ประวัติของ Walt Disney ผู้สร้างความสุขให้เด็กๆนับล้านทั่วโลก
ว้าวุ้ย...วันนี้มีสอบปากเปล่าวิชาภาษาอังกฤษ อาจารย์ให้พูดถึงชีวประวัติใครก็ได้ เราก็เลยเลือกวอล์ท ดีสนีย์นี่แหละ เพราะตอนเล็กๆ เราชอบผลงานของสตูดิโอนี้สุดๆ ตอนนี้ก็ยังชอบอยู่นะแต่ชอบแค่บางเรื่องแล้วอ่ะ สงสัยจะเริ่มแก่แฮะ.... อุตส่าห์นั่งจำไปตั้งเยอะ อาจารย์ถามแค่ห้านาทีก็เสร็จแระ เสียด๊าย เสียดายข้อมูลที่จำๆ ไปก็เลยเอาเนื้อหามาสรุปความไว้เผื่อใครอยากทราบ แฟนๆ ของคุณปู่วอล์ท ดีสนีย์ลองอ่านดูนะคะ อืม ยาวหน่อยนะ...........
นายเอเลียส ดีสนีย์ (Elias Disney) ซึ่งก็คือพ่อของวอล์ท ดีสนีย์ ได้ย้ายถิ่นฐานจากประเทศเเคนาดามายังสหรัฐอเมริกาหลังจากที่ครอบครัวเขาล้มเหลวด้านการทำฟาร์ม วัยเด็กของเอเลียสต้องเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ ทั่วประเทศอเมริกาเนื่องจากพ่อของเขาได้พยายามลงทุนกับธุรกิจใหม่ๆ เรื่อยๆ เเละเมื่อถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เอเลียสก็เเต่งงานกับ ฟลอร่า คอลล์ (Flora Call) ที่ชิคาโกและให้กำเนิดวอล์ทในวันที่ 5 ธันวาคม ปี 1901 วอล์ทยังมีพี่ชายอีก 3 คนคือ เฮอร์เบิร์ต เรย์มอนด์ และ รอย และน้องสาวอีก 1 คนชื่อ รุธ
เมื่อถึงปี 1906 ครอบครัวดีสนีย์ย้ายจากชิคาโกไปทำฟาร์มที่รัฐมิสซูรีเนื่องจากหวั่นกลัวปัญหาอาชญากรรมในชิคาโกที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ช่วงที่อยู่ที่ฟาร์มนั้นนับเป็นช่วงเวลาแสนสุขของวอล์ททีเดียว เนื่องจากทั้งวอล์ทและรุธยังเล็กเกินกว่าที่จะช่วยเหลืองานในฟาร์มได้ ฉะนั้นพวกเขาก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่น ทั้งการว่ายน้ำ เล่นกับสัตว์ในฟาร์ม หรือปีนไต่ต้นไม้เล่น ช่วงเวลานั้นเองที่วอล์ทเริ่มหลงใหลในการวาดภาพ เนื่องจากหมอเชอร์วูดซึ่งเป็นเพื่อนบ้านคนหนึ่งได้จ้างให้วอล์ทวาดภาพม้าของเขาให้อยู่เสมอๆ นอกจากนี้วอล์ทยังเป็นเด็กที่ชื่นชอบรถไฟอีกด้วย เขามักจะเอาหูแนบกับทางรถไฟเพื่อรอฟังเสียงรถไฟเคลื่อนมา และพยายามมองหาลุงของเขาที่เป็นคนขับรถไฟไปด้วย
ปีค.ศ. 1909 พ่อของวอล์ทเริ่มป่วยเป็นโรคไทฟอยด์จนทำงานในฟาร์มไม่ไหว ครอบครัวต้องจำใจขายฟาร์มทิ้งแล้วย้ายไปเช่าบ้านอยู่แทน วอล์ทเสียใจกับการย้ายที่อยู่ในครั้งนั้นมากจนถึงกับร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นสัตว์เลี้ยงในฟาร์มถูกทยอยขายออกไปเรื่อยๆ
ที่บ้านเช่าในเมืองแคนซัส รัฐมิสซูรี วอล์ท และรอยได้ช่วยพ่อของเขาส่งหนังสือพิมพ์ โดยต้องตื่นขึ้นมาส่งตั้งแต่ตีสามทุกวัน ทำให้วอล์ทไปหลับในห้องเรียนบ้าง หรือบางครั้งก็ไปนั่งวาดรูปในเวลาเรียนบ้าง ช่วงที่เรียนอยู่ วอล์ททำหน้าที่เป็นผู้วาดการ์ตูนลงคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ประจำโรงเรียน การ์ตูนของเขาส่วนใหญ่จะเน้นเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาเมื่ออายุ 16 วอล์ทก็ออกจากโรงเรียนและไปสมัครเป็นทหารประจำหน่วยรถพยาบาลโดยแอบโกงอายุตัวเองไปหนึ่งปีเพื่อให้อายุถึงเกณฑ์ซึ่งก็คือ 17 ปีแต่น่าเสียดายที่เมื่อเขาผ่านการฝึกฝนร่างกายและพร้อมเข้าประจำการที่ฝรั่งเศส สงครามก็จบลงเสียแล้ว เขาได้แต่ทำงานไปวันๆ และฆ่าเวลาโดยการวาดรูปเล่น ตอนนั้นเองที่วอล์ทเริ่มสูบบุหรี่จนเป็นนิสัยติดตัวเขาไปตลอด
เมื่อถึงปี 1919 วอล์ทก็ปลดประจำการและกลับมาที่สหรัฐโดยมีเป้าหมายชีวิตแล้วว่าเขาอยากเอาดีด้านศิลปะ แต่เมื่อพ่อของเขาไม่สนับสนุนความฝันนั้น วอล์ทก็ออกจากบ้านมาเพื่อสานต่ออุดมการณ์ของตน เขาได้พบกับ อับบ์ ไอเวิร์คส (Ub Iwerks) และร่วมมือกันประกอบธุกิจส่วนตัวในปี 1920 แต่ไม่มีใครอยากจ้างคนที่อ่อนประสบการณ์อย่างทั้งคู่นี้ ไม่นานนักบริษัทของพวกเขาจึงปิดตัวลง วอล์ท และไอเวิร์คสก็ไปทำงานที่ Kansas City Film Ad.
หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานอีกสองปี วอล์ทก็พยายามตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาในชื่อ Laugh-O-Gram Film, Inc. ซึ่งเน้นการผลิตการ์ตูนสั้นอิงนิยายสำหรับเด็กขึ้นมาร่วมกับไอเวิร์คส สหายของเขา แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จนัก หลังจากการสร้างการ์ตูนเรื่อง Alices Wonderland ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ บริษัทก็เข้าสู่ภาวะล้มละลาย วอล์ทขายกล้องไปเพื่อหาเงินให้มากพอที่จะเดินทางไปยังศูนย์กลางอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างฮอลลิวูด รัฐแคลิฟอร์เนีย และเอางาน Alices Wonderland ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ไปด้วย
ตอนที่ไปถึงลอสแองเจลิส วอล์ทมีเพียงงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ชิ้นนั้นและเงินอีก 40 เหรียญ เขาตั้งใจจะทิ้งงานแอนิเมชั่นไปแล้วหันมาเป็นผู้กำกับหนังแทน แต่ก็ไม่มีบริษัทไหนรับเขาเข้าทำงาน เขาจึงกลับมาสร้างอนิเมชันต่อ วอล์ทลองส่งงาน Alices Wonderland ไปให้มาร์กาเร็ต วิงคเลอร์ ที่นิวยอร์ค และได้รับจดหมายตอบกลับทันทีว่าเธอต้องการให้เขาสร้างสรรค์ผลงานให้อีกโดยยึดเอาเนื้อเรื่อง Alices Wonderland เป็นหลัก
เมื่อได้งานแล้ว วอล์ทจึงต้องการทุนทรัพย์ในการสร้างอนิเมชั่น เขานึกถึงรอยพี่ชายของตนขึ้นมาทันที รอยกำลังป่วยเป็นวัณโรคอยู่ที่โรงพยาบาลทหาร และเมื่อรอยทราบความต้องการของน้องชายก็ยินดีให้ความร่วมมือทันที เขาออกจากโรงพยาบาลมาช่วยวอล์ทสร้างผลงานและไม่ได้แสดงอาการป่วยอีกเลยนับจากนั้น นี่นับเป็นจุดเริ่มต้นของ Disney Brothers Studio ของสองพี่น้องดิสนีย์ ปี 1925
วอล์ทจ้างคนมาทำงานด้านแผ่นฟิล์มชื่อ ลิลเลียน บาวน์ด (Lillian Bounds) ต่อมาทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้นและแต่งงานกันในที่สุด
ปี 1927 วอล์ทได้เริ่มสร้างซีรียส์ใหม่ Oswald the Lucky Rabbit และได้ผลตอบรับที่ดีจากคนทั่วไป แต่กลายเป็นว่าลิขสิทธิ์ผลงานนี้ไม่ได้เป็นของเขา แต่กลับตกเป็นของบริษัทยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์ ของมาร์การเร็ต วิงคเลอร์ และสามี ชาร์ลส บี มินท์ซ และทีมงานส่วนใหญ่ของวอล์ทนอกจากไอเวิร์คสแล้วต่างก็เซ็นสัญญาทำงานให้กับยูนิเวอร์แซลอีกด้วย ซึ่งภายหลังต้องใช้เวลากว่า 74 ปีที่สิทธิ์ของ Oswald the Lucky Rabbit จะกลับมาเป็นของดิสนีย์อีกครั้งในปี 2006
ในตอนนั้น เมื่อไม่มีทั้งคาแรกเตอร์ของตนเอง วอล์ทก็ต้องคิดขึ้นมาใหม่ บนรถไฟขากลับจากนิวยอร์ค วอล์ทก็นึกไอเดียตัวละครใหม่ขึ้นมาได้ เป็นตัวละครมีลักษณะเป็นหนูที่มีหูกลมใหญ่และตั้งชื่อให้มันว่า มอร์ติเมอร์ ซึ่งภายหลังภรรยาของเขาก็เปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็น มิกกี้ เมาส์
มิกกี้ เมาส์ ปรากฎตัวครั้งแรกในการ์ตูนสั้นเรื่อง Plane Crazy เป็นการ์ตูนที่ไม่มีเสียงประกอบ แต่เรื่องนี้ไม่สามารถหาคนมาเป็นผู้สนับสนุนจัดจำหน่ายได้ ต่อมาวอล์ทก็ลองเอาตัวละครมิกกี้ไปเล่นในการ์ตูนอีกเรื่องหนึ่งที่มีเสียง ชื่อ Steamboat Willie โดยวอล์ทรับหน้าที่เป็นคนให้เสียงมิกกี้ เมาส์ด้วยตัวเอง และได้รับการสนับสนุนด้านเครื่องมือผลิตจากนักธุรกิจหนุ่มชื่อ แพท พาวเวอร์ส (Pat Powers) การ์ตูนเรื่องต่อๆ มาจึงมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นและได้รับผลตอบรับที่ดี
แต่เมื่อถึงปี 1930 วอล์ทรู้สึกว่าไม่ได้รับผลประโยชน์ที่เป็นธรรมจากแพท พาวเวอร์ส เขาจึงออกมาเซ็นสัญญากับบริษัทใหม่คือ โคลัมเบีย พิกเจอร์ส ไอเวิร์คสเริ่มเบื่อหน่ายกับความเจ้าอารมณ์ของวอล์ท ประกอบกับทางพาวเวอร์สก็ยื่นข้อเสนอให้เขาเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง เขาจึงออกมาทำงานให้พาวเวอร์สแทน วอล์ทที่ไม่ได้มีความสามารถในการวาดรูปได้อย่างไอเวิร์คสจึงต้องรีบหาคนมาแทน (ไอเวิร์คเป็นคนวาดภาพส่วนใหญ่ที่ปรากฎในการ์ตูน และเขายังวาดได้เร็วถึง 700 ภาพต่อวัน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ไอเวิร์คสออกมาทำงานเองได้ไม่กี่ปี เขาก็ปิดสตูดิโอและกลับมาช่วยงานวอล์ทต่อ)
เมื่อวอล์ทหาคนมาแทนที่ไอเวิร์คสแล้ว ก็ดำเนินโครงการมิกกี้ เมาส์ต่อ ตัวละครหนูตัวนี้กลายเป็นตัวละครที่มีชื่อเสียงมาก และเมื่อถึงปี 1932 วอล์ทก็ได้รับรางวัลออสการ์ในฐานะผู้สร้างสรรค์ตัวละครนี้อีกด้วย ต่อมาก็ปรากฎเหล่าตัวละครอีกมากมาย ทั้งโดนัลด์ ดั๊ก กูฟฟี่ และพลูโต
ถึงแม้ว่าวอล์ทจะมีชื่อเสียงมากมายขนาดไหนก็ตาม เขาก็ยังคงความเป็นส่วนตัวไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ความต้องการที่ยิ่งใหญ่ของเขาคือการได้เป็นพ่อของลูก แต่เมื่อภรรยาของเขาแท้งลูกคนแรก วอล์ทก็แทบเสียสติจนหมอต้องบอกให้เขาพักงานและไปเที่ยวพักผ่อน พวกเขาไปเที่ยวกันที่วอชิงตัน ดีซี ต่อมาลิลเลียนก็ให้กำเนิดลูกสาวเป็นผลสำเร็จและตั้งชื่อให้ว่า ไดแอน แมรี่ ดีสนีย์ (Diane Marie Disney) สองปีหลังจากนั้นพวกเขาก็มีลูกสาวอีกคนหนึ่งคือ ชารอน เมย์ ดีสนีย์ (Sharon Mae Disney)
เมื่อเริ่มประสบความสำเร็จด้านการสร้างการ์ตูนซีรียส์ Silly Symphonies วอล์ทก็อยากลองสร้างการ์ตูนเรื่องยาวดูบ้าง ซึ่งภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องแรกของดีสนีย์ที่มีทั้งสีและเสียงก็คือเรื่องสโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด (Snow White and the Seven Dwarfs) อันที่จริงเหล่าผู้ร่วมงานของเขา รวมไปถึงรอยและลิลเลียน เมื่อทราบความคิดนี้แล้วก็พยายามห้ามไม่ให้มีการลงมือสร้างเพราะถึงแม้การ์ตูนซีรียส์ของวอล์ทจะเป็นที่รู้จักแพร่หลาย แต่ผลกำไรของบริษัทก็ยังน้อยอยู่ดี มีบางคนถึงกับกล่าวว่า การ์ตูนเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่สร้างความหายนะให้บริษัทอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายในปี 1938 เมื่อเรื่องนี้ได้ฉายรอบปฐมทัศน์จบ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงปีนั้นและสร้างรายได้ไปมากกว่า 8 ล้านเหรียญทีเดียว
หลังจากนั้นวอล์ทก็ผลิตการ์ตูนเรื่องใหม่ๆ ออกมาอีก ทั้ง พินอคคิโอ (Pinocchio) และ แฟนตาเซีย (Fantasia) แต่สองเรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จด้านการตลาดนัก ดังนั้นจึงมีการสร้างเรื่องใหม่ออกมาอีกโดยใช้ทุนต่ำกว่าเดิมซึ่งก็คือเรื่อง Dumbo และหลังจากเรื่องดัมโบ้ได้วางจำหน่ายและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ประเทศสหรํฐก็เข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และสตูดิโอก็เริ่มสร้างเรื่อง Bambi
ทางกองทัพเซ็นสัญญาให้ดิสนีย์สตูดิโอผลิตผลงานออกมาในเชิงให้กำลังใจทหารโดยไม่มีค่าตอบแทนให้ ทำให้วอล์ทต้องนำสโนไวท์มาจำหน่ายใหม่เพื่อหารายได้ให้บริษัทมีทุนมากพอที่จะผลิตเรื่องต่อๆ ไป ได้แก่ อลิซในดินแดนมหัศจรรย์ (Alice in Wonderland) ปีเตอร์แพน (Peter Pan) และซินเดอเรลลา (Cinderella)
ต่อมาวอล์ทก็มีโครงการสร้างสวนสนุกในแคลิฟอร์เนียขึ้นมาโดยให้ชื่อว่า ดีสนีย์แลนด์ โดยความตั้งใจของเขาก็คือ การสร้างสวนสนุกขึ้นมาและให้มีรถไฟวิ่งอยู่รอบๆ เขาต้องใช้เวลากว่าห้าปีก่อนที่ดิสนีย์แลนด์จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างและเปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1955
ปี 1964 วอล์ทก็ริเริ่มโครงการสร้างสวนสนุกที่ฟลอริดาซึ่งจะใหญ่โตมากกว่าที่แคลิฟอร์เนีย โดยสวนสนุกแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 109 ตารางกิโลเมตรของรัฐฟลอริดา เขาและพี่ชายร่วมกันตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า Disney World
ทว่าไม่กี่ปีก่อนที่ Disney World จะเปิดตัว วอล์ทก็ป่วยเป็นมะเร็งที่ปอดซ้ายซึ่งเป็นผลมาจากการที่เขาชอบสูบบุหรี่มาเป็นเวลานานเขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเซนต์โจเซฟใกล้ๆ กับดิสนีย์สตูดิโอ และเสียชีวิตหลังจากผ่านวันครบรอบวันเกิดปีที่ 65 ของเขาไปเพียงสิบวันในวันที่ 15 ธันวาคม 1966 นั่นเอง พี่ชายของเขา รอย ก็สานต่ออุดมการณ์ต่างๆ ของวอล์ทจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1971 และไดแอน ลูกสาวของวอล์ท ก็เป็นผู้รับผิดชอบกิจการต่อ
ปัจจุบันสวนสนุกดิสนีย์แลนด์มีอยู่ 5 แห่งทั่วโลก ได้แก่ ดิสนีย์แลนด์แคลิฟอร์เนีย ดิสนีย์เวริล์ดที่ฟลอริดา ยูโรดิสนีย์แลนด์ที่ฝรั่งเศส โตเกียวดิสนีย์แลนด์ประเทศญี่ปุ่น และล่าสุดก็คือ ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์
เป็นไงกันบ้าง อ่านกันตาแฉะเลยป่าว จะสังเกตเห็นว่าช่วงหลังๆ เราจะเริ่ม รีบ จนย่อเนื้อหาลงไปมากเลย ขอโทษนะ T^T .. เราว่าชีวิตเค้าน่าสนใจดีนะ พยายามจนมีชื่อเสียงมากขนาดนี้คงเหนื่อยน่าดู แต่ผลมันก็คุ้มค่าละนะ อย่างน้อยคาแรกเตอร์แต่ละตัวของเค้าก็นับวาเป็นตัวการ์ตูนอมตะไปแล้ว ทั้งมิกกี้ มินนี่ โดนัลด์ กูฟฟี่ ปีเตอร์แพน สโนไวท์ etc. etc. จะว่าไป...เราเพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามีบางคนที่ไม่รู้จักวอล์ท ดีสนีย์อยู่เหมือนกัน วันนี้ก่อนไปสอบมีเพื่อนถามว่าเราจะเล่าเรื่องใคร พอตอบว่าวอล์ท ดีสนีย์ บางคนก็ทำหน้างงๆ แล้วถามอีกว่า นั่นเป็นชื่อคนหรอกเหรอ อ่า...อึ้งเลย แต่ก็พอเข้าใจอ่ะนะว่าชื่อคนกับสตูดิโอมันชื่อเดียวกันเลยนี่นา ก็อาจจะทำให้บางคนสับสนไปบ้างมัง~
ประวัติของ Walt Disney ผู้สร้างความสุขให้เด็กๆนับล้านทั่วโลก
[IMG]