เรื่องสั้นเรื่องแรกที่แต่งเองครับ(ตอนม.3เห็นจะได้) แบบว่าบังเอิญไปปิ๊งเพื่อนคนนึง เลยจับเค้ามาแต่งซะเลย แหะๆ เชิญอ่านแล้ว ติชมได้เต็มที่นะครับ
ปล.อาจจะพิมผิดบ้าง(กอปมาจาก Dek-D ของผมนะครับ)
ท่ามกลางเหล่านักเรียนม.ปลายที่กำลังตะโกนโหวกเหวกนั้น บัดนี้ได้มีเสียงของกีตาร์ตัวหนึ่งได้ขับขานอย่างพลิ้วไหว
ภายในเวลาไม่กี่วินาทีทั้งห้องก็ตกอยู่ในอาการเรียบร้อยราวกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น“เอาล่ะค่ะนักเรียน วันนี้เราก็จะมาต่อกันที่เรื่อง…” ภายในเวลาไม่ถึง ห้านาทีคนทั้งห้องก็เกิดอาการง่วงหงาวหาวนอนกันเป็นว่าเล่น โดยที่อาจารย์ก็ได้แต่พูดต่อไปอย่างเมามันโดยไม่สนใจเหล่านักเรียนที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะเลย…ตอนพักเที่ยง…
ปล.อาจจะพิมผิดบ้าง(กอปมาจาก Dek-D ของผมนะครับ)
กีตาร์ไม้เก่าๆกับความเหงาในหัวใจ...
ท่ามกลางเหล่านักเรียนม.ปลายที่กำลังตะโกนโหวกเหวกนั้น บัดนี้ได้มีเสียงของกีตาร์ตัวหนึ่งได้ขับขานอย่างพลิ้วไหว
“เฮ๊ย! ใหญ่แกไม่อ่านหนังสือเหรอ ใกล้สอบแล้วนะโว๊ย” เสียงของแฟร์หนุ่มอารมณ์ดีประจำห้องดังขึ้นดังขึ้น
“คร้าบบบ พ่อ เดี๋ยวลูกจะอ่านครับ ขอเวลาผ่อนคลายอารมณ์แป๊บนึง” เสียงใหญ่ตอบไปอย่างอารมณ์ดี ส่วนมือก็ดีดกีตาร์อย่างเมามัน
“เฮ้ย! อาจารย์มา” เสียงใครสักคนหนึ่งดังมาจากหน้าห้อง
พรึบ!!!
ภายในเวลาไม่กี่วินาทีทั้งห้องก็ตกอยู่ในอาการเรียบร้อยราวกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น“เอาล่ะค่ะนักเรียน วันนี้เราก็จะมาต่อกันที่เรื่อง…” ภายในเวลาไม่ถึง ห้านาทีคนทั้งห้องก็เกิดอาการง่วงหงาวหาวนอนกันเป็นว่าเล่น โดยที่อาจารย์ก็ได้แต่พูดต่อไปอย่างเมามันโดยไม่สนใจเหล่านักเรียนที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะเลย…ตอนพักเที่ยง…
“ เฮ้ย! ใหญ่ กินข้าวโว๊ย” เสียงชีพดังมาจากหน้าห้อง
“เออๆ ไปเถอะๆ เดี๋ยวรอตาลแป๊บ ตาลไปรึยัง” ประโยคสุดท้ายใหญ่หันไปถามเพื่อนสาวที่คบกันมาตั้งแต่ชั้นประถม และเป็นคนๆเดียวที่ทำให้ใหญ่ตัดสินใจมาเรียนต่อที่นี่
“ใหญ่ไปเถอะนะ เผอญตาลนัดโชไว้นะ” ตาลพูดเสร็จก็เดินออกไปจากห้องทันที โดยไม่ทันเห็นแววตาที่น้อยใจของใหญ่เลย…
“โช…” ใหญ่พึมพำแล้วได้แต่ถอนหายใจ เขารู้เพียงแค่โชพยายามจีบตาลอยู่แต่บางสิ่งบางอย่างของโชก็ทำให้เขาไม่ไว้ใจโชเลย แต่เขาก็ไม่รู้ทำไมทั้งที่เขาควรจะดีใจ ดีใจที่เห็นเพื่อนมีความสุข แต่ทุกๆครั้งที่เขาเห็นโชกับตาลอยู่ใกล้กันเขากับรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ มันทั้งเศร้าและเหงาอย่างบอกไม่ถูก...
แต่จนแล้วจนรอดตลอดบ่ายวันนั้นใหญ่ก็ไม่เห็นตาลขึ้นไปที่ห้องเรียนอีกเลย มันทำให้เขาเริ่มรู้สึกกระวนกระวายจนเขาแทบจะออกไปตามอยู่หลายครั้ง ยิ่งพอถึงเวลาเลิกเรียนเขาแทบจะพุ่งออกนอกประตูโรงเรียนทันทีที่ออดดัง เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เป็นห่วงตาลนัก
บางทีตาลอาจจะไม่สบายก็เลยกลับบ้านไปก่อนก็ได้ เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วใหญ่ก็รีบมุ่งหน้าไปบ้านตาลทันทีเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน ในมือก็ถือกีตาร์ตัวเก่งไปด้วย
“ช่วยด้วยยยย”
ในระหว่างทางนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วย ใช่แล้ว! เสียงตาลนั่นเอง! แต่ตาลอยู่ใหนล่ะพอใหญ่มองไปทางด้านซ้ายก็พบกลุ่มวัยรุ่นประมาณสองสามคนกำลังฉุดกระชากลากตาลไปยังเรือนเพาะชำ โดยไม่รอช้าใหญ่รีบวิ่งไปทันที โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใช้กีตาร์ในมือนั่นเหละฟาดใส่ไอ้คนที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างเต็มแรง!
ผลั๊ว!!! ด้วยแรงที่ฟาดลงไปยังผลให้กีตาร์หักทันที ส่วนไอ้คนที่โดนตอนนี้เซแซ่ดๆ ใหญ่ไม่รอช้าปล่อยฮุคขวาเข้าหน้าของอีกคนทันที!
ผลั่ก!!! ด้วยแรงที่ออกหมัดไปยังผลให้คนที่โดนล้มลงทันที
ผลั๊ว! หมัดของอีกคนที่เหลือซัดเข้ามาเต็มๆหน้าใหญ่เล่นเอาใหญ่ถึงกับมึนตึ๊บ โอ้..ดาวจ๋า
ปรี๊ดดดดดดดดดด!!!! ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายไปกว่านี้เสียงนกหวีดของอาจารย์ดังขึ้น( ตามประสานิยายน้ำเน่าที่อาจารย์หรือตำรวจมักจะมาตอนจบเสมอ ) ทำให้เจ้าพวกนั้นรีบล่าถอยไปโดยดีแต่ไม่วายส่งคำสุดฮิตมาให้อีก
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” ฮั่นแน้~~
“ตาลไม่เป็นไรใช่มั๊ย ?” ทันทีที่เจ้าพวกนั้นไปแล้วใหญ่ก็ถลาไปถามคนที่ยืนสะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ
“ฮือ…ไม่เป็น ฮึก.. ไร” พูดได้แค่นี้ตาลก็โผเข้าไปกอดใหญ่เต็มแรง ยังผลให้คนถูกกอดทำหน้าแย่ยิ่งกว่าโดนหมัดเมื่อกี้หลายเท่านัก…
“โอ๊ย!!!”
ใหญ่ร้องลั่นบ้านเมื่อตาลแกล้งใช้นิ้วมาจิ้มที่แผล
“แหม ทีตอนที่โดนชกไม่ร้องชักแอะ” ตาลว่าพลางเอาสำลีชุบยามาทาให้อย่างเบามือพลางแอบลอบมองใบหน้าคมคายนั่นแต่จู่ๆก็รู้สึกใจเต้นผิดจังหวะพร้อมกันหน้าแดงขึ้นมาอย่างกระทันหันเมื่อคิดถึงตอนที่เขามาช่วยเธอ
“แล้วเธอไปทำอีท่าไหนล่ะ มันถึงเล่นงานเอาได้”ใหญ่หันมาถามยังผลให้คนแอบมองสะดุ้งก่อนรีบก้มหน้าตอบอ้อมแอ้มเพราะตอนนี้เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าตัวเองหน้าแดงขนาดไหน
“ก็ตอนแรกโชเขาก็พาไปเที่ยว แล้วเขาก็พาพวกนี้มา” เล่าถึงตรงนี้ตาลก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้อีกรอบ ยังผลให้ใหญ่รีบลุกมาโอ๋ทันทีพลางโทษตัวเองโทษฐานที่ถามอะไรไม่คิด
“โอ๋ๆพอๆ ฉันพอจะเดาออกแล้วอย่าร้องนะอย่าร้อง” ใหญ่รีบเข้าไปโอบตาลไว้พร้อมกับลูบหลังทันทีเพราะเห็นว่าตาลเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
“เอ่อ…ใหญ่ ฉันเสียใจด้วยนะ เรื่องกีตาร์น่ะ” ตาลมองไปยังซากของกีตาร์ที่แทบจะไม่เหลือเค้าโครงกีตาร์เลยสักน้อยนิดก้มหน้างุดขณะที่พูดเพราะตังเองเริ่มจะหน้าแดงอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอก มันก็เก่าแล้วนะอีกหน่อยก็คงซื้อใหม่อยู่ดี ไปนะ” ใหญ่หันมากล่าวลาเมื่อเห็นว่าสมควรแล้วทั้งๆที่เขาไม่อยากปล่อยมือที่โอบตาลไว้เลยพร้อมกับหอบซากกีตาร์ไปด้วย
ทันทีที่ใหญ่ออกบ้านไปตาลก็ได้แต่ถอนหายใจ ทำไมจะไม่เป็นไรล่ะใหญ่ เรารู้ ตั้งแต่คบกันมาว่านายรักกีตาร์ของนายอันนี้มากแค่ไหน เรายังจำได้ถึงวันนั้นวันที่นายวิ่งมาบอกว่า “ดูสิตาล กีตาร์ตัวนี้เราเก็บเงินซื้อเองเลยนา ต่อไปนี้เราจะเล่นให้ตาลได้ฟังทุกวันเลยดีไหมล่ะนี่ๆดูสิตรงนี้มันเป็น..”
หือ?
ตาลหยุดความคิดของตนลงเพียงแค่นั้นเพราะสายตาเหลือบไปเห็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง ของใหญ่ ตาลคิดแล้วหยิบออกมาเปิดอ่าน นายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมหุหุ(นิสัยไม่ดีนะครับ อย่าเอาเยี่ยงอย่าง)
“…เฮ้อ!!! ฉันไม่รู้ว่าฉันตัดสินใจย้ายโรงเรียนตามเธอมาทำไมกันนะ จนทุกวันนี้ยังหาเหตุผลไม่ได้เลย อาจจะเป็นเพราะว่าอากาศแจ่มใส ก็ไม่ใช่ น้ำมันรดราคา เอ๊ะก็ปล่าว หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ที่สำคัญที่สุดคือเวลาที่ได้อยู่ใกล้เธอแล้วฉันมีความสุข เหมือนโลกทั้งโลกสว่างสดใส แต่เธอรู้มั๊ย? เวลาที่ฉันเห็นเธออยู่กับคนอื่นฉันรู้สึกเจ็บแปลบๆที่หัวใจ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ในทางกลับกันถ้าเวลาที่มีเธออยู่กับฉันนั้น ฉันรู้สึกสุขใจอย่างน่าประหลาด เหมือนโลกทั้งโลกมันสดใสมีชีวิตชีวา มันทำให้ฉันลืมความทุกข์ต่างๆได้ แปลกใหมล่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันเป็นนี่เขาเรียกว่าอะไร แต่ที่แน่ๆฉันรู้สึกดีกับมัน และนับวันความรู้สึกนี้ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ฉันจึงได้ตัดสินใจที่จะข่มความรู้สึกนี้ไว้ แต่เธอรู้อะไรไหมว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยที่จะซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ ภายใต้คำว่าเพื่อน…”
หลังจากที่ตาลอ่านมาถึงตรงนี้จู่ๆน้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว…
“ไม่หรอกใหญ่ ไม่ใช่นายคนเดียวที่ทำหรอก นายรู้มั๊ยว่าฉันก็ทุกข์ทรมานขนาดไหนที่ต้องเก็บมันไว้เหมือนกัน...”
หลังเลิกเรียนตาลได้พยายามค้นหาใหญ่ไปทั่วโรงเรียนแต่ก็ไม่มีใครบอกว่าพบเลยทำให้ตาลร้นใจมาก
“ไปไหนของนายนะ...”ตาลค่อยทรุดนั่งลงตรงม้าหินอ่อนพลางมองไปรอบๆกายแต่ก็ไม่มีแม้เงาของใหญ่เลย
“เฮ้อ...”ตาลถอนหายใจและคิดทบทวนถึงที่ต่างๆที่ใหญ่น่าจะไป
“โรงยิมก็ไม่มี ห้องสมุดก็ไม่เห็น ห้องดนตรีก็ไม่เจอ เฮ้อๆๆ...” คราวนี้ตาลถอนหายใจออกมายาวเหยียด แต่แล้วก็คิดขึ้นได้ว่ายังมีอีกสถานที่หนึ่งที่เธอยังไม่ได้ไป...
“หึๆนายเสร็จฉันแน่นายใหญ่เอ๋ย” ตาลพูดตาเป็นประกายเพราะมั่นใจว่าเขาอยู่ตรงนั้นแน่นอน พันเปอร์เซนต์เอาหัวใจเป็นเดิมพันเลยเอ้า
ในที่สุดตาลก็เจอเขากำลังก้มๆเงยๆอยู่จุดที่เกิดเหตุเมื่อวานทำท่าเหมือนค้นหาอะไรสักอย่าง
“หานี่อยู่เหรอ” ตาลพูดพร้อมกับยื่นสมุดบันทึกไปตรงหน้าใหญ่ ใหญ่หันมาพอเห็นเป็นสมุดบันทึกของตัวเองก็ยิ้มกว้างสุดๆ ยิ้มแบบที่ทำให้คนมองแทบจะเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้นเลย อ๊ากกกกว่าที่แฟนใครเนี่ยยิ้มได้น่ารักน่ากอดที่สุดเลย แต่เพราะแทบไม่มีแรงตาลจึงได้แค่หน้าแดงเท่านั้นเอง
“ใช่ ตาลเจอมันที่ไหนเหรอ?” ใหญ่ลุกขึ้นมาทำท่าว่าดีใจสุดๆที่ได้เจอมัน
“ก็เมื่อวานใหญ่ลืมไว้ที่บ้านเราน่ะ” ตาลเริ่มหน้าแดงอีกครั้งเมื่อนึกถึงข้อความในสมุดบันทึก
“หืม? ตาลเป็นไข้รึเปล่าทำไมหน้าแดงขนาดนั้น” ใหญ่ถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นหน้าตาลแดงๆพลางเอามือมาอังที่หน้าผากเพื่อวัดไข้ แต่กลับทำให้ตาลหน้าแดงมากขึ้นไปอีก
อ๊ากกกวันนี้นายอย่าทำตัวน่ารักอย่างนี้ได้ไหม คนยิ่งกำลังคิดไม่ซื่ออยู่ด้วย
“คือ…ใหญ่มีอะไรจะบอกเรามั๊ย เกี่ยวกับข้อความในสมุดบันทึกน่ะ” ตาลถามออกไปอย่างเขินๆพร้อมกับหน้าที่แดงยิ่งกว่าลูกตำลึงสุก
“นี่…นี่แปลว่าตาล ตาลอ่านหมดแล้วหรือ?” ใหญ่เองก็ทำหน้าเหวอไปพอรู้ว่าตาลรู้ความลับที่ตนปิดบังมาตลอดแล้วก็ออกอาการหน้าแดงๆ
“อื้ม” ยิ่งเห็นตาลพยักหน้าใหญ่ก็ยิ่งหน้าแดง หูอื้อ ร่างกายเหมือนจะไร้เรี่ยวแรง
“เอ่อ…คือ…”
“เร็วสิ เรารอฟังอยู่” ยิ่งเห็นใหญ่อายหูแดงแก้มแดง ตาลก็ยิ่งแกล้ง
“คือ…เราชอบตาล” พูดแล้วใหญ่ก็ก้มหน้างุด เพื่อซ่อนอาย หัวใจเต้นโครมๆ
ตายไอ้ใหญ่ตายแล้วนี่จะเป็นโรคหัวใจรึเปล่าล่ะเนี่ย
“หา…ว่าอะไรนะ” แม้ว่าจะได้ยินแล้วแต่ก็ยังอยากแกล้ง ยิ่งใหญ่อายหูแดงหน้าแดงยิ่งดูยิ่งน่าแกล้ง โทษฐานที่ไม่ยอมบอกรักเธอซะแต่แรก ตอนนี้ต้องเอาให้คุ้ม
“เราชอบตาล!!!!!” คราวนี้คนที่ควรจะอายกลับกลายเป็นตาลแทนเพราะใหญ่เล่นตะโกนออกมาชะดังลั่น เล่นเอาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่อมยิ้มกันเป็นทิวแถว…
ทั้งเขาและตาลไม่รู้ว่าความรักของพวกเขาจะยืนนานแค่ไหน อนาคตไม่มีใครที่ล่วงรู้ได้ แต่สิ่งที่ทั้งคู่รู้คือทั้งสองจะใช้หัวใจร่วมสร้างความรักด้วยกัน ทำให้ดีที่สุดเพื่อที่ในวันข้างหน้าทั้งสองจะได้ไม่คิดเสียใจที่ยังไม่ได้ทำมัน...
…เป้าหมายของชีวิตก็เปรียบเสมือนปลายทาง การศึกษาก็เหมือนกับถนนที่เราต้องเดิน ส่วนความรักก็เปรียบเสมือนจักรยาน เพราะถ้าไม่มีจักรยานเราก็จะต้องเหนื่อย ที่จะต้องเดินไปบนถนนอันห่างไกลนั้น แต่ถ้ามีจักรยานแต่ไม่มีถนนก็ไม่มีความหมาย…
เชิญติชมได้เต็มที่ครับ ผิดพลาดประการได ก็ขออภัยขอน้อมรับไว้ด้วยความเต็มใจครับ
กีตาร์ไม้เก่าๆ กับความเหงาในหัวใจ...