การเล่นแร่แปรธาตุ ศาสตร์ลึกลับแห่งความฝัน ความมั่งคั่ง ความเป็นอมตะ และ ศิลานักปราชญ์ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าศาสตร์นี้มีความเป็นมาอย่างไร มาวันนี้เราขอเสนอรีพอร์ทที่จะทำให้ท่านได้รู้ถึงที่มาแก่นของวิชา ที่ครั้งหนึ่งถูกเรียกว่า ไสยศาสตร์
ปล.1-Philosopher's stone-ศิลานักปราชญ์
ปล.2-ดีโมครีตัส นั้นตามที่ผมรู้มาเค้าไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุครับ เป็นแค่นักปรัชญาที่มีแนวคิดทันสมัย โดยตัวเค้านั้นคิดว่าโลกเป็นแค่ส่วนหนึ่งของจักรวาล ในจักรวาลยังมีดาวเคราะห์อื่นๆอีกมากมาย และสรรพสิ่งเกิดจากการรวมตัวของสิ่งเล็กๆ(Sub Atomic)ครับ
ปล.1-Philosopher's stone-ศิลานักปราชญ์
ปล.2-ดีโมครีตัส นั้นตามที่ผมรู้มาเค้าไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุครับ เป็นแค่นักปรัชญาที่มีแนวคิดทันสมัย โดยตัวเค้านั้นคิดว่าโลกเป็นแค่ส่วนหนึ่งของจักรวาล ในจักรวาลยังมีดาวเคราะห์อื่นๆอีกมากมาย และสรรพสิ่งเกิดจากการรวมตัวของสิ่งเล็กๆ(Sub Atomic)ครับ
ประวัติของวิชาเล่นแร่แปรธาตุ
ถ้าจะจำกัดความคำว่านักเล่นแร่แปรธาตุแล้วล่ะก็คงต้องบอกว่าพวกเค้าคือ นักวิทยาศาสตร์+พ่อมด นั่นเองล่ะครับ เพราะสิ่งที่เค้าศึกศึกษาก็คือกฏของธรรมชาติว่าด้วย
ความเป็นไปตามธรรมชาติ แต่จะต่างกับนักวิทยาศาตร์ยุคนี้ ก็คือพวกเค้าศึกษาและค้นคว้ากฏการต้านธรรมชาติด้วย เช่น การสร้างสิ่งมีชีวิตจากสิ่งไร้ชีวิต การไม่แก่ไม่ตาย การเปลี่ยนสสารให้กลายเป็นทอง ฯลฯ ซึ่งบางครั้งก็มีหลักบ้างไม่มีหลักบ้างตามแต่วิธีของตน ทว่าสิ่งเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุค้นพบก็ไม่ใช่จะเป็นแค่นิยายหลายอย่างเราก็ยังคงสืบทอดผลงานของพวกเค้าอยู่ เช่น ดินปืนที่นักแปรธาตุชาวจีนค้นพบ หรือแม้แต่มอร์ต้าหรือปูนฉาบที่พระอียิปต์ค้นพบเมื่อ4000ปีก่อนเราก็ยังใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้
ชื่อนี้มีที่มา
คำว่าเล่นแร่แปรธาตุนั้นภาษาอังกฤษใช้คำว่า Alchemy นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาอาหรับซึ่งประกอบด้วยคำว่า AL ที่เป็นคุณสรรพของภาษาอาหรับ(ประมาณ the ของภาษาอังกฤษครับ)ผสมกับCHEMYที่มีความหมายว่าธาตุ หรือ โลหะ ทว่าก็มีบางคนแย้งว่าน่าจะมาจากคำว่า KHEM ที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่านักวิทยาศาสตร์ในภาษาอาหรับซึ่งมีความหมายโดยนัยถึงอียิปต์นั่นเอง(KHEMแปลว่าแผ่นดินดำซึ่งเป็นคำที่ชาวอาหรับเรียกอียิปต์ ครับ) ทำให้ปัจจุบันก็ยังสรุปไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วมาจากทางไหนกันแน่
จุดเริ่มต้น
ถ้าใครสักคนเดินดุ่ยๆมาถามผมว่า เอ้ยนี่รู้ป่าววิชาเล่นแร่แปรธาตุมีมานานแค่ไหนแล้ว ผมก็คงบอกกับเขาไปว่า นานเท่าที่มีการบันทึกนั่นล่ะ ซึ่งผมไม่ได้เล่นลิ้นแต่อย่างใดเพราะนี่เป็นเรื่องจริงครับ เท่าที่รู้มาวิชานี้มีมาตั้งแต่2000ปีก่อน คริสต์-กาล หรือราว 4000 ปีก่อนในดินแดนแถบอารยธรรมอียิปต์และบาบิโลเนีย ซึ่งแน่นอนคนใช้ไม่ใช่ใครอื่นนักบวชนั่นเอง นักบวชนั้นเป็นชนชั้นสูงที่สุดในสังคมเพราะเค้าคือคนที่สนทนากับเทพพระเจ้าได้จึงต้องคัดคนที่เก่งจริงขึ้นมาและศึกษาความเป็นไปของโลกไปควบคู่กันวันทั้งวันจึงเอาแต่ศึกษาธรรมชาติจนเกิดความรู้แจ้งว่า ธรรมชาตินั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามแต่ประสงค์ของเทพซึ่งเค้ารู้ว่าประสงค์ของเทพคืออะไรและนั่นก็คือต้นกำเนิดวิชาเล่นแร่แปรธาตุนั้นเอง ความสำเร็จของชาวอียิปต์นั้นน่าทึ่งมากเพราะพวกเค้าเป็นชนชาติแรกที่คิดค้น mortar หรือปูนฉาบได้ตั้งแต่4000ปีก่อนประวัติศาสตร์ และ คิดค้นแก้วได้ตั้งแต่1500ปีก่อนประวัติศาสตร์ ที่สำคัญพวกเราเป็นชนชาติแรกที่รู้จักปฏิกริยาเคมี ด้วยการเผาหินปูน(CaCO3 )ได้ผลิตภัณฑ์เป็น CaO (แคลเซียมออกไซด์) และ CO2. (คาร์บอนไดออกไซด์) นับเป็นความก้าวหน้าที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับยุคที่ยังไม่รู้จักแม่แต่คำว่าออกซิเจน หลังจากเป็นที่ประจักแก่โลกจึงได้มีการถ่ายทอดสู่อารยธรรมอื่นในปีค.ศ.332เมื่อชนชาติกรี-กและอียิปต์มีความสัมพันธ์ต่อกันจนในแพร่เข้ามาในยุโรปแปรเปลี่ยนเป็นวิชาเล่นแร่แปรธาตุในที่สุด
โลกแห่งการแปรธาตุ อียิปต์โบราณ บริเวณที่ตั้งของชนชาวอียิปต์โบราณนั้นมีหลักฐานว่ามีการใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุมานานกว่า 4000 ปีในแถบอารายธรรมอียิปต์และบาบิโลเนีย ผู้ที่ใช้คือพระ และนักบวช ความสำเร็จของชนชาตินี้คือคิดค้นปูนฉาบได้สำเร็จตั้งแต่ 4000 ปีก่อนประวัติศาสตร์ เครื่องแก้วก่อน 1500 ปีก่อนประวัติศาสตร์ และรู้จักปฏิกิริยาเคมี โดยการเผาหินปูน ได้แคลเซียมออกไซด์ กับ คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของชนชาติในยุคนั้นๆ เลยทีเดียว กรีกโรมัน ยุคสมัยเปลี่ยนไปเป็นของชาวกรีกโรมัน วัฒนธรรมที่รับจากชาวอียิปต์โบราณยังคงเหนียวแน่น ในยุคนี้เองที่ได้เพิ่มเติมเทวตำนานด้านเทพยาดา และความเชื่อต่าง ๆ เช่น ทุกสรรพสิ่งเกิดจากธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น ต่อมาเมื่อศาสนาคริสต์เข้ามา ความเชื่อดั้งเดิมจึงถูกเปลี่ยนไปเป็นพระเจ้ากับซาตาน ทำให้นักเล่นแร่แปรธาตุทั้งหลายไม่ได้รับความสนใจและสูญหายไปในที่สุด อาหรับ ขณะที่อาณาจักรโรมันกำลังเสื่อมวิชาด้านเล่นแร่แปรธาตุ ในทางกลับกันวิชาการทางแถบนี้กลับเฟื่องฟูอย่างมากจนขนาดที่สามารถสร้างกรดกัดทองได้ (Aqua regia หรือ ราชาน้ำ ซึ่งในโลกนี้มีกรดเพียงชนิดเดียวที่ละลายทองได้) คิดค้นโดยนาย Jabri ibn Hayyan และมีตำนานกล่าวว่านายคนนี้สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตประดิษฐ์ได้เป็นคนแรก โดยให้ชื่อว่า Takwin ซึ่งน่าจะเป็นต้นแบบของ โฮมูนครูส วิชาการแปรธาตุในโลกอิสลามนั้นมีหลักฐานว่าน่าจะรับมาจากอาณาจักรบาบิโลเนียโดยตรง เนื่องจากพบหลักฐานในอารายธรรมลุ่มน้ำไทกรีส - ยูเฟรตีส เป็นแบตเตอรี่ที่ใช้ในเหมืองทองมานานกว่า 2000 ปี จีน จีนได้รับอิทธิพลมาจากเปอร์เซียซึ่งใกล้กับยุโรป แต่แนวความคิดนั้นได้แตกแขนงเป็นธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โลหะ ทอง จุดประสงค์ของอารายธรรมนี้คือใช้ทางการแพทธ์ ในขณะที่ทางยุโรปใช้ทางการแปลงธาตุโลหะ ดังนั้นเทคโนโลยีทางการแพทธ์ของที่นี่จึงพัฒนาถึงขีดสุด ถึงขนาดมีตำนานที่ฮ่องเต้ได้จัดไพร่พลเพื่อเสาะแสวงหาวัตถุดิบทำน้ำอมฤต ยาแขนงต่าง ๆ แต่ที่ประสบความสำเร็จที่สุดคงจะเป็นดินปืนเสียมากกว่า อินเดีย น่าทึ่งที่วิชาการเล่นแร่แปรธาตุในลุ่มน้ำสินธุเข้าขั้นลึกซึ้งถึงขนาดนักเล่นแร่แปรธาตุชาวเปอร์เซียร์ ในยุคศตวรรษที่ 11 บันทึกไว้ใน The Vaishashik Darshana of Kanad ว่า "ที่นี่มีการศาสตร์ประหลาดชื่อว่า Rasavytam ที่กล่าวถึงการแปรความสัมพันธ์ทางสสารให้เป็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นยาย้อนอายุ หรืออาหารที่เกิดจากความว่างปล่าว (ปัจจุบันเรียกว่าอาหารทิพ)" และในอาณาจักรนี้ยังมีคำภีร์อายุระเวทย์ คำภีร์การแพทธ์ที่กล่าวถึงการผ่าตัดที่สลับซับซ้อนก่อนยุค ค.ศ. อีกด้วย ยุโรป หลายคนคงคิดว่าต้นกำเนิดวิชาเล่นแร่แปรธาตุมาจากยุโรป ความจริงแล้ววิชานี้ทางยุโรปได้รับมาจากทางโลกอิสลามซึ่งสั่งสมอยู่ที่สเปน โดยพระสังฆราช Silvister ที่ 2 เป็นคนนำเข้ามาในปี ค.ศ. 1003 (ด้วยที่เคยไปเป็นอาณาจักรที่รับอารายธรรมโดยตรงจากกรีกโรมัน) แต่กว่าจะได้ศึกษาด้านนี้อย่างจริงจัง เวลาก็ผ่านไปอีก 200 ปีให้หลัง นักเล่นแร่แปรธาตุคนแรกคือ Roger bacon ลัทธิ St.Francis (ผู้ค้นพบกระบวนการแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ประกอบด้วย การถามผู้รู้ คิดวิเคราะห์ และลงมือทดลอง) ในยุคนี้ท่าน Roger ได้เป็นผู้ริเริ่มการออกตามหาศิลานักปราญช์ เพื่อสร้างน้ำอมฤต ถือได้ว่าเป็นยุคทองของนักเล่นแร่แปรธาตุเลยก็ว่าได้ ต่อมาในยุคของพระสังฆราช John XXII ขึ้นครองราช ได้ประกาศให้วิชาเล่นแร่แปรธาตุเป็นสิ่งต้องห้าม เป็นการกระทำของพวกนอกรีต ทำให้นักศึกษาวิชาแขนงนี้สูญหายไปในบัดดล บุคคลที่มีตำนานว่าครอบครองศิลานักปราญช์ก็อยู่ในยุคนี้เช่นกัน แต่หลังจากยุคของพระสังฆราช Roger bacon ไป 200 ปี เขาชื่อ Nicolas Flamel ยุค ค.ศ. 1330 - 1417 ตำนานกล่าวว่าเค้าศึกษาวิชาเล่นแร่แปรธาตุอย่างหลงใหลจนในที่สุดเขาก็พบหนังสือบันทึกวิธีที่จะสร้างศิลานักปราชญ์ โดยมีนางฟ้าคอยนำทางเขาเดินทางทั่วอาณาจักรเพื่อจะถอดความในหนังสือและเขาก็ทำสำเร็จ ในช่วงปลายชีวิตของเขา จู่ ๆ เขาก็ร่ำรวยผิดปกติ และหลังจากที่เขาและภรรยาถึงแก่กรรม ได้มีคนพบเห็นเขาและภรรยาไปปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ มากมาย จนต้องมีการขุดโลงศพพิสูจน์ และน่าทึ่งที่ในโลงศพไม่ปรากฏร่าง หรือโครงกระดูกของพวกเขาเลย! (โปรดใช้วิจารญาณในการรับชม) ศิลานักปราชญ์ เหตุที่เรียกว่า "ศิลา" เพราะว่าตอนที่มันออกจากเตาหลอมจะมีสภาพแข็งเหมือนหิน จึงเรียกกันว่า ศิลานักปราชญ์ ซึ่งปกติแล้วศิลานี้จะอยู่ได้ทั้ง 3 สถานะคือของแข็ง ของเหลว และก๊าซ คุณสมบัติที่เห็นได้ชัดคือสามารถเปลี่ยนโลหะธาตุพื้นฐาน เป็นทองได้ (ดูตารางธาตุ ในปัจจุบันสามารถทำได้แต่มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก) และอีกสิ่งคือ น้ำอมฤต ที่ใครได้ดื่มแล้วจะมีชีวิตเป็นอมตะ จุดกำเนิดของศิลานักปราชญ์อยู่ที่ ปรอท และ กำมะถัน โดยนักเล่นแร่แปรธาตุ จะทำการ "แยก" เอาแก่นกำมะถันออกจากปรอท (เรียกปรอทที่จะนำมาแยกแก่นกำมะถันว่าปรอทสำเร็จ) นี่คือ "หินนักปราชญ์" แต่มันยังไม่สมบูรณ์ นักเล่นแร่แปรธาตุจะทำการแยกเอาแก่นตะกั่ว จากปรอท สิ่งที่ได้นี้เรียกว่า "ธาตุที่ 1" จากนั้นนำ "ศิลานักปราชญ์" และ "ธาตุที่ 1" มาหลอมรวมกันในเตาหลอมความร้อนสูง โดยมีตัวช่วยทำละลายคือมนุษย์เป็น ๆ เป็นตัวแปร โดยคุณสมบัติของมนุษย์ที่จะใช้ได้นั้นต้องมีจิตที่ดีพอ จึงจะทำได้สำเร็จ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นมีตั้งแต่ทอง เงิน เกลือ หรือเตาหลอมระเบิดก็มี ถึงตอนนี้คงไม่มีใครกล้าเถียงว่าอารยธรรมแรกๆที่ใช้วิชานี้คือชนชาติอียิปต์โบราณ แต่ก็ใช่ว่าวิชานี้จะสืบสานมาจากอียิปต์โดยตรงทั้งหมด บางที่ก็มีการคิดเองแม้จะหลังอียิปต์ หรือบางที่ก็สืบทอดมาจากที่อื่นอีกทีเรามาดูกันดีกว่าครับว่ามีที่ไหนกันบ้างครับ มีการบันทึกในล่าสุด ปีค.ศ. 1894 ว่าวิชาเล่นแร่แปรธาตุได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วิชาชีวะวิทยา" หลังจากนั้นวิชาเล่นแร่แรธาตุก็ถูกลืมภายใต้ชื่อ ชีวะวิทยา |
วิชาเล่นแร่แปรธาตุ ศาสตร์ที่ถูกลืม