แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย phumass เมื่อ 2014-3-11 20:37
เด็กๆเหล่านั้นรู้ว่าครูซชอบไวโอลินและเสียงดนตรี เพราะเขาจะชอบฟังเสียงไวโอลินจากวิทยุเก่าๆที่บริจาคมาให้กับทางโบสท์ จึงเก็บเงินเพื่อทำไวโอลินที่สภาพดูไม่จืดในสายตาคนอื่นให้เขา ชายหนุ่มแทบรํ่าไห้ไปกับกระแสเด็ก เขารู้สึกว่าโชคดีจริงๆที่ได้อยู่กับเด็กพวกนี้
ครูซตัดสินใจพาพวกเด็กกรำพร้านั้นไปอาณาจักรเอสทรอนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางทิศเหนือเท่าไหร่นัก เขาไปซื้อบ้านหลังถูกๆในย่านชาณเมืองแห่งนั้น แต่ก็ใหญ่พอที่จะสามารถทำให้เหล่าเด็กๆอยู่อย่างมีความสุข
ตอนเช้าเขาก็เล่นตลกในระแวกย่านั้นอย่างเป็นสุข เด็กๆทุกคนต่างพร้อมใจเรียกเขาว่า 'พ่อ' ถึงมันจะรู้สึกขัดเขินในวัยของเขาบ้าง แต่ในเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น เขาก็พร้อมที่จะเป็น 'พ่อ' ให้แก่เด็กเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาก่อนนอนเขาก็จะสีไวโอลินให้เด็กๆฟังก่อนนอน โดยที่มีคนข้างบ้านได้ยินเสียงนั้นผ่านหลังคาบ้านมาแว่วๆ จนรู้สึกเพลิดเพลินจนหลับในที่สุด
โชคดีที่บ้านนี้มีแปลงผักหลังบ้านจึงไม่เป็นปัญหาตอนการกินเสียเท่าไหร่ เขาศึกษาเรื่องการปลูกผักสวนครัวและสอนให้เด็กๆทำตามอย่างไม่อิดออด รายได้หลักของบ้านมาจากการขายพืชผักสวนครัวเป็นสวนใหญ่ ตอนเย็นเขาก็พาเด็กๆเล่นซนได้อย่างไม่หยุดหย่อน ใครซนมากครูซก็จับมาเทศน์ ใครแกล้งแรงเกินไปก็โดนตี เขารู้สึกว่าได้เป็นพ่อคนจริงแล้ว
ตอนคํ่าหลังจากที่เด็กๆหลับแล้วเขาก็ได้ออกจากบ้านเพื่อไปแสดงตลกและมายากลตามรายทางอยู่ตลอด ภายในหน้ากากสีขาวเต็มจมูกสีแดง ดวงตาทั้งสองข้างเป็นโพธิ์ดำและเอซแดงตามลำดับ เหล่าผู้คนที่ใส่หน้ากากยามคํ่าคืนเวลานี้เป็นแหล่งรวมตัวแห่งอบายมุกข์ทั้งหลายที่หลายคนเสพติดจนเข้ากระแสเลือด เขาพร้อมที่จะให้ความสุขแก่ผู้คน
และก็พร้อมที่จะมอบความสิ้นหวังเช่นกัน !!
ครูซ ชายหนุ่มวัย 24 เรื่องราวของเขามันถูกเริ่มต้นที่สถานเด็กกำพร้าย่านชานเมือง วอร์เทอร์ล็อค ครูซโดนเก็บมาเลี้ยงโดยสุนัขแถบนั้นคาบตัวเค้าตั้งแต่เป็นทารกมาวางไว้ที่หน้าโบสธ์ เขาโตมาด้วยการเลี้ยงดูของซิสเตอร์แก่ๆคนหนึ่ง เมื่อถึงวัยรุ่นเพื่อนสมัยเด็กของเค้าทุกคนต่างเดินไปตามหาความฝันโดยที่ไม่หันหลังกลับมามองบ้านเกิดของตนเอง
เขามีชีวิตอยู่กับการเลี้ยงเล็กที่อยู่ในย่านสถานเลี้ยงเด็กกรำพร้า พอตกมืดเขาก็จะผันตัวไปเป็นนักแสดงตลกผู้สร้างเสียงหัวเราะและความบันเทิงใจ การเป็นตัวตลกไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิด ภาระที่หนักขึ้นกับเด็กที่ถูกทอดทิ้งในสถานเด็กกำพร้ามันทำให้เงินที่ได้จากการแสดงตลกของเขามันไม่พอที่จะเลี้ยงดูเด็กพวกนั้น ซิสเตอร์ที่ดูเขามาตั้งแต่เด็กก็เริ่มชราภาพไปตามกาลเวลาและสิ้นใจในที่สุด
ครูซต้องการที่จะเลี้ยงดูเด็กยากไร้เหล่านั้นเพื่อจะให้มีงานทำ เขาต้องตรากตรำงานทุกเช้าเย็นจนไม่มีวันหยุด เขาอุทิศหวังว่าเด็กหนุ่มสาวเหล่านั้นจะได้เติบใหญ่ได้มีงานทำสบายๆ เขาทำงานแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ในย่านชาญเมืองแห่งนี้ไม่ค่อยมีคนเป็นที่รู้จักมากนัก เงินบริจาคที่เคยพออยู่พอกินก็เริ่มขาดหาย
ชายหนุ่มต้องทำงานหนักจนเลือดตาแทบกระเด็น การทำงานของเขามันหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ครูซก็ทนทำเพื่ออนาคตของเด็กพวกนั้นเพียงเพื่อหวังที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆเหล่านั้น ทั้งสองมือที่เขาเลี้ยงมา แต่อย่างไรการหลอกล่วงต้มตุ่นเป็นของคู่กันกับนักแสดงตลก
เขาได้ศึกษาวิธีหลอกลวงต้มตุ่นและการเข้าถึงจิตใจคนในหนังสือ และเอามาปรับใช้ในแบบของตน แม้ว่าเขาจะถูกสอนมาโดยไม่ให้มีการหลอกลวงก็ตาม แต่นี้ก็เป็นวิธีเดียวที่เขาพอจะหาเงินให้กับเด็กๆของเขาได้
ไม่นานเงินบริจาคก็หมดไป เจ้าหนี้กรรมสิทธิ์ที่ถือโฉนดที่ดินได้ฮุบเอาโบสท์ไป สถานที่ๆเขาเติบโตมาและเลี้ยงดูเด็กเหล่านั้นไปอย่างเลือดเย็น ครูซคุกเข่าล้มหัวใจแทบกระดอนออกจากพื้น การคุกเข่าครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาเจ็บปวดแต่เพียงอย่างใด แต่เขารู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตของตน ความหวังที่จะพยายามเลี้ยงดูเด็กนั้นมันคล้ายกับฝันตื่นหนึ่ง
คล้ายกับสวรรค์ประทานให้ เหล่าเด็กๆที่เขาเลี้ยงดูไม่ใช่ว่าเด็กเหล่านั้นจะนอนรอให้เขาหาเงินมาให้อย่างเดียว ทุกๆเช้าเหล่าเด็กน้อยนี้จะออกจากเมืองไปขายผลไม้และทำงานพิเศษเพื่อเก็บเงินออมไว้ส่วนหนึ่งและพอให้ใช้จ่ายได้บ้าง
เด็กๆเหล่านั้นรู้ว่าครูซชอบไวโอลินและเสียงดนตรี เพราะเขาจะชอบฟังเสียงไวโอลินจากวิทยุเก่าๆที่บริจาคมาให้กับทางโบสท์ จึงเก็บเงินเพื่อทำไวโอลินที่สภาพดูไม่จืดในสายตาคนอื่นให้เขา ชายหนุ่มแทบรํ่าไห้ไปกับกระแสเด็ก เขารู้สึกว่าโชคดีจริงๆที่ได้อยู่กับเด็กพวกนี้
ครูซตัดสินใจพาพวกเด็กกรำพร้านั้นไปอาณาจักรเอสทรอนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางทิศเหนือเท่าไหร่นัก เขาไปซื้อบ้านหลังถูกๆในย่านชาณเมืองแห่งนั้น แต่ก็ใหญ่พอที่จะสามารถทำให้เหล่าเด็กๆอยู่อย่างมีความสุข
ตอนเช้าเขาก็เล่นตลกในระแวกย่านั้นอย่างเป็นสุข เด็กๆทุกคนต่างพร้อมใจเรียกเขาว่า 'พ่อ' ถึงมันจะรู้สึกขัดเขินในวัยของเขาบ้าง แต่ในเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น เขาก็พร้อมที่จะเป็น 'พ่อ' ให้แก่เด็กเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาก่อนนอนเขาก็จะสีไวโอลินให้เด็กๆฟังก่อนนอน โดยที่มีคนข้างบ้านได้ยินเสียงนั้นผ่านหลังคาบ้านมาแว่วๆ จนรู้สึกเพลิดเพลินจนหลับในที่สุด
โชคดีที่บ้านนี้มีแปลงผักหลังบ้านจึงไม่เป็นปัญหาตอนการกินเสียเท่าไหร่ เขาศึกษาเรื่องการปลูกผักสวนครัวและสอนให้เด็กๆทำตามอย่างไม่อิดออด รายได้หลักของบ้านมาจากการขายพืชผักสวนครัวเป็นสวนใหญ่ ตอนเย็นเขาก็พาเด็กๆเล่นซนได้อย่างไม่หยุดหย่อน ใครซนมากครูซก็จับมาเทศน์ ใครแกล้งแรงเกินไปก็โดนตี เขารู้สึกว่าได้เป็นพ่อคนจริงแล้ว
ตอนคํ่าหลังจากที่เด็กๆหลับแล้วเขาก็ได้ออกจากบ้านเพื่อไปแสดงตลกและมายากลตามรายทางอยู่ตลอด ภายในหน้ากากสีขาวเต็มจมูกสีแดง ดวงตาทั้งสองข้างเป็นโพธิ์ดำและเอซแดงตามลำดับ เหล่าผู้คนที่ใส่หน้ากากยามคํ่าคืนเวลานี้เป็นแหล่งรวมตัวแห่งอบายมุกข์ทั้งหลายที่หลายคนเสพติดจนเข้ากระแสเลือด เขาพร้อมที่จะให้ความสุขแก่ผู้คน
และก็พร้อมที่จะมอบความสิ้นหวังเช่นกัน !!
ครูซ ตัวตลกผู้รักเด็กและดนตรี
[IMG]