? ” และหลังจากนั้น อิทสึวะก็สลบไปเพราะความงุนงง
มีคำถามมากมายที่คามิโจอยากจะถามอิทสึวะ รวมถึง “ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่เมืองแห่งการศึกษาได้ล่ะ? ” ด้วย แต่อิทสึวะกลับกลอกตาไปมาด้วยความงุนงง ในขณะที่พยายามจะแก้ไขปัญหาเรื่องคุณครูกอริลล่า เธอแบกร่างกายอันใหญ่โตของเขาขึ้นหลังแล้วรีบบึ่งไปโรงพยาบาล
แล้วทั้งหมดก็จบลงแบบนั้น
“ ฉัน ฉันนี่มัน... ถึงจะไร้ประโยชน์ได้ขนาดไหน ก็ต้องมีลิมิตกันบ้างสิ... ”
อิทสึวะ ที่กลับมาจากโรงพยาบาลแล้ว กำลังแทรกตัวลึกอยู่ในหลุมที่ไร้ห้วงลึก
สำหรับคามิโจ ถ้าเขาถูกคุณครูกอริลล่านั่นจับได้จริงๆ เขาก็คงจะถูกจับโยนลงไปกระแทกกับพื้นถนนด้วยกระบวนท่าในตำนาน แล้วหลังจากนั้น ก็ต้องรับมือกับคอมโบกดลงกับพื้นที่ไม่มีทางหลบเีลี่่ยงได้ ฉะนั้น จึงบอกไม่ถูกเลยว่าที่อิทสึวะทำไปนี่สมควรแล้วรึไม่ แต่ดูเหมือนว่าอิทสึวะจะไมไ่ด้เศร้าขึ้นมาเพราะเรื่องนั้นเรื่องเดียว
( ...อย่ากังวลไปเลยน่า ไม่ใช่ว่าเธอไปทำร้ายคนธรรมดาซักหน่อย... เคยมีตำนานว่าเจ้ากอริลล่านั่นสามารถหยุดหินที่ถล่มลงมาในโซนหินถล่มได้ด้วย สองมือเชียวนะ แบบนั้นจะไปเป็นคนธรรมดาๆได้ยังไงกัน )
ยังไงก็เหอะ คามิโจตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มโดยการถามว่า “ ทำไมอิทสึวะ ที่เป็นผู้อยู่อาศัยของฝั่งเวทมนตร์ ถึงได้มาโผล่ตัวในฐานทัพหลักของฝั่งวิทยาศาสตร์ ----- ซึ่งก็คือ เมืองแห่งการศึกษา ได้ล่ะ ”
“ ...อควาแห่งเบื้องหลัง คุณยังจำชื่อนั้นได้อยู่รึเปล่าคะ? ”
อิทสึวะตัวสั่นระหว่างที่พูด
คิ้วของคามิโจขยับด้วยความสงสัย
“ อา จำได้สิ หมอนั่นเป็นหนึ่งในสมาชิกของ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ...ใช่ม้า? ฉันเคยเจอหมอนั่นในวันที่ 30 กันยายนน่ะ ”
ใช่แล้ว หลังจากที่เวนต์แห่งเบื้องหน้าได้พ่ายแพ้ไปในเมืองแห่งการศึกษา เป็นอควานั่นเองที่บุกเข้ามา อีกอย่าง นอกจากเขาจะเป็นสมาชิกของ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” แล้ว เขายังมีคุณสมบัติของ “ เซนต์ ” อีกด้วย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจินตนาการถึงความสามารถของเขา เขาคนนั้นแตกต่างออกไปจากศัตรูคนก่อนๆของคามิโจโดยสิ้นเชิง
ถึงคามิโจจะไม่อยากไปไหน แต่เขาก็ยังคงเดินไปตามถนนที่มีคนพลุกพล่าน พูดคุยกับอิทสึวะไปด้วย
“ แล้ว อควาทำไมเรอะ? อย่าบอกฉันนะว่าหมอนั่นก็ไปทำอะไรแปลกๆที่ประเทศอื่นเหมือนกันน่ะ? ”
“ ม-ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เลย... ”
ดูเหมือนว่าอิทสึวะจะมีปัญหากับการพูดออกมา แต่หลังจากที่คำนวณทั้งหมดไว้ในหัวเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเธอก็พูดขึ้น
“ ดูเหมือนว่าเป้าหมายของอควาแห่งเบื้องหลัง จะเป็นตัวคุณนั่นแหละค่ะ ”
“ หา? ”
“ เกี่ยวกับเรื่องนั้น ทั้งโบสถ์อังกฤษ และเมืองแห่งการศึกษาต่างก็ได้รับจดหมายท้าจากอควา มันเขียนไว้ว่า อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เขา... อืม... จะกลับมาจู่โจมคามิโจ โทมะ ให้ทั้งสองฝั่งระวังไว้ด้วย ประมาณนั้นแหละค่ะ ”
อิทสึวะดูจะกังวลใจ เพราะเธอหยุดไปหลังจากพูดไปได้กลางทาง เหมือนกับเป็นพ่อแม่ที่กำลังจะเปิดเผยความลับที่โหดร้ายให้ลูกๆฟังยังไงยัง งั้น
ชีวิตของเขากำลังถูกเพ่งเล็งโดยอควาแห่ง “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ...นี่จริงจังเท่าไหร่น่ะ? นักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆอย่างคามิโจ โทมะ ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างทันที
“ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า งั้นเหรอ? ”
คามิโจคิดไปซักพัก
“ เวนต์แห่งเบื้องหน้าเคยบอกไว้ว่า ในการจะฆ่าฉัน พระสันตะปาปาจำเป็นต้องเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อจะให้เจ้าพวกนั้นบุก โจมตีเมืองแห่งการศึกษาได้ แต่พวกนั้นคงไม่ส่งคนที่ทรงพลังถึงขนาดนั้นมาโจมตีฉัน ที่เป็นนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆหรอกมั้ง ”
“ หา!? ไม่เลยค่ะ ไม่ไม่ไม่! คุณน่ะช่วยคนไว้ได้ตั้งมากมาย แถมยังหยุดพวกโรมัน คาทอลิกจากการทำสิ่งชั่วร้ายไว้ทั้งเยอะ! นี่คุณยังคิดว่าตัวเองเป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆได้ หลังจากที่ทำอะไรต่อมิอะไรไปมากถึงขนาดนั้นได้อีกเหรอคะ!? ”
เพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้อิทสึวะเริ่มจะตะโกนออกมา ถึงจะไม่เคลียร์ แต่คามิโจก็ทำการสรุปว่าเธอคงถูกพวกอามาคุสะส่งมาเฝ้าระวังภัยให้เขาแน่ๆ แต่ถึงเขาจะถูกเธอชื่นชม แต่เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนี้มันก็เป็นแค่เด็กนักเรียนมัธมปลายธรรมดาๆจริงๆ นี่นา แล้วตัวเขาก็ไม่มีอะไรที่น่าชื่นชมด้วย
“ แต่เวนต์แห่งเบื้องหน้าก็เคยมาแล้วนี่...คราวนี้เป็นตาของอควาแห่งเบื้องหลังเรอะ? ”
“ ตอนนี้ ทางห้องสมุดของอังกฤษกำลังตรวจดูประวัติของเขาอยู่ค่ะ รวมถึงสมาชิกคนอื่นๆของ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ด้วย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังหาข้อมูลไม่เจอเลยค่ะ ”
“ อืม ก็พวกนั้นเป็นสมาชิกลับของกลุ่มองกรณ์ลับนี่นะ ”
“ แต่ถึงเราจะไม่มีข้อมูลที่ละเอียดนัก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีพลังสมควรกับตำแหน่งใน “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” และดูเหมือนว่าจะมีพลังของ “ เซนต์ ” อยู่ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราได้ความร่วมถือจากท่านสังฆราชสูงสุดก็คงจะดีมากเลยล่ะค่ะ ”
ท่านสังฆราชสูงสุดที่เธอกำลังพูดถึงอยู่นี่ คงจะเป็น คันซากิ คาโอริ
เธอเป็นหนึ่งใน “ เซนต์ ” ที่มีอยู่แค่ 20 คนบนโลกนี้ แล้วก็เป็นคนที่สามารถรอดมาจากการต่อสู้กับอัครฑูตรสวรรค์ของจริงได้อีกด้วย นั่นถือเป็นความสำเร็จที่เธอสามารถเอาไปอวดใครๆได้ชั่วชีวิตเลยล่ะ
ก็จริงว่าถ้าได้ความช่วยเหลือจากคันซากิ สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่เนื่องจากในอดีตนั้นมีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ก็เลยมีความไม่ลงรอยกันระหว่างคันซากิ และพวกอามาคุสะ แล้วก็ สเตลเคยพูดมาครั้งหนึ่ง ว่าเพราะพวกเซนต์มีพละกำลังมหาศาลมากเกินไปนั่นแหละ ถึงไม่สามารถไปไหนมาไหนอย่างอิสระได้
“ ...แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจนแต้มแล้วหรอกนะคะ ”
เหมือนกับอิทสึวะพยายามจะทำลายความรู้สึกกังวลไปทั้งหมด ระหว่างที่พูด
“ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า น่ะเป็นกลุ่มองกรณ์เวทมนตร์ที่ทรงพลังที่สุดในฝั่งเวทมนตร์ ถ้าจะให้จริงๆเลยก็คือ ถ้าให้พวกเราทุกคนไปสู้กับสมาชิกขององกรณ์นั่นเพียงคนเดียว ก็ยังไม่สามารถการันตีว่าจะสู้ได้เสมอกันเลยด้วยซ้ำ แต่เวนต์แห่งเบื้องหน้า กับเทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้าย... เราสามารถต่อสู้กับพวกเขาได้อย่างสูสี ทำไมกันล่ะคะ? ”
“ อืม ”
“ ทางเราไม่ได้วิเคราะห์อย่างละเอียดนัก เพราะงั้นจะบอกว่าข้อมูลนี้แม่นยำที่สุดก็คงไม่ได้ แต่ทั้งสองคนมีสิ่งที่ทำให้เพลี่ยงพล้ำอยู่เหมือนกัน คือ “ การถูกขัดขวางโดยเมืองแห่งการศึกษา ” เทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้ายถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนแผน เพราะชุดเกราะคนบังคับนั่นแล้วก็ยานทิ้งระเบิดความเร็วเหนือเสียง ส่วนเวนต์แห่งเบื้องหน้าก็ เป็น... เจ้านั่น... เจ้าสิ่งที่ดูเหมือนกับเทวดานั่น ใช่มั้ยคะ? ”
พอพูดมาแล้ว ก็จริงเหมือนกัน
ก็เพราะการตอบโต้ของเมืองแห่งการศึกษานี่เอง ที่ทำให้กลุ่มองกรณ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในฝั่งเวทมนตร์ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ต้องสั่นคลอน ทำให้แทนที่พวกเขาจะได้ลงมือบนสนามที่พวกเขาถนัดที่สุด ที่ดึงพลังออกมาได้มากที่สุด แต่ดันโดนเปลี่ยนสนามประลองให้กลายเป็นของฝั่งวิทยาศาสตร์ ซึ่งพวกเขาไม่ถนัด บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสามารถชนะมาได้ก็ได้
“ ถ้างั้น ถ้ามาต่อสู้กันในเมืองแห่งการศึกษา ที่ที่ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่วิทยาศาสตร์ แบบนั้นก็คงจะเสียเปรียบไปเยอะเลยสินะ ”
“ ...ฉัน ฉันคิดว่าอะไรๆมันคงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกค่ะ... ”
“ ? ”
หลังจากที่เห็นอิทสึวะพูดอ้อมค้อมไปเรื่อย คามิโจก็รู้สึกงงๆขึ้นมา อิทสึวะรีบสะบัดมือไปมาเพื่อเปลี่ยนหัวข้อเรื่องทันที
“ ย-ยังไงก็เถอะค่ะ! อควาแห่งเบื้องหลังจะเข้ามาโจมตีแล้ว ฉะนั้นฉันจะรับหน้าที่ปกป้องคุณเองค่ะ โบสถ์อังกฤษสั่งให้ฉันมาปกป้องภยันตรายให้คุณ ทั้งในแสงสว่างและเงามืด เพราะฉะนั้นอย่ากังวลมากไปเลยค่ะ!! ”
ถึงอิทสึวะจะพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น แต่คามิโจกลับรู้สึกว่ามันแหม่งๆ
คามิโจอยากจะยืนยันให้แน่ว่าเขาได้ยินผิด เลยถามไปอีกครั้ง
“ อิทสึวะ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่นะ? ”
“ ต้องพูดด้วยเหรอคะ? มาเป็นบอดี้ การ์ดให้คุณยังไงล่ะ ”
อิทสึวะกำหมัดเล็กๆของเธอแน่น หลังจากเห็นแบบนั้น คามิโจก็รู้สึกขึ้นมาว่าทั่วร่างของเขากำลังแข็งเป็น
รูปปั้น
เขาก็เลยถามอีกครั้งหนึ่ง
“ อิทสึวะ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่นะ? ”
“ ก็พูดไปแล้วนี่คะ ฉันมาที่นี่ในฐานะบอดี้ การ์ดของคุณ จะคอยติดตามและปกป้องให้เองค่ะ ”
เธอกำลังใส่เสื้อขนสัตว์สีชมพูที่ดูนุ่มและปุกปุยเหมือนกับแกะ และกางเกงขายาวสีดำ... ถ้าดูดีๆแล้ว จะเห็นว่ากางเกงนั่นมีรอยขาดอยู่ทั่ว และที่อยู่ข้างใต้นั่นก็คือพลาสติกโปร่งใส ---- ไม่สิ เป็นเสื้อต่างหาก ---- การเปิดเผยเนื้อหนังนิดหน่อยแบบนี้ถือเป็นเทรนด์ล่าสุดของเมืองแห่งการศึกษา ในการที่จะแฝงตัวเข้าไปในเมืองที่ประชาชนทั้ง 80% เป็นนักเรียน เธอจึงเลือกที่จะใส่ชุดแบบนี้ ถ้าจะให้เธอไปเขตที่กำลังจัดการถ่ายทอดรายการอยู่ เธอจะเลือกใส่เสื้อผ้าทางตะวันตก ถ้าเป็นถนนที่มีคนพลุกพล่าน เธอจะใส่มินิ สเกิร์ต แต่การตัดสินใจว่าจะใส่อะไรนี้ไม่ใช่ในฐานะอิทสึวะ แต่ในฐานะพวกอามาคุสะทั้งหมด
แล้วทำไมอิทสึวะต้องมาอยู่ในเมืองแห่งการศึกษาด้วยล่ะ?
สองวันที่แล้ว โบสถ์อังกฤษ และพวกเบื้องบนของเมืองแห่งการศึกษา ต่างได้รับจดหมายที่มีเนื้อหาคล้ายเคียงกัน ผู้ที่ส่งจดหมายมาก็คือ หนึ่งในสมาชิกขององกรณ์ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ที่อยู่ในห้วงลึกที่สุดของโรมัน คาทอลิก อควาแห่งเบื้องหลัง ตัวจดหมายนั่นบ่งบอกว่า เขาจะบุกเข้าไปตัวคนเดียว และจะทำการขยี้คามิโจ โทมะให้เป็นผุยผง และถ้ามีใครคิดจะหยุดเขา คนคนนั้นก็จะต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่... สั้นๆเลยก็คือ เป็นจดหมายท้านั่นแหละ
แน่นอน อาจจะเป็นของปลอมก็ได้
แต่มีความแตกต่างระหว่างโบสถ์อังกฤษ และเมืองแห่งการศึกษาอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้มากขึ้น โบสถ์อังกฤษได้รับอะไรบางอย่างเพิ่มมาอีกหนึ่งชิ้น
สิ่งนั้นก็คือ ศพของเทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้าย
“ สิ่งนั้น ” ได้ถูกพันมาด้วยผ้าฝ้ายคุณภาพที่ดีที่สุด และถูกวางไว้ในกล่องปัวโรว์เนียพร้อมกับฉีดน้ำหอมก่อนจะถูกส่งมา ดูจากลายลักษณ์อักษรที่อยู่บนกล่อง ก็พอจะรู้ว่านี่เป็นกล่องที่มักจะใช้เก็บหินและอัญมนีล้ำค่า ไม่มีใครทราบเลยว่าที่ส่งมาแบบนี้นี่ จงใจล้อเลียนกันหรือเพื่อแสดงความเคารพกันแน่
เขาถูกผ่าเป็นสองเสี่ยงตรงบริเวณเอว ร่างกายท่อนบนของเขานั้น เป็นสมาชิกของ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” จริงๆ
อิทสึวะ ที่ได้ต่อสู้กับเทอร์ร่าตรงๆ ก็ยังถูกเรียกให้มาตรวจดูศพเช่นเดียวกัน... แต่ถึงจะอย่างนั้น ก็ยังคงมีจุดที่น่าสงสัยอยู่
มีอยู่ 2 ข้อ
ข้อแรกคือ เทอร์ร่านั้นควรจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปเพราะอาวุธที่สร้างขึ้นมาในเมืองแห่ง การศึกษา แต่พอดูจากศพแล้ว ใครๆก็คงจะบอกได้ว่าต้นเหตุของการตายนั้นเกิดจากรอยตัดบริเวณเอว
ข้อสองคือ ถ้าอาวุธทำมือของเมืองแห่งการศึกษาไม่สามารถสังหารเขาได้ แล้วพลังของ “ อควาแห่งเบื้องหลัง ” ที่สามารถใช้สังหารเทอร์ร่าได้อย่างง่ายดายแบบนี้มันจะยิ่งใหญ่ถึงขนาดไหน กัน?
ถูกฆ่าในพริบตา
ในสถานการณ์นี้ พวกเขาบรรยายถึงบาดแผลนี้ได้ด้วยคำพูดนั้นคำเดียว
อิทสึวะรู้ถึงความแข็งแกร่งของเทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้ายดี หลังจากที่ได้ต่อสู้ักับเขาโดยตรง พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และถึงเมืองแห่งการศึกษาจะส่งกองทัพจำนวนมากไป ก็ยังทำให้เทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้าย แห่ง “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” เหงื่อตกได้เท่านั้นเอง แต่ชะตากรรมของเขา -- กลับโหดร้าย ร่างกายของเขาถูกขยี้แหลกออกเป็นสองเสี่ยง
แล้วก็ ยังมีจุดที่น่าสงสัยอยู่อีกหนึ่งข้อ
จนถึงตอนนี้ วิธีที่พวก “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ได้เริ่มลงมือนั้น พวกเขาไม่เคยใช้แผนการที่ปกติธรรมดาเลยซักครั้งเดียว ฉะนั้นทำไมคราวนี้ศัตรูถึงได้เลือกใช้วิธีสมัยเก่าอย่างส่งจดหมายท้าล่ะ?
และสิ่งที่ส่งมาพร้อมกับจดหมายท้า เทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้าย ทำไมเขาถึงได้ถูกตัวอควาแห่งเบื้องหลังเองสังหารได้ล่ะ?
เนื่องจากวิธีการของอความันแตกต่างไปจากเดิมมาก ฝั่งที่ได้รับคำประกาศก็เลยเกิดความสังสัยขึ้นมามากมาย ถึงโบสถ์อังกฤษ และเมืองแห่งการศึกษาจะคิดว่ามันเป็นกับดัก แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจถึงความตั้งใจของอควาเช่นเดียวกัน ยังไงก็ตาม ถ้าเป้าหมายของเขาคือ คามิโจ โทมะ ถ้างั้นพวกเขาก็แค่ต้องขยี้อควาให้ได้ซะก่อนเท่านั้นเอง -- นี่คือสิ่งที่ฝั่งที่ได้รับคำประกาศสรุป ฉะนั้น โบสถ์อังกฤษจึงส่งโบสถ์สไตล์อามาคุสะไปจัดการ
ปกติแล้ว องกรณ์ทั้งหมดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ นั้นจะถูกห้ามให้กระทำการต่างๆในเมืองแห่งการศึกษา
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า มีเส้นแบ่งเขตระหว่างฝั่งวิทยาศาสตร์ และเวทมนตร์ ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้
แต่ทว่า คราวนี้พวกเขาเลือกที่จะทำลายเส้นแบ่งเขตนั่น
อิทสึวะอาจจะไม่รู้เหตุผล แต่ดูเหมือนว่าอาร์คบิชอปของโบสถ์อังกฤษ ได้ทำสัญญาอะไรบางอย่างกับเบื้องบนของเมืองแห่งการศึกษา
สำหรับโบสถ์อังกฤษ พวกอามาคุสะก็เป็นแค่กลุ่มนิกายเล็กๆ ถ้าสถานการณ์เลวร้ายลง พวกเขาก็สามารถตัดมันทิ้งไปได้เหมือนกับที่กิ้งก่าสามารถทิ้งหางของตัวเอง ได้เสมอ แถมพวกอามาคุสะยังเคยสังกัดอยู่ในญี่ปุ่นมาก่อน ทำให้มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์
ไม่ว่าจะยังไง อิทสึวะ ที่ไม่น่าจะมายืนอยู่ในเมืองแห่งการศึกษา ก็กำลังยืนอยู่
บางทีโลกอาจจะกำลังแบ่งออกเป็น กองกำลัง “ เมืองแห่งการศึกษา - โบสถ์อังกฤษ ” ปะทะ กองกำลัง “ โรมัน คาทอลิก - รัซเซีย ออโธด็อกซ์ ” ก็เป็นได้... ไม่ว่ายังไง อควาคนนี้ ที่มีพลังยิ่งใหญ่กว่าระเบิดลูกใหญ่ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะสามารถชนะได้ง่ายๆ
ในขณะเดียวกัน ปัญหาที่ว่า “ โลกจะต้องเผชิญกับความหายนะหากมีคนข้ามเส้นแบ่งเขตระหว่างฝั่งวิทยาศาสตร์ และเวทมนตร์ไป ” นั้นยังเล็กน้อยยิ่งกว่า “ การที่อควาบุกเข้ามาโจมตีคนเดียว ” เสียอีก และทั้งโบสถ์อังกฤษ และเมืองแห่งการศึกษาต่างก็เห็นด้วย อควาแห่งเบื้องหลังเป็นศัตรูที่มีความอันตรายสูงถึงขนาดนั้นนั่นแหละ
“ … ”
ก็เพราะอย่างนั้น ในฐานะบอดี้การฺดของคามิโจ อิทสึวะจึงตัดสินใจจะต่อสู้
อิทสึวะอยากจะเจอกับคามิโจให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เธอก็ไม่สามารถแอบเข้าไปในโรงเรียนระหว่างที่มีการเรียนการสอนอยู่ได้ เช่นกัน เนื่องจากสามัญสำนึก และความรับผิดชอบชั่วดีของเธอ ตอนนี้ เธอกำลังรอคอยอยู่ตรงตำแหน่งที่มองเห็นห้องเรียนของคามิโจได้พอดี เธอคิดว่าจะเริ่มลงมือทันทีที่คามิโจออกมาจากห้องเรียน
( ...ถ้าไม่ทำสุดความสามารถล่ะก็ ไม่ได้การแน่ )
อิทสึวะกำหมัดเล็กๆของเธอ ระหว่างที่กระตุ้นแรงจูงใจให้ตัวเองไปด้วย
ในอุบัติเหตุเกี่ยวกับ ซี-โดคิวเมนต์คราวที่แล้ว อิทสึวะไม่ได้แข็งแกร่งพอจะปกป้องคามิโจไปจนถึงที่สุดได้ ในการที่จะทดแทนความผิดพลาดนั้น อิทสึวะจึงได้สาบานไว้กับตัวเองว่า เธอจะเป็นนักเวทย์มืออาชีพ เพื่อจะปกป้องประชาชนธรรมดาๆอย่างคามิโจ โทมะ ไม่ให้ผมแม้แต่เส้นเดียวได้รับอาการบาดเจ็บให้ได้
กระเป๋าพาดไหล่ที่เธอแบกอยู่นั้น บรรจุชิ้นส่วนของหอกฟริอุลิอยู่ เธอกำลังทำการวัดน้ำหนักอยู่ในตอนนี้ ( คน คนนั้นสามารถต่อกรกับสมาชิกของ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ได้ถึง 2 คน เวนต์แห่งเบื้องหน้า กับ เทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้าย แต่อย่างเราก็ต้องทำอะไรได้บ้างเหมือนกันแน่ ต้องทำให้ดีที่สุด )
ในขณะที่เธอคิดแบบนั้น ก็มีคนคนหนึ่งที่ดูคลับคล้ายคลับคลาวิ่งตัดหน้าอิทสึวะไป
เขาเป็นคนคนเดียวกับที่ถูกพูดถึงเมื่อครู่ คามิโจ โทมะ
“ เอ๋? ”
ทำไมล่ะ? อิทสึ วะงุนงง และหลังจากที่ตรวจดูเวลาอีกครั้ง เธอก็รู้ว่าถึงจะเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียน แต่อารมณ์ของคามิโจตอนที่ำกำลังวิ่งไปตามถนนนั่นมันไม่ปกติเลย เหมือนกับว่าเขากำลังวิ่งหนีจากผู้ไล่ล่ายังไงยังงั้น
อาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้
เธอรู้สึกเครียดขึ้นมาหน่อย แล้วจากนั้นคนที่วิ่งผ่านตาของอิทสึวะไปอีกคนหนึ่งก็คือ...
มีเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้มีคนตัวยาวดูเหมือนกับกอริลล่าอย่างแปลกๆกำลังตามล่าคามิโจอยู่ เขาวิ่งผ่านสายตาของอิทสึวะไป
จะพูดยังไงดีล่ะ ชายแปลกๆคนนั้น ดูเหมือนกับนักเลงที่เห็นบ่อยๆในเกมของยุโรปกับอเมริกายังยังงั้นแหละ
อิทสึวะพยายามนึกถึงคามิโจ และจินตนาการใบหน้าของนักเลงคนนั้นขึ้นมาในใจอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็นึกถึงอารมณ์ของคามิโจอีกที
คนแบบนั้นไม่มีทางเป็นคนธรรมดาแน่
คนที่สามารถทำให้ชายผู้ก้าวผ่านสนามรบมานับไม่ถ้วนอย่าง คามิโจ โทมะ ต้องแสดงอารมณ์ตื่นตระหนก
หัวได้หลุดจากบ่าแน่ อารมณ์ของคามิโจบ่งบอกแบบนั้นออกมาอย่างชัดเจน
ในที่สุด เธอก็ทำการสรุปผล
ดูจากรายงานที่ได้มาเมื่อ 30 กันยายน อควาแห่งเบื้องหลังน่าจะเป็นผู้ชาย
( -ไม่คิดเลยว่าจะโผล่ตัวมาเร็วขนาดนี้!! )
อิทสึวะประกอบอาวุธของเธออย่างทันที และรีบวิ่งตามศัตรูไป
เนื่องจากปัญหาทางสุขภาพ คุณครูหายนะที่ทำหน้าที่แบ่งแผนงานให้เหล่านักเรียนจึงลี้ภัยกลับไป
“ ...เฮ่อ ”
หลังโรงเรียนเลิก คามิโจ ที่ในที่สุดก็สามารถจบสงครามอาหารลงได้อย่างสวยงาม ก็กำลังถอนหายใจอย่างหนักหน่วงระหว่างที่เดินออกมาจากประตูโรงเรียน หลังจากที่ไปเปลี่ยนรองเท้าที่ที่เก็บรองเท้าแล้ว ตอนนี้ อิทสึวะ ที่ยังคงไม่หายช็อค ก็ยังยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิม
เพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้เธอโผล่มาในช่วงพักกลางวัน แล้วก็พุ่งเข้ามาสกัดคุณครูที่มีหน้าที่แบ่งแผนงานด้วยหอก ราวกับผีร้าย ( สกัดด้วยหอก หอกจริงๆ ) ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง “ เอ๋? ไม่ใช่อควาแห่งเบื้องหลังหรอกเหรอคะ? เอ๋--!? คุณครูที่โรงเรียนเหรอ!? ” และหลังจากนั้น อิทสึวะก็สลบไปเพราะความงุนงง
มีคำถามมากมายที่คามิโจอยากจะถามอิทสึวะ รวมถึง “ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่เมืองแห่งการศึกษาได้ล่ะ? ” ด้วย แต่อิทสึวะกลับกลอกตาไปมาด้วยความงุนงง ในขณะที่พยายามจะแก้ไขปัญหาเรื่องคุณครูกอริลล่า เธอแบกร่างกายอันใหญ่โตของเขาขึ้นหลังแล้วรีบบึ่งไปโรงพยาบาล
แล้วทั้งหมดก็จบลงแบบนั้น
“ ฉัน ฉันนี่มัน... ถึงจะไร้ประโยชน์ได้ขนาดไหน ก็ต้องมีลิมิตกันบ้างสิ... ”
อิทสึวะ ที่กลับมาจากโรงพยาบาลแล้ว กำลังแทรกตัวลึกอยู่ในหลุมที่ไร้ห้วงลึก
สำหรับคามิโจ ถ้าเขาถูกคุณครูกอริลล่านั่นจับได้จริงๆ เขาก็คงจะถูกจับโยนลงไปกระแทกกับพื้นถนนด้วยกระบวนท่าในตำนาน แล้วหลังจากนั้น ก็ต้องรับมือกับคอมโบกดลงกับพื้นที่ไม่มีทางหลบเีลี่่ยงได้ ฉะนั้น จึงบอกไม่ถูกเลยว่าที่อิทสึวะทำไปนี่สมควรแล้วรึไม่ แต่ดูเหมือนว่าอิทสึวะจะไมไ่ด้เศร้าขึ้นมาเพราะเรื่องนั้นเรื่องเดียว
( ...อย่ากังวลไปเลยน่า ไม่ใช่ว่าเธอไปทำร้ายคนธรรมดาซักหน่อย... เคยมีตำนานว่าเจ้ากอริลล่านั่นสามารถหยุดหินที่ถล่มลงมาในโซนหินถล่มได้ด้วย สองมือเชียวนะ แบบนั้นจะไปเป็นคนธรรมดาๆได้ยังไงกัน )
ยังไงก็เหอะ คามิโจตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มโดยการถามว่า “ ทำไมอิทสึวะ ที่เป็นผู้อยู่อาศัยของฝั่งเวทมนตร์ ถึงได้มาโผล่ตัวในฐานทัพหลักของฝั่งวิทยาศาสตร์ ----- ซึ่งก็คือ เมืองแห่งการศึกษา ได้ล่ะ ”
“ ...อควาแห่งเบื้องหลัง คุณยังจำชื่อนั้นได้อยู่รึเปล่าคะ? ”
อิทสึวะตัวสั่นระหว่างที่พูด
คิ้วของคามิโจขยับด้วยความสงสัย
“ อา จำได้สิ หมอนั่นเป็นหนึ่งในสมาชิกของ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ...ใช่ม้า? ฉันเคยเจอหมอนั่นในวันที่ 30 กันยายนน่ะ ”
ใช่แล้ว หลังจากที่เวนต์แห่งเบื้องหน้าได้พ่ายแพ้ไปในเมืองแห่งการศึกษา เป็นอควานั่นเองที่บุกเข้ามา อีกอย่าง นอกจากเขาจะเป็นสมาชิกของ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” แล้ว เขายังมีคุณสมบัติของ “ เซนต์ ” อีกด้วย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจินตนาการถึงความสามารถของเขา เขาคนนั้นแตกต่างออกไปจากศัตรูคนก่อนๆของคามิโจโดยสิ้นเชิง
ถึงคามิโจจะไม่อยากไปไหน แต่เขาก็ยังคงเดินไปตามถนนที่มีคนพลุกพล่าน พูดคุยกับอิทสึวะไปด้วย
“ แล้ว อควาทำไมเรอะ? อย่าบอกฉันนะว่าหมอนั่นก็ไปทำอะไรแปลกๆที่ประเทศอื่นเหมือนกันน่ะ? ”
“ ม-ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เลย... ”
ดูเหมือนว่าอิทสึวะจะมีปัญหากับการพูดออกมา แต่หลังจากที่คำนวณทั้งหมดไว้ในหัวเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเธอก็พูดขึ้น
“ ดูเหมือนว่าเป้าหมายของอควาแห่งเบื้องหลัง จะเป็นตัวคุณนั่นแหละค่ะ ”
“ หา? ”
“ เกี่ยวกับเรื่องนั้น ทั้งโบสถ์อังกฤษ และเมืองแห่งการศึกษาต่างก็ได้รับจดหมายท้าจากอควา มันเขียนไว้ว่า อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เขา... อืม... จะกลับมาจู่โจมคามิโจ โทมะ ให้ทั้งสองฝั่งระวังไว้ด้วย ประมาณนั้นแหละค่ะ ”
อิทสึวะดูจะกังวลใจ เพราะเธอหยุดไปหลังจากพูดไปได้กลางทาง เหมือนกับเป็นพ่อแม่ที่กำลังจะเปิดเผยความลับที่โหดร้ายให้ลูกๆฟังยังไงยัง งั้น
ชีวิตของเขากำลังถูกเพ่งเล็งโดยอควาแห่ง “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ...นี่จริงจังเท่าไหร่น่ะ? นักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆอย่างคามิโจ โทมะ ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างทันที
“ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า งั้นเหรอ? ”
คามิโจคิดไปซักพัก
“ เวนต์แห่งเบื้องหน้าเคยบอกไว้ว่า ในการจะฆ่าฉัน พระสันตะปาปาจำเป็นต้องเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อจะให้เจ้าพวกนั้นบุก โจมตีเมืองแห่งการศึกษาได้ แต่พวกนั้นคงไม่ส่งคนที่ทรงพลังถึงขนาดนั้นมาโจมตีฉัน ที่เป็นนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆหรอกมั้ง ”
“ หา!? ไม่เลยค่ะ ไม่ไม่ไม่! คุณน่ะช่วยคนไว้ได้ตั้งมากมาย แถมยังหยุดพวกโรมัน คาทอลิกจากการทำสิ่งชั่วร้ายไว้ทั้งเยอะ! นี่คุณยังคิดว่าตัวเองเป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆได้ หลังจากที่ทำอะไรต่อมิอะไรไปมากถึงขนาดนั้นได้อีกเหรอคะ!? ”
เพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้อิทสึวะเริ่มจะตะโกนออกมา ถึงจะไม่เคลียร์ แต่คามิโจก็ทำการสรุปว่าเธอคงถูกพวกอามาคุสะส่งมาเฝ้าระวังภัยให้เขาแน่ๆ แต่ถึงเขาจะถูกเธอชื่นชม แต่เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนี้มันก็เป็นแค่เด็กนักเรียนมัธมปลายธรรมดาๆจริงๆ นี่นา แล้วตัวเขาก็ไม่มีอะไรที่น่าชื่นชมด้วย
“ แต่เวนต์แห่งเบื้องหน้าก็เคยมาแล้วนี่...คราวนี้เป็นตาของอควาแห่งเบื้องหลังเรอะ? ”
“ ตอนนี้ ทางห้องสมุดของอังกฤษกำลังตรวจดูประวัติของเขาอยู่ค่ะ รวมถึงสมาชิกคนอื่นๆของ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ด้วย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังหาข้อมูลไม่เจอเลยค่ะ ”
“ อืม ก็พวกนั้นเป็นสมาชิกลับของกลุ่มองกรณ์ลับนี่นะ ”
“ แต่ถึงเราจะไม่มีข้อมูลที่ละเอียดนัก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีพลังสมควรกับตำแหน่งใน “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” และดูเหมือนว่าจะมีพลังของ “ เซนต์ ” อยู่ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราได้ความร่วมถือจากท่านสังฆราชสูงสุดก็คงจะดีมากเลยล่ะค่ะ ”
ท่านสังฆราชสูงสุดที่เธอกำลังพูดถึงอยู่นี่ คงจะเป็น คันซากิ คาโอริ
เธอเป็นหนึ่งใน “ เซนต์ ” ที่มีอยู่แค่ 20 คนบนโลกนี้ แล้วก็เป็นคนที่สามารถรอดมาจากการต่อสู้กับอัครฑูตรสวรรค์ของจริงได้อีกด้วย นั่นถือเป็นความสำเร็จที่เธอสามารถเอาไปอวดใครๆได้ชั่วชีวิตเลยล่ะ
ก็จริงว่าถ้าได้ความช่วยเหลือจากคันซากิ สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่เนื่องจากในอดีตนั้นมีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ก็เลยมีความไม่ลงรอยกันระหว่างคันซากิ และพวกอามาคุสะ แล้วก็ สเตลเคยพูดมาครั้งหนึ่ง ว่าเพราะพวกเซนต์มีพละกำลังมหาศาลมากเกินไปนั่นแหละ ถึงไม่สามารถไปไหนมาไหนอย่างอิสระได้
“ ...แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจนแต้มแล้วหรอกนะคะ ”
เหมือนกับอิทสึวะพยายามจะทำลายความรู้สึกกังวลไปทั้งหมด ระหว่างที่พูด
“ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า น่ะเป็นกลุ่มองกรณ์เวทมนตร์ที่ทรงพลังที่สุดในฝั่งเวทมนตร์ ถ้าจะให้จริงๆเลยก็คือ ถ้าให้พวกเราทุกคนไปสู้กับสมาชิกขององกรณ์นั่นเพียงคนเดียว ก็ยังไม่สามารถการันตีว่าจะสู้ได้เสมอกันเลยด้วยซ้ำ แต่เวนต์แห่งเบื้องหน้า กับเทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้าย... เราสามารถต่อสู้กับพวกเขาได้อย่างสูสี ทำไมกันล่ะคะ? ”
“ อืม ”
“ ทางเราไม่ได้วิเคราะห์อย่างละเอียดนัก เพราะงั้นจะบอกว่าข้อมูลนี้แม่นยำที่สุดก็คงไม่ได้ แต่ทั้งสองคนมีสิ่งที่ทำให้เพลี่ยงพล้ำอยู่เหมือนกัน คือ “ การถูกขัดขวางโดยเมืองแห่งการศึกษา ” เทอร์ร่าแห่งเบื้องซ้ายถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนแผน เพราะชุดเกราะคนบังคับนั่นแล้วก็ยานทิ้งระเบิดความเร็วเหนือเสียง ส่วนเวนต์แห่งเบื้องหน้าก็ เป็น... เจ้านั่น... เจ้าสิ่งที่ดูเหมือนกับเทวดานั่น ใช่มั้ยคะ? ”
พอพูดมาแล้ว ก็จริงเหมือนกัน
ก็เพราะการตอบโต้ของเมืองแห่งการศึกษานี่เอง ที่ทำให้กลุ่มองกรณ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในฝั่งเวทมนตร์ “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ต้องสั่นคลอน ทำให้แทนที่พวกเขาจะได้ลงมือบนสนามที่พวกเขาถนัดที่สุด ที่ดึงพลังออกมาได้มากที่สุด แต่ดันโดนเปลี่ยนสนามประลองให้กลายเป็นของฝั่งวิทยาศาสตร์ ซึ่งพวกเขาไม่ถนัด บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสามารถชนะมาได้ก็ได้
“ ถ้างั้น ถ้ามาต่อสู้กันในเมืองแห่งการศึกษา ที่ที่ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่วิทยาศาสตร์ แบบนั้นก็คงจะเสียเปรียบไปเยอะเลยสินะ ”
“ ...ฉัน ฉันคิดว่าอะไรๆมันคงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกค่ะ... ”
“ ? ”
หลังจากที่เห็นอิทสึวะพูดอ้อมค้อมไปเรื่อย คามิโจก็รู้สึกงงๆขึ้นมา อิทสึวะรีบสะบัดมือไปมาเพื่อเปลี่ยนหัวข้อเรื่องทันที
“ ย-ยังไงก็เถอะค่ะ! อควาแห่งเบื้องหลังจะเข้ามาโจมตีแล้ว ฉะนั้นฉันจะรับหน้าที่ปกป้องคุณเองค่ะ โบสถ์อังกฤษสั่งให้ฉันมาปกป้องภยันตรายให้คุณ ทั้งในแสงสว่างและเงามืด เพราะฉะนั้นอย่ากังวลมากไปเลยค่ะ!! ”
ถึงอิทสึวะจะพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น แต่คามิโจกลับรู้สึกว่ามันแหม่งๆ
คามิโจอยากจะยืนยันให้แน่ว่าเขาได้ยินผิด เลยถามไปอีกครั้ง
“ อิทสึวะ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่นะ? ”
“ ต้องพูดด้วยเหรอคะ? มาเป็นบอดี้ การ์ดให้คุณยังไงล่ะ ”
อิทสึวะกำหมัดเล็กๆของเธอแน่น หลังจากเห็นแบบนั้น คามิโจก็รู้สึกขึ้นมาว่าทั่วร่างของเขากำลังแข็งเป็น
รูปปั้น
เขาก็เลยถามอีกครั้งหนึ่ง
“ อิทสึวะ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่นะ? ”
“ ก็พูดไปแล้วนี่คะ ฉันมาที่นี่ในฐานะบอดี้ การ์ดของคุณ จะคอยติดตามและปกป้องให้เองค่ะ ”
ตัวแทนพระสังฆราชสูงสุดของโบสถ์สไตล์อามาคุสะ ทาเทมิยะ ไซจิ กำลังซ่อนตัวอยู่หลังตึกๆหนึ่ง เขาถอดตาออกจากกล้องส่องทางไกล
ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ใกล้ๆโรงหนังเล็กๆ ใกล้ๆนี้มีถนนทางเดินอยู่ และที่ทางเข้าโรงหนัง ก็มีร้านขายล็อตเตอร์รี่ถูกตั้งอยู่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นจุดบังระยะสายตาได้ดี ทั้งๆที่ที่นี่สมควรจะเป็นสถานที่ที่มีคนชุกชุมแท้ๆ แต่กลับเหนือคาด ที่มีไม่กี่คนจะสังเกตเห็นที่นี่ -- ช่างเป็นที่ที่น่าทึ่งซะจริงๆ
หลังจากแสดงท่าทางเซ็งๆแล้วถือกล่องส่องทางไกลไว้ด้วยมือเดียว ทาเทมิยะที่ย่นตาลงเหมือนกับคนขี้เซาก็พูดขึ้นเงียบๆ
“ ...น่าเบื่อเป็นบ้า ”
หลังจากได้ยินความคิดเห็นนั่น ชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างๆเขา อุชิบุกะ ซึ่งกำลังแสร้งทำเป็นอ่านนิตยสารอยู่ ก็ผงกหัวเห็นด้วย
“ ยัยอิทสึวะนั่น... พูดเรื่องงานอยู่นั่นแหละ นี่ไม่คิดจะเริ่มโจมตีเลยรึไง ”
“ เออสิ ทั้งๆที่เราให้โอกาสอันสมบูรณ์แบบให้สามารถเข้าใกล้คามิโจ โทมะได้ไปแล้วแท้ๆ แต่นี่ไม่ได้เผยเนื้อเผยตัวหน่อยเลยเรอะ ดูเหมือนว่ายัยนั่นจะลืมไปแล้วว่าอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนร่างกายของตัวเอง น่ะคืออะไร ”
“ แล้วอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนร่างกายของอิทสึวะนั่น มันคืออะไรอะครับ? ” เจ้าหนุ่มตัวผอมสูง โคยากิ ถามในขณะที่ยัดป๊อปคอร์นเข้าปาก
ทาเทมิยะรีบรื้อหาของในกระเป๋าที่ถูกโยนไว้ข้างตัว แล้วจากนั้นก็ดึงเอากระดานไวท์บอร์ดที่มักจะใช้กันในรายการตอบคำถามออกมา เขาใช้มาร์คเกอร์สีดำเขียนไปตามกระดาน
หลังจากนั้น เขาก็เขียนคำตอบที่ถูกต้องไว้บนกระดานไวท์บอร์ด แล้วจึงแสดงให้ทุกคนดู
“ --ใช่แล้ว นั่นก็คือ “ หน้าอกลับอันมหึมาของอิทสึวะ ” ยังไงเล่าโว้ย!! ” ทาเทมิยะเบิกตากว้างไประหว่างที่พูด
ข้างๆ อุชิบุกะ และโคยากิ กลุ่มชายล้วน ที่รวมชายวัยกลางคน อิซาฮายะ และผู้ที่ได้แต่งงานไปแล้วเรียบร้อย โนโมซากิ รีบวิ่งเข้ามารวมตัวกันหน้าทาเทมิยะ
“ ทำไมถึงได้ตั้งข้อสันนิษฐานแบบนั้นล่ะครับ พระสันตะปาปา!? ”
“ พูดบ้าอะไรของเอ็งฟะ... ชั้นไม่เชื่อไอ้การคาดคะเนมั่งซั่วของเอ็งหรอกเฟ้ย ไอ้เวร!! ”
เหล่าชายชาตรีต่างตื่นเต้นจนควันออกจมูก และทาเทมิยะก็ลากมาร์คเกอร์สีดำไปตามไวท์บอร์ดอีกครั้ง
“ จากการวัดค่าระดับของอิทสึวะแล้ว สรุปผลออกมาได้ว่าเธอมีค่าความปวดไหล่อยู่ถึง 40 หน่วย แต่ถ้าเอาพละกำลังทางด้านร่างกาย ระยะเวลาการทำกิจกรรม เสื้อผ้า เครื่องประดับ และทุกอย่างที่มี มารวมกันทั้งหมด ค่าความปวดไหล่ของเธอมันก็ไม่น่าจะเกิน 37 หน่วยไปได้เลยแท้ๆ ”
“ ถ้างั้น ก็หมายความว่า... ”
กลุ่มชายล้วนต่างก็ฝืนกลืนน้ำลายลงคอไป
ทาเทมิยะผงกหัวร่วมด้วยอย่างจริงจัง เขารวบรวมพลังงานทั้งหมดไว้ในท้องน้อยก่อนที่จะทำการป่าวประกาศด้วยเสียงอันแหลมคม
“ ใช่ ค่าความปวดไหล่มันหายไป “ 3 ” นั่นล่ะคือหลักฐานที่ดีที่สุดที่บ่งบอกว่าอิทสึวะ มีหน้าอกลับใหญ่ขั้นเทพยังไงเล่า!! ”
เพราะความจริงอันน่าตื่นตระหนกที่เขียนอยู่บนไวท์บอร์ด ทำให้อุชิบุกะ และโคยากิ เป็นลมล้มพับไปทันที อิซาฮายะ ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีแล้ว ดูเหมือนจะมีความสุขที่เห็นหลานสาวของเขาเติบโตขึ้น ส่วนโนโมซากินั้น กำลังพึมพำกับตัวเองว่าหน้าอกของยัยนั่นน่าจะเล็กกว่านั้นนา แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าสร้อยและผิดหวังไปด้วย
ผู้หญิงผมบลอนด์ สึชิมะ ที่ยืนอยู่ไกลออกไปเล็กน้อย มองไปที่เหล่าเจ้าพวกบ้าทั้งหลาย จากนั้นก็ถอนหายใจ
“ ...หยุดพูดอะไรปัญญาอ่อนได้แล้วน่า จับตาดูคนที่เราต้องป้องปกป้องหน่อยสิ ”
ทา เทมิยะ และเหล่าผู้ชายคนอื่นๆ รู้สึกเหมือนโดนเตะกระเด็นลงแม่น้ำ พวกเขาจึงมองไปที่ร่างกายของสึชิมะ ที่มีส่วนสูงไม่สมส่วนกับขนาดหน้าอก ด้วยสายตาสงสาร
“ ก็ของรุ่นพี่สึชิมะ มันแค่นั้นเองนี่นา อย่าพูดอะไรมากเลยดีกว่าครับ ”
“ อะไรนะ!? ”
“ หลักการก็คือ คนตัวสูงจะมีหน้าอกใหญ่ ส่วนคนตัวเตี้ยจะมีหน้าอกเล็ก ที่เป็นแบบนี้ ก็เพราะว่าสึชิมะมีลักษณะไม่ตรงตามนั้นยังไงล่ะ ”
ข้างๆสึชิมะ ที่พูดอะไรไม่ออก ทาเทมิยะกำลังดึงเอาไวท์บอร์ดอันใหม่ออกมา แล้วก็เขียนมาร์คเกอร์สีดำลงไป
“ เฮ่ยๆๆๆ นี่พวกนายไม่รู้จริงๆรึ ---- “ เกี่ยวกับ “ ต้นขานางงามของสึชิมะ ” น่ะ!! ”
ทุกคนยังไม่มันรู้ว่าตัวแทนพระสังฆราชสูงสุดจะพูดอะไร สึชิมะก็ซัดลูกเตะเข้าไปตรงระหว่างขา เพื่อทำให้เขาเงียบปากไปก่อนแล้ว
ดูเหมือนว่าพวกผู้ชายจะหมดความสนใจในตัวสึชิมะแล้ว เพราะว่าพวกเขาเริ่มจะทำเป็นไม่สนใจ แล้วหันไปดูอิทสึวะต่อ
“ แต่จะไม่เป็นไรจริงๆรึ? ดูเหมือนว่ายัยอิทสึวะจะคิดวิธีอะไรอื่นนอกจากกลยุทธ์ผ้ากันเปื้อนเปียกไม่ออกเลยนะเนี่ย ”
“ อิทสึวะเอื่อยเฉื่อยเกินไปจริงๆนั่นแหละ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่มีทางปีนผ่าอุปสรรคตรงหน้าไปได้แน่ๆ... ” อิซาฮายะ ที่มีอายุมากกว่าครึ่งศตวรรษ พูดไประหว่างที่กัดฟันสุดแรงเกิด
ในนาทีนั้นเอง ที่ทาเทมิยะซึ่งมีหยาดน้ำตาไหลปกคลุมทั่วดวงตา พุ่งเข้ามาสอดกลางการสนทนาอีกครั้งหนึ่ง
“ ใช่แล้ว เพื่อที่จะให้อิทสึวะใช้ประโยชน์จากผลส้มลูกใหญ่มหึมาของเธอนั่นให้ได้มาก ที่สุด เราจะยอมให้มันดำเนินต่อไปทั้งๆอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด ”
“ เอ๋...? ผลส้มลูกใหญ่มหึมาเรอะ!? ฉันว่าลูกแอปเปิ้ลยักษ์มากกว่านะเฮ้ย!! ”
ข้างๆอุชิบุกะ ที่กำลังแตกตื่น โคยากิถามขึ้นมา
“ แต่ว่านะครับ ตัวแทนพระสังฆราชสูงสุด ถึงพวกเราจะวางแผนอะไรต่อมันก็ไร้ประโยชน์ไปแล้วนี่ครับ? อิทสึวะก็เติบโตช้าซะด้วย ”
“ ฮืมๆ ก็เพราะงั้นแหละที่ฉันต้องเตรียมแผนการตอบโต้มา ”
ทาเทมิยะฉีกยิ้มชั่วร้ายออกมา ระหว่างที่ดึงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าใบสวยอีกครั้ง
“ ลูกฟุตบอลเหรอ? ”
“ นักเตะฝีเท้าเฉียบคม ทาเทมิยะ ไซจิ จะทำการเปิดการแข่งฟรีคิกล่ะนะ ”
เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมานี้ ทำให้มิซากะ มิโคโตะ กำลังอยู่ในสภาพงุนงงสุดขีด
ตั้งแต่ที่เธอได้รู้ถึง “ อะไรบางอย่าง ” ที่เกี่ยวข้องกับคามิโจ โทมะ เธอก็อยู่ในสภาพนี้มาตั้งแต่นั้น แต่ถึงเธอจะคิดเกี่ยวกับมันซักเท่าไหร่ ปัญหานั่นก็จะยังคงอยู่ ถึงเธอจะเสียเวลาไปกับมันซักเท่าไหร่ ปัญหานั่นก็จะยังคงอยู่ ก็เหมือนกับไปถามหาคำตอบจากคนที่ตอบไม่ได้นั่นแหละ ถึงจะคิดซักเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ไม่มีทางเจอคำตอบ
( อย่างที่คิดเลย ไม่ใช่บลั๊ฟจริงๆ ซะด้วย )
อะไรบางอย่าง
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ... การสูญเสียความทรงจำ
ทั้งๆที่มันเป็นแค่ประโยคๆหนึ่งที่มีตัวอักษรอยู่ไม่กี่ตัว แต่มันกลับสามารถทำให้หัวใจของมิโคโตะสั่นคลอนได้
( แต่ว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ...? )
เธอไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกในวันที่ 30 กันยายนเลย และระหว่างการแข่งขันในไดฮาเสะไซก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน มีอะไรเกิดขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคมรึเปล่านะ? หรือว่ามันเกิดขึ้นระหว่างที่เขาได้เผชิญหน้ากับพวก SISTERS และแอคเซลาเลเตอร์กันแน่?
“ … ”
เธอคิดไม่ตก
ถึงใครๆจะคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นใกล้ชิดกับเธอ แต่ก็มีเรื่องหลายเรื่องที่เธอไม่รู้
( ก็รู้อยู่หรอกว่าถึงจะกังวลไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา )
เขากลายเป็นแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาสูญเสียความทรงจำไปมากเท่าไหร่? มันส่งผลกระทบกับชีวิตของเขารึเปล่า? เขาให้หมอตรวจอาการดูบ้างรึเปล่า? ไม่มีวิธีรักษาเลยรึ?
แล้วก็
ความทรงจำของเขาที่เกี่ยวกับเธอหายไปเท่าไหร่กัน?
( จะขอให้คนที่เก่งทางด้านควบคุมจิตใจมาช่วยก็ได้ แต่ก็... )
ในโรงเรียนมัธยมต้นโทคิวะได ยังมีเลเวล 5 อยู่อีกหนึ่งคน ถ้าเป็นเรื่องของการควบคุมจิตใจล่ะก็ เธอเป็นอันดับหนึ่งในเมืองแห่งการศึกษา -- ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เธอเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านการควบคุมจิตใจ การอ่านใจผู้อื่น เปลี่ยนลักษณะนิสัยของผู้อื่น ทำการสนทนากับผู้ที่อยู่ไกลออกไป ทำลายความทรงจำและกำลังใจ เปิดเผยความรู้สึกและส่งมันต่อไป... ไม่ว่าจะเป็นปรากฎการณ์ทางด้านจิตใจแบบไหน เธอก็สามารถควบคุมมัันได้ทั้งหมด เหมือนกับสวิซไนฟ์นั่นแหละ เธอเป็นเอสเปอร์ที่สามารถทำอะไรได้มากมายหลายอย่าง
“ แต่ไม่อยากจะไปง้อยัยนั่นเลย... ”
เธอจงใจพูดออกมาดังๆ
ซึ่งก็หมายความว่า มิโคโตะไม่อยากจะต่อกรกับเอสเปอร์ “ คนนั้น ” จริงๆ
ไม่เหมือนกับมิโคโตะ ที่ไม่ได้สังกัดอยู่ในกลุ่มใดๆ เธอคนนั้นได้รับฉายาว่าราชินีแห่งเหล่าคุณหนู เป็นผู้นำของกลุ่มผู้หญิงที่ใหญ่โตที่สุดในโรงเรียนมัธยมต้นโทคิวะได เห็นๆกันอยู่แล้วว่าพวกเธอทั้งสองคนเทียบกันไม่ได้เลย ถ้ามิโคโตะร้องขอให้เธอช่วย สุดท้ายมันก็จบลงด้วยการที่มิโคโตะ “ ติดหนี้ ” เธอคนนั้น... และในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เธอก็อาจจะทำอะไรที่ไม่จำเป็นกับเขาระหว่างการรักษาก็ได้ พูดตรงๆก็คือ ความเชื่อมั่นของเธอไม่ได้สูงพอจะให้เพื่อนไปตกอยู่ในมือของผู้หญิงคนนั้น ได้
เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่ควรจะทำแบบนั้น
ยังไงก็ตาม มิโคโตะก็ไม่คิดจะให้เอสเปอร์คนอื่นมาจัดการปัญหานี้ตั้งแต่แรกแล้ว
( ถึงเราจะรู้ว่านี่เป็นปัญหาส่วนตัวของตาบ้านั่นก็เถอะ แต่ถ้าจะให้ทำเป็นไม่สนใจเลยแบบนั้น จะไปทำได้ยังไงกันเล่า เราไม่ใช่พวกที่จะไม่เป็นห่วงคนอื่นนะ )
แล้วทำไมเขาถึงไม่มาปรึกษาเธอล่ะ? นี่เขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปถึงเมื่อไหร่? เมื่อคิดถึงคำถามต่างๆนาๆเหล่านั้น มิโคโตะก็ทำอะไรอื่นไม่ได้นอกจากกัดฟันแน่น ที่สำคัญ ตัวคามิโจ โทมะเองยังคงไม่รู้ว่ามิโคโตะรู้ถึงปัญหาของเขาแล้ว และก็ดูไม่เหมือนกับว่าเขาอยากให้เธอรู้ด้วย ถ้าเธอนำเรื่องนี้ไปถามเขาตรงๆ... ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาคงจะรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน
แล้วเธอจะทำยังไงล่ะ?
มีอะไรที่เธอสามารถทำได้บ้างรึเปล่า?
( อ๊า!! บ้าที่สุด ทำไมเราต้องมากังวลกับปัญหาของตาบ้านั่นด้วยเนี่ย!? กังวลจนสมองจะพังแล้วเนี่ย แต่ยังไงก็หยุดกังวลไม่ได้อ่า! คิดอย่างสงบสติอีกทีดีกว่าแฮะเรา )
เธออยากจะพูดแบบนั้น แต่ถ้าเธอสามารถทนความรู้สึกนั้นได้ง่ายๆ เธอก็คงจะไม่สบายใจแบบนี้หรอก
หลังจากคิดไปทั้งหมด มิโคโตะก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ในนาทีนั้นเอง
“ …? ”
เธอบังเอิญเห็นกลุ่มคนน่าสงสัยอยู่ข้างๆโรงหนังเล็กๆเข้าพอดี
ชายร่างใหญ่วางลูกฟุตบอลลงกับพื้น เขามีผมสีดำที่ส่องประกายราวกับตัวด้วง และหลังจากที่ผงกหัวให้เหล่าคนรอบๆตัว เขาก็วิ่งไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะเตะลูกบอลไปอย่างรุนแรง
ลูกบอลที่ถูกเตะอย่างรุนแรงนั้น ลอยคว้างไปมาอย่างน่าหวาดseo ก่อนที่จะทำการเลี้ยวเป็นวง ถ้านี่เป็นการแข่งขันจริงๆ ลูกเตะฟรีคิกนี่จะต้องพุ่งผ่านกำแพงป้องกันของผู้รักษาประตู และเข้าโกลด์ได้แน่นอน
มาทำอะไรกันบนถนนเนี่ย? ดวงตาของมิโคโตะหันไปมองทางจุดหมายของลูกฟุตบอล
ในนาทีนั้นเอง ที่เธอเกิดอาการอึ้งขึ้นมา
* เปรี้ยง!! * ข้างหัวของคามิโจ โทมะกระแทกเข้ากับลูกฟุตบอลอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นออกมา
คงจะเป็นเพราะแรงกระแทกจากลูกฟุตบอล ทำให้หัวของคามิโจฝังลึกลงไปในหน้าอกของเด็กหญิงที่เดินอยู่เคียงข้างเขา
ดูเหมือนว่าแรงกระแทกที่ได้รับนั้นจะรุนแรงมาก ถึงได้ทำให้หัวของคามิโจยึดติดอยู่กับหน้าอกของเธอซักพัก เด็กหญิงคนนั้นลนลานทำอะไรไม่ถูก แล้วก็หน้าแดงก่อนจะลูบลงไปบนหัวของเขาที่โดนกระแทก ไอ้การกระทำทั้งหมดนั่นมันทำให้รู้สึกว่าเธอกำลังผลักหัวของคามิโจเข้าไปลึก ขึ้นยังไงยังงั้นแหละ
ก็เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตานี้เอง มิโคโตะเลยอึ้งจนพูดอะไรไม่ถูก ในนาทีนั้น เสียงตะโกน “ บราโว! ” ก็ดังออกมา พอมองไปที่ต้นเสียง ก็เห็นว่าเจ้าคนที่เตะฟรีคิกและพวกคนรอบๆตัวกำลังให้คะแนน 5 แต้มกับกันและกันอยู่อย่างมีความสุข
* เปรี้ยะ เปรี้ยะ * มีใครคนหนึ่งได้ยินเสียงไฟฟ้าไหลรั่วออกมา
หลังจากรู้ว่ามันคือกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่หลุดออกมาจากร่างกายของเธอ มิโคโตะก็ระเบิดออก
“ แค่นี้ก็มีปัญหามากพอแล้ว... แล้วนี่ยังจะยัดปัญหามาให้อีกเรอะ เจ้าพวกบ้าเอ้ย!!! ”
หอกยาวที่ถูกสร้างขึ้นมาจากสายฟ้าพุ่งออกมาจากหน้าผากของมิโคโตะ หลังจากสังเกตเห็น เจ้าหนุ่มผมด้วงและพวกพ้องก็เปิดเกียร์เผ่นไป ในนาทีถัดมา เจ้าพวกนั้นก็หายไปแบบไร้ร่องรอยแล้ว เหมือนกับกิ้งก่า พวกนั้นกำลังผสมเข้าไปในหมู่ผู้คน ทำแบบนั้นมิโคโตะไม่มีทางหาเจอได้แน่ มิโคโตะรู้สึกทึ่งขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ถึงจะสูญเสียเป้าหมายไปแล้ว ความโกรธของเธอก็ยังไม่ได้หลุดออกไป
อีกอย่าง เจ้าคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด เจ้าหนุ่มผมเม่นก็ยังคงฝังหน้าอยู่ในหน้าอกของเด็กหญิงคนนั้นอยู่ แถมยังส่งเสียงคราง “ อือออ... ” เหมือนกับกำลังจะพูดะไรอีกต่างหาก ดูเหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังง่วงและงงๆกำลังจับส่วนๆหนึ่งของร่างกายผู้หญิง ยังไงยังงั้นแหละ
“ ตาบ้านั่น... นี่จะตะลึงกับกายวิภาคศาสตร์ของผู้หญิงไปถึงเมื่อไหร่ห๊า!?!?!? ”
มิโคโตะตะโกนออกมา และพุ่งไปหาคามิโจ ผู้ซึ่งสมควรจะถูกลงทัณฑ์ อย่างทันที
เป็นวันที่มีแต่ความซวยจริงๆ
คามิโจ โทมะถอนหายใจอย่างหนักหน่วง หลังจากที่จู่ๆก็โดนลูกฟุตบอลอัด เขาก็ถูกไล่ล่าไปเรื่อยๆจากการโจมตีด้วยสายฟ้าของมิโคโตะ เพื่อที่จะทำตามหน้าที่ของเธอ อิทสึวะก็เลยเริ่มทำการประกอบหอก และเพื่อที่จะหยุดอิทสึวะ คามิโจก็เลยพุ่งเข้าไปกอดเธอไว้ แต่เพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้มิโคโตะเกิดโมโหขึ้นมาอีกรอบ ฉะนั้น เพื่อที่จะหนีจากสายฟ้าฟาด เขาจึงต้องวิ่งหนีไปทั่วเมืองแห่งการศึกษา ถ้าดูจากระยะการวิ่งแล้ว ก็คงจะไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเกิดอ้วนหรือป่วยขึ้นมากระทันหันเลยแม้แต่นิด เดียว
และตอนนี้ ก็กำลังมีปัญหาใหม่อยู่ตรงหน้าเขา
ใช่แล้ว นี่นี่แหละที่เป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากที่สุด
“ ...อ๊ะ โทมะ ทำไมคนจากอามาคุสะถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? ”
เชคพอยท์ที่อันตรายที่สุดของวันนี้
เมื่อประตูของหอพักถูกเปิดออก ประโยคนี้ของอินเด็กซ์ก็พุ่งมากระแทกคามิโจจนเหงื่อแตกพลั่กทันที ดูเหมือนว่าอินเด็กซ์เตรียมพร้อมจะทำการกัดคนแล้ว เนื่องจากเธอแยกเขี้ยวใส่เขาไม่หยุด แค่เห็นเขี้ยวอย่างเดียว คามิโจก็เกิดอาการขวัญผวาขึ้นมาแล้ว
และในขณะนั้น เจ้าแมวสามสีของอินเด็กซ์ก็กำลังเดินป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆตัวอิทสึวะ ดูเหมือนว่ามันกำลังดมกลิ่นเธออยู่ และกำลังถามว่า “ นี่หล่อนเป็นใครห๊ะ? ใครกัน? ”
คามิโจล้างเหงื่อที่อยู่บนร่างกายไปในขณะที่พูด
“ ไม่นะ ไม่ใช่แบบนั้น ไอ้นี่น่ะ ไอ้นั่น เอ่อ จะอธิบายยังไงดีล่ะ...? ”
เขาจ้องไปที่ใบหน้าของอิทสึวะที่กำลังยืนแข็งอยู่ข้างๆ
“ ก็คือ เพราว่า “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ------ ”
“ อ๊ากกกกก!! ”
จู่ๆคามิโจก็แผดร้องออกมา ทำให้อิทสึวะตกใจจนพูดออกมาไม่ได้ จากนั้นคามิโจก็ใช้ข้อมือคล้องคอของอิทสึวะจากข้างหลัง และรีบเผ่นไปไกลๆจากอินเด็กซ์ จากนั้นเขาก็ทำการสนทนาแผนการรบอย่างเงียบๆ
“ ( ...คุณหญิงอิทสึวะครับ!! เรื่องนั้นน่ะ ช่วยเก็บเป็นความลับจากอินเด็กซ์ทีได้มั้ย!? ) ”
“ หวา หวา... ”
“ ( ...เป้าหมายอควาคือฉันคนเดียวนี่นา ถ้าหมอนั่นไม่ได้เล็งอินเด็กซ์ก็อย่าไปบอกเจ้าตัวเลย! เพราะถ้าเธอเผลอพูดอะไรไปแล้วอินเด็กซ์ไปยุ่งจนอันตรายขึ้นมา ก็แย่กันพอดี เธอก็คิดอย่างงั้นใช่มั้ยล่ะ? ) ”
“ หวาหวาหวาหวาหวาหวาหวาหวาหวาหวาหวาหวาหวา!? ”
“ ( ...อิทสึวะ ได้ยินฉันรึเปล่า? ) ”
“ ด-ได้ยินค่ะ!! ด-ด-ด-ได้ยินชัดเจนเลยค่ะ!! ”
มีเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้หน้าของอิทสึวะแดงไปหมด ระหว่างที่เธอผงกหัวขึ้นๆลงๆ
อึดอัดรึไงนะ? คามิโจดึงข้อมือที่คล้องคอของเธอไว้ออก แต่หลังจากนั้น อารมณ์เสียดายที่โผล่ขึ้นมาบนใบหน้าของเธอกลับทำให้คามิโจงงยิ่งขึ้นกว่า เดิมอีก
ในนาทีนั้นเอง
“ … ”
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่อินเด็กซ์ยอมเก็บอารมณ์โกรธไปทั้งหมด เธอแค่พึมพำว่า “ ...ช่างเถอะ ” แล้วก็กลับไปดูโทรทัศน์อีกครั้ง การกระทำแบบนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่มีคามิโจคนเดียวที่เหงื่อแตก เพราะว่าถ้าเป็นปกติ คุณอินเด็กซ์คนนี้น่าจะพุ่งเข้ามา “ ตาบ้า ตาบ้า! โทมะ อีตาบ้า! ” ไปแล้วนี่นา สถานการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อเขาช่วยเหลือเพื่อนร่วมชั้นของเขา ฮิเมกามิไว้ ตอนนี้ทั้งๆที่อยู่เฉยๆ แต่เขากลับรู้สึกถึงออร่าปริศนาที่ค่อยๆแผ่ตัวออกมาจากเธอได้ซะงั้น ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ? ทำไมอินเด็กซ์โมโหล่ะ? หลังจากที่คามิโจสั่นสะท้านไปซักพัก เขาก็ตัดสินใจคุกเข่าลงกับพื้น โขกหัวลงกับพื้นอยู่หลังอินเด็กซ์
“ ...เรื่องนี้น่ะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ก่อนที่เธอจะระเบิดช่วยกัดฉันก่อนทีได้มั้ย? ถ้าเธอได้ใช้พลังความโกรธไปซักนิดนึง คุณคามิโจก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่ากระโหลกจะโดนกัดแหลกเป็นชิ้นๆไปไงล่ะ ”
อิทสึวะจ้องไปที่พวกเขาทั้งสองคนที่ยังคงนิ่งไม่ขยับตัว โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี เธอรู้ดีว่าตามหน้าที่แล้วจะยอมอยู่เฉยๆไม่ได้ หลังจากมองไปรอบๆซักพัก เธอก็เห็นเจ้าแมวสามสีที่ทำการยืนยันกลิ่นเสร็จเรียบร้อยแล้วและยังคงติดตาม เธออยู่ใกล้ๆ
“ เอ่อ อ๊ะ จริงสิ! เจ้าเหมียว อยากจะได้นี่มั้ยจ๊ะ? ”
ดูเหมือนว่าเธอพยายามจะหาทางทำลายความอึดอัดนี้ อิทสึวะก็เลยเริ่มจะคุ้ยหาของในกระเป๋าลูกใหญ่ของเธอ ( เห? นี่เธอไม่น่าจะรู้ว่าบ้านคามิโจมีสัตว์เลี้ยงนี่นา...? ) แล้วจากนั้นก็ดึงเอากระป๋องสีทองอร่ามระดับสูงที่มีเขียนไว้ว่า “ สมาคมอาหารแมว : ระดับ 3 ดาว ” หลังจากที่เห็นกระป๋องนั่น เจ้าแมวสามสีก็สั่นสะท้านติดกับที่ทันที ดวงตาของมันเบิกโพลง หลังของมันตั้งชันขึ้น และทั้งๆที่อิทสึวะแกะฝากระป๋องแล้วยื่นให้ไปแล้ว เจ้าแมวก็ยังคงแสดงความรู้สึกว่า “ แหม คือว่า นี่ผมก็เป็นแค่แมวธรรมดาๆเอง --- นี่จะให้อาหารระดับนี้กับผมจริงๆเหรอ นย้า!? ”
คามิโจที่นั่งอยู่ข้างๆ บังเอิญเห็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของอิทสึวะได้พอดี
“ ...ทำไมกระเป๋าของอิทสึวะถึงมีเนื้อแล้วก็ผักอยู่ด้วยน่ะ? พวกอามาคุสะจำเป็นต้องใช้ไอ้นั่นมาประกอบคาถาด้วยเหรอ? ”
“ ไม่ใช่เลยค่ะ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่แบบนั้น ”
อิทสึวะตอบไประหว่างที่สะบัดมือไปมาหน้าตัวเธอ
“ ระหว่างมาที่นี่บังเอิญผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตน่ะค่ะ คือว่า ถ้าเป็นอาหารธรรมดาๆ ก็พอทำได้น่ะค่ะ ก็ถึงยังไง ฉันก็ยังเป็นบอดี้ การ์ดนี่นา จะมาดื่มกินที่นี่ฟรีๆได้ยังไงกัน ส่งหน้าที่ดูแลงานบ้านทั้งหมดมาให้ฉันจัดการได้เลยค่ะ จะสั่งอะไรก็ตามใจเลย ถ้าฉันทำได้นะคะ ”
ในนาทีนั้นเอง ที่คามิโจไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไร
หลังจากงงไปหลายวิ ในที่สุดสมองของเขาก็ตามที่อิทสึวะพูดทัน คราวนี้ เขาหันหน้าไปหาอินเด็กซ์อย่างไร้เสียง
“ อะ อะไรเล่า โทมะ ทำไมบรรยากาศของบ้านเปลี่ยนไปอะ? ”
“ ถามตัวเองสิฟะ จะอะไรก็ส่งให้คุณคามิโจจัดการหมดเลย ใครกันแน่นะที่ไม่ยอมช่วยชาวบ้านเขาเลยซักกะนิด? ”
“ อือ อืม ขอโทษนะ แต่...? อ๊ะ! นี่คิดจะเอามาเป็นข้ออ้างเปลี่ยนบรรยากาศสินะ...!? ”
ถึงอินเด็กซ์จะมองเห็นความตั้งใจจริงของคามิโจแล้ว แต่เมื่อกระแสไหลเวียนผ่านไปแล้ว การจะดึงมันกลับมาดังเดิมมันก็สายเกินไปซะงั้น คามิโจหันตัวไปแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว
“ งั้น เดี๋ยวจะบอกให้นะว่ากระทะอยู่ไหน ”
“ อ๊ะ ค่ะ ขอบคุณค่ะ ”
พวกเขาทั้งสองคนยังคงสนทนาต่อไป โดยที่เมินคุณแม่ชีสีขาวสนิท เธอคนนั้นทำได้แค่โยนคำถามที่ว่า “ ทำไมกลายเป็นแบบนี้อะ ” บ้างล่ะ “ เป็นงี้ตลอด นี่หมอนั่นคิดทำอะไรกันแน่นะ? ” อะไรพรรค์นั้นลงไปในถังขยะเท่านั้นเอง
( แต่ทำไมอิทสึวะที่ออกจะขี้อายถึงได้กระตือรือร้นอย่างงี้น้า!? งืมๆ เราจะไปอธิบายสิ่งที่ตัวเราเองก็ยังไม่รู้ได้ยังไงล่ะเนอะ? แต่ที่แน่ๆแบบนี้ต้องขอบคุณอิทสึวะแล้วล่ะ! เหอะเหอะ!! เจ๋งเป็นบ้าเลยที่หนีมาจากฝ่ามือของอินเด็กซ์ได้โดยที่ไม่ถูกกัด จะมีอะไรเจ๋งได้เท่า อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!! )
ในขณะที่คามิโจกำลังมีสุขอยู่กับชัยชนะนั้นเอง ที่เขาถูกอินเด็กซ์กัดตรงหลังศีรษะ และตอนนี้กำลังกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ในขณะนั้นอีก ที่เขาบังเอิญฟาดอาหารกระป๋องสำหรับแมวเวอร์ชั่นเดอร์ลักซ์หก “ น่าเสียดายเป็นบ้า! ช่วยไม่ได้แฮะ! จะกินให้หมดก็ได้!! ” แล้วจากนั้นเจ้าแมวสามสีก็เริ่มจะพุ่งทะยานเข้าหาอาหาร
อิทสึวะยิ้มไปด้วยระหว่างที่เดินเข้าไปในห้องครัว
สำหรับเธอ ฉากนี้คงจะเป็นฉากที่มีความสุขและสนุกสนาน แต่สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว มันเหมือนกับว่าเขากำลังเผชิญกับขอบนรกอยู่ยังไงยังงั้นเลยล่ะ
( มาคิดๆดูแล้ว... )
การแฝงตัวเข้าไปกับสภาพแวดล้อมได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นเป็นหนึ่งในความสามารถของอามาคุสะ คามิโจมองไปที่อิทสึวะ ที่ถูกทุกคนยอมรับอย่างปกติธรรมดา
ระหว่างที่เขากำลังถูกกัดอยู่ตรงหลังศีรษะ รอยฟันมนุษย์เต็มไปทั่วหัว และที่เขากำลังกองอยู่กับพื้นราวกับศพ ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงอาหารกำลังถูกคน แล้วจากนั้นก็นำไปทอด
( ...ภาพ ภาพผู้หญิงทำอาหาร )
ถึงจะดูงี่เง่า แต่น้ำตาก็ยังคงทะลักออกมาจากดวงตาของเขาไม่หยุด
“ เอ๋? ทำไมโทมะถึงทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นพวกแกะน้อยที่เพิ่งจะได้เห็นปาฏิหาริย์กันล่ะ? ”
ระหว่างที่อินเด็กซ์พูดแบบนั้น คามิโจก็กำลังรับรู้ถึงสัจธรรมที่แท้จริงราวกับว่ามีแม่ชีใจดีคนหนึ่งประทานมันมาให้
แต่ถ้าดูอิทสึวะทำอาหารให้แต่ตัวเองไม่ทำอะไรเลยแบบนี้มันอึดอัดใจ อย่างน้อยก็ทำความสะอาดห้องหน่อยดีกว่า คามิโจคิดอย่างจริงจัง
ในขณะเดียวกัน อินเด็กซ์ที่กำลังกัดศีรษะของคามิโจเพื่อคลายเครียดอยู่นั้น ก็ถูกกลิ่นอาหารยั่วยวนให้เข้าไปหาเหมือนกับปลาถูกยั่วยวนโดยเหยื่อล่อ แล้วเธอก็ค่อยๆคลานเข้าไปในห้องครัว
“ เฮ้ย! อย่าคิดว่าอยากกินตอนไหนก็กินได้เมื่อนั้นเซ่!! ”
“ ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ฉันทนไม่ไหวแล้วนี่นา ”
อิทสึวะสูญเสียตัวเองให้กับอาการท้องว่าง แล้วเริ่มเข้าไปกวนอิทสึวะ ที่กำลังทำอาหารอยู่ หลังจากเห็นอินเด็กซ์ทำแบบนั้น คามิโจ โทมะก็ลุกขึ้น แล้วจากนั้นก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมก่อนที่จะพุ่งเข้าไปรวบตัวอินเด็กซ์ รัดเอวของเธอด้วยสองมือแล้วลากเธอออกมาจากห้องครัว หลังจากนั้น ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าไปเรียนมาจากไหน แต่เขาก็สามารถใช่ท่าโยนนักยูโดมืออาชีพส่งอินเด็กซ์ลอยขึ้นไปบนเตียงได้ ระหว่างนั้นก็ตะโกนกร้าวไปด้วย
“ หยุดทำลายความฝันของเหล่าชายหนุ่มได้แล้ววววววววววววววววว!!!!! ”
“ หวาาาาา! โท-โทมะ นี่เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!? ”
ดวงตาของอินเด็กซ์หมุนวนไปตาเพราะความงุนงง หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของเธอ เจ้าแมวสามสีก็ถอยห่างออกไปอย่างหงุดหงิด
คามิโจไม่ตอบ เขาจับหัวของอินเด็กซ์ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วทำการหันมันไปทางห้องครัว
“ ดูซะ อินเด็กซ์!! นี่ล่ะคือวิธีที่เธอควรปฎิบัติตัวเมื่อมาอยู่ในบ้านคนอื่นเขา!! ”
“ โอ้ยโอ้ยโอ้ยโอ้ย!? ทำไมวันนี้โทมะแปลกๆไปล่ะเนี่ย!? ”
“ พอใจเย็นลงแล้วคิดๆดู ทำไมคนที่เอาแต่กิน นอน แล้วก็ดูทีวีมันต้องเป็นเธออยู่คนเดียวด้วยว้า!? จากวันนี้เป็นต้นไป เธอจะต้องทำงานล่ะ! เร็วเข้าเซ่ ไปหาฟองน้ำแล้วก็ผงซักฟอกมาซ้า ไปทำความสะอาดห้องน้ำเดี๋ยวนี้น้า!!!! ”
“ เอ๋? แต่ว่า “ เมจิคอล พาวเวอร์ คานามิน อินเทอร์จรัล ” กำลังจะเริ่มแล้ว ไม่ใช่เหรอ? ”
“ ดีมาก รีบไปทำงานได้แล้วววววววววววววว!!! ”
ทำไมอะ? ขณะที่อินเด็กซ์กำลังงุนงงอยู่นั้น เธอก็ถูกคามิโจโยนเข้าไปในห้องน้ำ ถ้าเห็นคนที่จริงจังอย่างอิทสึวะแล้ว ยัยนั่นก็น่าจะเปลี่ยนไปได้บ้างล่ะน่า แต่ก็นะ เจ้าพวกที่เคยอยู่กับเธอในอดีตก็มีแต่ เจ้านักบวชบ้าเปลวเพลิงที่ชอบสูบบุหรี่เป็นชีวิตจิตใจ กับสายสืบหลายด้านที่สามารถหัวเราะแบบเพี้ยนๆได้ทั้งปีนี่นา พอเอาไปเทียบกับพวกนั้นแล้ว ยัยนี่กลายเป็น “ คนธรรมดา ” ไปเลย แต่ถ้าคิดดีๆอีกทีแล้ว คนที่เหมาะกับคำว่ามนุษย์ธรรมดามากที่สุดก็คืออิทสึวะต่างหากเล่า
( งั้น มาทำความสะอาดห้องเหมือนกับคนที่จริงจังดีกว่าแฮะเรา )
ถึงคามิโจจะคิดแบบนั้น... แต่ถ้าเทียบกับอิทสึวะ ที่ทำกับข้าวเพื่อผู้อื่นแล้ว คามิโจก็แค่ทำความสะอาดห้องเอง แบบนี้จะไปเทียบกันได้ยังไง แต่ถึงยังไง มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยละน่า หลังจากสรุปแบบนั้น คามิโจก็เริ่มทำความสะอาดห้องที่เละเทะโดยการเก็บนิตยสารขึ้นมาเข้าที่
ในนาทีนั้นเอง
“ อะ-ไอ้กลิ่นญี่ปุ่นจ๋าแบบนี้นี่มันอะไร!? ”
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนของเด็กหญิงคนหนึ่ง แล้วหลังจากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงพลาสติกถูกดันแตกกระจุย คามิโจที่แตกตื่นรีบหันหน้าไปทางระเบียง และอิทสึวะที่กำลังช็อก ก็หยุดเคลื่อนไหวมือที่กำลังทำอาหารอยู่ ผู้ที่โผล่ออกมาก็คือ สึจิมิคาโดะ ไมกะที่ใส่ชุดเมด
ดูเหมือนว่าเธอจะทำลาย “ กรุณาอย่าทำลายป้ายกระดานนี้ที่ทำหน้าที่แยกห้องและระเีบียงออกจากกัน ยกเว้นกรณีมีเพลิงไหม้ ” มาอย่างไร้ซึ่งความลังเล จากนั้นก็บุกเข้ามาที่นี่
“ บ้าเอ้ย!! ทั้งๆที่เรารุกฆาตยัยอินเด็กซ์ไปแล้วแท้ๆ แต่กลับมีคนเพี้ยนโผล่มาอีกคนซะงั้นอ่ะ!! ”
ไมกะไม่สนใจคามิโจที่หงุดหงิดสุดขีด ในตอนนี้ ไมกะที่ปกติจะไม่แสดงถึงความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ กลับกำลังดูจริงจังสุดขีด ในขณะที่กำลังดมกลิ่นไปทางห้องครัว
“ ...ได้กลิ่นแล้ว ได้กลิ่นแล้ว... ซุปมิโสะนี่... เธอตากเนื้อแผ่นไว้เพื่อซ่อนกลิ่น แล้วค่อยเติมเข้าไปตอนที่บดเป็นชิ้นเล็กๆแล้ว ใช่มั้ย...? ”
“ รู้ได้ยังไงน่ะ!? ขนาดแม่ก็ยังไม่รู้เลยนะนั่น!! ”
อิทสึวะช็อกที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารมองทะลุได้ถึงมัน
นี่เธอเรียนรู้เทคนิคทำอาหารมาจากแม่เรอะ! แถมที่อยู่ข้างๆคามิโจ ก็ยังมีชามเล็กๆที่ไว้ใส่ซุปมิโสะ หลังจากตริตรองอยู่พักหนึ่ง อิทสึวะก็ดันชามนั่นเข้าหาเด็กหญิงชุดเมด
ไมกะรับชามมาด้วยท่าทีพริ้วสไว และดันจรดริมฝีปากของเธออย่างไร้เสียง หลังจากที่ดื่มมันลงไป แล้วหยุดไปซักพัก ----- อ๊ากกกกก!! ทันใดนั้น ดวงตาของเธอก็โบกโพลงไประหว่างที่ตะโกนกร้าว
ไหล่ของไมกะสั่นสะท้านไปด้วยระหว่างที่พูด
“ ยัย-ยัยนี่ ใช้ได้เลย... ”
“ อะไรนะ? ”
“ อ๊ากกกกก!! ได้ยังไง มันเป็นไปได้ยังไง!! ”
มีเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้ไมกะหมุนตัว 180 องศา แล้วเผ่นผ่านระเบียงไป วิ่งกลับไปที่ห้องข้างๆ
การสนทนาระหว่างสองพี่น้อง ดังมาผ่านทางหน้าต่างที่เปิดอยู่
“ หา เฮ้ย!? ทำไมทิ้งครีมตุ๋นของวันนี้ไปน่ะ นย้า!? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าวเย็นพี่ละเนี่ย!? ”
“ หุบปากนะ ไอ้เจ้าคนปวกเปียก!! อาหารรสเลิศขนาดนั้น ของแค่นี้ไม่มีทางเทียบติดได้อยู่แล้วล่ะ! เธอ เธอดูไว้ให้ดีล่ะ จากนี้ไป เดี๋ยวจะแสดงให้ดูเองว่าซุปมิโสะของจริงมันเป็นยังไง!! ”
“ เอ๋!? แต่ครีมตุ๋นก็โอเคนะ รู้มั้ย!? ” หลังจากได้ยินเสียงครางของเจ้าหนุ่มสายสืบผมบลอนด์ สวมแว่นตากันแดด ไหล่ของอิทสึวะก็สั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว
“ เสียง เสียง เสียงของคนเมื่อกี้นี้ เหมือนจะเคยได้ยินในอาวีญงนะคะ...? พูดก็พูดเถอะ เด็กคนนั้นเป็นใครกันนะ? ”
ฉันเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไปทำลายศักดิ์ศรีในฐานะเมดของยัยนั่นเข้าแล้ว เพราะงั้นก็เลยโดนมองว่าเป็นคู่แข่งกันไงล่ะ... คามิโจหยุด อิทสึวะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เขารู้สึกว่าไม่ควรจะให้เธอคุ้นเคยกับการกระทำของพวกคนเพี้ยนๆไว้จะดีกว่า
สำหรับคามิโจแล้ว สิ่งที่เขาคิดมีเพียงแค่นั้น
ถ้าเขาสามารถขอพรอะไรก็ได้จากพระเจ้าได้หนึ่งอย่าง เขาก็อยากจะขอให้เด็กหญิงคนนี้ไม่่กลายเป็นพวกเพี้ยนๆไปอีกคนซะละมั้ง
ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ใกล้ๆโรงหนังเล็กๆ ใกล้ๆนี้มีถนนทางเดินอยู่ และที่ทางเข้าโรงหนัง ก็มีร้านขายล็อตเตอร์รี่ถูกตั้งอยู่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นจุดบังระยะสายตาได้ดี ทั้งๆที่ที่นี่สมควรจะเป็นสถานที่ที่มีคนชุกชุมแท้ๆ แต่กลับเหนือคาด ที่มีไม่กี่คนจะสังเกตเห็นที่นี่ -- ช่างเป็นที่ที่น่าทึ่งซะจริงๆ
หลังจากแสดงท่าทางเซ็งๆแล้วถือกล่องส่องทางไกลไว้ด้วยมือเดียว ทาเทมิยะที่ย่นตาลงเหมือนกับคนขี้เซาก็พูดขึ้นเงียบๆ
“ ...น่าเบื่อเป็นบ้า ”
หลังจากได้ยินความคิดเห็นนั่น ชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างๆเขา อุชิบุกะ ซึ่งกำลังแสร้งทำเป็นอ่านนิตยสารอยู่ ก็ผงกหัวเห็นด้วย
“ ยัยอิทสึวะนั่น... พูดเรื่องงานอยู่นั่นแหละ นี่ไม่คิดจะเริ่มโจมตีเลยรึไง ”
“ เออสิ ทั้งๆที่เราให้โอกาสอันสมบูรณ์แบบให้สามารถเข้าใกล้คามิโจ โทมะได้ไปแล้วแท้ๆ แต่นี่ไม่ได้เผยเนื้อเผยตัวหน่อยเลยเรอะ ดูเหมือนว่ายัยนั่นจะลืมไปแล้วว่าอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนร่างกายของตัวเอง น่ะคืออะไร ”
“ แล้วอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนร่างกายของอิทสึวะนั่น มันคืออะไรอะครับ? ” เจ้าหนุ่มตัวผอมสูง โคยากิ ถามในขณะที่ยัดป๊อปคอร์นเข้าปาก
ทาเทมิยะรีบรื้อหาของในกระเป๋าที่ถูกโยนไว้ข้างตัว แล้วจากนั้นก็ดึงเอากระดานไวท์บอร์ดที่มักจะใช้กันในรายการตอบคำถามออกมา เขาใช้มาร์คเกอร์สีดำเขียนไปตามกระดาน
หลังจากนั้น เขาก็เขียนคำตอบที่ถูกต้องไว้บนกระดานไวท์บอร์ด แล้วจึงแสดงให้ทุกคนดู
“ --ใช่แล้ว นั่นก็คือ “ หน้าอกลับอันมหึมาของอิทสึวะ ” ยังไงเล่าโว้ย!! ” ทาเทมิยะเบิกตากว้างไประหว่างที่พูด
ข้างๆ อุชิบุกะ และโคยากิ กลุ่มชายล้วน ที่รวมชายวัยกลางคน อิซาฮายะ และผู้ที่ได้แต่งงานไปแล้วเรียบร้อย โนโมซากิ รีบวิ่งเข้ามารวมตัวกันหน้าทาเทมิยะ
“ ทำไมถึงได้ตั้งข้อสันนิษฐานแบบนั้นล่ะครับ พระสันตะปาปา!? ”
“ พูดบ้าอะไรของเอ็งฟะ... ชั้นไม่เชื่อไอ้การคาดคะเนมั่งซั่วของเอ็งหรอกเฟ้ย ไอ้เวร!! ”
เหล่าชายชาตรีต่างตื่นเต้นจนควันออกจมูก และทาเทมิยะก็ลากมาร์คเกอร์สีดำไปตามไวท์บอร์ดอีกครั้ง
“ จากการวัดค่าระดับของอิทสึวะแล้ว สรุปผลออกมาได้ว่าเธอมีค่าความปวดไหล่อยู่ถึง 40 หน่วย แต่ถ้าเอาพละกำลังทางด้านร่างกาย ระยะเวลาการทำกิจกรรม เสื้อผ้า เครื่องประดับ และทุกอย่างที่มี มารวมกันทั้งหมด ค่าความปวดไหล่ของเธอมันก็ไม่น่าจะเกิน 37 หน่วยไปได้เลยแท้ๆ ”
“ ถ้างั้น ก็หมายความว่า... ”
กลุ่มชายล้วนต่างก็ฝืนกลืนน้ำลายลงคอไป
ทาเทมิยะผงกหัวร่วมด้วยอย่างจริงจัง เขารวบรวมพลังงานทั้งหมดไว้ในท้องน้อยก่อนที่จะทำการป่าวประกาศด้วยเสียงอันแหลมคม
“ ใช่ ค่าความปวดไหล่มันหายไป “ 3 ” นั่นล่ะคือหลักฐานที่ดีที่สุดที่บ่งบอกว่าอิทสึวะ มีหน้าอกลับใหญ่ขั้นเทพยังไงเล่า!! ”
เพราะความจริงอันน่าตื่นตระหนกที่เขียนอยู่บนไวท์บอร์ด ทำให้อุชิบุกะ และโคยากิ เป็นลมล้มพับไปทันที อิซาฮายะ ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีแล้ว ดูเหมือนจะมีความสุขที่เห็นหลานสาวของเขาเติบโตขึ้น ส่วนโนโมซากินั้น กำลังพึมพำกับตัวเองว่าหน้าอกของยัยนั่นน่าจะเล็กกว่านั้นนา แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าสร้อยและผิดหวังไปด้วย
ผู้หญิงผมบลอนด์ สึชิมะ ที่ยืนอยู่ไกลออกไปเล็กน้อย มองไปที่เหล่าเจ้าพวกบ้าทั้งหลาย จากนั้นก็ถอนหายใจ
“ ...หยุดพูดอะไรปัญญาอ่อนได้แล้วน่า จับตาดูคนที่เราต้องป้องปกป้องหน่อยสิ ”
ทา เทมิยะ และเหล่าผู้ชายคนอื่นๆ รู้สึกเหมือนโดนเตะกระเด็นลงแม่น้ำ พวกเขาจึงมองไปที่ร่างกายของสึชิมะ ที่มีส่วนสูงไม่สมส่วนกับขนาดหน้าอก ด้วยสายตาสงสาร
“ ก็ของรุ่นพี่สึชิมะ มันแค่นั้นเองนี่นา อย่าพูดอะไรมากเลยดีกว่าครับ ”
“ อะไรนะ!? ”
“ หลักการก็คือ คนตัวสูงจะมีหน้าอกใหญ่ ส่วนคนตัวเตี้ยจะมีหน้าอกเล็ก ที่เป็นแบบนี้ ก็เพราะว่าสึชิมะมีลักษณะไม่ตรงตามนั้นยังไงล่ะ ”
ข้างๆสึชิมะ ที่พูดอะไรไม่ออก ทาเทมิยะกำลังดึงเอาไวท์บอร์ดอันใหม่ออกมา แล้วก็เขียนมาร์คเกอร์สีดำลงไป
“ เฮ่ยๆๆๆ นี่พวกนายไม่รู้จริงๆรึ ---- “ เกี่ยวกับ “ ต้นขานางงามของสึชิมะ ” น่ะ!! ”
ทุกคนยังไม่มันรู้ว่าตัวแทนพระสังฆราชสูงสุดจะพูดอะไร สึชิมะก็ซัดลูกเตะเข้าไปตรงระหว่างขา เพื่อทำให้เขาเงียบปากไปก่อนแล้ว
ดูเหมือนว่าพวกผู้ชายจะหมดความสนใจในตัวสึชิมะแล้ว เพราะว่าพวกเขาเริ่มจะทำเป็นไม่สนใจ แล้วหันไปดูอิทสึวะต่อ
“ แต่จะไม่เป็นไรจริงๆรึ? ดูเหมือนว่ายัยอิทสึวะจะคิดวิธีอะไรอื่นนอกจากกลยุทธ์ผ้ากันเปื้อนเปียกไม่ออกเลยนะเนี่ย ”
“ อิทสึวะเอื่อยเฉื่อยเกินไปจริงๆนั่นแหละ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่มีทางปีนผ่าอุปสรรคตรงหน้าไปได้แน่ๆ... ” อิซาฮายะ ที่มีอายุมากกว่าครึ่งศตวรรษ พูดไประหว่างที่กัดฟันสุดแรงเกิด
ในนาทีนั้นเอง ที่ทาเทมิยะซึ่งมีหยาดน้ำตาไหลปกคลุมทั่วดวงตา พุ่งเข้ามาสอดกลางการสนทนาอีกครั้งหนึ่ง
“ ใช่แล้ว เพื่อที่จะให้อิทสึวะใช้ประโยชน์จากผลส้มลูกใหญ่มหึมาของเธอนั่นให้ได้มาก ที่สุด เราจะยอมให้มันดำเนินต่อไปทั้งๆอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด ”
“ เอ๋...? ผลส้มลูกใหญ่มหึมาเรอะ!? ฉันว่าลูกแอปเปิ้ลยักษ์มากกว่านะเฮ้ย!! ”
ข้างๆอุชิบุกะ ที่กำลังแตกตื่น โคยากิถามขึ้นมา
“ แต่ว่านะครับ ตัวแทนพระสังฆราชสูงสุด ถึงพวกเราจะวางแผนอะไรต่อมันก็ไร้ประโยชน์ไปแล้วนี่ครับ? อิทสึวะก็เติบโตช้าซะด้วย ”
“ ฮืมๆ ก็เพราะงั้นแหละที่ฉันต้องเตรียมแผนการตอบโต้มา ”
ทาเทมิยะฉีกยิ้มชั่วร้ายออกมา ระหว่างที่ดึงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าใบสวยอีกครั้ง
“ ลูกฟุตบอลเหรอ? ”
“ นักเตะฝีเท้าเฉียบคม ทาเทมิยะ ไซจิ จะทำการเปิดการแข่งฟรีคิกล่ะนะ ”
เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมานี้ ทำให้มิซากะ มิโคโตะ กำลังอยู่ในสภาพงุนงงสุดขีด
ตั้งแต่ที่เธอได้รู้ถึง “ อะไรบางอย่าง ” ที่เกี่ยวข้องกับคามิโจ โทมะ เธอก็อยู่ในสภาพนี้มาตั้งแต่นั้น แต่ถึงเธอจะคิดเกี่ยวกับมันซักเท่าไหร่ ปัญหานั่นก็จะยังคงอยู่ ถึงเธอจะเสียเวลาไปกับมันซักเท่าไหร่ ปัญหานั่นก็จะยังคงอยู่ ก็เหมือนกับไปถามหาคำตอบจากคนที่ตอบไม่ได้นั่นแหละ ถึงจะคิดซักเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ไม่มีทางเจอคำตอบ
( อย่างที่คิดเลย ไม่ใช่บลั๊ฟจริงๆ ซะด้วย )
อะไรบางอย่าง
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ... การสูญเสียความทรงจำ
ทั้งๆที่มันเป็นแค่ประโยคๆหนึ่งที่มีตัวอักษรอยู่ไม่กี่ตัว แต่มันกลับสามารถทำให้หัวใจของมิโคโตะสั่นคลอนได้
( แต่ว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ...? )
เธอไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกในวันที่ 30 กันยายนเลย และระหว่างการแข่งขันในไดฮาเสะไซก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน มีอะไรเกิดขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคมรึเปล่านะ? หรือว่ามันเกิดขึ้นระหว่างที่เขาได้เผชิญหน้ากับพวก SISTERS และแอคเซลาเลเตอร์กันแน่?
“ … ”
เธอคิดไม่ตก
ถึงใครๆจะคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นใกล้ชิดกับเธอ แต่ก็มีเรื่องหลายเรื่องที่เธอไม่รู้
( ก็รู้อยู่หรอกว่าถึงจะกังวลไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา )
เขากลายเป็นแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาสูญเสียความทรงจำไปมากเท่าไหร่? มันส่งผลกระทบกับชีวิตของเขารึเปล่า? เขาให้หมอตรวจอาการดูบ้างรึเปล่า? ไม่มีวิธีรักษาเลยรึ?
แล้วก็
ความทรงจำของเขาที่เกี่ยวกับเธอหายไปเท่าไหร่กัน?
( จะขอให้คนที่เก่งทางด้านควบคุมจิตใจมาช่วยก็ได้ แต่ก็... )
ในโรงเรียนมัธยมต้นโทคิวะได ยังมีเลเวล 5 อยู่อีกหนึ่งคน ถ้าเป็นเรื่องของการควบคุมจิตใจล่ะก็ เธอเป็นอันดับหนึ่งในเมืองแห่งการศึกษา -- ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เธอเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านการควบคุมจิตใจ การอ่านใจผู้อื่น เปลี่ยนลักษณะนิสัยของผู้อื่น ทำการสนทนากับผู้ที่อยู่ไกลออกไป ทำลายความทรงจำและกำลังใจ เปิดเผยความรู้สึกและส่งมันต่อไป... ไม่ว่าจะเป็นปรากฎการณ์ทางด้านจิตใจแบบไหน เธอก็สามารถควบคุมมัันได้ทั้งหมด เหมือนกับสวิซไนฟ์นั่นแหละ เธอเป็นเอสเปอร์ที่สามารถทำอะไรได้มากมายหลายอย่าง
“ แต่ไม่อยากจะไปง้อยัยนั่นเลย... ”
เธอจงใจพูดออกมาดังๆ
ซึ่งก็หมายความว่า มิโคโตะไม่อยากจะต่อกรกับเอสเปอร์ “ คนนั้น ” จริงๆ
ไม่เหมือนกับมิโคโตะ ที่ไม่ได้สังกัดอยู่ในกลุ่มใดๆ เธอคนนั้นได้รับฉายาว่าราชินีแห่งเหล่าคุณหนู เป็นผู้นำของกลุ่มผู้หญิงที่ใหญ่โตที่สุดในโรงเรียนมัธยมต้นโทคิวะได เห็นๆกันอยู่แล้วว่าพวกเธอทั้งสองคนเทียบกันไม่ได้เลย ถ้ามิโคโตะร้องขอให้เธอช่วย สุดท้ายมันก็จบลงด้วยการที่มิโคโตะ “ ติดหนี้ ” เธอคนนั้น... และในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เธอก็อาจจะทำอะไรที่ไม่จำเป็นกับเขาระหว่างการรักษาก็ได้ พูดตรงๆก็คือ ความเชื่อมั่นของเธอไม่ได้สูงพอจะให้เพื่อนไปตกอยู่ในมือของผู้หญิงคนนั้น ได้
เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่ควรจะทำแบบนั้น
ยังไงก็ตาม มิโคโตะก็ไม่คิดจะให้เอสเปอร์คนอื่นมาจัดการปัญหานี้ตั้งแต่แรกแล้ว
( ถึงเราจะรู้ว่านี่เป็นปัญหาส่วนตัวของตาบ้านั่นก็เถอะ แต่ถ้าจะให้ทำเป็นไม่สนใจเลยแบบนั้น จะไปทำได้ยังไงกันเล่า เราไม่ใช่พวกที่จะไม่เป็นห่วงคนอื่นนะ )
แล้วทำไมเขาถึงไม่มาปรึกษาเธอล่ะ? นี่เขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปถึงเมื่อไหร่? เมื่อคิดถึงคำถามต่างๆนาๆเหล่านั้น มิโคโตะก็ทำอะไรอื่นไม่ได้นอกจากกัดฟันแน่น ที่สำคัญ ตัวคามิโจ โทมะเองยังคงไม่รู้ว่ามิโคโตะรู้ถึงปัญหาของเขาแล้ว และก็ดูไม่เหมือนกับว่าเขาอยากให้เธอรู้ด้วย ถ้าเธอนำเรื่องนี้ไปถามเขาตรงๆ... ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาคงจะรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน
แล้วเธอจะทำยังไงล่ะ?
มีอะไรที่เธอสามารถทำได้บ้างรึเปล่า?
( อ๊า!! บ้าที่สุด ทำไมเราต้องมากังวลกับปัญหาของตาบ้านั่นด้วยเนี่ย!? กังวลจนสมองจะพังแล้วเนี่ย แต่ยังไงก็หยุดกังวลไม่ได้อ่า! คิดอย่างสงบสติอีกทีดีกว่าแฮะเรา )
เธออยากจะพูดแบบนั้น แต่ถ้าเธอสามารถทนความรู้สึกนั้นได้ง่ายๆ เธอก็คงจะไม่สบายใจแบบนี้หรอก
หลังจากคิดไปทั้งหมด มิโคโตะก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ในนาทีนั้นเอง
“ …? ”
เธอบังเอิญเห็นกลุ่มคนน่าสงสัยอยู่ข้างๆโรงหนังเล็กๆเข้าพอดี
ชายร่างใหญ่วางลูกฟุตบอลลงกับพื้น เขามีผมสีดำที่ส่องประกายราวกับตัวด้วง และหลังจากที่ผงกหัวให้เหล่าคนรอบๆตัว เขาก็วิ่งไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะเตะลูกบอลไปอย่างรุนแรง
ลูกบอลที่ถูกเตะอย่างรุนแรงนั้น ลอยคว้างไปมาอย่างน่าหวาดseo ก่อนที่จะทำการเลี้ยวเป็นวง ถ้านี่เป็นการแข่งขันจริงๆ ลูกเตะฟรีคิกนี่จะต้องพุ่งผ่านกำแพงป้องกันของผู้รักษาประตู และเข้าโกลด์ได้แน่นอน
มาทำอะไรกันบนถนนเนี่ย? ดวงตาของมิโคโตะหันไปมองทางจุดหมายของลูกฟุตบอล
ในนาทีนั้นเอง ที่เธอเกิดอาการอึ้งขึ้นมา
* เปรี้ยง!! * ข้างหัวของคามิโจ โทมะกระแทกเข้ากับลูกฟุตบอลอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นออกมา
คงจะเป็นเพราะแรงกระแทกจากลูกฟุตบอล ทำให้หัวของคามิโจฝังลึกลงไปในหน้าอกของเด็กหญิงที่เดินอยู่เคียงข้างเขา
ดูเหมือนว่าแรงกระแทกที่ได้รับนั้นจะรุนแรงมาก ถึงได้ทำให้หัวของคามิโจยึดติดอยู่กับหน้าอกของเธอซักพัก เด็กหญิงคนนั้นลนลานทำอะไรไม่ถูก แล้วก็หน้าแดงก่อนจะลูบลงไปบนหัวของเขาที่โดนกระแทก ไอ้การกระทำทั้งหมดนั่นมันทำให้รู้สึกว่าเธอกำลังผลักหัวของคามิโจเข้าไปลึก ขึ้นยังไงยังงั้นแหละ
ก็เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตานี้เอง มิโคโตะเลยอึ้งจนพูดอะไรไม่ถูก ในนาทีนั้น เสียงตะโกน “ บราโว! ” ก็ดังออกมา พอมองไปที่ต้นเสียง ก็เห็นว่าเจ้าคนที่เตะฟรีคิกและพวกคนรอบๆตัวกำลังให้คะแนน 5 แต้มกับกันและกันอยู่อย่างมีความสุข
* เปรี้ยะ เปรี้ยะ * มีใครคนหนึ่งได้ยินเสียงไฟฟ้าไหลรั่วออกมา
หลังจากรู้ว่ามันคือกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่หลุดออกมาจากร่างกายของเธอ มิโคโตะก็ระเบิดออก
“ แค่นี้ก็มีปัญหามากพอแล้ว... แล้วนี่ยังจะยัดปัญหามาให้อีกเรอะ เจ้าพวกบ้าเอ้ย!!! ”
หอกยาวที่ถูกสร้างขึ้นมาจากสายฟ้าพุ่งออกมาจากหน้าผากของมิโคโตะ หลังจากสังเกตเห็น เจ้าหนุ่มผมด้วงและพวกพ้องก็เปิดเกียร์เผ่นไป ในนาทีถัดมา เจ้าพวกนั้นก็หายไปแบบไร้ร่องรอยแล้ว เหมือนกับกิ้งก่า พวกนั้นกำลังผสมเข้าไปในหมู่ผู้คน ทำแบบนั้นมิโคโตะไม่มีทางหาเจอได้แน่ มิโคโตะรู้สึกทึ่งขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ถึงจะสูญเสียเป้าหมายไปแล้ว ความโกรธของเธอก็ยังไม่ได้หลุดออกไป
อีกอย่าง เจ้าคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด เจ้าหนุ่มผมเม่นก็ยังคงฝังหน้าอยู่ในหน้าอกของเด็กหญิงคนนั้นอยู่ แถมยังส่งเสียงคราง “ อือออ... ” เหมือนกับกำลังจะพูดะไรอีกต่างหาก ดูเหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังง่วงและงงๆกำลังจับส่วนๆหนึ่งของร่างกายผู้หญิง ยังไงยังงั้นแหละ
“ ตาบ้านั่น... นี่จะตะลึงกับกายวิภาคศาสตร์ของผู้หญิงไปถึงเมื่อไหร่ห๊า!?!?!? ”
มิโคโตะตะโกนออกมา และพุ่งไปหาคามิโจ ผู้ซึ่งสมควรจะถูกลงทัณฑ์ อย่างทันที
เป็นวันที่มีแต่ความซวยจริงๆ
คามิโจ โทมะถอนหายใจอย่างหนักหน่วง หลังจากที่จู่ๆก็โดนลูกฟุตบอลอัด เขาก็ถูกไล่ล่าไปเรื่อยๆจากการโจมตีด้วยสายฟ้าของมิโคโตะ เพื่อที่จะทำตามหน้าที่ของเธอ อิทสึวะก็เลยเริ่มทำการประกอบหอก และเพื่อที่จะหยุดอิทสึวะ คามิโจก็เลยพุ่งเข้าไปกอดเธอไว้ แต่เพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้มิโคโตะเกิดโมโหขึ้นมาอีกรอบ ฉะนั้น เพื่อที่จะหนีจากสายฟ้าฟาด เขาจึงต้องวิ่งหนีไปทั่วเมืองแห่งการศึกษา ถ้าดูจากระยะการวิ่งแล้ว ก็คงจะไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเกิดอ้วนหรือป่วยขึ้นมากระทันหันเลยแม้แต่นิด เดียว
และตอนนี้ ก็กำลังมีปัญหาใหม่อยู่ตรงหน้าเขา
ใช่แล้ว นี่นี่แหละที่เป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากที่สุด
“ ...อ๊ะ โทมะ ทำไมคนจากอามาคุสะถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? ”
เชคพอยท์ที่อันตรายที่สุดของวันนี้
เมื่อประตูของหอพักถูกเปิดออก ประโยคนี้ของอินเด็กซ์ก็พุ่งมากระแทกคามิโจจนเหงื่อแตกพลั่กทันที ดูเหมือนว่าอินเด็กซ์เตรียมพร้อมจะทำการกัดคนแล้ว เนื่องจากเธอแยกเขี้ยวใส่เขาไม่หยุด แค่เห็นเขี้ยวอย่างเดียว คามิโจก็เกิดอาการขวัญผวาขึ้นมาแล้ว
และในขณะนั้น เจ้าแมวสามสีของอินเด็กซ์ก็กำลังเดินป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆตัวอิทสึวะ ดูเหมือนว่ามันกำลังดมกลิ่นเธออยู่ และกำลังถามว่า “ นี่หล่อนเป็นใครห๊ะ? ใครกัน? ”
คามิโจล้างเหงื่อที่อยู่บนร่างกายไปในขณะที่พูด
“ ไม่นะ ไม่ใช่แบบนั้น ไอ้นี่น่ะ ไอ้นั่น เอ่อ จะอธิบายยังไงดีล่ะ...? ”
เขาจ้องไปที่ใบหน้าของอิทสึวะที่กำลังยืนแข็งอยู่ข้างๆ
“ ก็คือ เพราว่า “ ที่นั่งเบื้องขวาของพระเจ้า ” ------ ”
“ อ๊ากกกกก!! ”
จู่ๆคามิโจก็แผดร้องออกมา ทำให้อิทสึวะตกใจจนพูดออกมาไม่ได้ จากนั้นคามิโจก็ใช้ข้อมือคล้องคอของอิทสึวะจากข้างหลัง และรีบเผ่นไปไกลๆจากอินเด็กซ์ จากนั้นเขาก็ทำการสนทนาแผนการรบอย่างเงียบๆ
“ ( ...คุณหญิงอิทสึวะครับ!! เรื่องนั้นน่ะ ช่วยเก็บเป็นความลับจากอินเด็กซ์ทีได้มั้ย!? ) ”
“ หวา หวา... ”
“ ( ...เป้าหมายอควาคือฉันคนเดียวนี่นา ถ้าหมอนั่นไม่ได้เล็งอินเด็กซ์ก็อย่าไปบอกเจ้าตัวเลย! เพราะถ้าเธอเผลอพูดอะไรไปแล้วอินเด็กซ์ไปยุ่งจนอันตรายขึ้นมา ก็แย่กันพอดี เธอก็คิดอย่างงั้นใช่มั้ยล่ะ? ) ”
“ หวาหวาหวาหวาหวาหวาหวาหวาหวาหวาหวาหวาหวา!? ”
“ ( ...อิทสึวะ ได้ยินฉันรึเปล่า? ) ”
“ ด-ได้ยินค่ะ!! ด-ด-ด-ได้ยินชัดเจนเลยค่ะ!! ”
มีเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้หน้าของอิทสึวะแดงไปหมด ระหว่างที่เธอผงกหัวขึ้นๆลงๆ
อึดอัดรึไงนะ? คามิโจดึงข้อมือที่คล้องคอของเธอไว้ออก แต่หลังจากนั้น อารมณ์เสียดายที่โผล่ขึ้นมาบนใบหน้าของเธอกลับทำให้คามิโจงงยิ่งขึ้นกว่า เดิมอีก
ในนาทีนั้นเอง
“ … ”
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่อินเด็กซ์ยอมเก็บอารมณ์โกรธไปทั้งหมด เธอแค่พึมพำว่า “ ...ช่างเถอะ ” แล้วก็กลับไปดูโทรทัศน์อีกครั้ง การกระทำแบบนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่มีคามิโจคนเดียวที่เหงื่อแตก เพราะว่าถ้าเป็นปกติ คุณอินเด็กซ์คนนี้น่าจะพุ่งเข้ามา “ ตาบ้า ตาบ้า! โทมะ อีตาบ้า! ” ไปแล้วนี่นา สถานการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อเขาช่วยเหลือเพื่อนร่วมชั้นของเขา ฮิเมกามิไว้ ตอนนี้ทั้งๆที่อยู่เฉยๆ แต่เขากลับรู้สึกถึงออร่าปริศนาที่ค่อยๆแผ่ตัวออกมาจากเธอได้ซะงั้น ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ? ทำไมอินเด็กซ์โมโหล่ะ? หลังจากที่คามิโจสั่นสะท้านไปซักพัก เขาก็ตัดสินใจคุกเข่าลงกับพื้น โขกหัวลงกับพื้นอยู่หลังอินเด็กซ์
“ ...เรื่องนี้น่ะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ก่อนที่เธอจะระเบิดช่วยกัดฉันก่อนทีได้มั้ย? ถ้าเธอได้ใช้พลังความโกรธไปซักนิดนึง คุณคามิโจก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่ากระโหลกจะโดนกัดแหลกเป็นชิ้นๆไปไงล่ะ ”
อิทสึวะจ้องไปที่พวกเขาทั้งสองคนที่ยังคงนิ่งไม่ขยับตัว โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี เธอรู้ดีว่าตามหน้าที่แล้วจะยอมอยู่เฉยๆไม่ได้ หลังจากมองไปรอบๆซักพัก เธอก็เห็นเจ้าแมวสามสีที่ทำการยืนยันกลิ่นเสร็จเรียบร้อยแล้วและยังคงติดตาม เธออยู่ใกล้ๆ
“ เอ่อ อ๊ะ จริงสิ! เจ้าเหมียว อยากจะได้นี่มั้ยจ๊ะ? ”
ดูเหมือนว่าเธอพยายามจะหาทางทำลายความอึดอัดนี้ อิทสึวะก็เลยเริ่มจะคุ้ยหาของในกระเป๋าลูกใหญ่ของเธอ ( เห? นี่เธอไม่น่าจะรู้ว่าบ้านคามิโจมีสัตว์เลี้ยงนี่นา...? ) แล้วจากนั้นก็ดึงเอากระป๋องสีทองอร่ามระดับสูงที่มีเขียนไว้ว่า “ สมาคมอาหารแมว : ระดับ 3 ดาว ” หลังจากที่เห็นกระป๋องนั่น เจ้าแมวสามสีก็สั่นสะท้านติดกับที่ทันที ดวงตาของมันเบิกโพลง หลังของมันตั้งชันขึ้น และทั้งๆที่อิทสึวะแกะฝากระป๋องแล้วยื่นให้ไปแล้ว เจ้าแมวก็ยังคงแสดงความรู้สึกว่า “ แหม คือว่า นี่ผมก็เป็นแค่แมวธรรมดาๆเอง --- นี่จะให้อาหารระดับนี้กับผมจริงๆเหรอ นย้า!? ”
คามิโจที่นั่งอยู่ข้างๆ บังเอิญเห็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของอิทสึวะได้พอดี
“ ...ทำไมกระเป๋าของอิทสึวะถึงมีเนื้อแล้วก็ผักอยู่ด้วยน่ะ? พวกอามาคุสะจำเป็นต้องใช้ไอ้นั่นมาประกอบคาถาด้วยเหรอ? ”
“ ไม่ใช่เลยค่ะ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่แบบนั้น ”
อิทสึวะตอบไประหว่างที่สะบัดมือไปมาหน้าตัวเธอ
“ ระหว่างมาที่นี่บังเอิญผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตน่ะค่ะ คือว่า ถ้าเป็นอาหารธรรมดาๆ ก็พอทำได้น่ะค่ะ ก็ถึงยังไง ฉันก็ยังเป็นบอดี้ การ์ดนี่นา จะมาดื่มกินที่นี่ฟรีๆได้ยังไงกัน ส่งหน้าที่ดูแลงานบ้านทั้งหมดมาให้ฉันจัดการได้เลยค่ะ จะสั่งอะไรก็ตามใจเลย ถ้าฉันทำได้นะคะ ”
ในนาทีนั้นเอง ที่คามิโจไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไร
หลังจากงงไปหลายวิ ในที่สุดสมองของเขาก็ตามที่อิทสึวะพูดทัน คราวนี้ เขาหันหน้าไปหาอินเด็กซ์อย่างไร้เสียง
“ อะ อะไรเล่า โทมะ ทำไมบรรยากาศของบ้านเปลี่ยนไปอะ? ”
“ ถามตัวเองสิฟะ จะอะไรก็ส่งให้คุณคามิโจจัดการหมดเลย ใครกันแน่นะที่ไม่ยอมช่วยชาวบ้านเขาเลยซักกะนิด? ”
“ อือ อืม ขอโทษนะ แต่...? อ๊ะ! นี่คิดจะเอามาเป็นข้ออ้างเปลี่ยนบรรยากาศสินะ...!? ”
ถึงอินเด็กซ์จะมองเห็นความตั้งใจจริงของคามิโจแล้ว แต่เมื่อกระแสไหลเวียนผ่านไปแล้ว การจะดึงมันกลับมาดังเดิมมันก็สายเกินไปซะงั้น คามิโจหันตัวไปแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว
“ งั้น เดี๋ยวจะบอกให้นะว่ากระทะอยู่ไหน ”
“ อ๊ะ ค่ะ ขอบคุณค่ะ ”
พวกเขาทั้งสองคนยังคงสนทนาต่อไป โดยที่เมินคุณแม่ชีสีขาวสนิท เธอคนนั้นทำได้แค่โยนคำถามที่ว่า “ ทำไมกลายเป็นแบบนี้อะ ” บ้างล่ะ “ เป็นงี้ตลอด นี่หมอนั่นคิดทำอะไรกันแน่นะ? ” อะไรพรรค์นั้นลงไปในถังขยะเท่านั้นเอง
( แต่ทำไมอิทสึวะที่ออกจะขี้อายถึงได้กระตือรือร้นอย่างงี้น้า!? งืมๆ เราจะไปอธิบายสิ่งที่ตัวเราเองก็ยังไม่รู้ได้ยังไงล่ะเนอะ? แต่ที่แน่ๆแบบนี้ต้องขอบคุณอิทสึวะแล้วล่ะ! เหอะเหอะ!! เจ๋งเป็นบ้าเลยที่หนีมาจากฝ่ามือของอินเด็กซ์ได้โดยที่ไม่ถูกกัด จะมีอะไรเจ๋งได้เท่า อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!! )
ในขณะที่คามิโจกำลังมีสุขอยู่กับชัยชนะนั้นเอง ที่เขาถูกอินเด็กซ์กัดตรงหลังศีรษะ และตอนนี้กำลังกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ในขณะนั้นอีก ที่เขาบังเอิญฟาดอาหารกระป๋องสำหรับแมวเวอร์ชั่นเดอร์ลักซ์หก “ น่าเสียดายเป็นบ้า! ช่วยไม่ได้แฮะ! จะกินให้หมดก็ได้!! ” แล้วจากนั้นเจ้าแมวสามสีก็เริ่มจะพุ่งทะยานเข้าหาอาหาร
อิทสึวะยิ้มไปด้วยระหว่างที่เดินเข้าไปในห้องครัว
สำหรับเธอ ฉากนี้คงจะเป็นฉากที่มีความสุขและสนุกสนาน แต่สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว มันเหมือนกับว่าเขากำลังเผชิญกับขอบนรกอยู่ยังไงยังงั้นเลยล่ะ
( มาคิดๆดูแล้ว... )
การแฝงตัวเข้าไปกับสภาพแวดล้อมได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นเป็นหนึ่งในความสามารถของอามาคุสะ คามิโจมองไปที่อิทสึวะ ที่ถูกทุกคนยอมรับอย่างปกติธรรมดา
ระหว่างที่เขากำลังถูกกัดอยู่ตรงหลังศีรษะ รอยฟันมนุษย์เต็มไปทั่วหัว และที่เขากำลังกองอยู่กับพื้นราวกับศพ ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงอาหารกำลังถูกคน แล้วจากนั้นก็นำไปทอด
( ...ภาพ ภาพผู้หญิงทำอาหาร )
ถึงจะดูงี่เง่า แต่น้ำตาก็ยังคงทะลักออกมาจากดวงตาของเขาไม่หยุด
“ เอ๋? ทำไมโทมะถึงทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นพวกแกะน้อยที่เพิ่งจะได้เห็นปาฏิหาริย์กันล่ะ? ”
ระหว่างที่อินเด็กซ์พูดแบบนั้น คามิโจก็กำลังรับรู้ถึงสัจธรรมที่แท้จริงราวกับว่ามีแม่ชีใจดีคนหนึ่งประทานมันมาให้
แต่ถ้าดูอิทสึวะทำอาหารให้แต่ตัวเองไม่ทำอะไรเลยแบบนี้มันอึดอัดใจ อย่างน้อยก็ทำความสะอาดห้องหน่อยดีกว่า คามิโจคิดอย่างจริงจัง
ในขณะเดียวกัน อินเด็กซ์ที่กำลังกัดศีรษะของคามิโจเพื่อคลายเครียดอยู่นั้น ก็ถูกกลิ่นอาหารยั่วยวนให้เข้าไปหาเหมือนกับปลาถูกยั่วยวนโดยเหยื่อล่อ แล้วเธอก็ค่อยๆคลานเข้าไปในห้องครัว
“ เฮ้ย! อย่าคิดว่าอยากกินตอนไหนก็กินได้เมื่อนั้นเซ่!! ”
“ ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ฉันทนไม่ไหวแล้วนี่นา ”
อิทสึวะสูญเสียตัวเองให้กับอาการท้องว่าง แล้วเริ่มเข้าไปกวนอิทสึวะ ที่กำลังทำอาหารอยู่ หลังจากเห็นอินเด็กซ์ทำแบบนั้น คามิโจ โทมะก็ลุกขึ้น แล้วจากนั้นก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมก่อนที่จะพุ่งเข้าไปรวบตัวอินเด็กซ์ รัดเอวของเธอด้วยสองมือแล้วลากเธอออกมาจากห้องครัว หลังจากนั้น ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าไปเรียนมาจากไหน แต่เขาก็สามารถใช่ท่าโยนนักยูโดมืออาชีพส่งอินเด็กซ์ลอยขึ้นไปบนเตียงได้ ระหว่างนั้นก็ตะโกนกร้าวไปด้วย
“ หยุดทำลายความฝันของเหล่าชายหนุ่มได้แล้ววววววววววววววววว!!!!! ”
“ หวาาาาา! โท-โทมะ นี่เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!? ”
ดวงตาของอินเด็กซ์หมุนวนไปตาเพราะความงุนงง หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของเธอ เจ้าแมวสามสีก็ถอยห่างออกไปอย่างหงุดหงิด
คามิโจไม่ตอบ เขาจับหัวของอินเด็กซ์ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วทำการหันมันไปทางห้องครัว
“ ดูซะ อินเด็กซ์!! นี่ล่ะคือวิธีที่เธอควรปฎิบัติตัวเมื่อมาอยู่ในบ้านคนอื่นเขา!! ”
“ โอ้ยโอ้ยโอ้ยโอ้ย!? ทำไมวันนี้โทมะแปลกๆไปล่ะเนี่ย!? ”
“ พอใจเย็นลงแล้วคิดๆดู ทำไมคนที่เอาแต่กิน นอน แล้วก็ดูทีวีมันต้องเป็นเธออยู่คนเดียวด้วยว้า!? จากวันนี้เป็นต้นไป เธอจะต้องทำงานล่ะ! เร็วเข้าเซ่ ไปหาฟองน้ำแล้วก็ผงซักฟอกมาซ้า ไปทำความสะอาดห้องน้ำเดี๋ยวนี้น้า!!!! ”
“ เอ๋? แต่ว่า “ เมจิคอล พาวเวอร์ คานามิน อินเทอร์จรัล ” กำลังจะเริ่มแล้ว ไม่ใช่เหรอ? ”
“ ดีมาก รีบไปทำงานได้แล้วววววววววววววว!!! ”
ทำไมอะ? ขณะที่อินเด็กซ์กำลังงุนงงอยู่นั้น เธอก็ถูกคามิโจโยนเข้าไปในห้องน้ำ ถ้าเห็นคนที่จริงจังอย่างอิทสึวะแล้ว ยัยนั่นก็น่าจะเปลี่ยนไปได้บ้างล่ะน่า แต่ก็นะ เจ้าพวกที่เคยอยู่กับเธอในอดีตก็มีแต่ เจ้านักบวชบ้าเปลวเพลิงที่ชอบสูบบุหรี่เป็นชีวิตจิตใจ กับสายสืบหลายด้านที่สามารถหัวเราะแบบเพี้ยนๆได้ทั้งปีนี่นา พอเอาไปเทียบกับพวกนั้นแล้ว ยัยนี่กลายเป็น “ คนธรรมดา ” ไปเลย แต่ถ้าคิดดีๆอีกทีแล้ว คนที่เหมาะกับคำว่ามนุษย์ธรรมดามากที่สุดก็คืออิทสึวะต่างหากเล่า
( งั้น มาทำความสะอาดห้องเหมือนกับคนที่จริงจังดีกว่าแฮะเรา )
ถึงคามิโจจะคิดแบบนั้น... แต่ถ้าเทียบกับอิทสึวะ ที่ทำกับข้าวเพื่อผู้อื่นแล้ว คามิโจก็แค่ทำความสะอาดห้องเอง แบบนี้จะไปเทียบกันได้ยังไง แต่ถึงยังไง มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยละน่า หลังจากสรุปแบบนั้น คามิโจก็เริ่มทำความสะอาดห้องที่เละเทะโดยการเก็บนิตยสารขึ้นมาเข้าที่
ในนาทีนั้นเอง
“ อะ-ไอ้กลิ่นญี่ปุ่นจ๋าแบบนี้นี่มันอะไร!? ”
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนของเด็กหญิงคนหนึ่ง แล้วหลังจากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงพลาสติกถูกดันแตกกระจุย คามิโจที่แตกตื่นรีบหันหน้าไปทางระเบียง และอิทสึวะที่กำลังช็อก ก็หยุดเคลื่อนไหวมือที่กำลังทำอาหารอยู่ ผู้ที่โผล่ออกมาก็คือ สึจิมิคาโดะ ไมกะที่ใส่ชุดเมด
ดูเหมือนว่าเธอจะทำลาย “ กรุณาอย่าทำลายป้ายกระดานนี้ที่ทำหน้าที่แยกห้องและระเีบียงออกจากกัน ยกเว้นกรณีมีเพลิงไหม้ ” มาอย่างไร้ซึ่งความลังเล จากนั้นก็บุกเข้ามาที่นี่
“ บ้าเอ้ย!! ทั้งๆที่เรารุกฆาตยัยอินเด็กซ์ไปแล้วแท้ๆ แต่กลับมีคนเพี้ยนโผล่มาอีกคนซะงั้นอ่ะ!! ”
ไมกะไม่สนใจคามิโจที่หงุดหงิดสุดขีด ในตอนนี้ ไมกะที่ปกติจะไม่แสดงถึงความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ กลับกำลังดูจริงจังสุดขีด ในขณะที่กำลังดมกลิ่นไปทางห้องครัว
“ ...ได้กลิ่นแล้ว ได้กลิ่นแล้ว... ซุปมิโสะนี่... เธอตากเนื้อแผ่นไว้เพื่อซ่อนกลิ่น แล้วค่อยเติมเข้าไปตอนที่บดเป็นชิ้นเล็กๆแล้ว ใช่มั้ย...? ”
“ รู้ได้ยังไงน่ะ!? ขนาดแม่ก็ยังไม่รู้เลยนะนั่น!! ”
อิทสึวะช็อกที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารมองทะลุได้ถึงมัน
นี่เธอเรียนรู้เทคนิคทำอาหารมาจากแม่เรอะ! แถมที่อยู่ข้างๆคามิโจ ก็ยังมีชามเล็กๆที่ไว้ใส่ซุปมิโสะ หลังจากตริตรองอยู่พักหนึ่ง อิทสึวะก็ดันชามนั่นเข้าหาเด็กหญิงชุดเมด
ไมกะรับชามมาด้วยท่าทีพริ้วสไว และดันจรดริมฝีปากของเธออย่างไร้เสียง หลังจากที่ดื่มมันลงไป แล้วหยุดไปซักพัก ----- อ๊ากกกกก!! ทันใดนั้น ดวงตาของเธอก็โบกโพลงไประหว่างที่ตะโกนกร้าว
ไหล่ของไมกะสั่นสะท้านไปด้วยระหว่างที่พูด
“ ยัย-ยัยนี่ ใช้ได้เลย... ”
“ อะไรนะ? ”
“ อ๊ากกกกก!! ได้ยังไง มันเป็นไปได้ยังไง!! ”
มีเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้ไมกะหมุนตัว 180 องศา แล้วเผ่นผ่านระเบียงไป วิ่งกลับไปที่ห้องข้างๆ
การสนทนาระหว่างสองพี่น้อง ดังมาผ่านทางหน้าต่างที่เปิดอยู่
“ หา เฮ้ย!? ทำไมทิ้งครีมตุ๋นของวันนี้ไปน่ะ นย้า!? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าวเย็นพี่ละเนี่ย!? ”
“ หุบปากนะ ไอ้เจ้าคนปวกเปียก!! อาหารรสเลิศขนาดนั้น ของแค่นี้ไม่มีทางเทียบติดได้อยู่แล้วล่ะ! เธอ เธอดูไว้ให้ดีล่ะ จากนี้ไป เดี๋ยวจะแสดงให้ดูเองว่าซุปมิโสะของจริงมันเป็นยังไง!! ”
“ เอ๋!? แต่ครีมตุ๋นก็โอเคนะ รู้มั้ย!? ” หลังจากได้ยินเสียงครางของเจ้าหนุ่มสายสืบผมบลอนด์ สวมแว่นตากันแดด ไหล่ของอิทสึวะก็สั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว
“ เสียง เสียง เสียงของคนเมื่อกี้นี้ เหมือนจะเคยได้ยินในอาวีญงนะคะ...? พูดก็พูดเถอะ เด็กคนนั้นเป็นใครกันนะ? ”
ฉันเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไปทำลายศักดิ์ศรีในฐานะเมดของยัยนั่นเข้าแล้ว เพราะงั้นก็เลยโดนมองว่าเป็นคู่แข่งกันไงล่ะ... คามิโจหยุด อิทสึวะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เขารู้สึกว่าไม่ควรจะให้เธอคุ้นเคยกับการกระทำของพวกคนเพี้ยนๆไว้จะดีกว่า
สำหรับคามิโจแล้ว สิ่งที่เขาคิดมีเพียงแค่นั้น
ถ้าเขาสามารถขอพรอะไรก็ได้จากพระเจ้าได้หนึ่งอย่าง เขาก็อยากจะขอให้เด็กหญิงคนนี้ไม่่กลายเป็นพวกเพี้ยนๆไปอีกคนซะละมั้ง
มีอยู่นาทีหนึ่งที่ดูเหมือนว่าอินเด็กซ์และอิทสึวะจะพุ่งเข้าปะทะกันใน สถานการณ์ที่เลวร้ายสุดขีด แต่เมื่ออินเด็กซ์ได้กินอาหารที่อิทสึวะทำให้เข้าไป บรรยากาศมาคุก็หายไปแบบไม่เหลือร่องรอยไว้แม้แต่นิด และตอนนี้อินเด็กซ์ก็กำลังกลิ้งไปมาบนพื้นเพื่อขอข้าวจานที่ 8 ทำให้อิทสึวะรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง ส่วนเจ้าแมวสามสีนั้นกำลังกัดลูกบอลผ้ากันเปื้อนที่อิทสึวะทำให้ แล้วก็หมุนตัวไปรอบๆมันเล่น
( อา... ถ้าไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ก็ดีไปล่ะนะ )
ถ้าใช้วิธีนี้แล้ว ” จะช่วยทำให้อารมณ์ของอินเด็กซ์ ผ่อนคลายขึ้นได้ ” ล่ะก็ คราวหลังเราคงต้องเตรียมเนื้อ ปลา เครื่องปรุง และอีกมากมายไว้บ้างแล้วสิเนี่ย? ถึงคามิโจจะคล้อยตามความคิดนั้น... แต่เดี๋ยวสิ ถ้ายัยอินเด็กซ์รู้เข้าว่าเราแอบซ่อนอาหารไว้ ในเสี้ยววินาทีนั้นเธอก็จะพุ่งเข้ามากัดเราอยู่ดีเลยไม่ใช่รึไงกัน? คามิโจปรับเปลี่ยนความคิดของเขาใหม่อีกครั้ง ถึงมันจะดูเป็นความคิดที่ดี แต่วิธีการเตรียมการต่างหากเล่าที่ยากกว่า
ในเมื่อพวกเขากินข้าวไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือให้ทำอีก
วันนี้ทางโรงเรียนไม่ได้สั่งงานอะไรไว้ และคามิโจก็ไม่ใช่พวกที่จะไปเรียนหนังสือเพิ่มเติมด้วยตัวเองด้วย ฉะนั้นสิ่งที่เหลือจะต้องทำก็คือการอาบน้ำแล้วก็เข้านอน
แต่ทว่า ปัญหาก็ยังไม่หมด
“ ---นี่เธอใช้ฟองน้ำกับผงซักฟอกทำลายอ่างอาบน้ำได้ยังไงฟะเนี่ยห๊า อินเด็กซ์!?! ”
“ ถ-ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ที่ฉันทำน่ะก็ตามที่โทมะบอกทุกอย่าง แล้วก็แค่ถู ‘ ครืด ครืด ‘ ไปไม่กี่ครั้งเองนะ!! ”
เสียงตะโกนของทั้งคามิโจ และอินเด็กซ์ดังก้องไปทั่วถนนทางเดินยามค่ำคืน มีแค่อิทสึวะเท่านั้นที่ทำได้แค่ส่งรอยยิ้มที่พยายามแทบตายกว่าจะปั้นขึ้นมา ได้ให้
เหตุผลที่สามสหายมาอยู่บนถนนนี้ก็ง่ายๆเลย : อ่างอาบน้ำของคามิโจ ( พูดให้ถูกก็คือ ที่ทำน้ำอุ่น ) นั้น ได้รับความเสียหายอย่างแปลกประหลาดจนไม่สามารถใช้งานได้ ฉะนั้นสามสหายเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปใช้โรงอาบน้ำสาธารณะแทน
“ จะให้พนันก็ยังได้ว่าอินเด็กซ์ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของคุณคามิโจที่ว่าให้ถู มันดีๆอย่างถี่ถ้วนน่ะ! คิดๆดูแล้ว ทำไมอ่างอาบน้ำมันถึงส่งกลิ่นเหมือนพลาสติกใหม้ไฟออกมาล่ะ!? ขอเดานะ อินเด็กซ์ นี่เธอราดผงซักฟอกลงไปในอ่างแบบกะไม่ให้เหลือแม้แต่เศษไว้เลยใช่มั้ย เนี่ย!!? ”
“ เอ๋? แต่นายบอกว่าการจะทำอะไรให้สะอาดน่ะมันต้องราดผงซักฟอกเข้าว่าไปก่อน ไม่ใช่เหรอ? ”
“ ดีม้ากเลย! สุดยอดจอมเพี้ยนปรากฎตัวออกมาแล้วไง!! ต้องขอบพระคุณท่านจริงๆ ที่ทำน้ำอุ่นเลยไหม้วินาจสันตะโรหมด แถมพวกเรายังเกือบกลายเป็นศพไฟไหม้ตายคาที่ไปแล้วด้วย!!! ”
“ อ๊ะ อ๊ะฮะฮะ ม-แหม นานๆทีจะไปโรงอาบน้ำเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ไม่เลวไม่ใช่เหรอคะ? ”
อิทสึวะใช้ทักษะสัดกั้นขั้นเทพของเธอเพื่อเข้าไปสอดระหว่างบรรยากาศตึงเครียดของคามิโจ และอินเด็กซ์
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั้น แค่มีสิ่งใดมาปรับเปลี่ยนกระแสไหลเวียนต่างๆแค่นิดหน่อย พวกเขาเหล่านั้นก็สามารถเย็นใจไว้ได้แล้ว
“ ไม่คิดเลยนะคะ ว่าเมืองแห่งการศึกษาจะมีโรงอาบน้ำมากมายขนาดนี้ มีตั้งแต่โรงอาบน้ำสาธารณะชนไปยันน้ำพุร้อนตามธรรมชาติเลย... จริงสิ นี่อะไรน่ะ? ดูเหมือนจะเป็นห้องสปาขนาดไหนที่มีสื่อบันเทิงครับครันนะคะ ”
“ ...จะว่าไปแล้ว ทำไมอิทสึวะถึงมีรายละเอียดของเมืองแห่งการศึกษาซะละเอียดยิบแบบนี้เชียวล่ะ? ”
ขนาดคามิโจก็ยังไม่รู้ว่าเมืองแห่งการศึกษามีน้ำพุร้อนตามธรรมชาติกับเขาด้วย และเจ้าสิ่งที่อิทสึวะถืออยู่ก็ดูไม่เห็นเหมือนกับหนังสือไกด์ที่ทางเมือง แห่งการศึกษาได้ส่งออกจำหน่ายด้วยซ้ำ ดูเหมือนกับเป็นโน๊ตบุ๊คเก่าๆที่มีรอยฉีกขาดไปทั่วมากกว่า
“ ( … อ่า เรื่องนั้นน่ะ การเข้าใจสภาพภูมิศาสตร์รอบๆตัวน่ะเป็นสิ่งที่บอดี้การ์ดควรทำน่ะค่ะ ) ”
อิทสึวะพูดด้วยระดับเสียงที่อินเด็กซ์ไม่ได้ยิน
“ ( ...อีกอย่าง อควาก็มาจากฝั่งเวทมนตร์ด้วย ฉะนั้นถ้าฉันชินกับ “ กระแส ” ที่ไหลเวียนอย่ตามถนนได้ดี ก็คงจะช่วยทำให้ระบุตัวเขาได้ง่ายขึ้นอีกด้วยน่ะค่ะ ) ”
...การกระตือรือร้นกับงานน่ะก็ดีอยู่หรอก แต่ทั้งๆที่อควาจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ได้แบบนี้ แต่พวกแอนตี้-สกิลที่มีระบบรักษาภัยแน่นหนากลับไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย พอคิดแบบนั้นล่ะ คามิโจถึงได้รู้สึกอึกอัดใจขึ้นมาทันที
“ งั้น เจ้าโรงอาบน้ำสันทนาการที่เราจะไปกันนั่นอยู่ไหนกันล่ะ? ”
“ มืม... ดูเหมือนว่าจะอยู่ในเขต 22 น่ะค่ะ ที่ที่เราอยู่นี่คือเขต 7 หรือก็คือ มันตั้งอยู่ตรงมุมของเมืองแห่งการศึกษาค่ะ ”
“ ถ้าเป็นเขต 22 ก็... ถนนใต้ดินงั้นสินะ ”
ที่แห่งนั้นมีพื้นที่อยู่แค่ 2 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ในหมู่เขตที่เป็นแหล่งการเรียนทั้งหมดแล้วนั้น ที่นั่นเป็นที่ที่มีขนาดเล็กที่สุด แต่ทว่า สถานที่จริงๆของมันนั้นตั้งอยู่ใต้พื้นดินหลายร้อยเมตร ฉะนั้นจะพูดว่าเป็นเขตที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดก็ไม่ผิดเช่นกัน
“ หือ รถบัสคันสุดท้ายเพิ่งจะไปเมื่อกี้นี้เองแฮะ ”
อิทสึวะยังคงเปิดหน้ากระดาษเก่าๆของโน๊ตบุ๊คนั่นต่อไป
“ แต่ก็ไม่ได้ไกลมากนะคะ ถ้าไปยืมรถจักรยานยนต์ 3 ที่นั่งมาล่ะก็ จะไปถึงได้ทันทีเลย โชคดีจริงๆ ที่มีร้านให้เช่ารถอยู่ตรงนี้พอดี ”
“ เห? อิทสึวะขี่รถเครื่องเป็นด้วยเรอะเนี่ย? ”
“ อ๊ะ เอ่อ ถ้าจะให้พูดแบบตรงๆเลยก็พอได้ค่ะ จะเป็นรถยนต์ รถมอร์เตอร์ไซค์ เรือเล็กก็ด้วย... อ๊ะ แต่ถ้าเป็นเครื่องบินล่ะก็ไม่ไหวหรอกค่ะ แต่ถ้าเป็นเฮลิคอปเตอร์น่ะพอได้... ”
ดูจากน้ำเสียงอิทสึวะแล้ว ดูเหมือนว่าเธอยังคงรู้สึกว่าตัวเองยังไร้ซึ่งความสามารถอยู่มากมายมหาศาลเลยแฮะ
ไอ้การที่ขับเครื่องบินไม่เป็นนี่มันน่าเศร้าตรงไหนละเนี่ย?
“ ก็เพราะว่าเราเคยสังกัดอยู่ในญี่ปุ่น เครือข่ายการขนส่งก็เลยดีมาก เพราะงั้นจริงๆความสามารถที่ว่ามานั่นก็ไม่จำเป็นอะไรเลยค่ะ แต่...ก็มีงานบางอย่างเหมือนกัน ที่จำเป็นต้องให้เราไปโผล่ที่ทะเลทรายอันกว้างขวางไม่ก็ทุ่งหญ้าเขียวขจี ประมาณนั้นน่ะค่ะ ”
ดูเหมือนว่าอิทสึวะจะไม่ได้คุยโวโอ้อวดแฮะ แต่ดูเหมือนกับว่ากำลังมีคนเฝ้าดุด่าเธออยู่มากกว่าอีก เนื่องจากเสียงของเธอนั้นเบาลงเรื่อยๆจนตอนนี้ฟังยังไงก็ดูเหมือนกับว่าเป็น เสียงร้องหึ่งๆของยุงซะมากกว่าอีก แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้มีแค่ใบอนุญาติของญี่ปุ่นเท่านั้น จะเป็นของทางชาติเลยด้วยซ้ำ สำหรับคามิโจ ที่คิดว่าขอให้ขี่รถล้อเดียวเป็นก็สุดยอดมากแล้ว คนอย่างอิทสึวะนี่ช่างดูน่านับถือซะจริงๆ
วันนี้ เด็กหญิงปกติธรรมดาทั่วไปอย่างอิทสึวะกลับมีด้านต่างๆที่น่าตกใจจริงแฮะ นั่นเองที่ทำให้คามิโจรู้สึกซึ้งใจระหว่างที่เดินไปทางร้านให้เช่ารถใกล้ๆหอ พักนักเรียน ในเมืองแห่งการศึกษาที่เต็มไปด้วยเหล่านักศึกษาแบบนี้แล้ว ความต้องการใช้รถเครื่องนั้นอยู่สูงยิ่งกว่ารถยนต์ซะอีก
หลังจากที่เห็นราคาเช่าบนกระดานราคา คามิโจก็แสดงท่าทางเหมือนกับถูกฟ้าผ่าแสกหน้า
“ เอ่อ อ่า จริงด้วย เพราะอิทสึวะไม่ได้เป็นนักเรียนจากเขต 7 ก็เลยจะไม่ได้ส่วนลดราคาสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตนี่นา!! ”
“ เอ๋ ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ฉันเตรียมงบไว้ใช้สอยมาแล้วค่ะ ”
ถึงอิทสึวะจะพูดแบบนั้น แต่สำหรับคามิโจ ที่มีทักษะจำแนกของราวกับเป็นแม่บ้าน ก็พยายามจะเลือกรายการที่มีราคาถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นล่ะคือสามัญสำนึก
สุดท้าย พวกเขาก็เลือกทำรายการสำหรับเหล่าผู้ที่มาขึ้นรถเที่ยวสุดท้ายไม่ทัน แล้วกลับบ้านไม่ได้ เช่ารถเครื่องขนาดกลาง 2 ที่นั่ง แล้วก็ยังจ่ายพิเศษเพื่อเพิ่มรถพ่วงข้างๆอีกด้วย
ผู้ขับรถจักรยานยนต์ก็คืออิทสึวะ ผู้ที่นั่งข้างหลังก็คือคามิโจ และอินเด็กซ์นั่งอยู่ในรถพ่วง
“ โทมะ ฉันมองเห็นความตั้งใจของนายนะ รู้รึเปล่า? ”
“ ไม่ซะหน่อย ไม่เห็นมีความตั้งใจอะไรเลย เรียกว่า “ เลดี้ เฟิร์ส ” จะดีกว่ามากเลยล่ะ รถพ่วงน่ะนั่งสบายสุดแล้ว ฉะนั้นคุณคามิโจเลยไม่มีทางเลือกนอกจากจะให้เธอนั่งตรงนั้นไปไงล่ะ ”
คามิโจพยายามจะอธิบาย ส่วนอิทสึวะที่กำลังถูกกอดตรงบริเวณท้องน้อยนั้น กลับรู้สุกว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง
อิทสึวะพยายามจะช่วยอินเด็กซ์ใส่หมวกกันน็อกทับลงไปบนหมวกแม่ชีของเธอ แล้วจากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอพูดขึ้นว่า
“ จะว่าไป ทิ้งเจ้าเหมียวนั่นไว้ที่บ้านตัวเดียวแบบนั้นจะดีหรือคะ? ”
“ จะยังไง ก็เอาสัตว์เข้าโรงอาบน้ำไม่ได้อยู่แล้วนี่ จะยังไงเจ้าแมวนั่นก็คงจะเดินเป็นวงกลมไปเรื่อยๆล่ะ คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก ”
ในขณะนั้น เจ้าแมวสามสีก็กำลังยืนอยู่หน้ากระดานสำหรับขูดคุณภาพสูงที่อิทสึวะซื้อมา ให้ ‘ อะ-อะไรกัน!? กลิ่นมันชวนดึงดูดชะมัด แต่นี่ผมจะขูดมันได้โดยที่ไม่ทำให้ทุกคนโมโหได้จริงๆเหรอเนี่ย!? ’ คิดแบบนี้ไปมาในขณะที่ตัวเนื้อสั่นสะท้าน แน่นอน ว่าไม่มีใครเห็น
ก็แบบนั้นล่ะ เมื่ออินเด็กซ์สามารถใส่หมวกกันน็อคได้อย่างถูกต้องแล้ว อิทสึวะก็สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถมอร์เตอร์ไซค์
“ ว้าว ยามค่ำคืนของเมืองแห่งการศึกษานี่ดีจริงๆเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมหรือเสียงเครื่องยนต์ ก็ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจได้มากๆเลย พื้นถนนก็อยู่ในสภาพดีมากด้วยเหมือนกัน รู้สึกว่าอยากจะเร่งความเร็วขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ทำได้เมื่อนั้นเลยล่ะ... อา ถ้ารู้อย่างนี้ น่าจะลองเจ้าสิ่งอันสุดแสนจะโด่งดังของเมืองแห่งการศึกษาหน่อยดีกว่า เจ้ารถซูเปอร์มอเตอร์ไซค์ที่ใช้สนามพลังแม่เหล็กนั่นน่ะค่ะ เขาว่ากันว่าล้อและแกนนั้นถูกยึดเข้าด้วยกันโดยแม่เหล็ก ทำให้วงล้อรูปร่างคล้ายกับโดนัทสามารถฝ่าแก็สมอเตอร์ไปได้เชียวนะคะ ”
“ แหม ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรถเครื่องนักหรอกนะ แต่จะเอาเทคโนโลยี ‘ภายนอก’ มาเทียบได้ยังไงกันล่ะ แล้วก็นะ หวังว่าเธอจะช่วยขับอย่างปลอดภัย----ยัยบ้าอิทสึวะ นี่เร่งความเร็วขึ้นจริงๆเรอะเนี่ย!!? ”
คามิโจเพิ่มแรงกอดตรงเอวของอิทสึวะมากขึ้นด้วยสัญชาติญาณ แต่อิทสึวะที่กำลังมีความสุขแบบสุดๆกับปฎิกิริยานั่น กลับไม่สังเกตว่าตัวเองกำลังเร่งความเร็วซะงั้นแหละ
หอพักนักเรียนของคามิโจนั้นตั้งอยู่ตรงมุมของเขต 7 และจากที่นั่นไปยังเขต 22 ก็สามารถเดินไปถึงได้ง่ายๆ แต่ที่อิทสึวะคิดจะไปด้วยรถมอร์เตอร์ไซค์นั้นคงเป็นเพราะพวกเขาจะได้กลับ บ้านได้อย่างทันที เพราะว่าถ้าพวกเขาเดินไปเดินกลับ ร่างกายที่เพิ่งผ่านน้ำมาหมาดๆจะแห้งซะก่อน
พุ่งออกมาจากเขต 7 และเข้าสู่เขต 22 อินเด็กซ์ ที่นั่งอยู่บนรถพ่วง ก็เบิกตาออกกว้าง
“ หวาาาา! โทมะ ดูนั่นสิ รั้วตาข่ายล่ะ! รั้วตาข่ายขนาดยักษ์เลยล่ะ!! ”
พื้นถนนของเขต 22 นั้นจะแตกต่างออกไปจากเขตอื่นๆ ตรงที่พื้นถนนของที่นี่จะไม่มีตึกรามบ้านช่องอะไรอยู่เลย สิ่งที่มาอยู่แทนก็คือกังหันลมจำนวนมากมายมหาศาล และที่มากกว่านั้น กังหันลมทั้งหมดที่นี่นั้นจะแตกต่างออกไปจากที่อื่นๆด้วย เนื่องจากพวกมันไม่ได้เป็นแค่ ‘ตัวแทนสายเคเบิลส่งไฟฟ้า’ เท่านั้น มีโครงเหล็กเหมือนกับที่ใช้สร้างตึกครอบอยู่ แล้วก็ยังมีเสาแนวนอนเชื่อมต่อกันและกันไปเรื่อยๆด้วย แล้วพอเพิ่มกังหันลมสูง 30 ชั้นจำนวนมากเข้าไป มันก็ดูเหมือนกับโครงร่างอะไรบางอย่างขึ้นมา และนั่นก็คือ ‘รั้วตาข่ายขนาดยักษ์’ ในมุมมองของอินเด็กซ์
อิทสึวะหมุนแฮนด์รถ หันรถไปสู่ทางเข้าของถนนใต้ดิน แล้วก็พูดขึ้น
“ จากนี้ไปเขต 22 จะยืดลงไปเบื้องล่าง ฉะนั้นเลยไม่สามารถใช้ไฟฟ้าที่สร้างมาจากพลังงานลม หรือมาจากแสงอาทิตย์ได้ค่ะ แต่ใต้ดินนั้นจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก ฉันก็เลยได้ยินมาว่าเมืองแห่งการศึกษาเตรียมแหล่งกำเนิดพลังงานอื่นๆไว้ทั่ว เมืองน่ะค่ะ ”
อิทสึวะที่มีความรู้มากกว่าที่คาดคิด ขี่รถผ่านประตูทรงสี่เหลี่ยมแล้วขับไปตามทางใต้ดิน
พื้นที่ในใต้ดินเขต 22 นั้นมีรูปทรงเป็นเหมือนกับทรงกระบอก ถ้าไม่ได้นับประตูทางเข้าเพิ่มไปในเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 กิโลเมตรด้วยน่ะนะ ทางถนนนั้นลาดลงไปเรื่อยๆ โค้งเป็นวงราวกับก้นหอย ดูจากป้ายต่างๆที่ชี้ทางไปโน่นไปนี่แล้ว จะเห็นว่าเป็นป้ายแบบที่มักใช้ในร้านตัดผม
ในทางถนนที่ยังคงลาดยาวลงไปเป็นรูปก้นหอยนี้ มีแสงสว่างสีส้มส่องจ้ามาจากพื้น หลังจากที่เห็นลักษณะเด่นที่ไม่เหมือนกับถนนอื่นๆแบบนี้ อินเด็กซ์ก็ยกมือขึ้นมาแล้วร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น
คามิโจได้กลิ่นแก๊สที่ถูกปล่อยออกมาจากท่อรถ แล้วพูดกับอิทสึวะ
“ ถนนใต้ดินนี่ ไม่เหมาะกับญี่ปุ่นเลยแฮะ ตอนมีแผ่นดินไหวคงน่ากลัวเป็นบ้าเลยล่ะ ถึงกำแพงจะแข็งแกร่งได้ขนาดไหน ถ้าเกิดแผ่นดินไหวที่แรงจนพื้นสะเทือน มันก็พังหมดอยู่ดีล่ะ ”
“ ที่นี่ไร้ภัยแผ่นดินไหวจริงๆนะคะ เช่น ถนนก้นหอยนี่มันก็เหมือนกับสปริงขนาดใหญ่นั่นล่ะค่ะ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวเมื่อไหร่มันก็จะทำการดูดกลืนแรงกระแทกเข้าไป นี่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหรอคะ? ”
“ ...ก็แค่ข่าวลือไม่มีหลักฐานอะไรเท่านั้นล่ะน่า จะว่าไปนะ อิทสึวะ ทำไมเธอถึงต้องไปตรวจเจ้าสิ่งที่ไม่มีอยู่บนพิมพ์เขียว โครงร่าง แล้วก็ไม่ใช่เรื่องจริงด้วยละเนี่ย? ”
“ อ๊ะ อะฮะฮะ ” อิทสึวะหัวเราะแห้งๆออกมา
“ ไงก็เหอะ เจ้าโรงอาบน้ำบันเทิงที่ว่านั่นมันอยู่ตรงไหนล่ะ? ”
“ อืม เหมือนว่าจะอยู่บนชั้น 3 นะคะ ”
“ โทมะ เจ้า ‘ไคโซ’ ที่ว่านี่อะไรเหรอ? เป็นผักประเภทหนึ่งงั้นเหรอ? ” ( เพิ่มเติม : คำว่า “ ชั้น ” และ “ สาหร่ายทะเล ” มีคำสะกดในภาษาญี่ปุ่นว่า “ ไคโซ ” ( かいそう ) เหมือนกันครับ )
“ ไม่ใช่สาหร่าย ชั้นต่างหากเล่า เขต 22 น่ะแยกชั้นใต้ตินออกเป็น 10 ชั้น และตอนนี้เราก็กำลังจะไปที่ชั้นที่ 3 ไงล่ะ ”
ระหว่างที่พูดนั้น พวกเขาก็พอจะมองเห็นชั้นที่ 3 ได้แล้ว -- เห็นทางเข้าที่อยู่ลึกลงไปกว่าตรงนี้ 90 เมตร อิทสึวะเปิดไฟหน้าขึ้น ลดความเร็วลงเมื่อค่อยๆเข้าไปใกล้ประตูนั่น
หลังจากข้ามผ่านประตูทรงสี่เหลี่ยมไปแล้ว ดวงตาของพวกเขาก็เบิกโพลงขึ้น
“ หวาา...!! ”
อินเด็กซ์ตะโกนออกมา
ถ้าในถนนทางลาดมีแสงสีส้มล่ะก็ ที่นี่ก็มีแสงสีฟ้าอ่อนๆ ในบริเวณเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 กิโลเมตรนี้ เพดานได้กลายไปเป็นจอฉายภาพดวงดาว ที่ถ่ายมาจากกล้องขนาดรอบเมืองรวมกันเป็น ‘ท้องฟ้ายามราตรี’ เส้นทางใกล้ๆก็ใช้สีคล้ายๆกัน ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเรากำลังเคลื่อนที่ไปตามหมู่ดาวยังไงยังงั้น
จากพื้นไปยันกำแพง พวกเขาขี่รถผ่านจอดูดาวไปตามห้องโถง จะว่าไปแล้ว ดาดฟ้าของชั้นใต้ดินนี้มันดูเหมือนกับเพดานของหอกีฬาเลยแฮะ ที่มีแท่งเหล็กคอยเป็นตัวพยุงเหมือนกันน่ะ มีแท่งเหล็กมากมายเพื่อช่วยผ่อนผันน้ำหนักให้กันและกัน แต่ถึงจะดูไปยังไง แค่แท่งเหล็กบางๆแบบนี้ไม่น่าจะรองรับน้ำหนักมหาศาลแบบนี้ได้ไหวแน่ๆ แสดงว่าต้องมีวิธีอื่นๆอีกละมั้ง
อินเด็กซ์ที่ยังคงนั่งอยู่บนรถพ่วงมองไปมารอบๆตัว
“ ที่นี่ใต้ดินจริงๆเหรอ!? ทั้งๆที่มีแม่น้ำแล้วก็ป่าไม้แบบนี้ด้วยเนี่ยนะ!! ”
“ ที่เห็นเป็นป่านั่นน่ะ พวกเขาใช้หอคอยทางด้านการเกษตรปลูกมันขึ้นมาน่ะค่ะ นอกจากจะช่วยชำระล้างอากาศได้แล้ว ก็ยังมีบทบาทช่วยให้ผู้คนรู้สึกสงบนิ่งได้อีกด้วยน่ะค่ะ และแม่น้ำนั่นก็คือแห่งกำเนิดพลังงานสำคัญค่ะ มันจะไหลเวียนไปทุกระดับชั้น และแต่ละชั้นก็ใช้พลังงานการไหลของน้ำนั่นล่ะมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า ”
รู้สึกว่าวันนี้อิทสึวะจะรับบทเป็นไกด์นำเที่ยวบนรสบัสยังไงยังงั้นเลยแฮะ
อินเด็กซ์เอียงหัวของเธอแล้วถามขึ้นมา
“ อิทสึวะ ทำไมถึงต้องการพลังงานไฟฟ้าขนาดนั้นด้วยล่ะ? ”
“ เอ่อ อืมม... พลังงานส่วนใหญ่นั้นจะถูกนำไปใช้ดูดอากาศเข้ามาในใต้ดินนี่น่ะค่ะ พวกเขาจะทำการดูดออกซิเจนมาจากบนพื้นดิน ลบคาร์บอนไดออกไซด์ทิ้งไป แบบนั้นน่ะค่ะ แล้วก็ยังจำเป็นต้องใช้ดูดน้ำฝนและน้ำประปาที่ใช้แล้วขึ้นมาด้วย สรุปก็คือจำเป็นต้องดูดทุกอย่างขึ้นมาหมดนั่นล่ะค่ะ ฉะนั้นพลังงาน 40% ของเมืองแห่งการศึกษาจึงถูกส่งไปให้เครื่องดูดเป็นส่วนใหญ่ พลังงานบางส่วนก็ยังถูกนำไปใช้เป็นตัวเปิดปิดอีกด้วยค่ะ
“ และเนื่องจากพลังงานไฟฟ้าครึ่งหนึ่งของเมืองแห่งการศึกษานั้นจะถูกสร้างขึ้น มาจากแรงลม ถึงพวกเขาจะใช้พลังงานไปมากซักเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพลังงานหมดหรือการทำลายสภาพแวดล้อมเลยค่ะ ทางด้านต่างประเทศนั้น เนื่องจากผู้คนต่างก็ส่งเสียงประท้วงเนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ฉะนั้นถ้าจะให้ไปสร้างเมืองที่ใช้พลังงานทดแทนธรรมชาติแบบนั้นคงจะไม่ได้รับ การสนับสนุนแน่ล่ะค่ะ... และที่เมืองแห่งการศึกษามีถนนใต้ดินแบบนี้ก็เพราะว่าความกว้างของเมืองนั้น มีจำกัด ถ้าเป็นพวกประเทศใหญ่ๆก็คงจะไม่คิดสร้างถนนใต้ดินอะไรหรอกค่ะ ”
( ก็นะ ถึงจะไปนำเสนอความคิดนี้ได้สำเร็จ สุดท้ายก็จะมีปัญหาอื่นตามมาทดแทนอยู่ดีนั่นล่ะ )
รถมอร์เตอร์ไซค์เสริมด้วยรถพ่วงยังคงมุ่งหน้าต่อไปท่ามกลางค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
คามิโจ ที่นั่งอยู่บนเบาะหลัง ชี้ไปที่ของตกแต่งไฟฟ้าบนหอคอยที่อยู่ไกลออกไปเล็กน้อย
“ หือ? เฮ้ อิทสึวะ ไอ้เจ้าโรงอาบน้ำบันเทิงที่เธอพูดถึงนั่น ใช่ตรงนั้นรึเปล่า? ”
“ อ๊ะ ดูเหมือนจะใช่นะคะ ”
“ แต่เหมือนจะคนเยอะน่าดูเลยนี่ ”
“ เอ๋ ก็จริงค่ะ ดูเหมือนว่าจะได้อันดับ 3 ในหมู่โรงอาบน้ำทั้งหมดเลยทีเดียว ”
“ ...ข้อมูลพรรค์นั้นมันมีประโยชน์เมื่อเราไปสู้กับอควาด้วยเรอะน่ะ? ” ถึงคามิโจจะงุนงง แต่อิทสึวะก็ไม่ใส่ใจ
“ มีปัญหาหรือคะ? ”
“ ไม่หรอก... จริงๆแล้ว ถ้าที่มันดังขนาดนั้นจริงๆ ก็เลยคิดว่าอาจจะได้เจอกับคนรู้จักก็ได้ ประมาณนั้นน่ะ "
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอระบายเล็กน้อย คราวนี้ทนไม่ไหวจริงๆ
พาร์ทนี้ผมอ่านไปถึงกับกุมขมับเลยครับ เจอความเทพของเทคโนโลยีเข้าไป เกือบได้พาราไปแล้วไง
แต่แปลมานานแล้ว ยังไม่ได้ขอบคุณทุกคนเลย ขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอดด้วยแล้วกันครับ
มิซากะ มิโคโตะหยุดเดิน เมื่อเห็นตึกขนาดใหญี่ที่ตั้งอยู่ต่อหน้า
ตึกที่ยืดลงไปจนถึงชั้นล่างสุดของเขต 22 ก็คือ ‘สุดยอดที่่พักตากอากาศยามฤดูใบไม้ผลิ’ ถ้าจะให้พูดง่ายๆก็คงจะพูดได้ว่า ตึกทั้งตึกนี้เป็นโรงอาบน้ำร้อนละมั้ง แต่ละชั้นของตึกต่างก็มีโรงอาบน้ำแบบที่มีสมุนไพร พลังงานไฟฟ้า คลื่นโซนิค และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แต่ถึงทั้งตึกจะเน้นไปที่โรงอาบน้ำ ก็ยังคงมีพื้นที่สำหรับร้านขายของ ร้านคาราโอเกะ ลานโยนโบว์ลิ่ง หรืออะไรเทือกนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน
จะบอกว่าเป็น ‘โรงอาบน้ำ’ ปกติธรรมดาตามประสาญี่ปุ่นก็คงจะไม่เหมาะนัก แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น ‘โรงอาบน้ำแบบพักผ่อนหย่อนใจ’ ล่ะก็คนละเรื่อง แบบนั้นสิใช่เลย ที่นี่ถูกสร้างขึ้นโดยมีเป้าหมายเป็นเหล่าเด็กนักเรียนทั้งหญิงชายที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป ( เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าเมืองแห่งการศึกษามีประชากรเป็นนักเรียนกว่า 80% ด้วยล่ะนะ ) ฉะนั้นดีไซน์ของตึกจึงถูกออกแบบมาให้ถูกใจกลุ่มคนอายุนั้น
เนื่องจากที่นี่เป็นสถาบันทางด้านการบันเทิง แน่นอนว่าต้องมีสระน้ำแบบ VIP แต่ว่า มิโคโตะนั้นไม่คิดจะไปที่แบบนั้นหรอก
“ ...สายรัดรูปเกะโคตะ จากโรงอาบน้ำ... ”
ถ้ามีใครสะสมการ์ดสะสม 10 ใบที่มีแสตมป์อยู่ได้ คนคนนั้นก็จะได้เจ้านั่นไปเป็นของรางวัญแบบฟรีๆ เพราะงั้นแหละ มิโคโตะถึงได้ถ่อมายัง ‘สุดยอดที่พักตากอากาศยามฤดูใบไม้ผลิ’ นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสายรัดนั่น เธอคงไม่ต้องทำลายกฎเคอร์ฟิวของทางหอพักแล้วเผ่นออกมา รวมทั้งจัดการชิราอิ คุโรโกะที่แอบติดตามมาเลยแท้ๆ
( อืม จริงๆจะให้คุโรโกะมาด้วยก็ได้... แต่ถ้ายัยนั่นรู้ว่าเราจะมาอาบน้ำ ยัยนั่นได้เข้าโหมดงูแล้วเข้ามารัดเราไปมาแหงเลยแฮะ )
ภาพนั้นลอยเข้าหัวของเธอทันที ทำให้มิโคโตะรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาซะอย่างนั้น เธอสั่นศีรษะไปมาเพื่อขจัดความคิดอันน่าสยดสยองนั่นทิ้งไป แล้วเข้าไปในตัวตึก เมื่อเข้าไปแล้ว เธอก็มาโผล่อยู่ในห้องโถง -- พอมองไปรอบๆแล้วก็เห็นว่าไม่มีจุดต้อนรับลูกค้า ดูเหมือนว่าจุดคิดเงินจะถูกตั้งอยู่หน้าทางเข้าห้องอาบน้ำแต่ละห้อง
มีกลุ่มคนกำลังโบกมือไปมาเป็นพัดให้ตัวเอง แล้วก็ยังมีพวกเด็กๆ ที่เบื่อการอาบน้ำเต็มทีแล้ว เล่นอยู่รอบๆมุมเกม หลังจากเดินฝ่าเหล่าฝูงชนจำนวนหนึ่งไป มิโคโตะก็ไปถึงลิฟต์
“ แล้วจะไปเก็บแสตมป์ได้ที่ไหนล่ะ... ”
เธอเดินผ่านโรงอาบน้ำคลื่นความถี่สูงไป เนื่องจากเธอเป็นอิเล็คโทรมาสเตอร์ ก็เลยไม่จำเป็นต้องใช้โรงอาบน้ำพลังไฟฟ้า พอทิ้งตัวเลือกเกี่ยวกับไฟฟ้าทั้งหมดไป โรงอาบน้ำที่เหลือก็มีอยู่แค่โรงอาบน้ำธรรมดาๆ ซึ่งมีสมุนไพรที่มีคุณสมบัติทางด้านการรักษาเป็นส่วนประกอบของน้ำเท่านั้น เอง ถ้าพูดไปแบบนั้นไม่ว่าใครๆก็คงงง แต่มันก็แค่วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิเคราะห์ส่วนประกอบของน้ำ แล้วก็เปลี่ยนองค์ประกอบของน้ำในสระให้มีคุณสมบัติเหมือนกับน้ำจากธรรมชาติ เท่านั้นเอง
“ จะบรรยายง่ายๆว่าทำให้น้ำสดชื่นขึ้นแทนไม่ได้รึไงนะ? ”
มิโคโตะพูดออกมาอย่างชัดเจนระหว่างที่ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ 8 เมื่อถึงทางเข้าโรงอาบน้ำ เธอก็จ่ายเงินที่จุดเก็บเงิน ขอยืมผ้าขนหนู รีบถอดเสื้อออกในพื้นที่เปลี่ยนเสื้อ ใช้ผ้าขนหนูสีอ่อนพันรอบร่างกาย เก็บของมีค่าไว้ในล็อกเกอร์เป็นการสิ้นเสร็จการเตรียมพร้อม
“ ( … สั้นสุดๆเลยนะเนี่ย ) ”
ปลายผ้าขนหนูสำหรับอาบน้ำยาวไปถึงแค่บริเวณต้นขาของเธอเท่านั้นเอง ถึงมิโคโตะจะดูกังวลอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังคงเปิดประตูเข้าไปในโรงอาบน้ำขนาดใหญ่อยู่ดี
คงจะไม่มีใครรู้ได้หรอกว่าตอนนี้ตนอยู่สูงจากชั้นล่างสุดซักเท่าไหร่ ก็เพราะว่าไม่มีหน้าต่างนั่นล่ะ ในเขต 22 นี้ไม่มีหน้าต่างเลยแม้แต่บานเดียว ถ้าจะมีอะไรที่จะเรียกว่าหน้าต่างได้ ก็คงจะเป็นช่องว่างบนกำแพงนั่นละมั้ง แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าที่นี่ตั้งอยู่บนภูเขาอะไรเทือกนั้น จะมีหน้าต่างบ้างก็คงไม่แปลกอะไร แต่บังเอิญว่ามันตั้งอยู่กลางเมืองนี่สิ ฉะนั้นการสร้างหน้าต่างไว้ในห้องอาบน้ำผู้หญิงเพื่อให้ลูกค้าชมวิวไปพลางอาบ น้ำไปพลางแบบนี้ให้ไปฆ่าตัวตายซะยังจะดีกว่า
ของตกแต่งในโรงอาบน้ำนั้นค่อนข้างจะธรรมดา มีสระน้ำอยู่ 3 สระ แต่ละสระก็จะมีอุณหภูมิไม่เท่ากัน บนกำแพงก็มีรูปภูเขาไฟฟูจิที่วาดจากน้ำมันอยู่ด้วย... ใช่ที่ไหนเล่า ที่อยู่บนกำแพงนั้นคือจอสีจากอนุภาคแม่เหล็กต่างหาก ว่ากันว่าจุดขายของเจ้าจอนี้ก็คือระบบที่สามารถทำให้อนุภาคสามารถเปลี่ยนสี ไปตามที่เราต้องการได้อย่างทันที และยังสามารถแสดงสีได้หลากหลายโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบไฟภายนอกเลยด้วย แต่เพราะว่ามันมีราคาแพงสุดๆนั่นล่ะ แถมจอโทรทัศน์ที่ใช้กันในตอนนี้ก็ไม่ได้แย่มากด้วย เพราะฉะนั้นนอกจากพวกบ้างานศิลปะหรือคนรักหนังแล้ว ก็ไม่ค่อยมีใครซื้อเจ้าเครื่องนี้มากนัก ช่างเป็นวัตถุที่น่าสงสารเสียจริงๆ
ดูเหมือนว่าจอพวกนี้จะมีระบบทัชสกรีนด้วย และมีเด็ก 2-3 คนกำลังใช้มันเพื่อแช็ทคุยกันอยู่ ‘มีจริงๆนา ก็บอกว่าเทวดาสีขาวโผล่มาจริงๆไงเล่า’ ‘มันจะเป็นไปได้ยังไง’ ‘จริงจริ้ง! ทางเมืองคงปิดข่าวไว้แหละ!’ กันไปแบบนั้นระหว่างที่แตะจออย่างต่อเนื่อง ผู้หญิงคนหนึ่งก็กำลังดูละครซีรี่ย์ผ่านหน้าจอเล็กๆอยู่เหมือนกัน
มิโคโตะเดินมาตรงห้องล้างตัวห้องหนึ่ง เธอทาบมือของเธอลงไปบนช่องเซนเซอร์ข้างๆ และหลังจากนั้นไม่นาน หมายเลข ‘ 38 องศา ’ ก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอ เจ้าเครื่องนี้จะทำการตรวจอุณหภูมิในร่างกายจากฝ่ามือ ก่อนที่จะเปลี่ยนอุณหภูมิของน้ำให้เหมาะสำหรับการล้างตัว
( ถ้าจะเอาแสตมป์ให้ครบ ก็น่าจะเข้าไปอาบในโรงอาบน้ำห้องหนึ่งซักพักก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนไปเข้าอีก ห้องหนึ่ง แล้วก็ทำแบบนั้นซ้ำๆไปจนกว่าจะได้ครบ -- ดีมั้ยนะ? หืม... ดูท่าจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดแฮะ... รู้อย่างงี้ ยอมเสี่ยงให้คุโรโกะมาด้วยจะได้แสตมป์ของ 2 คนดีกว่า ไม่สิ ไม่เห็นจะดีเลย...!? )
มิโคโตะคิดแบบนั้นไปมาระหว่างที่ล้างตัวไป แล้วจากนั้นก็ใช้น้ำร้อนๆเพื่อล้างฟองสบู่ไป
( จะว่าไปแล้ว นี่เราเก็บมาได้แค่ครึ่งเดียวเอง ยังอีกไกลกว่าจะได้เกะโคตะสินะ )
จริงๆแล้ว มิโคโตะเป็นคนไม่ชอบน้ำที่ร้อนจนเกินไป ฉะนั้นในสระทั้งสามสระ เธอจึงเลือกไปสระที่ดูเด็กๆมากที่สุด
ในนาทีนั้นเอง ที่มิโคโตะเกิดอาการอึ้งจนตัวแข็งติดกับที่
ผู้ที่อยู่ต่อหน้าเธอก็คือ แม่ชีที่มีผมสีเงินและมีดวงตาสีเขียว ที่เธอเคยเห็นมาหลายต่อหลายครั้ง
“ อ๋า เอ๋---!? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ!? ”
มิโคโตะกรีดร้องออกมา และอินเด็กซ์ที่กำลังแช่ตัวอยู่ในสระ ก็ลากนิ้วชี้ไปวางไว้ใกล้ๆริมฝีปากของเธอ
“ ...อยู่ในโรงอาบน้ำแบบนี้เนี่ย ต้องเงียบไว้สิ! ”
พอยัยนี่พูดมาแล้ว ก็จริงเหมือนกันแฮะ มิโคโตะจึงปิดปากเงียบแล้วก้าวลงไปในสระน้ำ
แล้วอินเด็กซ์ก็พูดขึ้นมาอีก
“ ...อย่าเอาผ้าขนหนูลงน้ำมาด้วยสิ! ”
ทั้งๆที่เป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ แต่มิโคโตะกลับถูกคนต่างชาติสั่งสอนเรื่องมารยาทในโรงอาบน้ำซะนี่ มิโคโตะรู้สึกตะหงิดๆเหมือนกับไม่เหมาะกันยังไงไม่รู้ แต่ก็ยังถอดผ้าขนหนูออกแล้วลงไปแช่ในน้ำ มีแค่บริเวณไหล่เท่านั้นที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ในตอนนั้นเอง ที่เธอสังเกตเห็นเด็กหญิงตาสองชั้นอยู่ข้างๆอินเด็กซ์ เธอจำลักษณะเฉพาะตัวของเด็กหญิงคนนี้ได้ทันที
ไม่สิ จะบอกว่ามิโคโตะรู้จักเด็กหญิงคนนี้ก็คงไม่ได้
“ อ๊ะ จริงสิ เธอน่ะคือคนที่โดนตาบ้านั่นกอดเอาเพราะไอ้ลูกฟุตบอลแปลกๆนั่น ใช่มั้ย!!? ”
เพราะจู่ๆมิโคโตะก็พูดแบบนั้นออกมา เด็กหญิงคนนั้นที่กำลังหลับตาอยู่ก็ส่งเสียงดัง ‘อ๊ายยย!!’ ออกมาแล้วก็หน้าแดง เธอสะบัดมือไปมาแล้วพูดไปว่า ‘ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่ไม่ใช่ไม่ใช่ ฉันฉันฉัน ฉัน-ฉัน-ฉัน...!!’ เหมือนกับพยายามจะหาข้ออ้างที่ฟังขึ้นแต่ก็หาไม่เจอ ในขณะนั้น คุณแม่ชีจากต่างประเทศก็อ้าปากออกเล็กน้อย เผยให้เห็นเขี้ยวที่ส่องสว่างอยู่ข้างใน
แต่มิโคโตะไม่ได้ยินที่เด็กหญิงที่ดูธรรมดาสามัญสุดๆคนนั้นพูดเลย
เธอจ้องไปที่ตัวเด็กหญิงคนนั้น ที่กำลังสะบัดมือไปมา ทำให้พอมองเห็นพื้นที่บริเวณหน้าอกได้ลางๆ ผ่านน้ำใส
( ดูจะใหญ่สุดๆเลยแฮะ... )
มิโคโตะทึ่ง เธอคิดว่าคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากจะยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี ขนาดซ่อนอยู่ใต้้น้ำำยังขนาดนี้ ถ้าเด็กหญิงที่สุดแสนจะธรรมดาสามัญคนนี้ลุกขึ้นมาเหนือน้ำ มิโคโตะคงจะรู้สึกสิ้นหวังอย่างทันทีแน่นอน
เด็กหญิงธรรมดาสามัญคนนั้นยังคงพูดต่อไป เธอพูดด้วยเสียงที่เบาแถมยังเร็วอีกต่างหาก หลังจากเห็นแบบนั้น มิโคโตะก็จำขึ้นมาได้
“ ( จะว่าไปแล้ว ยัยพวกนี้รู้ถึง ‘ ปัญหา’ ของตาบ้านั่นรึเปล่านะ? ) ”
การสูญเสียความทรงจำ
ตัวมิโคโตะเองเพิ่งจะรู้ถึงเรื่องนั้นเมื่อไม่นานมานี้เอง นี่เขาสูญเสียความทรงจำไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ? มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน? เธอไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยอะไรไปมากกว่านั้นแล้ว แต่พอเอาทั้งสองเรื่องนั้นมาคิดรวมกันแล้ว ก็ดูเหมือนว่าตาบ้านั่นพยายามจะซ่อนเรื่องที่ตัวเองสูญเสียความทรงจำอยู่... มิโคโตะคิดแบบนั้น
( ยัยพวกนี้...พวกนี้...ไม่รู้ว่าหมอนั่นสูญเสียความทรงจำ )
มิโคโตะแอบสังเกตอารมณ์ของพวกเธอ แน่นอน เพราะเธอไม่ใช่ผู้ที่มีพลังอ่านใจได้ ถึงจะแอบมองไปเธอก็คงไม่มีทางรู้ว่าพวกหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่แน่
มิซากะแช่ตัวอยู่ในน้ำระหว่างที่คิดไป
“ ( จะว่าำไปแล้ว ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะตาบ้านั่นแท้ๆเลย เรามันก็แค่คนแปลกหน้าเท่านั้นเองสินะ ถึงจะคิดมากซักเท่าไหร่ อะไรมันก็คงไม่พัฒนาอยู่แล้ว... ถึงเราจะเข้าใจดี แต่ก็... จะว่าไปอีกที ทำไมเราต้องไปกังวลเรื่องปัญหาของตาบ้านั่นด้วยเนี่ย ถ้าเรารู้สึกรำคาญใจ ก็น่าจะหยุดสนใจ บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง... ) ”
“ หา เอ๋--? ยัยผมสั้นจมน้ำร้อนไปแล้วอ่า!!!? ”
“ เธอจมน้ำน่ะค่ะ!!! รีบช่วยเธอเร็วเข้า!!! ”
“ ? ”
คามิโจ ที่ออกมาจากโรงอาบน้ำก่อน กำลังยืนอยู่หน้าเครื่องขายน้ำอัตโนมัติ เขากำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเลือกอะไรดีระหว่างชานมเย็นกับไอศครีม ในตอนนั้นเอง ‘ตึงตังตึงตังตึงตังตึงตัง’ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายทำให้ต้องหันกลับไปดู
เขาเห็นคุณหมอเพศหญิงหลายคนกำลังวิ่งออกจากห้อง:X้ภัยแล้วเข้าไปในสระน้ำของผู้หญิง แน่นอน อย่างเขาไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
( อา... ถ้าไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ก็ดีไปล่ะนะ )
ถ้าใช้วิธีนี้แล้ว ” จะช่วยทำให้อารมณ์ของอินเด็กซ์ ผ่อนคลายขึ้นได้ ” ล่ะก็ คราวหลังเราคงต้องเตรียมเนื้อ ปลา เครื่องปรุง และอีกมากมายไว้บ้างแล้วสิเนี่ย? ถึงคามิโจจะคล้อยตามความคิดนั้น... แต่เดี๋ยวสิ ถ้ายัยอินเด็กซ์รู้เข้าว่าเราแอบซ่อนอาหารไว้ ในเสี้ยววินาทีนั้นเธอก็จะพุ่งเข้ามากัดเราอยู่ดีเลยไม่ใช่รึไงกัน? คามิโจปรับเปลี่ยนความคิดของเขาใหม่อีกครั้ง ถึงมันจะดูเป็นความคิดที่ดี แต่วิธีการเตรียมการต่างหากเล่าที่ยากกว่า
ในเมื่อพวกเขากินข้าวไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือให้ทำอีก
วันนี้ทางโรงเรียนไม่ได้สั่งงานอะไรไว้ และคามิโจก็ไม่ใช่พวกที่จะไปเรียนหนังสือเพิ่มเติมด้วยตัวเองด้วย ฉะนั้นสิ่งที่เหลือจะต้องทำก็คือการอาบน้ำแล้วก็เข้านอน
แต่ทว่า ปัญหาก็ยังไม่หมด
“ ---นี่เธอใช้ฟองน้ำกับผงซักฟอกทำลายอ่างอาบน้ำได้ยังไงฟะเนี่ยห๊า อินเด็กซ์!?! ”
“ ถ-ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ที่ฉันทำน่ะก็ตามที่โทมะบอกทุกอย่าง แล้วก็แค่ถู ‘ ครืด ครืด ‘ ไปไม่กี่ครั้งเองนะ!! ”
เสียงตะโกนของทั้งคามิโจ และอินเด็กซ์ดังก้องไปทั่วถนนทางเดินยามค่ำคืน มีแค่อิทสึวะเท่านั้นที่ทำได้แค่ส่งรอยยิ้มที่พยายามแทบตายกว่าจะปั้นขึ้นมา ได้ให้
เหตุผลที่สามสหายมาอยู่บนถนนนี้ก็ง่ายๆเลย : อ่างอาบน้ำของคามิโจ ( พูดให้ถูกก็คือ ที่ทำน้ำอุ่น ) นั้น ได้รับความเสียหายอย่างแปลกประหลาดจนไม่สามารถใช้งานได้ ฉะนั้นสามสหายเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปใช้โรงอาบน้ำสาธารณะแทน
“ จะให้พนันก็ยังได้ว่าอินเด็กซ์ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของคุณคามิโจที่ว่าให้ถู มันดีๆอย่างถี่ถ้วนน่ะ! คิดๆดูแล้ว ทำไมอ่างอาบน้ำมันถึงส่งกลิ่นเหมือนพลาสติกใหม้ไฟออกมาล่ะ!? ขอเดานะ อินเด็กซ์ นี่เธอราดผงซักฟอกลงไปในอ่างแบบกะไม่ให้เหลือแม้แต่เศษไว้เลยใช่มั้ย เนี่ย!!? ”
“ เอ๋? แต่นายบอกว่าการจะทำอะไรให้สะอาดน่ะมันต้องราดผงซักฟอกเข้าว่าไปก่อน ไม่ใช่เหรอ? ”
“ ดีม้ากเลย! สุดยอดจอมเพี้ยนปรากฎตัวออกมาแล้วไง!! ต้องขอบพระคุณท่านจริงๆ ที่ทำน้ำอุ่นเลยไหม้วินาจสันตะโรหมด แถมพวกเรายังเกือบกลายเป็นศพไฟไหม้ตายคาที่ไปแล้วด้วย!!! ”
“ อ๊ะ อ๊ะฮะฮะ ม-แหม นานๆทีจะไปโรงอาบน้ำเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ไม่เลวไม่ใช่เหรอคะ? ”
อิทสึวะใช้ทักษะสัดกั้นขั้นเทพของเธอเพื่อเข้าไปสอดระหว่างบรรยากาศตึงเครียดของคามิโจ และอินเด็กซ์
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั้น แค่มีสิ่งใดมาปรับเปลี่ยนกระแสไหลเวียนต่างๆแค่นิดหน่อย พวกเขาเหล่านั้นก็สามารถเย็นใจไว้ได้แล้ว
“ ไม่คิดเลยนะคะ ว่าเมืองแห่งการศึกษาจะมีโรงอาบน้ำมากมายขนาดนี้ มีตั้งแต่โรงอาบน้ำสาธารณะชนไปยันน้ำพุร้อนตามธรรมชาติเลย... จริงสิ นี่อะไรน่ะ? ดูเหมือนจะเป็นห้องสปาขนาดไหนที่มีสื่อบันเทิงครับครันนะคะ ”
“ ...จะว่าไปแล้ว ทำไมอิทสึวะถึงมีรายละเอียดของเมืองแห่งการศึกษาซะละเอียดยิบแบบนี้เชียวล่ะ? ”
ขนาดคามิโจก็ยังไม่รู้ว่าเมืองแห่งการศึกษามีน้ำพุร้อนตามธรรมชาติกับเขาด้วย และเจ้าสิ่งที่อิทสึวะถืออยู่ก็ดูไม่เห็นเหมือนกับหนังสือไกด์ที่ทางเมือง แห่งการศึกษาได้ส่งออกจำหน่ายด้วยซ้ำ ดูเหมือนกับเป็นโน๊ตบุ๊คเก่าๆที่มีรอยฉีกขาดไปทั่วมากกว่า
“ ( … อ่า เรื่องนั้นน่ะ การเข้าใจสภาพภูมิศาสตร์รอบๆตัวน่ะเป็นสิ่งที่บอดี้การ์ดควรทำน่ะค่ะ ) ”
อิทสึวะพูดด้วยระดับเสียงที่อินเด็กซ์ไม่ได้ยิน
“ ( ...อีกอย่าง อควาก็มาจากฝั่งเวทมนตร์ด้วย ฉะนั้นถ้าฉันชินกับ “ กระแส ” ที่ไหลเวียนอย่ตามถนนได้ดี ก็คงจะช่วยทำให้ระบุตัวเขาได้ง่ายขึ้นอีกด้วยน่ะค่ะ ) ”
...การกระตือรือร้นกับงานน่ะก็ดีอยู่หรอก แต่ทั้งๆที่อควาจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ได้แบบนี้ แต่พวกแอนตี้-สกิลที่มีระบบรักษาภัยแน่นหนากลับไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย พอคิดแบบนั้นล่ะ คามิโจถึงได้รู้สึกอึกอัดใจขึ้นมาทันที
“ งั้น เจ้าโรงอาบน้ำสันทนาการที่เราจะไปกันนั่นอยู่ไหนกันล่ะ? ”
“ มืม... ดูเหมือนว่าจะอยู่ในเขต 22 น่ะค่ะ ที่ที่เราอยู่นี่คือเขต 7 หรือก็คือ มันตั้งอยู่ตรงมุมของเมืองแห่งการศึกษาค่ะ ”
“ ถ้าเป็นเขต 22 ก็... ถนนใต้ดินงั้นสินะ ”
ที่แห่งนั้นมีพื้นที่อยู่แค่ 2 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ในหมู่เขตที่เป็นแหล่งการเรียนทั้งหมดแล้วนั้น ที่นั่นเป็นที่ที่มีขนาดเล็กที่สุด แต่ทว่า สถานที่จริงๆของมันนั้นตั้งอยู่ใต้พื้นดินหลายร้อยเมตร ฉะนั้นจะพูดว่าเป็นเขตที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดก็ไม่ผิดเช่นกัน
“ หือ รถบัสคันสุดท้ายเพิ่งจะไปเมื่อกี้นี้เองแฮะ ”
อิทสึวะยังคงเปิดหน้ากระดาษเก่าๆของโน๊ตบุ๊คนั่นต่อไป
“ แต่ก็ไม่ได้ไกลมากนะคะ ถ้าไปยืมรถจักรยานยนต์ 3 ที่นั่งมาล่ะก็ จะไปถึงได้ทันทีเลย โชคดีจริงๆ ที่มีร้านให้เช่ารถอยู่ตรงนี้พอดี ”
“ เห? อิทสึวะขี่รถเครื่องเป็นด้วยเรอะเนี่ย? ”
“ อ๊ะ เอ่อ ถ้าจะให้พูดแบบตรงๆเลยก็พอได้ค่ะ จะเป็นรถยนต์ รถมอร์เตอร์ไซค์ เรือเล็กก็ด้วย... อ๊ะ แต่ถ้าเป็นเครื่องบินล่ะก็ไม่ไหวหรอกค่ะ แต่ถ้าเป็นเฮลิคอปเตอร์น่ะพอได้... ”
ดูจากน้ำเสียงอิทสึวะแล้ว ดูเหมือนว่าเธอยังคงรู้สึกว่าตัวเองยังไร้ซึ่งความสามารถอยู่มากมายมหาศาลเลยแฮะ
ไอ้การที่ขับเครื่องบินไม่เป็นนี่มันน่าเศร้าตรงไหนละเนี่ย?
“ ก็เพราะว่าเราเคยสังกัดอยู่ในญี่ปุ่น เครือข่ายการขนส่งก็เลยดีมาก เพราะงั้นจริงๆความสามารถที่ว่ามานั่นก็ไม่จำเป็นอะไรเลยค่ะ แต่...ก็มีงานบางอย่างเหมือนกัน ที่จำเป็นต้องให้เราไปโผล่ที่ทะเลทรายอันกว้างขวางไม่ก็ทุ่งหญ้าเขียวขจี ประมาณนั้นน่ะค่ะ ”
ดูเหมือนว่าอิทสึวะจะไม่ได้คุยโวโอ้อวดแฮะ แต่ดูเหมือนกับว่ากำลังมีคนเฝ้าดุด่าเธออยู่มากกว่าอีก เนื่องจากเสียงของเธอนั้นเบาลงเรื่อยๆจนตอนนี้ฟังยังไงก็ดูเหมือนกับว่าเป็น เสียงร้องหึ่งๆของยุงซะมากกว่าอีก แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้มีแค่ใบอนุญาติของญี่ปุ่นเท่านั้น จะเป็นของทางชาติเลยด้วยซ้ำ สำหรับคามิโจ ที่คิดว่าขอให้ขี่รถล้อเดียวเป็นก็สุดยอดมากแล้ว คนอย่างอิทสึวะนี่ช่างดูน่านับถือซะจริงๆ
วันนี้ เด็กหญิงปกติธรรมดาทั่วไปอย่างอิทสึวะกลับมีด้านต่างๆที่น่าตกใจจริงแฮะ นั่นเองที่ทำให้คามิโจรู้สึกซึ้งใจระหว่างที่เดินไปทางร้านให้เช่ารถใกล้ๆหอ พักนักเรียน ในเมืองแห่งการศึกษาที่เต็มไปด้วยเหล่านักศึกษาแบบนี้แล้ว ความต้องการใช้รถเครื่องนั้นอยู่สูงยิ่งกว่ารถยนต์ซะอีก
หลังจากที่เห็นราคาเช่าบนกระดานราคา คามิโจก็แสดงท่าทางเหมือนกับถูกฟ้าผ่าแสกหน้า
“ เอ่อ อ่า จริงด้วย เพราะอิทสึวะไม่ได้เป็นนักเรียนจากเขต 7 ก็เลยจะไม่ได้ส่วนลดราคาสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตนี่นา!! ”
“ เอ๋ ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ฉันเตรียมงบไว้ใช้สอยมาแล้วค่ะ ”
ถึงอิทสึวะจะพูดแบบนั้น แต่สำหรับคามิโจ ที่มีทักษะจำแนกของราวกับเป็นแม่บ้าน ก็พยายามจะเลือกรายการที่มีราคาถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นล่ะคือสามัญสำนึก
สุดท้าย พวกเขาก็เลือกทำรายการสำหรับเหล่าผู้ที่มาขึ้นรถเที่ยวสุดท้ายไม่ทัน แล้วกลับบ้านไม่ได้ เช่ารถเครื่องขนาดกลาง 2 ที่นั่ง แล้วก็ยังจ่ายพิเศษเพื่อเพิ่มรถพ่วงข้างๆอีกด้วย
ผู้ขับรถจักรยานยนต์ก็คืออิทสึวะ ผู้ที่นั่งข้างหลังก็คือคามิโจ และอินเด็กซ์นั่งอยู่ในรถพ่วง
“ โทมะ ฉันมองเห็นความตั้งใจของนายนะ รู้รึเปล่า? ”
“ ไม่ซะหน่อย ไม่เห็นมีความตั้งใจอะไรเลย เรียกว่า “ เลดี้ เฟิร์ส ” จะดีกว่ามากเลยล่ะ รถพ่วงน่ะนั่งสบายสุดแล้ว ฉะนั้นคุณคามิโจเลยไม่มีทางเลือกนอกจากจะให้เธอนั่งตรงนั้นไปไงล่ะ ”
คามิโจพยายามจะอธิบาย ส่วนอิทสึวะที่กำลังถูกกอดตรงบริเวณท้องน้อยนั้น กลับรู้สุกว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง
อิทสึวะพยายามจะช่วยอินเด็กซ์ใส่หมวกกันน็อกทับลงไปบนหมวกแม่ชีของเธอ แล้วจากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอพูดขึ้นว่า
“ จะว่าไป ทิ้งเจ้าเหมียวนั่นไว้ที่บ้านตัวเดียวแบบนั้นจะดีหรือคะ? ”
“ จะยังไง ก็เอาสัตว์เข้าโรงอาบน้ำไม่ได้อยู่แล้วนี่ จะยังไงเจ้าแมวนั่นก็คงจะเดินเป็นวงกลมไปเรื่อยๆล่ะ คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก ”
ในขณะนั้น เจ้าแมวสามสีก็กำลังยืนอยู่หน้ากระดานสำหรับขูดคุณภาพสูงที่อิทสึวะซื้อมา ให้ ‘ อะ-อะไรกัน!? กลิ่นมันชวนดึงดูดชะมัด แต่นี่ผมจะขูดมันได้โดยที่ไม่ทำให้ทุกคนโมโหได้จริงๆเหรอเนี่ย!? ’ คิดแบบนี้ไปมาในขณะที่ตัวเนื้อสั่นสะท้าน แน่นอน ว่าไม่มีใครเห็น
ก็แบบนั้นล่ะ เมื่ออินเด็กซ์สามารถใส่หมวกกันน็อคได้อย่างถูกต้องแล้ว อิทสึวะก็สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถมอร์เตอร์ไซค์
“ ว้าว ยามค่ำคืนของเมืองแห่งการศึกษานี่ดีจริงๆเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมหรือเสียงเครื่องยนต์ ก็ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจได้มากๆเลย พื้นถนนก็อยู่ในสภาพดีมากด้วยเหมือนกัน รู้สึกว่าอยากจะเร่งความเร็วขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ทำได้เมื่อนั้นเลยล่ะ... อา ถ้ารู้อย่างนี้ น่าจะลองเจ้าสิ่งอันสุดแสนจะโด่งดังของเมืองแห่งการศึกษาหน่อยดีกว่า เจ้ารถซูเปอร์มอเตอร์ไซค์ที่ใช้สนามพลังแม่เหล็กนั่นน่ะค่ะ เขาว่ากันว่าล้อและแกนนั้นถูกยึดเข้าด้วยกันโดยแม่เหล็ก ทำให้วงล้อรูปร่างคล้ายกับโดนัทสามารถฝ่าแก็สมอเตอร์ไปได้เชียวนะคะ ”
“ แหม ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรถเครื่องนักหรอกนะ แต่จะเอาเทคโนโลยี ‘ภายนอก’ มาเทียบได้ยังไงกันล่ะ แล้วก็นะ หวังว่าเธอจะช่วยขับอย่างปลอดภัย----ยัยบ้าอิทสึวะ นี่เร่งความเร็วขึ้นจริงๆเรอะเนี่ย!!? ”
คามิโจเพิ่มแรงกอดตรงเอวของอิทสึวะมากขึ้นด้วยสัญชาติญาณ แต่อิทสึวะที่กำลังมีความสุขแบบสุดๆกับปฎิกิริยานั่น กลับไม่สังเกตว่าตัวเองกำลังเร่งความเร็วซะงั้นแหละ
หอพักนักเรียนของคามิโจนั้นตั้งอยู่ตรงมุมของเขต 7 และจากที่นั่นไปยังเขต 22 ก็สามารถเดินไปถึงได้ง่ายๆ แต่ที่อิทสึวะคิดจะไปด้วยรถมอร์เตอร์ไซค์นั้นคงเป็นเพราะพวกเขาจะได้กลับ บ้านได้อย่างทันที เพราะว่าถ้าพวกเขาเดินไปเดินกลับ ร่างกายที่เพิ่งผ่านน้ำมาหมาดๆจะแห้งซะก่อน
พุ่งออกมาจากเขต 7 และเข้าสู่เขต 22 อินเด็กซ์ ที่นั่งอยู่บนรถพ่วง ก็เบิกตาออกกว้าง
“ หวาาาา! โทมะ ดูนั่นสิ รั้วตาข่ายล่ะ! รั้วตาข่ายขนาดยักษ์เลยล่ะ!! ”
พื้นถนนของเขต 22 นั้นจะแตกต่างออกไปจากเขตอื่นๆ ตรงที่พื้นถนนของที่นี่จะไม่มีตึกรามบ้านช่องอะไรอยู่เลย สิ่งที่มาอยู่แทนก็คือกังหันลมจำนวนมากมายมหาศาล และที่มากกว่านั้น กังหันลมทั้งหมดที่นี่นั้นจะแตกต่างออกไปจากที่อื่นๆด้วย เนื่องจากพวกมันไม่ได้เป็นแค่ ‘ตัวแทนสายเคเบิลส่งไฟฟ้า’ เท่านั้น มีโครงเหล็กเหมือนกับที่ใช้สร้างตึกครอบอยู่ แล้วก็ยังมีเสาแนวนอนเชื่อมต่อกันและกันไปเรื่อยๆด้วย แล้วพอเพิ่มกังหันลมสูง 30 ชั้นจำนวนมากเข้าไป มันก็ดูเหมือนกับโครงร่างอะไรบางอย่างขึ้นมา และนั่นก็คือ ‘รั้วตาข่ายขนาดยักษ์’ ในมุมมองของอินเด็กซ์
อิทสึวะหมุนแฮนด์รถ หันรถไปสู่ทางเข้าของถนนใต้ดิน แล้วก็พูดขึ้น
“ จากนี้ไปเขต 22 จะยืดลงไปเบื้องล่าง ฉะนั้นเลยไม่สามารถใช้ไฟฟ้าที่สร้างมาจากพลังงานลม หรือมาจากแสงอาทิตย์ได้ค่ะ แต่ใต้ดินนั้นจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก ฉันก็เลยได้ยินมาว่าเมืองแห่งการศึกษาเตรียมแหล่งกำเนิดพลังงานอื่นๆไว้ทั่ว เมืองน่ะค่ะ ”
อิทสึวะที่มีความรู้มากกว่าที่คาดคิด ขี่รถผ่านประตูทรงสี่เหลี่ยมแล้วขับไปตามทางใต้ดิน
พื้นที่ในใต้ดินเขต 22 นั้นมีรูปทรงเป็นเหมือนกับทรงกระบอก ถ้าไม่ได้นับประตูทางเข้าเพิ่มไปในเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 กิโลเมตรด้วยน่ะนะ ทางถนนนั้นลาดลงไปเรื่อยๆ โค้งเป็นวงราวกับก้นหอย ดูจากป้ายต่างๆที่ชี้ทางไปโน่นไปนี่แล้ว จะเห็นว่าเป็นป้ายแบบที่มักใช้ในร้านตัดผม
ในทางถนนที่ยังคงลาดยาวลงไปเป็นรูปก้นหอยนี้ มีแสงสว่างสีส้มส่องจ้ามาจากพื้น หลังจากที่เห็นลักษณะเด่นที่ไม่เหมือนกับถนนอื่นๆแบบนี้ อินเด็กซ์ก็ยกมือขึ้นมาแล้วร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น
คามิโจได้กลิ่นแก๊สที่ถูกปล่อยออกมาจากท่อรถ แล้วพูดกับอิทสึวะ
“ ถนนใต้ดินนี่ ไม่เหมาะกับญี่ปุ่นเลยแฮะ ตอนมีแผ่นดินไหวคงน่ากลัวเป็นบ้าเลยล่ะ ถึงกำแพงจะแข็งแกร่งได้ขนาดไหน ถ้าเกิดแผ่นดินไหวที่แรงจนพื้นสะเทือน มันก็พังหมดอยู่ดีล่ะ ”
“ ที่นี่ไร้ภัยแผ่นดินไหวจริงๆนะคะ เช่น ถนนก้นหอยนี่มันก็เหมือนกับสปริงขนาดใหญ่นั่นล่ะค่ะ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวเมื่อไหร่มันก็จะทำการดูดกลืนแรงกระแทกเข้าไป นี่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหรอคะ? ”
“ ...ก็แค่ข่าวลือไม่มีหลักฐานอะไรเท่านั้นล่ะน่า จะว่าไปนะ อิทสึวะ ทำไมเธอถึงต้องไปตรวจเจ้าสิ่งที่ไม่มีอยู่บนพิมพ์เขียว โครงร่าง แล้วก็ไม่ใช่เรื่องจริงด้วยละเนี่ย? ”
“ อ๊ะ อะฮะฮะ ” อิทสึวะหัวเราะแห้งๆออกมา
“ ไงก็เหอะ เจ้าโรงอาบน้ำบันเทิงที่ว่านั่นมันอยู่ตรงไหนล่ะ? ”
“ อืม เหมือนว่าจะอยู่บนชั้น 3 นะคะ ”
“ โทมะ เจ้า ‘ไคโซ’ ที่ว่านี่อะไรเหรอ? เป็นผักประเภทหนึ่งงั้นเหรอ? ” ( เพิ่มเติม : คำว่า “ ชั้น ” และ “ สาหร่ายทะเล ” มีคำสะกดในภาษาญี่ปุ่นว่า “ ไคโซ ” ( かいそう ) เหมือนกันครับ )
“ ไม่ใช่สาหร่าย ชั้นต่างหากเล่า เขต 22 น่ะแยกชั้นใต้ตินออกเป็น 10 ชั้น และตอนนี้เราก็กำลังจะไปที่ชั้นที่ 3 ไงล่ะ ”
ระหว่างที่พูดนั้น พวกเขาก็พอจะมองเห็นชั้นที่ 3 ได้แล้ว -- เห็นทางเข้าที่อยู่ลึกลงไปกว่าตรงนี้ 90 เมตร อิทสึวะเปิดไฟหน้าขึ้น ลดความเร็วลงเมื่อค่อยๆเข้าไปใกล้ประตูนั่น
หลังจากข้ามผ่านประตูทรงสี่เหลี่ยมไปแล้ว ดวงตาของพวกเขาก็เบิกโพลงขึ้น
“ หวาา...!! ”
อินเด็กซ์ตะโกนออกมา
ถ้าในถนนทางลาดมีแสงสีส้มล่ะก็ ที่นี่ก็มีแสงสีฟ้าอ่อนๆ ในบริเวณเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 กิโลเมตรนี้ เพดานได้กลายไปเป็นจอฉายภาพดวงดาว ที่ถ่ายมาจากกล้องขนาดรอบเมืองรวมกันเป็น ‘ท้องฟ้ายามราตรี’ เส้นทางใกล้ๆก็ใช้สีคล้ายๆกัน ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเรากำลังเคลื่อนที่ไปตามหมู่ดาวยังไงยังงั้น
จากพื้นไปยันกำแพง พวกเขาขี่รถผ่านจอดูดาวไปตามห้องโถง จะว่าไปแล้ว ดาดฟ้าของชั้นใต้ดินนี้มันดูเหมือนกับเพดานของหอกีฬาเลยแฮะ ที่มีแท่งเหล็กคอยเป็นตัวพยุงเหมือนกันน่ะ มีแท่งเหล็กมากมายเพื่อช่วยผ่อนผันน้ำหนักให้กันและกัน แต่ถึงจะดูไปยังไง แค่แท่งเหล็กบางๆแบบนี้ไม่น่าจะรองรับน้ำหนักมหาศาลแบบนี้ได้ไหวแน่ๆ แสดงว่าต้องมีวิธีอื่นๆอีกละมั้ง
อินเด็กซ์ที่ยังคงนั่งอยู่บนรถพ่วงมองไปมารอบๆตัว
“ ที่นี่ใต้ดินจริงๆเหรอ!? ทั้งๆที่มีแม่น้ำแล้วก็ป่าไม้แบบนี้ด้วยเนี่ยนะ!! ”
“ ที่เห็นเป็นป่านั่นน่ะ พวกเขาใช้หอคอยทางด้านการเกษตรปลูกมันขึ้นมาน่ะค่ะ นอกจากจะช่วยชำระล้างอากาศได้แล้ว ก็ยังมีบทบาทช่วยให้ผู้คนรู้สึกสงบนิ่งได้อีกด้วยน่ะค่ะ และแม่น้ำนั่นก็คือแห่งกำเนิดพลังงานสำคัญค่ะ มันจะไหลเวียนไปทุกระดับชั้น และแต่ละชั้นก็ใช้พลังงานการไหลของน้ำนั่นล่ะมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า ”
รู้สึกว่าวันนี้อิทสึวะจะรับบทเป็นไกด์นำเที่ยวบนรสบัสยังไงยังงั้นเลยแฮะ
อินเด็กซ์เอียงหัวของเธอแล้วถามขึ้นมา
“ อิทสึวะ ทำไมถึงต้องการพลังงานไฟฟ้าขนาดนั้นด้วยล่ะ? ”
“ เอ่อ อืมม... พลังงานส่วนใหญ่นั้นจะถูกนำไปใช้ดูดอากาศเข้ามาในใต้ดินนี่น่ะค่ะ พวกเขาจะทำการดูดออกซิเจนมาจากบนพื้นดิน ลบคาร์บอนไดออกไซด์ทิ้งไป แบบนั้นน่ะค่ะ แล้วก็ยังจำเป็นต้องใช้ดูดน้ำฝนและน้ำประปาที่ใช้แล้วขึ้นมาด้วย สรุปก็คือจำเป็นต้องดูดทุกอย่างขึ้นมาหมดนั่นล่ะค่ะ ฉะนั้นพลังงาน 40% ของเมืองแห่งการศึกษาจึงถูกส่งไปให้เครื่องดูดเป็นส่วนใหญ่ พลังงานบางส่วนก็ยังถูกนำไปใช้เป็นตัวเปิดปิดอีกด้วยค่ะ
“ และเนื่องจากพลังงานไฟฟ้าครึ่งหนึ่งของเมืองแห่งการศึกษานั้นจะถูกสร้างขึ้น มาจากแรงลม ถึงพวกเขาจะใช้พลังงานไปมากซักเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพลังงานหมดหรือการทำลายสภาพแวดล้อมเลยค่ะ ทางด้านต่างประเทศนั้น เนื่องจากผู้คนต่างก็ส่งเสียงประท้วงเนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ฉะนั้นถ้าจะให้ไปสร้างเมืองที่ใช้พลังงานทดแทนธรรมชาติแบบนั้นคงจะไม่ได้รับ การสนับสนุนแน่ล่ะค่ะ... และที่เมืองแห่งการศึกษามีถนนใต้ดินแบบนี้ก็เพราะว่าความกว้างของเมืองนั้น มีจำกัด ถ้าเป็นพวกประเทศใหญ่ๆก็คงจะไม่คิดสร้างถนนใต้ดินอะไรหรอกค่ะ ”
( ก็นะ ถึงจะไปนำเสนอความคิดนี้ได้สำเร็จ สุดท้ายก็จะมีปัญหาอื่นตามมาทดแทนอยู่ดีนั่นล่ะ )
รถมอร์เตอร์ไซค์เสริมด้วยรถพ่วงยังคงมุ่งหน้าต่อไปท่ามกลางค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
คามิโจ ที่นั่งอยู่บนเบาะหลัง ชี้ไปที่ของตกแต่งไฟฟ้าบนหอคอยที่อยู่ไกลออกไปเล็กน้อย
“ หือ? เฮ้ อิทสึวะ ไอ้เจ้าโรงอาบน้ำบันเทิงที่เธอพูดถึงนั่น ใช่ตรงนั้นรึเปล่า? ”
“ อ๊ะ ดูเหมือนจะใช่นะคะ ”
“ แต่เหมือนจะคนเยอะน่าดูเลยนี่ ”
“ เอ๋ ก็จริงค่ะ ดูเหมือนว่าจะได้อันดับ 3 ในหมู่โรงอาบน้ำทั้งหมดเลยทีเดียว ”
“ ...ข้อมูลพรรค์นั้นมันมีประโยชน์เมื่อเราไปสู้กับอควาด้วยเรอะน่ะ? ” ถึงคามิโจจะงุนงง แต่อิทสึวะก็ไม่ใส่ใจ
“ มีปัญหาหรือคะ? ”
“ ไม่หรอก... จริงๆแล้ว ถ้าที่มันดังขนาดนั้นจริงๆ ก็เลยคิดว่าอาจจะได้เจอกับคนรู้จักก็ได้ ประมาณนั้นน่ะ "
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอระบายเล็กน้อย คราวนี้ทนไม่ไหวจริงๆ
พาร์ทนี้ผมอ่านไปถึงกับกุมขมับเลยครับ เจอความเทพของเทคโนโลยีเข้าไป เกือบได้พาราไปแล้วไง
แต่แปลมานานแล้ว ยังไม่ได้ขอบคุณทุกคนเลย ขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอดด้วยแล้วกันครับ
มิซากะ มิโคโตะหยุดเดิน เมื่อเห็นตึกขนาดใหญี่ที่ตั้งอยู่ต่อหน้า
ตึกที่ยืดลงไปจนถึงชั้นล่างสุดของเขต 22 ก็คือ ‘สุดยอดที่่พักตากอากาศยามฤดูใบไม้ผลิ’ ถ้าจะให้พูดง่ายๆก็คงจะพูดได้ว่า ตึกทั้งตึกนี้เป็นโรงอาบน้ำร้อนละมั้ง แต่ละชั้นของตึกต่างก็มีโรงอาบน้ำแบบที่มีสมุนไพร พลังงานไฟฟ้า คลื่นโซนิค และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แต่ถึงทั้งตึกจะเน้นไปที่โรงอาบน้ำ ก็ยังคงมีพื้นที่สำหรับร้านขายของ ร้านคาราโอเกะ ลานโยนโบว์ลิ่ง หรืออะไรเทือกนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน
จะบอกว่าเป็น ‘โรงอาบน้ำ’ ปกติธรรมดาตามประสาญี่ปุ่นก็คงจะไม่เหมาะนัก แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น ‘โรงอาบน้ำแบบพักผ่อนหย่อนใจ’ ล่ะก็คนละเรื่อง แบบนั้นสิใช่เลย ที่นี่ถูกสร้างขึ้นโดยมีเป้าหมายเป็นเหล่าเด็กนักเรียนทั้งหญิงชายที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป ( เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าเมืองแห่งการศึกษามีประชากรเป็นนักเรียนกว่า 80% ด้วยล่ะนะ ) ฉะนั้นดีไซน์ของตึกจึงถูกออกแบบมาให้ถูกใจกลุ่มคนอายุนั้น
เนื่องจากที่นี่เป็นสถาบันทางด้านการบันเทิง แน่นอนว่าต้องมีสระน้ำแบบ VIP แต่ว่า มิโคโตะนั้นไม่คิดจะไปที่แบบนั้นหรอก
“ ...สายรัดรูปเกะโคตะ จากโรงอาบน้ำ... ”
ถ้ามีใครสะสมการ์ดสะสม 10 ใบที่มีแสตมป์อยู่ได้ คนคนนั้นก็จะได้เจ้านั่นไปเป็นของรางวัญแบบฟรีๆ เพราะงั้นแหละ มิโคโตะถึงได้ถ่อมายัง ‘สุดยอดที่พักตากอากาศยามฤดูใบไม้ผลิ’ นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสายรัดนั่น เธอคงไม่ต้องทำลายกฎเคอร์ฟิวของทางหอพักแล้วเผ่นออกมา รวมทั้งจัดการชิราอิ คุโรโกะที่แอบติดตามมาเลยแท้ๆ
( อืม จริงๆจะให้คุโรโกะมาด้วยก็ได้... แต่ถ้ายัยนั่นรู้ว่าเราจะมาอาบน้ำ ยัยนั่นได้เข้าโหมดงูแล้วเข้ามารัดเราไปมาแหงเลยแฮะ )
ภาพนั้นลอยเข้าหัวของเธอทันที ทำให้มิโคโตะรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาซะอย่างนั้น เธอสั่นศีรษะไปมาเพื่อขจัดความคิดอันน่าสยดสยองนั่นทิ้งไป แล้วเข้าไปในตัวตึก เมื่อเข้าไปแล้ว เธอก็มาโผล่อยู่ในห้องโถง -- พอมองไปรอบๆแล้วก็เห็นว่าไม่มีจุดต้อนรับลูกค้า ดูเหมือนว่าจุดคิดเงินจะถูกตั้งอยู่หน้าทางเข้าห้องอาบน้ำแต่ละห้อง
มีกลุ่มคนกำลังโบกมือไปมาเป็นพัดให้ตัวเอง แล้วก็ยังมีพวกเด็กๆ ที่เบื่อการอาบน้ำเต็มทีแล้ว เล่นอยู่รอบๆมุมเกม หลังจากเดินฝ่าเหล่าฝูงชนจำนวนหนึ่งไป มิโคโตะก็ไปถึงลิฟต์
“ แล้วจะไปเก็บแสตมป์ได้ที่ไหนล่ะ... ”
เธอเดินผ่านโรงอาบน้ำคลื่นความถี่สูงไป เนื่องจากเธอเป็นอิเล็คโทรมาสเตอร์ ก็เลยไม่จำเป็นต้องใช้โรงอาบน้ำพลังไฟฟ้า พอทิ้งตัวเลือกเกี่ยวกับไฟฟ้าทั้งหมดไป โรงอาบน้ำที่เหลือก็มีอยู่แค่โรงอาบน้ำธรรมดาๆ ซึ่งมีสมุนไพรที่มีคุณสมบัติทางด้านการรักษาเป็นส่วนประกอบของน้ำเท่านั้น เอง ถ้าพูดไปแบบนั้นไม่ว่าใครๆก็คงงง แต่มันก็แค่วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิเคราะห์ส่วนประกอบของน้ำ แล้วก็เปลี่ยนองค์ประกอบของน้ำในสระให้มีคุณสมบัติเหมือนกับน้ำจากธรรมชาติ เท่านั้นเอง
“ จะบรรยายง่ายๆว่าทำให้น้ำสดชื่นขึ้นแทนไม่ได้รึไงนะ? ”
มิโคโตะพูดออกมาอย่างชัดเจนระหว่างที่ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ 8 เมื่อถึงทางเข้าโรงอาบน้ำ เธอก็จ่ายเงินที่จุดเก็บเงิน ขอยืมผ้าขนหนู รีบถอดเสื้อออกในพื้นที่เปลี่ยนเสื้อ ใช้ผ้าขนหนูสีอ่อนพันรอบร่างกาย เก็บของมีค่าไว้ในล็อกเกอร์เป็นการสิ้นเสร็จการเตรียมพร้อม
“ ( … สั้นสุดๆเลยนะเนี่ย ) ”
ปลายผ้าขนหนูสำหรับอาบน้ำยาวไปถึงแค่บริเวณต้นขาของเธอเท่านั้นเอง ถึงมิโคโตะจะดูกังวลอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังคงเปิดประตูเข้าไปในโรงอาบน้ำขนาดใหญ่อยู่ดี
คงจะไม่มีใครรู้ได้หรอกว่าตอนนี้ตนอยู่สูงจากชั้นล่างสุดซักเท่าไหร่ ก็เพราะว่าไม่มีหน้าต่างนั่นล่ะ ในเขต 22 นี้ไม่มีหน้าต่างเลยแม้แต่บานเดียว ถ้าจะมีอะไรที่จะเรียกว่าหน้าต่างได้ ก็คงจะเป็นช่องว่างบนกำแพงนั่นละมั้ง แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าที่นี่ตั้งอยู่บนภูเขาอะไรเทือกนั้น จะมีหน้าต่างบ้างก็คงไม่แปลกอะไร แต่บังเอิญว่ามันตั้งอยู่กลางเมืองนี่สิ ฉะนั้นการสร้างหน้าต่างไว้ในห้องอาบน้ำผู้หญิงเพื่อให้ลูกค้าชมวิวไปพลางอาบ น้ำไปพลางแบบนี้ให้ไปฆ่าตัวตายซะยังจะดีกว่า
ของตกแต่งในโรงอาบน้ำนั้นค่อนข้างจะธรรมดา มีสระน้ำอยู่ 3 สระ แต่ละสระก็จะมีอุณหภูมิไม่เท่ากัน บนกำแพงก็มีรูปภูเขาไฟฟูจิที่วาดจากน้ำมันอยู่ด้วย... ใช่ที่ไหนเล่า ที่อยู่บนกำแพงนั้นคือจอสีจากอนุภาคแม่เหล็กต่างหาก ว่ากันว่าจุดขายของเจ้าจอนี้ก็คือระบบที่สามารถทำให้อนุภาคสามารถเปลี่ยนสี ไปตามที่เราต้องการได้อย่างทันที และยังสามารถแสดงสีได้หลากหลายโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบไฟภายนอกเลยด้วย แต่เพราะว่ามันมีราคาแพงสุดๆนั่นล่ะ แถมจอโทรทัศน์ที่ใช้กันในตอนนี้ก็ไม่ได้แย่มากด้วย เพราะฉะนั้นนอกจากพวกบ้างานศิลปะหรือคนรักหนังแล้ว ก็ไม่ค่อยมีใครซื้อเจ้าเครื่องนี้มากนัก ช่างเป็นวัตถุที่น่าสงสารเสียจริงๆ
ดูเหมือนว่าจอพวกนี้จะมีระบบทัชสกรีนด้วย และมีเด็ก 2-3 คนกำลังใช้มันเพื่อแช็ทคุยกันอยู่ ‘มีจริงๆนา ก็บอกว่าเทวดาสีขาวโผล่มาจริงๆไงเล่า’ ‘มันจะเป็นไปได้ยังไง’ ‘จริงจริ้ง! ทางเมืองคงปิดข่าวไว้แหละ!’ กันไปแบบนั้นระหว่างที่แตะจออย่างต่อเนื่อง ผู้หญิงคนหนึ่งก็กำลังดูละครซีรี่ย์ผ่านหน้าจอเล็กๆอยู่เหมือนกัน
มิโคโตะเดินมาตรงห้องล้างตัวห้องหนึ่ง เธอทาบมือของเธอลงไปบนช่องเซนเซอร์ข้างๆ และหลังจากนั้นไม่นาน หมายเลข ‘ 38 องศา ’ ก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอ เจ้าเครื่องนี้จะทำการตรวจอุณหภูมิในร่างกายจากฝ่ามือ ก่อนที่จะเปลี่ยนอุณหภูมิของน้ำให้เหมาะสำหรับการล้างตัว
( ถ้าจะเอาแสตมป์ให้ครบ ก็น่าจะเข้าไปอาบในโรงอาบน้ำห้องหนึ่งซักพักก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนไปเข้าอีก ห้องหนึ่ง แล้วก็ทำแบบนั้นซ้ำๆไปจนกว่าจะได้ครบ -- ดีมั้ยนะ? หืม... ดูท่าจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดแฮะ... รู้อย่างงี้ ยอมเสี่ยงให้คุโรโกะมาด้วยจะได้แสตมป์ของ 2 คนดีกว่า ไม่สิ ไม่เห็นจะดีเลย...!? )
มิโคโตะคิดแบบนั้นไปมาระหว่างที่ล้างตัวไป แล้วจากนั้นก็ใช้น้ำร้อนๆเพื่อล้างฟองสบู่ไป
( จะว่าไปแล้ว นี่เราเก็บมาได้แค่ครึ่งเดียวเอง ยังอีกไกลกว่าจะได้เกะโคตะสินะ )
จริงๆแล้ว มิโคโตะเป็นคนไม่ชอบน้ำที่ร้อนจนเกินไป ฉะนั้นในสระทั้งสามสระ เธอจึงเลือกไปสระที่ดูเด็กๆมากที่สุด
ในนาทีนั้นเอง ที่มิโคโตะเกิดอาการอึ้งจนตัวแข็งติดกับที่
ผู้ที่อยู่ต่อหน้าเธอก็คือ แม่ชีที่มีผมสีเงินและมีดวงตาสีเขียว ที่เธอเคยเห็นมาหลายต่อหลายครั้ง
“ อ๋า เอ๋---!? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ!? ”
มิโคโตะกรีดร้องออกมา และอินเด็กซ์ที่กำลังแช่ตัวอยู่ในสระ ก็ลากนิ้วชี้ไปวางไว้ใกล้ๆริมฝีปากของเธอ
“ ...อยู่ในโรงอาบน้ำแบบนี้เนี่ย ต้องเงียบไว้สิ! ”
พอยัยนี่พูดมาแล้ว ก็จริงเหมือนกันแฮะ มิโคโตะจึงปิดปากเงียบแล้วก้าวลงไปในสระน้ำ
แล้วอินเด็กซ์ก็พูดขึ้นมาอีก
“ ...อย่าเอาผ้าขนหนูลงน้ำมาด้วยสิ! ”
ทั้งๆที่เป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ แต่มิโคโตะกลับถูกคนต่างชาติสั่งสอนเรื่องมารยาทในโรงอาบน้ำซะนี่ มิโคโตะรู้สึกตะหงิดๆเหมือนกับไม่เหมาะกันยังไงไม่รู้ แต่ก็ยังถอดผ้าขนหนูออกแล้วลงไปแช่ในน้ำ มีแค่บริเวณไหล่เท่านั้นที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ในตอนนั้นเอง ที่เธอสังเกตเห็นเด็กหญิงตาสองชั้นอยู่ข้างๆอินเด็กซ์ เธอจำลักษณะเฉพาะตัวของเด็กหญิงคนนี้ได้ทันที
ไม่สิ จะบอกว่ามิโคโตะรู้จักเด็กหญิงคนนี้ก็คงไม่ได้
“ อ๊ะ จริงสิ เธอน่ะคือคนที่โดนตาบ้านั่นกอดเอาเพราะไอ้ลูกฟุตบอลแปลกๆนั่น ใช่มั้ย!!? ”
เพราะจู่ๆมิโคโตะก็พูดแบบนั้นออกมา เด็กหญิงคนนั้นที่กำลังหลับตาอยู่ก็ส่งเสียงดัง ‘อ๊ายยย!!’ ออกมาแล้วก็หน้าแดง เธอสะบัดมือไปมาแล้วพูดไปว่า ‘ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่ไม่ใช่ไม่ใช่ ฉันฉันฉัน ฉัน-ฉัน-ฉัน...!!’ เหมือนกับพยายามจะหาข้ออ้างที่ฟังขึ้นแต่ก็หาไม่เจอ ในขณะนั้น คุณแม่ชีจากต่างประเทศก็อ้าปากออกเล็กน้อย เผยให้เห็นเขี้ยวที่ส่องสว่างอยู่ข้างใน
แต่มิโคโตะไม่ได้ยินที่เด็กหญิงที่ดูธรรมดาสามัญสุดๆคนนั้นพูดเลย
เธอจ้องไปที่ตัวเด็กหญิงคนนั้น ที่กำลังสะบัดมือไปมา ทำให้พอมองเห็นพื้นที่บริเวณหน้าอกได้ลางๆ ผ่านน้ำใส
( ดูจะใหญ่สุดๆเลยแฮะ... )
มิโคโตะทึ่ง เธอคิดว่าคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากจะยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี ขนาดซ่อนอยู่ใต้้น้ำำยังขนาดนี้ ถ้าเด็กหญิงที่สุดแสนจะธรรมดาสามัญคนนี้ลุกขึ้นมาเหนือน้ำ มิโคโตะคงจะรู้สึกสิ้นหวังอย่างทันทีแน่นอน
เด็กหญิงธรรมดาสามัญคนนั้นยังคงพูดต่อไป เธอพูดด้วยเสียงที่เบาแถมยังเร็วอีกต่างหาก หลังจากเห็นแบบนั้น มิโคโตะก็จำขึ้นมาได้
“ ( จะว่าไปแล้ว ยัยพวกนี้รู้ถึง ‘ ปัญหา’ ของตาบ้านั่นรึเปล่านะ? ) ”
การสูญเสียความทรงจำ
ตัวมิโคโตะเองเพิ่งจะรู้ถึงเรื่องนั้นเมื่อไม่นานมานี้เอง นี่เขาสูญเสียความทรงจำไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ? มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน? เธอไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยอะไรไปมากกว่านั้นแล้ว แต่พอเอาทั้งสองเรื่องนั้นมาคิดรวมกันแล้ว ก็ดูเหมือนว่าตาบ้านั่นพยายามจะซ่อนเรื่องที่ตัวเองสูญเสียความทรงจำอยู่... มิโคโตะคิดแบบนั้น
( ยัยพวกนี้...พวกนี้...ไม่รู้ว่าหมอนั่นสูญเสียความทรงจำ )
มิโคโตะแอบสังเกตอารมณ์ของพวกเธอ แน่นอน เพราะเธอไม่ใช่ผู้ที่มีพลังอ่านใจได้ ถึงจะแอบมองไปเธอก็คงไม่มีทางรู้ว่าพวกหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่แน่
มิซากะแช่ตัวอยู่ในน้ำระหว่างที่คิดไป
“ ( จะว่าำไปแล้ว ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะตาบ้านั่นแท้ๆเลย เรามันก็แค่คนแปลกหน้าเท่านั้นเองสินะ ถึงจะคิดมากซักเท่าไหร่ อะไรมันก็คงไม่พัฒนาอยู่แล้ว... ถึงเราจะเข้าใจดี แต่ก็... จะว่าไปอีกที ทำไมเราต้องไปกังวลเรื่องปัญหาของตาบ้านั่นด้วยเนี่ย ถ้าเรารู้สึกรำคาญใจ ก็น่าจะหยุดสนใจ บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง... ) ”
“ หา เอ๋--? ยัยผมสั้นจมน้ำร้อนไปแล้วอ่า!!!? ”
“ เธอจมน้ำน่ะค่ะ!!! รีบช่วยเธอเร็วเข้า!!! ”
“ ? ”
คามิโจ ที่ออกมาจากโรงอาบน้ำก่อน กำลังยืนอยู่หน้าเครื่องขายน้ำอัตโนมัติ เขากำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเลือกอะไรดีระหว่างชานมเย็นกับไอศครีม ในตอนนั้นเอง ‘ตึงตังตึงตังตึงตังตึงตัง’ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายทำให้ต้องหันกลับไปดู
เขาเห็นคุณหมอเพศหญิงหลายคนกำลังวิ่งออกจากห้อง:X้ภัยแล้วเข้าไปในสระน้ำของผู้หญิง แน่นอน อย่างเขาไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เอ้า ขอโดนใจ+น้ำใจ
เเล้วจะมาลงต่อ เร้วววว
สงคราม ระหว่าง
โบสต์โรมันคาทอริก vs โบสถ์ อังกฤษ
จึงได้เริ่มต้นขึ้น
สปอยล์ นิยาย To Aru Majutsu No index เล่ม 16
[IMG]