เรื่องนี้เป็นนิยายที่ผมแต่งเองนะครับอ่านแล้วก็ช่วยกันคอมเมนท์ด้วยน่อ
Horizon ตอนพิเศษนี้เขียนขึ้นมาเพื่อลองดูแสกระตอบรับครับ ถ้ากระแสตอบรับดีพอผมก็จะเริ่มเขียนตอนที่1 ซึ่งตอนนี้จะให้พูดก้เหมือนกับเป็นตอนที่0 นั้นเองก่อนเข้าเนื้อเรื่องจริงๆ
แสงดาวทอประกายแสงสีขาวจนทั่วท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิดให้ดูสวยงามโดยมีดวงจันทร์เฉิดฉายอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ทั้งที่มันเป็นช่วงเวลากลางคืนแต่ที่ปลายขอบฟ้านั้นกลับไม่ได้มืดมิดตามช่วงเวลาที่มันควรจะเป็น มันกลับทอแสงสีส้มแดงและควันไฟสีดำจำนวนมหาศาลที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
เสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังของเหล่าผู้คนที่กำลังวิ่งแตกตื่นจากเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้บ้านจากหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่งอย่างรวดเร็ว โดยต้นเพลิงนั้นเกิดขึ้นจากเหล่านักรบสวมเกราะสีขาวผู้โบกสะบัดผืนธงสัญลักษณ์รู้เสือขาว
“ทำไมพวกแบกโฮ*ถึงบุกโจมตีพวกเราล่ะ!!” เสียงของชายแก่คนหนึ่งร้องขึ้นอย่างแตกตื่น แต่หลังจากนั้นร่างของเขาก็ล้มลงจมกองเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากปากโดยที่หน้าอกของเขามีหอกเหล็กพุ่งแทงทะลุร่างไป
“พวกเจ้ารีบหนีเข้าไปในวัง เร็วเข้า!!” เสียงตะโกนของหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีแดงในชุดเกราะสีแดงเพลิงดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงของกลีบเท้ากระทบพื้นของเหล่าม้าศึกที่ถูกติดเกราะพร้อมรบ ผืนธงรูปพญาหงส์สีแดงเพลิงโบกสะบัด เหล่าชายหนุ่มชาวบ้านที่กำลังหนีตายส่วนใหญ่กลับหยุดนิ่งและมองสาวผมแดงที่ราวกับดอกไม้แห่งเปลวเพลิงที่เฉิดฉายอยู่ท่ามกลางเพลิงสงครามอันบ้าคลั่ง
“ท่านโรมิน่ามาแล้ว อัศวินหญิงอันดับหนึ่งแห่งฟินิกซ์**!!” เสียงร้องตะโกนของเหล่าชาวเมืองดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
“พวกเจ้า กำจัดพวกมันให้หมด อย่าให้เหลือ แสดงพลังของพวกเราให้พวกมันได้รับรู้!!” เธอตะโกนเสียงทรงอำนาจกับเหล่าทหารม้าที่กำลังควบตามหลังเธอมาติดๆ ส่วนพวกทหารทั้งหมดก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทรงพลัง
อัศวินสาวกระชับหอกในมือแน่นก่อนที่จะเข้าปะทะกับกองทหารของศัตรูที่กำลังจัดแนวตั้งรับอย่างยากลำบาก ด้วยเหตุที่ว่าทั้งสองข้างทางนั้นคือบ้านเรือนที่กำลังลุกไหม้ประกอบกับทางเดินที่ไม่ค่อยจะกว้างนัก
กองทหารม้าปะทะเข้ากับทองทหารเดินเท้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเหล่าทหารม้านั้นสามารถทำลายแนวตั้งรับของศัตรูได้อย่างรวดเร็วก่อนที่พวกมันจะตั้งแนวรับได้เสียอีก
“ต้อนพวกมันไปที่กลางเมือง!!” อัศวินสาวตะโกนออกคำสั่งแบบไม่สนใจฝ่ายตรงข้ามที่ฟังอยู่เลยแม้แต่น้อย
บริเวณกลางเมือง ซึ่งหลังจากที่เธอและคนของเธอพยายามต้อนพวกศัตรูมาที่นี่แล้วนั้นมันคือลานประหารขนาดยักษ์ไม่มีผิด โดยในเส้นทางอื่นๆก็มีกองทัพฝ่ายศัตรูที่ถูกไล่ต้อนมาเช่นกัน
อัศวินสาวที่ขณะนี้ลงจากม้าเพื่อเข้าสู้ระยะประชิดนั้นควงหอกของเธอไปมาอย่างว่องไวและสวยงามราวกับการร่ายรำและหากใครเข้าใกล้เธอก็จะถูกหอกนี้แทงใส่อย่างรวดเร็วและรุนแรงจนแทบจะไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว
ภายในท้องพระโรงซึ่งตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นห้อบัญชาการกองทัพไปแล้วนั้นเหล่าแม่ทัพกำลังช่วยกันคิดแผนการเพื่อที่จะโค่นล้มศัตรูโดยมีชายร่างใหญ่ในชุดเกราะสีขาวผ้าคลุมแดงซึ่งก็คือกษัตรของที่นี่กำลังร่วมคิดแผนการอยู่ด้วย
“ขอรายงานครับ!!” ทหารหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาภายในท้องพระโรงอย่างรีบร้อน “แผนการของท่านโรมิน่าสำเร็จด้วยดี แต่ตอนนี้กำลังเร่งถอยทัพออกมาจากกลางเมืองซึ่งตอนนี้เปลวเพลิงกำลังโหมหนักจากล้มทิศเหนือที่พัดผ่านมาขอรับ” เขารายงาน
“ฮึ่ม..... มันรอเวลานี้อยู่สินะ ถึงได้เผาเมือง” เสียงทุ้มต่ำของกษัตรร่างใหญ่พูดขึ้นอย่างเป็นกังวล
“ถ้าเป็นแบบนี้เมืองทั้งเมืองรวมถึงปราสาทหลังนี้ได้ถูกเผาไปกับเปลวเพลิงหมดแน่ขอรับ ทรงเสด็จหนีออกจากที่นี่ทางประตูลับก่อนเถอะขอรับ” นายทหารหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น
“จะทำแบบนั้นได้เช่นไร!!” องค์กษัตรตะโกนขึ้นพลางทุบโต๊ะเสียงดัง “ หากกษัตรทอดทิ้งประชาชนแล้วยังจะเรียกว่ากษัตรได้อีกงั้นรึ ไปตามตัวโรมิน่ามาหาข้าเดี๋ยวนี้!!”
เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังขึ้นในท้องพระโรงพร้อมกับความเงียบงัน ร่างของอัศวินสาวผมแดงเดินเข้ามาในท้องพระโรงอย่างสุขุมเยือกเย็น
“โรมิน่า ข้าอยากให้เจ้าพาลูกสาวของข้าหนีออกไปจากที่นี่ทางประตูลับ” องค์กษัตรพูดเสียงเรียบ ส่วนอัศวินสาวเพียงแค่ตบเท้าทั้งสองเข้าหากันและทุบมือขวาลงที่อกซ้ายเพื่อเป็นการตอบรับตามแบบอัศวินของที่นี่
“ท่านพ่อ นี่มันหมายความว่ายังไงกันคะ เรื่องที่จะให้ข้าหนีออกไปจากที่นี่!!” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้น และเมื่อทุกสายตาหันไปจับจ้องที่ต้นเสียงก็พบกับเด็กสาวผมทองในชุดกระโปรงสีขาวดูงดงาม
“โฮไรซอน เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน รีบเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว” องค์กษัตรพูดพลางเดินไปหาเด็กสาวซึ่งเธอก็คือองค์หญิงของที่นี่นั้นเอง
“ท่านพ่อข้าจะอยู่ที่นี่ด้วย” เธอยืนยันเสียงแข็ง
“เจ้าลูกโง่!! ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่มีแต่จะเป็นตัวถ่วงข้า แถมถ้าเจ้าถูกจับได้มีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่หรืออาจจะมีสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าความตายรออยู่ก็เป็นได้” องค์กษัตรพูดด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“คุณเลิกดุลูกซักที่เถอะค่ะ” ร่างของสาวงามผู้หนึ่งเดินเข้ามาภายในท้องพระโรง โดยในมือของเธอนั้นถือกล่องไม้กล่องเล็กๆสีน้ำตาลเอาไว้ด้วย “โฮไรซอนลูกแม่ ได้โปรดนำสิ่งนี้หนีไปกับเจ้าพวกเถอะ” เธอส่งกล่องไม้ให้ลูกสาว
“สิ่งนี้คือ” องค์หญิงถามด้วยความสงสัย
“เคยมีผู้พยากรเคยพูดเอาไว้น่ะ ว่าลูกจะเป็นผู้กอบ:X้อาณาจักรของเราในซักวัน รวมถึงการรวมทวีปทั้งทวีปให้เป็นปึกแผ่น ลูกจงตามหาเหล่าผู้ที่สามารถพูดคุยกับเหล่าดวงดาวให้พบเถอะ แหวนทั้งหกวงที่อยู่ในกล่องนี้จะนำลูกไปพบกับพวกเขาเอง” ราชินีสาวพูด พลางยืนตัวสั่นด้วยความรู้สึกมากมายหลายอย่างที่ถาโถมเข้ามาพร้อมๆกัน แล้วจึงโผเขาสวมกอดลูกสาวสุดที่รักเป็นครั้งสุดท้าย “แม่รักลูกนะ รักที่สุดลูกคือแก้วตาดวงใจของแม่เสมอมา” เธอพูดพลางร้องไห้ออกมา
“ตอนนี้พวกเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้อยู่ที่กำแพงปราสาทแล้วครับ!!” ทหารหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานภายในท้องพระโรง
“รีบไปเถอะ ก่อนที่จะไม่ทันการ” ราชินีสาวพูดกับลูกสาวสุดที่รักของเธอ
ในเวลาเดียวกันภายในเขตของเหล่าพวกนอกรีตเมืองเฮลเกท
ภายในโบถส์หลังเล็กๆหลังหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นเป็นเนินเขาของเมือง ภายในห้องอาหารที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ของโบถส์นั้นมีร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำดูคล้ายพวกนักบวชกำลังนั่งเก้าอี้โดยวางขาสองข้างวางพาดไว้กับโต๊ะ ในปากของเขานั้นคาบบุหรี่ราคาแพงที่พวกพ่อค้าทางเหนือนำมาขายที่นี่
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ คืนนี้ดันเล่าเรื่องตลกให้ข้าฟังซะได้” เขาหัวเราะออกมาสุดเสียง
“มีอะไรงั้นเหรอ” หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวพูดพลางเก็บล้างจานชามที่ใช้แล้วอยู่
“พวกดวงดาวบอกว่าคืนนี้มีอาณาจักรล่มสลายแล้วจะมีคนมาขอความช่วยเหลือจากฉันน่ะสิ ฉันมาอยู่ซะหลังเขาขนาดนี้ยังจะมีใครมาขอความช่วยเหลือฉันอีกกันล่ะเนี่ย!!”
ณ ที่ใดที่หนึ่งในเขตของพวกนอกรีต
ภายในป่าที่เงียบสงบของเขตพวกนอกรีต มีค่ายทหารของพวกทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่งตั้งอยู่ บนหลังคาของบ้านหลังหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นในบริเวณค่ายทหารนี้มีร่างของเด็กผู้หญิงที่มองดูแล้วอายุน่าจะราวๆสิบสองหรือสิบสามเท่านั้น โดยเธอสวมเสื้อผ้าเก่าๆชุดหนึ่งกำลังนั่งเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีเหมือนๆกับทุกๆคืน
“โอ้ มาอยู่นี่เอง หัวหน้าเรียกหาแหนะ ดูเหมือนเมืองแถวๆนี้กำลังจะเปิดศึกกัน เขาจ้างพวกเราน่ะหัวหน้าเลยอยากคุยกับเอหน่อย!!” ชายคนหนึ่งตะโกนเรียกเธอ และสิ่งที่เธอทำคือเธอกระโดดลงมาจากหลังคาบ้านที่สูงขนาดนั้นได้สบายๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อืม เข้าใจแล้ว” เธอตอบน้ำเสียงไร้อารมณ์ “นี่ คำว่าล่มสลายหมายถึงอะไรเหรอ” เธอถามชายหนุ่มตรงหน้า
“ล่มสลายก็หมายถึงการพังทลายของอะไรบางอย่าง เช่นเมืองล่มสลาย ก็คือเมืองนั้นๆถูกทำลายยังไงล่ะ” ชายหนุ่มอธิบายให้เธอฟัง “เหมือนๆกับงานที่พวกเราทำกันนั้นล่ะ”
เธอพยักหน้ารับ “น่าเศร้าจัง” เธอพูดเสียงเบากับตัวเอง
ภายในเขตการปกครองของอาณาจักรโอริว ภูเขาสำนึกบาป
ภายในบ้านหลังเล็กทรงญี่ปุ่นที่ถูกสร้างขึ้นท่ามกลางป่าไผ่ที่แสนจะเงียบสงบบนภูเขา คือสถานที่จองจำนักโทษการเมืองคนสำคัญผู้ก่อขบถครั้งใหญ่ขึ้น ที่ระเบียงทางเดินด้านนอกของบ้านมีร่างของชายหนุ่มที่พอมองดูแล้วก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าเขาคงเป็นพวกหนุ่มเจ้าสำราญกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนโดยเขาเอนตัวลงกับหมอนอิงพลางสูบกล้องยาสูบไปด้วย
“ฮันโซ” เขาเรียกชื่อชื่อหนึ่งขึ้นมา
“ขอรับ” เสียงตอบรับดังขึ้นจากภายในเงามือจากภายในบ้าน
“ข้าอยุ่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว หกปีรึ” ชายหนุ่มพูดขึ้นพลางจ้องมองท้องฟ้ายามราตรี
“สี่ปีขอรับ ถ้าให้ถูกก็คือสี่ปีหกเดือนกับอีกสิบหกวัน” เงียบนั้นตอบ
“งั้นรึ ฮันโซข้าคิดว่าข้าใกล้ได้เวลาที่จะออกไปจากที่นี่แล้วละนะ” เขาพูดเสียงเรียบ
“ดวงดาวบอกอะไรท่านรึขอรับ” เสียงนั้นถาม
“มันเป็นความลับนะฮันโซ ว่าแต่เจ้าเถอะจะติดตามข้าไปด้วยรึเปล่า” ชายหนุ่มพูด
“ทุกที่และทุกหนแห่ง ข้าจะติดตามท่านเหมือนดังเงากายของท่านขอรับท่านจูเบย์” เสียงนั้นตอบ ส่วนชายหนุ่มที่ได้ยินคำตอบก็ถึงกับระเบิดหัวเราะออกมาสุดเสียง
“ข้าล่ะชอบเจ้าตรงนี้เสียจริงฮันโซ” เขาพูด “เช่นนั้นคืนนี้ข้าคงต้องฉลอง เจ้าช่วยไปจัดหาสาวงามมาให้ข้าเหมือนกับทุกทีพร้อมเหล้าและอาหารด้วยล่ะ” เขาออกคำสั่งที่ฟังดูไร้สาระมากๆ แต่ถ้าพูดให้ถูกเขาก็ฉลองมันอย่างน้อยอาทิตย์ละสี่ครั้งละนะ เนื่องด้วยโอกาสไร้สาระต่างๆกันไปเช่น เนื่องด้วยวันนี้อากาศดี เนื่องด้วยวันนี้ข้าอยากฉลอง เนื่องด้วยวันนี้ฝนตก และอื่นๆซึ่งเขาช่างสันหาเหตุผลไร้สาระมาใช้ได้แทบไม่ซ้ำกันทุกวัน แถมเงินที่ใช้จ่ายไม่ใช่เงินของเขาแต่เป็นเงินของประเทศนี้ต่างหาก เพราะราชวงต้องจ่ายค่ากินอยู่ของเขาเต็มๆ ด้วยเหตุที่ทุกคนเห็นพ้องกันว่าการสังหารชายผู้นี้จะเกิดผลเสียสู้เก็บตัวไว้ใช้งานในอนาคตยังดีเสียกว่า
เขตปกครองของแบกโฮเมืองหลวง
บนกำแพงเมืองที่สูงใหญ่ทำจากหินผาอันแข็งแกร่งนั้นมีร่างของชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งในชุดเกราะสีขาวผ้าคลุมขาว ซึ่งเป็นเกราะของอัศวินชั้นสูงของที่นี่
“งั้นรึ มันคือชะตากรรมของข้าสินะ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะรอเวลานั้น” เขาพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ใกล้ชายแดนของโอริวเขตพวกนอกรีต
ท่ามกลางป่าที่อยู่ติดชายแดนของโอริวซึ่งที่นี่มักจะคึกคักอยู่ตลอดจากการค้าขายกับอาณาจักรทางเหนือ ทำให้ด้านนอกเขตเมืองมีตลาดที่ทุกคนเรียกว่าตลาดปลอดภาษีอยู่ และห่างออกไปจากตลาดแห่งนี้มียอดของต้นไม้มีร่างของชายคนหนึ่งยืนทรงตัวอยู่บนนั้น เขามองดวงดาวแล้วก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆเท่านั้น
“ท่านพี่คะ ได้เวลาแล้วค่ะ” เสียงของเด็กสาววัยสิบห้าในชุดสีดำมีผ้าพันคอสีดำปิดบังใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้
“อื้ม เข้าใจแล้วล่ะ” เขาตอบพลางกระโดดลงมาจากต้นไม้ โดยเขากระโดดลงมาจากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่ง
“คืนนี้มีอะไรดีๆงั้นเหรอคะ” เธอถามพี่ชายของเธอ
“อีกไม่นานพวกเราก็จะได้ใช้ชีวิตใต้แสงตะวันอันอบอุ่นแบบที่พวกเราพี่น้องวาดฝันเอาไว้แล้วน่ะสิ” เขาตอบพลางเอามือลูบผมของน้องสาวอย่างทะนุถนอม
เขตการปกครองของอาณาจักรโอริว ณ ที่ใดที่หนึ่งในทะเล
กลางทะเลอันเวิ้งว้างมีเรือใบสีดำลำใหญ่ลอยลำลอย โดยธงของเรือลำนี้ทำให้ทุกคนที่พบเห็นต่างหวาดกลัว มันคือธงสีดำมีรูปหัวกะโหลกและสมอเรือ และที่บริเวณหัวเรือนั้นมีร่างของชายหนุ่มผู้สวมผ้าปิดตาข้างซ้ายเอาไว้นั่งดื่มเหล้าพลางมองท้องฟ้ายามราตรี ใบหน้าของเขาแสดงถึงความแปลกใจในอะไรบางอย่าง และจู่ๆร่างของเขาก็สั่นเทา
“ฮ่าๆๆๆๆๆ จะมีคนมาขอร้องโจรสลัดให้ไปกุ้ประเทศคืนนี่นะ โอ๊ย!! จะบ้าตาย!! ถ้าไม่มีค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อล่ะก็ ไม่มีทางช่วยอยู่แล้วล่ะเฟ้ย!!” เขาร้องตะโกนออกมาสุดเสียงราวกับคนบ้า
และในเย็นของอีกสองวันต่อมาหัวของราชินีและกษัตรแห่งฟินิกซ์ก็ถูกส่งไปยังอีกสองอาณาจักรที่เหลือ
*แบกโฮในที่นี้ก็คือเทพเปียกโกะเทพประจำทิศตะวันตกของญี่ปุ่นโดยประเทศในเรื่องก็อยู่ในทิศตะวันตกเช่นกันครับ
**ก็ถ้าใครไม่เข้าใจนะครับคือผมใช้นกฟินิกซ์เพื่อพยายามจะสื่อถึงเทพซูซาคุ เทพประจำทิศใต้ของญี่ปุ่นนั้นเองครับ โดยประเทศฟินิกซ์เองก็อยู่ในทิศเดียวกัน
ผมอยากบอกว่าเรื่องนี้เขียนออกมาดีกว่าเรื่องที่แล้วอ่ะนะ (ชมตัวเองซะงั้น) ส่วนใครที่เคยอ่านอวาลอนที่ผมเขียนไว้นั้นคงจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างล่ะมั้งนะ มันอาจจะต่างกันนิดหน่อยแต่รู้สึก่าทางนี้เขียนดีกว่า แถมรู้สึกอยากเขียนเรื่องนี้จังเลย
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย vodooking1 เมื่อ 2012-8-11 04:25
Horizon ตอนพิเศษ