บทนำ
กรุงเทพ ปี พ.ศ. 2643 ภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
“เฮ่อ...เสียงเด็กหลายคนร้องออกมาพร้อมๆกันนี่มันน่าหนวกหูจังแฮะ”
เป็นจริงตามที่เสียงอ่อยของผมนั้นกล่าวออกมาเพราะสถานที่ที่กำลังอยู่ในปัจจุบันนั้นคือห้องเด็กแรกเกิดที่มีเด็กจำนวนหลายสิบที่นอนอยู่บนเตียงรับรองเด็กทารกแรกเกิดที่เรียงกันเป็นแถวยาวซึ่งเด็กทารกเกือบครึ่งนั้นหลับอย่างเป็นสุขเด็กบางส่วนยังคงตื่นพยายามยกแขนยกขาอย่างกระตือรือร้น แต่เด็กอีกส่วนนี่สิ ร้องอุแว้ อุแว้ ได้ตลอดไม่หยุดปาก
“...ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เพราะตอนนี้เราเอง...ก็เป็นเด็กแรกเกิดเหมือนกันนี่นะ”
ใช่ ผมที่เป็นเจ้าของเสียงอ่อยๆ นั้นไม่ใช่เสียงของบุรุษหรือนางพยาบาลคนใดหรือแม้แต่เสียงของผู้ปกครองเด็กคนไหนแต่เป็นเสียงของเด็กทารกคนหนึ่งที่นอนร่วมอยู่ภายในเตียงรับรองซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจนเกือบมุมห้อง
นับเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่เด็กทารกแรกเกิดคนหนึ่งสามารถพูดจาออกเสียงได้เหมือนราวกับว่ามีประสบการณ์การพูดคุยในชีวิตประจำวันแถมที่พูดออกมานั้นยังเป็นภาษาไทยที่ฟังชัดเจนอีก
แต่สำหรับเด็กทารกคนนี้หรือก็คือผมนั้นกลับรู้ดีเลยว่าทำไมตัวเองนั้นถึงสามารถพูดออกมาได้ทั้งที่ยังเด็กไม่สิให้ถูกก็คือทำไมถึงได้ยังจดจำเรื่องราวของชาติก่อนที่จะมาเกิดใหม่ได้อย่างไม่เสื่อมคลาย
ความทรงจำนับตั้งแต่เด็กเท่าที่จำความได้เป็นลูกชายคนเดียวซึ่งเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลางที่ค่อนข้างมั่นคงเขาเป็นคนที่หน้าตาออกบ้านๆ ธรรมดาๆ ชื่อของเขานั้นคือ ทศคิริน นามสกุล ยุคันตวาดชื่อเล่นว่า ทศ
ทศหรือก็คือผมนั้นเป็นชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่มีวุฒิการศึกษาเพียงแค่ปริญญาตรีที่กลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวพักหนึ่ง ก่อนจะออกมาเอาดีเอาเด่นด้านการเขียนนิยายเลี้ยงชีวิต
นับว่าหนทางสร้างชื่อทางด้านวรรณกรรมในสมัยนั้นหากจะให้เด่นดังนั้นเป็นไปได้ยากแต่ผมก็กลับประสบความสำเร็จได้อย่างคาดไม่ถึงเนื่องมาจากความคิดและจิตนาการที่คนรอบข้างตัวเขานั้นบอกว่าเขาคิดได้ยังไง ทั้งๆ ที่สำหรับผมนั้นกับคิดว่าความคิดของตัวเองก็ไม่น่าต่างจากความเพ้อฝันของคนทั่วไป
ชีวิตของผมนั้นดำเนินต่อไปแบบเนิบๆ ไปกับการแต่งนิยายจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ผลงานของผมนั้นได้ถูกนำไปสร้างเป็นทั้งหนังสือการ์ตูนถูกค่ายอนิเมะจากญี่ปุ่นยื่นข้อเสนอนำไปสร้างเป็นการ์ตูนทางทีวีและรวมไปถึงระดับสร้างเป็นหนังคนแสดงในภายหลัง
กระนั้นแล้วผมก็ไม่เคยเปิดเผยตัวเองกับสื่อใดๆเลยทั้งสิ้น ชื่อที่ใช้ในผลงานนั้นเป็นเพียงนามปากกาเวลาสัมภาษณ์ออกสื่อผ่านทางโทรทัศน์นั้นก็ยังปกปิดตัวเองโดยสวมใส่หน้ากากเป็นตัวละครในเนื้อเรื่องของนิยายที่เขาแต่งเลยนั้นเพราะผมชอบใช้ชีวิตอย่างสันโดษและอยู่อย่างเรียบง่ายมากกว่า แม้ว่าจริงๆ ผมจะมีเงินในธนาคารเป็นหมื่นๆล้าน แต่ที่ที่ผมใช้พักอาศัยนั้นกลับเป็นเพียงห้องเล็กๆ ในคอนโดย่านชุมชน
เอาล่ะ โฆษณามามากพอแล้วจะเข้าเรื่องหลักจริงๆ ล่ะนะ
แต่แล้วในวันหนึ่งทุกอย่างนั้นก็มาจบลงอย่างคาดไม่ถึง เหมือนเช่นเมื่อตอนที่ผมดังและมีชื่อเสียงเป็นเวลากลางปีในตอนนั้นผมอายุได้ 38 ปี เหตุการณ์ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากและผมนั้นก็คือ...
ผู้เคราะห์ร้าย
รายละเอียดของเหตุการณ์นั้นผมจำอะไรไม่ได้เลย พูดให้ถูกคือไม่รู้อะไรเลยเสียมากกว่า เพราะมันเกิดขึ้นโดยที่ผมนั้นไม่ทันได้ตั้งตัวก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลง
ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนกับว่าตัวเองนั้นไร้ซึ่งตัวตนจะอธิบายนั้นมันค่อนข้างจะลำบาก คือมันให้ความรู้สึกสบายมากๆราวกับร่างกายตัวเองมันไร้ซึ่งน้ำหนักและล่องลอยไปกับความว่างเปล่า ความรู้สึกต่อมาคือความรู้สึกผ่อนคลายคล้ายครึ่งกับช่วงเวลาที่เรานอนหลับสนิทจนอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
แต่แล้วช่วงเวลานั้นเหมือนกับว่าความทรงจำต่างๆ เริ่มมลายหายไป ทีละนิด ทีละน้อย
ไม่ ผมไม่ยอม
ราวกับว่าร่างกายของผมนั้นได้กับคืนมาอีกครั้งพร้อมกับอาการดิ้นรนที่พยายามเอามือจับกุมหัวของตัวเองเอาไว้
อย่ามายุ่งกับความทรงจำของฉันเอาความทรงจำของฉันมา เอาคืนมานะ เอาคืนมา... เอาคืนมา!!
ผมร้องตะโกนออกไปและเหมือนกับว่ามันจะได้ผลความทรงจำที่หายไปเริ่มไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวของผมอีกครั้ง
ทว่ามันไม่ได้ราบลื่นเสมอต้นเสมอปลายเพราะความทรงจำที่กำลังไหลกลับคืนมานั้นกลับหยุดชะงักลงและเริ่มเลือนมลายหายไปอีกครั้ง
แต่ผมหรือจะยอม...
ไม่รู้แน่ชัดว่าในช่วงเวลานั้นผ่านไปยาวนานขนาดไหนแต่ความรู้สึกที่ได้รับนั้นมันไม่ต่างอะไรไปจากการชักคะเย่อเลยเพียงแต่มีเชือกเป็นความทรงจำของผมเองและผมเองนั้นก็ไม่รู้ว่ากำลังสู้อยู่กับใคร
จนในที่สุดความทรงจำทั้งหมดของผมก็ถูกดึงกลับคืนเข้ามาในหัวจนหมดมือข้างขวาของผมก็ถูกซัดออกไปตรงหน้าที่วางเปล่าราวกับสัญชาตญาณในตัวนั้นสั่งให้ทำ
เกิดรอยแตกขึ้นที่ตรงหน้าอันว่างเปล่าราวกับรอยร้าวของกระจกที่ขยายออกเป็นวงกว้างก่อนจะแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
และช่วงเวลานั้นสติของผมก็เริ่มมืดบอดลงไปอีกครั้งอย่างช้าๆ จนมารู้สึกตัวอีกทีหนึ่งเขาก็ได้กลายเป็นทารกแรกเกิดไปแล้ว
มันเป็นเรื่องที่ที่หน้าเหลือเชื่อสำหรับผมเองก็ตามเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ต่างอะไรเลยจากระลึกชาติหรือให้ถูกก็คือการกลับมาเกิดใหม่โดยที่ความทรงจำของชาติที่แล้วนั้นยังคงอยู่ไม่สูญหาย
มันเป็นสิ่งที่ยากจะเชื่อแต่ก็เพราะมันเกิดขึ้นมาแล้ว จะไม่เชื่อก็ไม่ได้
ทว่ายังมีบางสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของผม เป็นคำถามที่ผมรู้สึกสงสัยที่สุดไม่ใช่เรื่องที่ผมนั้นระลึกชาติได้ยังไง ไม่ใช่เรื่องที่ว่าผมนั้นตายด้วยสาเหตุอะไรแต่เป็นช่วงเสี่ยววินาทีสุดท้ายก่อนสติผมจะมืดบอดและกลับมารู้สึกตัวในร่างของทารกนั้นผมได้เห็นบางอย่าง บางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ผมนั้นต้องขนลุก
รอยยิ้ม
ใช่ ผมรู้จักรอยยิ้มนั้นดีรู้จักดีเลยว่ารอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มของใคร มันไม่ใช่รอยยิ้มของความสุขหรือรอยยิ้มที่เหยียดยัน แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่สามารถหาคำเปรียบเปรยใดๆ ออกมาได้
บุรุษที่มีร่างสีดำสนิทเหมือนดังเงาจากความมืดสวมอยู่ชุดคลุมสองชั้นสีดำยาวในมาดผู้ดีอังกฤษ มือขวาซึ่งยื่นรอดออกมาจากชายผ้าคลุมถือกุมไม้เท้าสีดำ
และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของบุรุษผู้นั้นคือ ดวงตากรวงขาวกับรอยยิ้มที่เหยียดฉีกขึ้นสูงจนถึงโหนกแก้ม ราวกับสวมใส่ไว้ด้วยหน้ากากที่ไร้ตัวตนแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงกดดันที่ทำให้รูสึกสะอิดสะเอียน
หนึ่งในตัวละครหลักที่ผมได้สร้างขึ้นมาหนึ่งในตัวร้ายที่ร้ายกาจที่สุด ผู้ที่มีพลังอำนาจเทียบเคียงพระเจ้า
ผมไม่แน่ใจว่านั้นเป็นสิ่งที่ผมหล่อนขึ้นมาเองหรือเปล่าเพราะนั้นเป็นช่วงเวลาเพียงเสี่ยววินาทีที่ผมไม่อาจจะแน่ใจได้ ที่จริงแล้วนั้นผมอาจจะคิดไปเองก็เป็นได้แต่ว่าทำไมในช่วงเวลาที่ผมควรจะคิดเรื่องอื่นกลับต้องไปคิดถึงตัวละครตัวนั้นได้กันล่ะ
...คิดมากก็ปวดหัวอะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะวะ ตอนนี้ยังมีสิ่งที่ควรจะคิดให้มากกว่าเรื่องนี้อยู่ด้วย
ใช่ยังมีเรื่องที่หน้าปวดหัวมากกว่าในนี่อีกเยอะ ไหนจะฟันไม่มีเสียงพูดก็ไม่ค่อยจะดัง ขยับตัวไม่ถนัดแถมรู้สึกเหมือนกับร่างตัวเองมันอ่อนนุ่มอย่างกับก้นเด็ก เอ่อ...ตอนนี้ร่างกายเราก็เป็นเด็กนี่หว่าแถมยังเด็กทารกด้วย แต่ที่สำคัญกว่านั้น
ผมคิดพลางเหลือบมองไปยังประตูทางเข้าซึ่งกำลังเปิดโดยอัตโนมัติในทันทีที่มีคนสามคนกำลังก้าวเดินเข้ามาภายในห้องด้วยรอยยิ้ม
หนึ่งในทั้งสองคนซึ่งเดินนำเข้ามานั้นคือนางพยาบาลที่อยู่ในชุดสีขาวสะอาดส่วนอีกสองคนที่เดินตามหลังมานั้นเป็นคู่หญิงสาววัยยี่สิบต้นๆและในอ้อมแขนของเธอนั้นอุ้มเด็กอยู่อีกคนด้วย อืมน่าจะเป็นพี่สาวของผมในตอนนี้ล่ะมั้ง
ใช่แล้วล่ะคือบุคคลที่ผมต้องเรียกว่าแม่หลังจากนี้ต่อไปนั้นเอง...แล้วพ่อล่ะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ
เส้นทางสีชาด 0000