แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย deadzero เมื่อ 2014-1-19 22:10
เอกสารนี้ถูกพบโดยศาสตราจารย์ เคนโร่ แห่งนครเมโทร ในขณะที่ท่านกำลังสำรวจเส้นทางบนเกาะมอนสเตอร์แลนด์ ท่านได้ ทำการแปลมันเป็นภาษาปัจจุบัน และส่งให้ทางหอสมุดแห่งเมโทรซิตี้ ส่วนต้นฉบับเดิมนั้น ไม่ปรากฏนามผู้เขียน หรือบอกเลยว่าเขียนในตอนไหน จึงได้แต่คาดการกันว่า อาจอยู่ในช่วงสามร้อยปีที่แล้ว
I
ต้นกำเนิดแท้จริงของเงาร้าย
เงาร้ายแห่งรูเทอร์เลีย หรือเมารอสเดอะดาร์กเนส แท้จริงแล้ว มันไม่ได้ถูกทิ้งไว้ในสมัยยุคโบราณ แต่มันถือกำเนิดขึ้นในยุคปัจจุบัน (ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงที่เมารอสเริ่ม ทำการโจม ตีรูเทอร์เลีย)
ต้นกำเนิดที่แท้จริงของมันนั้นมันไม่เคยเอ่ยปากบอกผู้ใดเลย เว้นแต่ข้าได้ที่แอบไปเห็น ตอนที่มันกำลังพักกายาเรื่องราวมากมายได้ไหลออกมาจากตัวของมันในยามที่มัน พักผ่อน ซึ่งตัวข้าได้รับรู้ถึงเรื่องราวเมื่อสมัยที่มันยังเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่ และข้า จะเล่าให้พวกเจ้าทั้งหลายได้ฟัง....
กาลหนึ่ง เมื่อสมัยที่ทุกเผ่าพันธุ์ยังอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ณ อาณาจักรที่เป็นจุดเริ่มต้นของเวทมนต์ทั้งหมดบนโลกเหล่าผู้คนในที่แห่งนี้ ถูกเรียกขานจากเผ่าพันธุ์อื่นว่า“ เหล่าเทพ ” และพวกเขาคือเผ่าเดียวที่สามารถใช้เวทมนต์ได้ในขณะนั้น เทพทุกๆองค์มีเวทมนต์ในแบบของตัวเอง พวกเขามีหน้าตาและรูปร่างที่งดงามทั้งชายหญิง เมืองของพวกเขามีเมตตาต่อเผ่าพันธุ์อื่น เหล่าเทพช่วยเหลือทุกเผ่าพันธุ์เพื่อให้มีชีวิตอย่างสันติสุขได้ตลอดมา
ทว่า ณ ดินแดนของเหล่าเทพนั้นยังมีเทพหนุ่มน้อยคนนึง นาม อาคาส อาคาสเป็นเทพกำพร้า เขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าพ่อและแม่ของเขาอยู่ที่ใดและที่สำคัญ อาคาสใช้เวทมนต์ไม่ได้
อาคาสถูกเลี้ยงดูโดยหัวหน้าสภาเทพ ที่มีนามว่า เพโลดิน... เพโลดินพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมอาคาสถึงไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้เฉกเช่นเทพองค์อื่น เขาพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อช่วยหนุ่มน้อยอาคาสในการหาพลังที่แท้จริงของตนเอง แต่ไม่ว่าจะทำอย่าง ไรเพโลดินก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดอาคาสจึงใช้เวทย์มนตร์ไม่ได้ และแม้ว่าเพโลดิน และเหล่าเทพคนอื่นๆ จะปลอบใจอาคาสมากเพียงใด แต่อาคาสก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย อาคาสมักจะไปนั่งอยู่ที่สวนกลางเมือง ที่เขาทำเช่นนี้เพราะเขารู้สึกว่าตน เองนั้นไม่เหมือนใคร เขาเลยคิดว่าตัวเองนั้นเป็นตัวประหลาด แม้เทพทุกองค์จะไม่เคยว่าเขาเลยก็ ตาม แต่เขาก็ยังคงคิดเช่นนั้น
จนกระทั่งหลานสาวของเพโลดิน มีลาน่า ได้เดินทางกลับมาจากการไปประจำการที่ดินแดนอื่น นางได้รับฟังเรื่องของอาคาสจากเทพคนอื่นๆ และนางจึงอาสาที่จะไปช่วยทำให้อาคาสดีขึ้นนางได้ไปหาเขา และพูดคุยด้วยหลายครั้ง จนนานๆเข้า จิตใจของอาคาสก็เริ่มดีขึ้น เหล่าเทพทุกองค์ต่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากอาคาสเองก็เช่นกัน อาคาสและมิลาน่า มักจะไปไหนด้วยกันเสมอ จนบางครั้งเทพองค์อื่นก็ชอบพูดล้อทั้งสองคนนี้ว่าเหมือนคู่รักกัน มิลาน่ากับอาคาสมักจะช่วยงานเพโลดินอยู่บ่อยๆ เพราะช่วงหลังๆเพโลดินแก่ ตัวลงไปมาก ถึงอย่างนั้นเทพทุกองค์ก็ยังใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุขตลอดอีกนาน หลายปี
จนกระทั่ง เหล่าสัตว์ร้ายแห่งขุมนรก ได้ทำลายพันธะสัญญาที่ให้ไว้ ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกเป็นอันขาด พวกมันออกมา และเริ่มเข่นฆ่าทุกชีวิตทุกเผ่าพันธุ์ที่พวกมันเจอ เหล่าเทพทั้งหมด เริ่มเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับต่อสู้โดยที่มีเผ่าพันธุ์อื่นๆเข้าร่วมด้วย จนกระทั่งจ้าวนรก นาม เดสเบอรส์ ได้ยกกองทัพนรกของมันมา เพื่อต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับเหล่าผู้รอดชีวิต ในตอนนี้เหล่าเทพและเผ่าพันธุ์ทั้งหมด ได้เข้าต่อสู้กับกองทัพนรก อาคาสกับมิลาน่าเองก็อยากเข้าร่วม แต่เพราะเพโลดินอาการเริ่มแย่ลง เทพองค์อื่นจึงสั่งให้ทั้งสองอยู่เพื่อดูแลเพโลดิน
แต่ว่าเหล่ากองทัพนรกนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก พวกมันฝ่าทะลวงเข้าไปในเมืองของเหล่าเทพ และพยายามบุกเข้าไปในห้องของเพโลดิน ในตอนนั้นไม่มีผู้ใดเลยที่จะปกป้องทั้งสามคนได้แล้ว อาคาสเห็นสถานการณ์ เริ่มไม่ดี เขาจึงเดินออกไปเผชิญหน้าเดสเบอรส์ แม้เพโลดินกับมิลาน่าจะพยายามห้ามอาคาสแต่ในตอนนี้อาคาสไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขาเผชิญหน้ากับเดสเบอรส์ ร่างของมันเป็นเหล็กดำและมีเปลวเพลิงลุกจากช่องว่างทั่วตัว มันสบตากับเขา อาคาสรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวในดวงตาของมัน เขารู้เลยว่ามันกำลังคิดอะไร เดสเบอรส์กำลังขบขันกับการที่ได้เห็นหนุ่มน้อยที่ไม่มีแม้กระทั่งพลังออกมาเผชิญหน้ากับมัน เดสเบอรส์หัวเราะอย่างชั่วร้ายเสียงของมันนั้นน่ากลัว และสยดสยองอย่างยิ่งจนมิสามารถพรรณนาเป็นคำพูดได้ จากนั้นเดสเบอรส์ก็สั่งให้เหล่านักรบของมันถอยไปข้างหลัง แล้วมันก็พูดขึ้นว่า “ ไอ้เด็กสวะนี่ ข้าขอ “มันวางดาบลง และเดินสาวเท้าเข้ามาหาอาคาส แล้วพูดว่า “ข้าว่า เจ้ามันดูคุ้นๆนะ“ อาคาสสงสัยว่าทำไมเดสเบอรส์จึงพูดอย่างงั้น มันหมายความว่ายังไงกันแน่ แต่ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้นเอง เดสเบอรส์ก็ปล่อยหมัดเข้าที่ท้องของอา คาสอย่างแรง จนเขาล้มลงกับพื้น ความเจ็บปวดที่เขาได้รีบที่ท้องนั้นมันเจ็บปวดเกินกว่าที่เขาจะทนไหว เหล่ากองทัพนรกหัวเราะอย่างชอบใจ เดสเบอรส์ยกเท้าของมันขึ้นมา และปล่อยลงเหยียบบนศีรษะของอาคาสอย่างแรง กองทัพนรกส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆบางตนบอกตะโกนบอกแก่นายของมันว่า “ แรงกว่านี้นายท่าน“ เดสเบอรส์ก็ทำตามที่ลูกน้องมันต้องการ มันยกเท้าขึ้นและปล่อยลงบนศีรษะของอาคาสพร้อมทั้งเหยียบย้ำศีรษะของอาคาสไป ด้วย อาคาสตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดอย่างมากจนมิอาจจะบรรยายได้ เขาจึงได้แต่กัดฟัน ทนความเจ็บในตอนนี้
แต่แล้วก็มีแสงสว่างสีฟ้าเกิดขึ้น และเดสเบอรส์ที่กระเด็นออกไปจากตัวอาคาส เป็นมิลาน่าที่ออกมาช่วยอาคาส เหล่ากองทัพนรกเมื่อเห็นนายของมันโดนทำร้ายเข้าพวกมันก็เตรียมจะกรูเข้ามา แต่เดสเบอรส์ก็ตะโกนขึ้น “ อย่าเข้ามา ข้าจัดการเอง ” มันลุกขึ้นและเดินกลับไปหามิลาน่า มิลาน่ารีบพยุงตัวของอาคาสขึ้น เดสเบอรส์เดินเข้าไปหาทั้งสอง “ สาวน้อยเจ้าอยากช่วยมันมากนัก ก็มาแบ่งความสนุกจากมันไปหน่อยสิ” มันพูดขึ้น อาคาสเองในตอนนี้สติเริ่มเลือนลางแล้ว เขาได้แต่มองเดสเบอรส์เดินเข้ามาอย่างช้าๆ มิลาน่าไม่รู้เลย ว่าในตอนนี้เธอจะสู้กับมันได้ยังไง พลังเมื่อกี้เธอก็ไม่สามารถใช้ต่อได้แล้ว เพราะตอนนี้เธอไม่เหลือพลังเวทในตัวแล้ว
เธอได้แต่ดึงตัวของอาคาสออกให้ห่างจากจุดนั้นให้มากที่สุด และแล้วเดสเบอรส์ก็เข้ามาใกล้ทั้งสองมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ มันยื่นมือออก มา และจับเข้าที่คอของมิลาน่า มันยกตัวสาวน้อยขึ้นกลางอากาศ เธอได้พยายามดิ้นรนออกจากกำมือของจ้าวนรก แต่แรงของเด็กผู้หญิงคนนึงจะไปสู้อะไรกับมันได้ เดสเบอรส์เริ่มออกแรงไปที่คอของมิลาน่าทีละนิดๆ เธอเริ่มรู้สึกหายใจไม่ได้ เธอพยายามแกะมือของมันออก อาคาสได้แต่นอนดูมิลาน่าโดนทำแบบนั้น เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยเดสเบอรส์เริ่มมีความสุขกับการได้ทรมานมิลาน่า กองทัพนรกส่งเสียงร้องออกมาตลอดเวลาจนกระทั่ง อาคาสได้ยินเสียงนึงพูดขึ้นในหัวของเขา
“ ลุกขึ้น ” เสียงของชายคนนึงพูดขึ้น แต่อาคาสไม่มีแรงจะทำเลยด้วยซ้ำ“ ข้าบอกให้ลุกขึ้นไง “ เสียงนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง อาคาสจึงใช้แรงที่เหลือทั้งหมดดันตัวเองขึ้นจากพื้น เขาประคองตัวเองให้ยืนขึ้น เขาพูดกับเดสเบอรส์ว่า “ ไอ้ขี้ขลาดเอ้ย อย่าทำร้ายผู้หญิงสิวะ “ เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดอย่างนั้นออกไป เดสเบอรส์มองมาที่เขา แล้วมันก็โยนตัวของมิลาน่าไปทางอาคาส เขารีบไปดูสภาพของเธอ คอของเธอมีรอยแดงและเธอยังหมดสติไปด้วย แต่ก็ยังหายใจอยู่ เดสเบอรส์เดินเข้ามาหาอาคาส แล้วมันก็ใช้มือของมัน เหวี่ยงไปที่หน้าของอาคาสอย่างแรง “ปากดีจริงนะไอ้หนู กลัวคู่รักของแกตายหรือไง “ อาคาสรีบลุกขึ้น ตอนนี้เขารู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในตัวของเขา “ สู้มันสิ เจ้าทำได้อยู่แล้ว “ เสียงปริศนานั้นพูด อาคาสไม่รู้ว่าจะสู้ได้ยังไง เขาจึงวิ่งเข้าใส่เดสเบอรส์ และเตะเข้าที่กลางลำตัวของมัน ซึ่งมันไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย และในตอนนี้อาคาสเริ่มรู้สึกกลัว แล้ว “ ใช้พลังซะ เจ้าทำได้ “ เสียงนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้อาคาสลองใช้พลังดู เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีพลังในตัวของเขาหรือไม่ เขาลองเพ่งสมาธิมีลำเสียงสีม่วงดำพุ่งออกมาจากตาของเขา แสงนั้นพุ่งไปที่ใบหน้าของเดสเบอรส์ เหล่ากองทัพนรกของเดสเบอรส์เริ่มทำท่าหวาดกลัว เหมือนกับพวกมันรับรู้ได้ว่าพลังของอาคาสคืออะไร
อาคาสเมื่อปล่อยพลังนี้ออกไป เขาได้เห็น เห็นอดีตที่แท้จริงของเดสเบอรส์ มันเคยเป็นเทพ แต่มันไปเปิดกล่องอะไรบางอย่าง มันถูกแสงสีเลือดพุ่งเข้าใส่ตัว จากเทพธรรมดาได้กลายเป็นอสูรร้าย จากหนุ่มรูปงาม กลายสัตว์ร้ายที่มีไฟลุกท่วมตัว เหล่าเทพทั้งหมด จึงทำการเปิดขุมนรกเบื้องล่างให้มัน ตลอดเวลาที่มันอยู่ข้างใต้ จิตใจของมันหมกมุ่นแต่ความโกธร ความแค้นความกลัว ความเศร้า มันเริ่มจับทุกสิ่งที่อยู่ในขุมนรกมาฝึกให้เป็นนักรบเพื่อสักวันมันจะได้กลับไป และมันก็ทำได้สำเร็จ สายลำแสงสีม่วงดำของอาคาสหลุดออกจากตัวเดสเบอรส์ในตอน นี้ เขารู้สึกปวดหัวอย่างมาก เหมือนมีอะไรหลายๆอย่างพุ่งเข้าไปในหัวของเขา เดสเบอรส์กระเด็นออกไปจากตรงนั้น มันลุกขึ้นมาในตอนนี้ หน้ากากเหล็กสีดำของมันแตกออกตรงมุมปากซ้าย ภายในเป็นช่วงฟันกรามของคนธรรมดา แต่มีเปลวไฟอยู่ภายในนั้น มันส่งสัญญาณบางอย่างให้ลูกน้องของมัน จากนั้น พวกมันก็รีบหนีออกไปจากจุดนั้นเดสเบอรส์ได้หันมาบอกกับอาคาส “ อีกไม่นาน ไอ้หนุ่มอีกไม่นานหรอก “ แล้วมันก็จากไป
หลังจากเหตุการณ์นั้น เทพองค์อื่นๆที่จัดการเหล่ากองทัพนรกที่เหลือ และได้เริ่มทำการรักษาผู้บาดเจ็บมีหลายคนที่ไปดูอาการของมิลาน่ากับอาคาส มิลาน่านั้นแค่เจ็บที่คอจากการถูกบีบอย่างแรง แต่อาคาสเขายืนตัวสั่นเทา สายตาเขาบ่งบอกเลยว่ากลัวอย่างมาก เทพคนนึงเขาไปเพื่อจะช่วยเขา แต่แล้วอาคาสได้ทำการปล่อยพลังนั้นออกมาอีก ในครั้งนี้มันไม่ได้ออกมาเป็นแสงสีม่วงดำแล้ว แต่เป็นเหมือนเปลวไฟนรกออกมาจากมือของเขา เขาเริ่มอาละวาดอย่างรุนแรง กว่าทุกคนจะหยุดเขาได้ ก็มีคนเจ็บบาดเจ็บจำนวนมาก เหล่าเทพทุกองค์เริ่มหวาดกลัวเขา เว้นแต่มิลาน่ากับเพโลดิน เทพทั้งหมดลงความเห็นแล้วว่าจะให้เขาอยู่กับคนอื่นๆไม่ได้ พวกเขาจึงสร้างคุกแบบพิเศษขึ้นมาเพื่อกักขังอาคาส มิลาน่าและเพโลดินคัดค้านเรื่องนี้อย่างเต็มที่ แต่พวกเทพนั้นได้รับรู้ ถึงสิ่งที่เรียกว่า ความกลัว ไปเสียแล้ว...
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในคุก มีเพียงมิลาน่าเท่านั้นที่มาเยี่ยมอาคาส เธอมาเพื่อปลอบใจเขา และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกให้เขาฟัง อาคาสเองก็ยังคงดีใจที่ยังเหลือ มิลาน่าอยู่เคียงข้าง
แต่แล้ว มิลาน่าก็ไม่มาเยี่ยมเขาอีกเลย เขาได้แต่ทนอยู่ในความมืด รอเพียงใครสักคนจะมาเปิดประตูห้องขังนี้ ที่ทั้งมืด และเหน็บหนาว นานเท่าไรเขาก็ไม่อาจจะบอกได้เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าข้างนอกเป็นเช่นใด จนกระทั่ง “สวัสดี“ เสียงบางอย่างดังขึ้น เจ้าของเสียงคือ อีกาสีดำที่มีดวงตาแดงเข้มมันเข้ามาได้ยังไร ทั้งๆที่ประตูข้างนอกยังคงปิดอยู่ “ ไม่น่าเชื่อเลยตั้ง 200 ปี ยังเหลือเทพอยู่อีกหรอ “ มันพูดกับเขา อาคาสตกใจกับคำพูดของมัน เขาอยู่ในนี้มานานขนาดนี้แล้วงั้นหรอ “ แล้วตอนนี้ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง “อาคาสถามอีกาตัวนั้นด้วยความหวัง
“ อ่อพวกกองทัพนรกสิ้นไปหมดแล้ว แต่พวกเทพก็เหมือนกัน เห็นตายกันหมดเลยละ “
“ แล้วเจ้าเห็นผู้หญิงคนนึงไหม“
“ อ่อคนที่ชอบมาหาเจ้าบ่อยๆน่ะหรอ หลังจบศึกข้าก็เห็นเดินเข้าไปในป่าโครววู้ดแล้วหายไปเลยละ“
“ แล้วเจ้าไม่เห็นอะไรต่อจากนั้นเลยหรอ“
“ ไม่เลยแต่นางอาจตายไปแล้วละมั้ง และยิ่งสภาพแบบนั้นแล้วด้วย “
อาคาสรู้สึกกังวล เหล่าเทพสูญสิ้นไปแล้วอย่างงั้นรึแล้วมิลาน่าเข้าไปในป่านั้นทำไมกัน
“ แต่ว่านะข้าว่าเจ้าน่าจะออกมาได้แล้วละ ทนอยู่ไปได้ยังไงสองร้อยปี “ เจ้าอีกาบอกกับเขา
อาคาสจึงลองเขย่ากรงของเขาดูมันพังลงอย่างง่ายๆ ซึ่งบ่งบอกว่าเจ้าอีกาตัวนี้พูดความจริงเขาเปิดประตูและเดินออกมานอกกรงขัง ข้างนอกเปลี่ยนไปอย่างมากไม่เหลือเมืองที่มีเหล่าเทพเดินพุ่มพล่าน ตอนนี้เหลือเพียงแค่ซากเมืองที่มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น
อาคาสเริ่มออกวิ่งเป็นครั้งแรกในรอบสองร้อยปี โดยมีเจ้าอีกาตัวนั้นบินตามมาเขาพยายามหาตัวของมิลาน่า แม้ว่าจะไม่รู้สถานที่นั้นเลยก็ตาม เขาวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง เขาทรุดตัวลงเขาก็ตระหนักได้ว่า ตอนนี้เขาคงไม่มีโอกาสได้พบกับนางแล้ว
ตอนนั้นเอง มีความทรงจำบางอย่างพุ่งเข้ามาในหัวของเขา มันเป็นเรื่องราวของอะไรบางอย่างที่ผสมปนเปกันจนมั่วไปหมด เขาเริ่มร้องด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างพุ่งเข้าไปในหัวของเขาอย่างแรง เจ้าอีกาบินถลาลงกับพื้นและมองอาคาสอย่างสงสัย ในที่สุดอาคาสลุกขึ้น แววตาของเขาเปลี่ยนไป และเขาก็เดินกลับไปที่เมืองเก่าของเทพ อาคาสเข้าไปในห้องที่เขาเคยอยู่ แล้วเขาก็เดินไปที่ผนังห้องนั้นและทุบมันจนแตก ข้างในเป็นห้องโล่งๆที่เก็บชุดเกราะและอาวุธไว้มากมาย
“ ท่านดูได้ไงว่ามันอยู่ในนี้“ เจ้าอีกาถามอาคาส
“ ในนี้มันบอกข้าหมดแล้วละ“ เขาพูดพลางชี้ไปที่หัวของเขา
อาคาเดินเข้าไปและเขาก็เลือกชุดเกราะเหล็กขนาดใหญ่ ที่ตอนนี้มีลักษณะสนิมกัดกินและมีรอยที่บ่งบอกว่ามันเคยเป็นสีขาวมาก่อน จากนั้นเขาเดินไปที่กองหมวกเหล็ก และหยิบหมวกที่หน้าหมวกเป็นรูปหัวกระโหลกขึ้นมา จากนั้นเขาหยิบดาบขนาดใหญ่ออกมาจากช่องเก็บของ
และเขาก็เดินออกมาจากห้องนั้นและเริ่มเดินออกไปเรื่อยๆ
“ท่านกำลังจะไปไหนงั้นรึ“ เจ้าอีกาถาม
“ ไปสร้างกองทัพของข้าไงละ“ เขาพูด ก่อนที่จะสวมหมวกลายหัวกละโหลกนั่น เจ้าอีกาสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร มันและเขาก็ยังคงเดินทางต่อไปเรื่อยๆๆ
ความทรงจำของข้าที่ได้รับรู้ในตอนนั้นมันจบเพียงเท่านี้ เพราะเมารอสได้ตื่นขึ้นเสียก่อน ซึ่งตัวข้าก็มิอาจตอบได้ว่าตัวจริงของ เมารอส ใช่ อาคาส หรือไม่....
เอกสารนี้ถูกพบโดยศาสตราจารย์ เคนโร่ แห่งนครเมโทร ในขณะที่ท่านกำลังสำรวจเส้นทางบนเกาะมอนสเตอร์แลนด์ ท่านได้ ทำการแปลมันเป็นภาษาปัจจุบัน และส่งให้ทางหอสมุดแห่งเมโทรซิตี้ ส่วนต้นฉบับเดิมนั้น ไม่ปรากฏนามผู้เขียน หรือบอกเลยว่าเขียนในตอนไหน จึงได้แต่คาดการกันว่า อาจอยู่ในช่วงสามร้อยปีที่แล้ว
I
ต้นกำเนิดแท้จริงของเงาร้าย
เงาร้ายแห่งรูเทอร์เลีย หรือเมารอสเดอะดาร์กเนส แท้จริงแล้ว มันไม่ได้ถูกทิ้งไว้ในสมัยยุคโบราณ แต่มันถือกำเนิดขึ้นในยุคปัจจุบัน (ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงที่เมารอสเริ่ม ทำการโจม ตีรูเทอร์เลีย)
ต้นกำเนิดที่แท้จริงของมันนั้นมันไม่เคยเอ่ยปากบอกผู้ใดเลย เว้นแต่ข้าได้ที่แอบไปเห็น ตอนที่มันกำลังพักกายาเรื่องราวมากมายได้ไหลออกมาจากตัวของมันในยามที่มัน พักผ่อน ซึ่งตัวข้าได้รับรู้ถึงเรื่องราวเมื่อสมัยที่มันยังเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่ และข้า จะเล่าให้พวกเจ้าทั้งหลายได้ฟัง....
กาลหนึ่ง เมื่อสมัยที่ทุกเผ่าพันธุ์ยังอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ณ อาณาจักรที่เป็นจุดเริ่มต้นของเวทมนต์ทั้งหมดบนโลกเหล่าผู้คนในที่แห่งนี้ ถูกเรียกขานจากเผ่าพันธุ์อื่นว่า“ เหล่าเทพ ” และพวกเขาคือเผ่าเดียวที่สามารถใช้เวทมนต์ได้ในขณะนั้น เทพทุกๆองค์มีเวทมนต์ในแบบของตัวเอง พวกเขามีหน้าตาและรูปร่างที่งดงามทั้งชายหญิง เมืองของพวกเขามีเมตตาต่อเผ่าพันธุ์อื่น เหล่าเทพช่วยเหลือทุกเผ่าพันธุ์เพื่อให้มีชีวิตอย่างสันติสุขได้ตลอดมา
ทว่า ณ ดินแดนของเหล่าเทพนั้นยังมีเทพหนุ่มน้อยคนนึง นาม อาคาส อาคาสเป็นเทพกำพร้า เขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าพ่อและแม่ของเขาอยู่ที่ใดและที่สำคัญ อาคาสใช้เวทมนต์ไม่ได้
อาคาสถูกเลี้ยงดูโดยหัวหน้าสภาเทพ ที่มีนามว่า เพโลดิน... เพโลดินพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมอาคาสถึงไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้เฉกเช่นเทพองค์อื่น เขาพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อช่วยหนุ่มน้อยอาคาสในการหาพลังที่แท้จริงของตนเอง แต่ไม่ว่าจะทำอย่าง ไรเพโลดินก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดอาคาสจึงใช้เวทย์มนตร์ไม่ได้ และแม้ว่าเพโลดิน และเหล่าเทพคนอื่นๆ จะปลอบใจอาคาสมากเพียงใด แต่อาคาสก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย อาคาสมักจะไปนั่งอยู่ที่สวนกลางเมือง ที่เขาทำเช่นนี้เพราะเขารู้สึกว่าตน เองนั้นไม่เหมือนใคร เขาเลยคิดว่าตัวเองนั้นเป็นตัวประหลาด แม้เทพทุกองค์จะไม่เคยว่าเขาเลยก็ ตาม แต่เขาก็ยังคงคิดเช่นนั้น
จนกระทั่งหลานสาวของเพโลดิน มีลาน่า ได้เดินทางกลับมาจากการไปประจำการที่ดินแดนอื่น นางได้รับฟังเรื่องของอาคาสจากเทพคนอื่นๆ และนางจึงอาสาที่จะไปช่วยทำให้อาคาสดีขึ้นนางได้ไปหาเขา และพูดคุยด้วยหลายครั้ง จนนานๆเข้า จิตใจของอาคาสก็เริ่มดีขึ้น เหล่าเทพทุกองค์ต่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากอาคาสเองก็เช่นกัน อาคาสและมิลาน่า มักจะไปไหนด้วยกันเสมอ จนบางครั้งเทพองค์อื่นก็ชอบพูดล้อทั้งสองคนนี้ว่าเหมือนคู่รักกัน มิลาน่ากับอาคาสมักจะช่วยงานเพโลดินอยู่บ่อยๆ เพราะช่วงหลังๆเพโลดินแก่ ตัวลงไปมาก ถึงอย่างนั้นเทพทุกองค์ก็ยังใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุขตลอดอีกนาน หลายปี
จนกระทั่ง เหล่าสัตว์ร้ายแห่งขุมนรก ได้ทำลายพันธะสัญญาที่ให้ไว้ ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกเป็นอันขาด พวกมันออกมา และเริ่มเข่นฆ่าทุกชีวิตทุกเผ่าพันธุ์ที่พวกมันเจอ เหล่าเทพทั้งหมด เริ่มเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับต่อสู้โดยที่มีเผ่าพันธุ์อื่นๆเข้าร่วมด้วย จนกระทั่งจ้าวนรก นาม เดสเบอรส์ ได้ยกกองทัพนรกของมันมา เพื่อต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับเหล่าผู้รอดชีวิต ในตอนนี้เหล่าเทพและเผ่าพันธุ์ทั้งหมด ได้เข้าต่อสู้กับกองทัพนรก อาคาสกับมิลาน่าเองก็อยากเข้าร่วม แต่เพราะเพโลดินอาการเริ่มแย่ลง เทพองค์อื่นจึงสั่งให้ทั้งสองอยู่เพื่อดูแลเพโลดิน
แต่ว่าเหล่ากองทัพนรกนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก พวกมันฝ่าทะลวงเข้าไปในเมืองของเหล่าเทพ และพยายามบุกเข้าไปในห้องของเพโลดิน ในตอนนั้นไม่มีผู้ใดเลยที่จะปกป้องทั้งสามคนได้แล้ว อาคาสเห็นสถานการณ์ เริ่มไม่ดี เขาจึงเดินออกไปเผชิญหน้าเดสเบอรส์ แม้เพโลดินกับมิลาน่าจะพยายามห้ามอาคาสแต่ในตอนนี้อาคาสไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขาเผชิญหน้ากับเดสเบอรส์ ร่างของมันเป็นเหล็กดำและมีเปลวเพลิงลุกจากช่องว่างทั่วตัว มันสบตากับเขา อาคาสรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวในดวงตาของมัน เขารู้เลยว่ามันกำลังคิดอะไร เดสเบอรส์กำลังขบขันกับการที่ได้เห็นหนุ่มน้อยที่ไม่มีแม้กระทั่งพลังออกมาเผชิญหน้ากับมัน เดสเบอรส์หัวเราะอย่างชั่วร้ายเสียงของมันนั้นน่ากลัว และสยดสยองอย่างยิ่งจนมิสามารถพรรณนาเป็นคำพูดได้ จากนั้นเดสเบอรส์ก็สั่งให้เหล่านักรบของมันถอยไปข้างหลัง แล้วมันก็พูดขึ้นว่า “ ไอ้เด็กสวะนี่ ข้าขอ “มันวางดาบลง และเดินสาวเท้าเข้ามาหาอาคาส แล้วพูดว่า “ข้าว่า เจ้ามันดูคุ้นๆนะ“ อาคาสสงสัยว่าทำไมเดสเบอรส์จึงพูดอย่างงั้น มันหมายความว่ายังไงกันแน่ แต่ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้นเอง เดสเบอรส์ก็ปล่อยหมัดเข้าที่ท้องของอา คาสอย่างแรง จนเขาล้มลงกับพื้น ความเจ็บปวดที่เขาได้รีบที่ท้องนั้นมันเจ็บปวดเกินกว่าที่เขาจะทนไหว เหล่ากองทัพนรกหัวเราะอย่างชอบใจ เดสเบอรส์ยกเท้าของมันขึ้นมา และปล่อยลงเหยียบบนศีรษะของอาคาสอย่างแรง กองทัพนรกส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆบางตนบอกตะโกนบอกแก่นายของมันว่า “ แรงกว่านี้นายท่าน“ เดสเบอรส์ก็ทำตามที่ลูกน้องมันต้องการ มันยกเท้าขึ้นและปล่อยลงบนศีรษะของอาคาสพร้อมทั้งเหยียบย้ำศีรษะของอาคาสไป ด้วย อาคาสตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดอย่างมากจนมิอาจจะบรรยายได้ เขาจึงได้แต่กัดฟัน ทนความเจ็บในตอนนี้
แต่แล้วก็มีแสงสว่างสีฟ้าเกิดขึ้น และเดสเบอรส์ที่กระเด็นออกไปจากตัวอาคาส เป็นมิลาน่าที่ออกมาช่วยอาคาส เหล่ากองทัพนรกเมื่อเห็นนายของมันโดนทำร้ายเข้าพวกมันก็เตรียมจะกรูเข้ามา แต่เดสเบอรส์ก็ตะโกนขึ้น “ อย่าเข้ามา ข้าจัดการเอง ” มันลุกขึ้นและเดินกลับไปหามิลาน่า มิลาน่ารีบพยุงตัวของอาคาสขึ้น เดสเบอรส์เดินเข้าไปหาทั้งสอง “ สาวน้อยเจ้าอยากช่วยมันมากนัก ก็มาแบ่งความสนุกจากมันไปหน่อยสิ” มันพูดขึ้น อาคาสเองในตอนนี้สติเริ่มเลือนลางแล้ว เขาได้แต่มองเดสเบอรส์เดินเข้ามาอย่างช้าๆ มิลาน่าไม่รู้เลย ว่าในตอนนี้เธอจะสู้กับมันได้ยังไง พลังเมื่อกี้เธอก็ไม่สามารถใช้ต่อได้แล้ว เพราะตอนนี้เธอไม่เหลือพลังเวทในตัวแล้ว
เธอได้แต่ดึงตัวของอาคาสออกให้ห่างจากจุดนั้นให้มากที่สุด และแล้วเดสเบอรส์ก็เข้ามาใกล้ทั้งสองมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ มันยื่นมือออก มา และจับเข้าที่คอของมิลาน่า มันยกตัวสาวน้อยขึ้นกลางอากาศ เธอได้พยายามดิ้นรนออกจากกำมือของจ้าวนรก แต่แรงของเด็กผู้หญิงคนนึงจะไปสู้อะไรกับมันได้ เดสเบอรส์เริ่มออกแรงไปที่คอของมิลาน่าทีละนิดๆ เธอเริ่มรู้สึกหายใจไม่ได้ เธอพยายามแกะมือของมันออก อาคาสได้แต่นอนดูมิลาน่าโดนทำแบบนั้น เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยเดสเบอรส์เริ่มมีความสุขกับการได้ทรมานมิลาน่า กองทัพนรกส่งเสียงร้องออกมาตลอดเวลาจนกระทั่ง อาคาสได้ยินเสียงนึงพูดขึ้นในหัวของเขา
“ ลุกขึ้น ” เสียงของชายคนนึงพูดขึ้น แต่อาคาสไม่มีแรงจะทำเลยด้วยซ้ำ“ ข้าบอกให้ลุกขึ้นไง “ เสียงนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง อาคาสจึงใช้แรงที่เหลือทั้งหมดดันตัวเองขึ้นจากพื้น เขาประคองตัวเองให้ยืนขึ้น เขาพูดกับเดสเบอรส์ว่า “ ไอ้ขี้ขลาดเอ้ย อย่าทำร้ายผู้หญิงสิวะ “ เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดอย่างนั้นออกไป เดสเบอรส์มองมาที่เขา แล้วมันก็โยนตัวของมิลาน่าไปทางอาคาส เขารีบไปดูสภาพของเธอ คอของเธอมีรอยแดงและเธอยังหมดสติไปด้วย แต่ก็ยังหายใจอยู่ เดสเบอรส์เดินเข้ามาหาอาคาส แล้วมันก็ใช้มือของมัน เหวี่ยงไปที่หน้าของอาคาสอย่างแรง “ปากดีจริงนะไอ้หนู กลัวคู่รักของแกตายหรือไง “ อาคาสรีบลุกขึ้น ตอนนี้เขารู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในตัวของเขา “ สู้มันสิ เจ้าทำได้อยู่แล้ว “ เสียงปริศนานั้นพูด อาคาสไม่รู้ว่าจะสู้ได้ยังไง เขาจึงวิ่งเข้าใส่เดสเบอรส์ และเตะเข้าที่กลางลำตัวของมัน ซึ่งมันไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย และในตอนนี้อาคาสเริ่มรู้สึกกลัว แล้ว “ ใช้พลังซะ เจ้าทำได้ “ เสียงนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้อาคาสลองใช้พลังดู เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีพลังในตัวของเขาหรือไม่ เขาลองเพ่งสมาธิมีลำเสียงสีม่วงดำพุ่งออกมาจากตาของเขา แสงนั้นพุ่งไปที่ใบหน้าของเดสเบอรส์ เหล่ากองทัพนรกของเดสเบอรส์เริ่มทำท่าหวาดกลัว เหมือนกับพวกมันรับรู้ได้ว่าพลังของอาคาสคืออะไร
อาคาสเมื่อปล่อยพลังนี้ออกไป เขาได้เห็น เห็นอดีตที่แท้จริงของเดสเบอรส์ มันเคยเป็นเทพ แต่มันไปเปิดกล่องอะไรบางอย่าง มันถูกแสงสีเลือดพุ่งเข้าใส่ตัว จากเทพธรรมดาได้กลายเป็นอสูรร้าย จากหนุ่มรูปงาม กลายสัตว์ร้ายที่มีไฟลุกท่วมตัว เหล่าเทพทั้งหมด จึงทำการเปิดขุมนรกเบื้องล่างให้มัน ตลอดเวลาที่มันอยู่ข้างใต้ จิตใจของมันหมกมุ่นแต่ความโกธร ความแค้นความกลัว ความเศร้า มันเริ่มจับทุกสิ่งที่อยู่ในขุมนรกมาฝึกให้เป็นนักรบเพื่อสักวันมันจะได้กลับไป และมันก็ทำได้สำเร็จ สายลำแสงสีม่วงดำของอาคาสหลุดออกจากตัวเดสเบอรส์ในตอน นี้ เขารู้สึกปวดหัวอย่างมาก เหมือนมีอะไรหลายๆอย่างพุ่งเข้าไปในหัวของเขา เดสเบอรส์กระเด็นออกไปจากตรงนั้น มันลุกขึ้นมาในตอนนี้ หน้ากากเหล็กสีดำของมันแตกออกตรงมุมปากซ้าย ภายในเป็นช่วงฟันกรามของคนธรรมดา แต่มีเปลวไฟอยู่ภายในนั้น มันส่งสัญญาณบางอย่างให้ลูกน้องของมัน จากนั้น พวกมันก็รีบหนีออกไปจากจุดนั้นเดสเบอรส์ได้หันมาบอกกับอาคาส “ อีกไม่นาน ไอ้หนุ่มอีกไม่นานหรอก “ แล้วมันก็จากไป
หลังจากเหตุการณ์นั้น เทพองค์อื่นๆที่จัดการเหล่ากองทัพนรกที่เหลือ และได้เริ่มทำการรักษาผู้บาดเจ็บมีหลายคนที่ไปดูอาการของมิลาน่ากับอาคาส มิลาน่านั้นแค่เจ็บที่คอจากการถูกบีบอย่างแรง แต่อาคาสเขายืนตัวสั่นเทา สายตาเขาบ่งบอกเลยว่ากลัวอย่างมาก เทพคนนึงเขาไปเพื่อจะช่วยเขา แต่แล้วอาคาสได้ทำการปล่อยพลังนั้นออกมาอีก ในครั้งนี้มันไม่ได้ออกมาเป็นแสงสีม่วงดำแล้ว แต่เป็นเหมือนเปลวไฟนรกออกมาจากมือของเขา เขาเริ่มอาละวาดอย่างรุนแรง กว่าทุกคนจะหยุดเขาได้ ก็มีคนเจ็บบาดเจ็บจำนวนมาก เหล่าเทพทุกองค์เริ่มหวาดกลัวเขา เว้นแต่มิลาน่ากับเพโลดิน เทพทั้งหมดลงความเห็นแล้วว่าจะให้เขาอยู่กับคนอื่นๆไม่ได้ พวกเขาจึงสร้างคุกแบบพิเศษขึ้นมาเพื่อกักขังอาคาส มิลาน่าและเพโลดินคัดค้านเรื่องนี้อย่างเต็มที่ แต่พวกเทพนั้นได้รับรู้ ถึงสิ่งที่เรียกว่า ความกลัว ไปเสียแล้ว...
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในคุก มีเพียงมิลาน่าเท่านั้นที่มาเยี่ยมอาคาส เธอมาเพื่อปลอบใจเขา และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกให้เขาฟัง อาคาสเองก็ยังคงดีใจที่ยังเหลือ มิลาน่าอยู่เคียงข้าง
แต่แล้ว มิลาน่าก็ไม่มาเยี่ยมเขาอีกเลย เขาได้แต่ทนอยู่ในความมืด รอเพียงใครสักคนจะมาเปิดประตูห้องขังนี้ ที่ทั้งมืด และเหน็บหนาว นานเท่าไรเขาก็ไม่อาจจะบอกได้เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าข้างนอกเป็นเช่นใด จนกระทั่ง “สวัสดี“ เสียงบางอย่างดังขึ้น เจ้าของเสียงคือ อีกาสีดำที่มีดวงตาแดงเข้มมันเข้ามาได้ยังไร ทั้งๆที่ประตูข้างนอกยังคงปิดอยู่ “ ไม่น่าเชื่อเลยตั้ง 200 ปี ยังเหลือเทพอยู่อีกหรอ “ มันพูดกับเขา อาคาสตกใจกับคำพูดของมัน เขาอยู่ในนี้มานานขนาดนี้แล้วงั้นหรอ “ แล้วตอนนี้ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง “อาคาสถามอีกาตัวนั้นด้วยความหวัง
“ อ่อพวกกองทัพนรกสิ้นไปหมดแล้ว แต่พวกเทพก็เหมือนกัน เห็นตายกันหมดเลยละ “
“ แล้วเจ้าเห็นผู้หญิงคนนึงไหม“
“ อ่อคนที่ชอบมาหาเจ้าบ่อยๆน่ะหรอ หลังจบศึกข้าก็เห็นเดินเข้าไปในป่าโครววู้ดแล้วหายไปเลยละ“
“ แล้วเจ้าไม่เห็นอะไรต่อจากนั้นเลยหรอ“
“ ไม่เลยแต่นางอาจตายไปแล้วละมั้ง และยิ่งสภาพแบบนั้นแล้วด้วย “
อาคาสรู้สึกกังวล เหล่าเทพสูญสิ้นไปแล้วอย่างงั้นรึแล้วมิลาน่าเข้าไปในป่านั้นทำไมกัน
“ แต่ว่านะข้าว่าเจ้าน่าจะออกมาได้แล้วละ ทนอยู่ไปได้ยังไงสองร้อยปี “ เจ้าอีกาบอกกับเขา
อาคาสจึงลองเขย่ากรงของเขาดูมันพังลงอย่างง่ายๆ ซึ่งบ่งบอกว่าเจ้าอีกาตัวนี้พูดความจริงเขาเปิดประตูและเดินออกมานอกกรงขัง ข้างนอกเปลี่ยนไปอย่างมากไม่เหลือเมืองที่มีเหล่าเทพเดินพุ่มพล่าน ตอนนี้เหลือเพียงแค่ซากเมืองที่มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น
อาคาสเริ่มออกวิ่งเป็นครั้งแรกในรอบสองร้อยปี โดยมีเจ้าอีกาตัวนั้นบินตามมาเขาพยายามหาตัวของมิลาน่า แม้ว่าจะไม่รู้สถานที่นั้นเลยก็ตาม เขาวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง เขาทรุดตัวลงเขาก็ตระหนักได้ว่า ตอนนี้เขาคงไม่มีโอกาสได้พบกับนางแล้ว
ตอนนั้นเอง มีความทรงจำบางอย่างพุ่งเข้ามาในหัวของเขา มันเป็นเรื่องราวของอะไรบางอย่างที่ผสมปนเปกันจนมั่วไปหมด เขาเริ่มร้องด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างพุ่งเข้าไปในหัวของเขาอย่างแรง เจ้าอีกาบินถลาลงกับพื้นและมองอาคาสอย่างสงสัย ในที่สุดอาคาสลุกขึ้น แววตาของเขาเปลี่ยนไป และเขาก็เดินกลับไปที่เมืองเก่าของเทพ อาคาสเข้าไปในห้องที่เขาเคยอยู่ แล้วเขาก็เดินไปที่ผนังห้องนั้นและทุบมันจนแตก ข้างในเป็นห้องโล่งๆที่เก็บชุดเกราะและอาวุธไว้มากมาย
“ ท่านดูได้ไงว่ามันอยู่ในนี้“ เจ้าอีกาถามอาคาส
“ ในนี้มันบอกข้าหมดแล้วละ“ เขาพูดพลางชี้ไปที่หัวของเขา
อาคาเดินเข้าไปและเขาก็เลือกชุดเกราะเหล็กขนาดใหญ่ ที่ตอนนี้มีลักษณะสนิมกัดกินและมีรอยที่บ่งบอกว่ามันเคยเป็นสีขาวมาก่อน จากนั้นเขาเดินไปที่กองหมวกเหล็ก และหยิบหมวกที่หน้าหมวกเป็นรูปหัวกระโหลกขึ้นมา จากนั้นเขาหยิบดาบขนาดใหญ่ออกมาจากช่องเก็บของ
และเขาก็เดินออกมาจากห้องนั้นและเริ่มเดินออกไปเรื่อยๆ
“ท่านกำลังจะไปไหนงั้นรึ“ เจ้าอีกาถาม
“ ไปสร้างกองทัพของข้าไงละ“ เขาพูด ก่อนที่จะสวมหมวกลายหัวกละโหลกนั่น เจ้าอีกาสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร มันและเขาก็ยังคงเดินทางต่อไปเรื่อยๆๆ
ความทรงจำของข้าที่ได้รับรู้ในตอนนั้นมันจบเพียงเท่านี้ เพราะเมารอสได้ตื่นขึ้นเสียก่อน ซึ่งตัวข้าก็มิอาจตอบได้ว่าตัวจริงของ เมารอส ใช่ อาคาส หรือไม่....
ยังมีต่อนะครับ กำลังตรวจสอบความเรียบร้อยอยู่
THE BOOK OF SIN