.........::เรื่องแปลกของชาวญี่ปุ่นที่คุณไม่รู้::..........
- ลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่น (ขี้เกรงใจ รักษาน้ำใจ)
มนุษย์เงินเดือนของผู้ชายชาวญี่ปุ่นทั่วไป เตี้ย ตาตี่ ปากเล็ก ขี้อาย ไม่กล้าแสดงความรู้สึก และการประชุมในญี่ปุ่นจะไม่มีกำหนด เมื่อหลังจากประชุมเสร็จ ลูกน้องก็ไม่กล้าปัดที่เจ้านายจะชวนไปดื่มต่อ นิสัยขี้เกรงใจของชาวญี่ปุ่นมักจะทำให้คนอื่นที่เป็นต่างชาติ ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว สมมุติเช่น คุณทำอาหารหรือขนมอะไรก็ได้ให้เขากิน พอเขากินแล้ว ถ้าอาหารนั้นอร่อยหรือไม่ก็ตาม เขาก็จะพูดว่า "โออิชิ" ตลอดๆ เพื่อรักษาน้ำใจของคุณ สืบมาว่า ที่คนญี่ปุ่นรักษาน้ำใจได้ดีขนาดนี้ ก็เพราะเมื่อพูดตรงไปจะทำให้บรรยากาศในช่วงนั้นชืดมืดเลยทีเดียว และจะไม่ไว้หน้าคนที่ทำเป็นอย่างยิ่ง จะดีไม่ดีก็ต้องรักษาน้ำใจไว้ก่อน มาวิจารณ์ทีหลังว่าไม่อร่อยเมื่อพ้นจากคนทำก็ว่ากันอีกที
* ถ้าคุณมีเพื่อนเป็นชาวญี่ปุ่น ถ้าเขาพูดลักษณะเกรงใจกันแบบนี้ เขาอาจจะหมายถึง..
- เช่น -
1. เมื่อคุณชวนเขามาเที่ยวที่บ้าน ถ้าบ้านคุณคนเยอะและมีเด็กซุกซนส่งเสียงเจ๊าะแจ๊ะ ถ้าเขาพูดว่า "บ้านคุณคนคึกคักจังเลยนะ อบอุ่นจัง" แต่ในใจเขาจะมีความหมายตรงกันข้ามคือ "รำคาญชะมัด ทำงานมาเหนื่อยๆยังต้องมาเจอคนพวกนี้อีก"
2. ถ้าคุณชวนเขาไปเที่ยว ถ้าเขาพูดว่า " อืม ขอคิดดูก่อนนะ ฉันอาจจะไปก็ได้ " นั้นคุณก็คิดไว้ได้เลยว่า "เขาไม่ไป"
- สายตาคนญี่ปุ่น ทุกอย่างในโลกต้องมีคำว่า "คาวาอิ" (น่ารัก)
แม้แต่ก้อนหินริมทางที่ตกอยู่กลางถนน เขาพบแล้วก็ไม่วานที่จะพูดว่า "คาวาอิ" ได้ แล้วเอามาถ่ายรูปกันยกใหญ่ โอ้แปลกจุง ไม่มีอะไรที่ไม่มีคำว่า น่ารัก ในสายตาคนญี่ปุ่น ขนาดคุยกัน คู่สนทนาเป็นหวัดเสียงแหบแห้ง คนญี่ปุ่นยังต้องพูดว่า "เป็นหวัดสิท่า เสียงน่ารักจังเลย" และไม่ว่าคุณจะทำอะไรออกมาก็ตาม ไม่ว่าผลงานนั้นจะสวยไม่สวย เขาก็จะพูดว่า "คาวาอิ" ของทุกอย่างที่คนญี่ปุ่นจะดู ต้องพูดคำว่า "คาวาอิ" ก่อนที่หยิบขึ้นมาดู และถ่ายรูปกันยกใหญ่ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมประเทศญี่ปุ่น ถึงเหมือนดินแดนการ์ตูน และมีสิ่งของน่ารักๆกันตรึม ก็เพราะมาจากคำว่า "คาวาอิ" นั่นแหล่
หกล้มจนเป็นแผลและติดพลาสเตอร์ลายการ์ตูน - "คาวาอิ"
ทำอะไรก็ตามที่แหวกแนว - " คาวาอิ"
ผมไปสืบมา ขนาดคนญี่ปุ่นส่งเมล์คุยกันในลักษณะแบบนี้ ยังต้อง "คาวาอิ"
A : ตอนนี้แฟนเธออยู่ไหม ?
B : อ๋อ ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียงน่ะ !!
A : เอ๋ะ เขาคงเหนื่อยสินะ
B : 555+ ใช่แล้ว นอนจนน้ำลายหยึดล่ะ เสียงกรนดังอย่างกับหมูร้อง
A : "คาาาาาาา วาาาาาาาาา อิ" ถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยสิ
- ผู้หญิงญี่ปุ่น (วัยรุ่น / แม่บ้าน / นางเอก AV)
1.1 ) หากเป็นเด็กวัยรุ่นผู้หญิงญี่ปุ่น จะใส่บิ๊กอายส์ ถือกระป๋าแบรนด์เนม และมักหมกมุ่นอยู่กับการลดน้ำหนักวันหยุดทีไรจะนัดกันออกมาเดินช๊อปปิ้ง กินไอศกรีม ฯลฯ พวกเธอทำงานประจำเป็นชิ้นเป็นอัน หารายได้พิเศษและนำเงินนั้นมาอัพเดตแฟชั่น ซื้อชุดคอมเพลย์บ้าๆบอๆมาแต่งด้วยเงินส่วนตัวของพวกเธอเอง ไม่มีการขอจากพ่อแม่
1.2) แม่บ้านชาวญี่ปุ่น หลังจากแต่งงานมาแล้ว จะเปลี่ยนนามสกุลทันทีตามผู้ชาย และต้องลาออกจากงานประจำมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว งานทุกอย่างในบ้าน พวกเธอต้องทำหมด ตั้งแต่สากกระบือยันเรือรบ ซื้อของ ทำกับข้าว แม้แต่ค่าใช้จ่ายในบ้าน พวกเธอยังต้องดูแล และบางครั้งก็จะจับกลุ่มเม้าส์มอยกับแม่บ้านใกล้ๆกันเมื่องานเสร็จ
1.3) นางเอก AV ถ้าใครถามคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้หญิง ด้วยคำว่า " ขอโทษนะครับ คุณมีเพื่อนหรือคนรู้จักเคยถ่าย AV บ้างไหม ?" คำตอบที่ได้กลับมาคือ สีหน้าเธอจะเปลี่ยน และเธอจะโกธรคุณมาก และจะไม่ยอมคุยกับคุณสักระยะ อย่างน้อยสุดก็ 2-3 วัน และที่น่าตกใจคือ เธอจะกลับมาให้คำตอบกับคุณทีหลังว่า "เคย อยากดูซีดีของเพื่อนเธอไหมล่ะ " !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เธอคงอยากจะตอบให้คุณให้หายข้องใจ หรือที่ว่า "ถ้านายอยากรู้นัก ฉันก็จะตอบให้" 555+
- โตเกียว (ชั่วโมงเร่งด่วน)
ทางเท้า โตเกียวคือเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น เมื่อเทียบพื้นที่ 180 ตารางกิโลเมตร ถ้าในอเมริกา คนจะอยู่ได้ 1 คน แต่เมื่ออยู่ที่ญี่ปุ่นจะอยู่ได้ 11 คน ทุกๆชั่วโมงเร่งด่วน คนญี่ปุ่นจะข้ามถนนพร้อมกัน 3000 คน คนต่างชาติที่หลงอยู่ในนั้น ยังต้องงงว่า ตกลงจะเดินไปกับใครดีหว่า เดินแบบเหมือนฝูงปลาแหวกว่ายกันกลางถนน ไม่รู้ทิศทาง ทางที่ดีคือ มีแผ่นที่ ที่ช่วยคุณได้
ทางรถไฟฟ้า ชั่วโมงเร่งด่วนในรถไฟฟ้า ถ้าใครจะไปเที่ยวในญี่ปุ่น กรุณาหลีกเลี่ยงที่จะนั่งรถไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วนของที่นี้จะดีกว่ามาก เพราะคนจะหนาแน่นเบียดเสียดอย่างกับปลากระป๋องยัดขวด ยัดกันแบบนั้นเกือบ 30 นาที หายใจไม่ออก เผลอๆ อาจจะโดนเหยียบเท้าจนบวมเที่ยวไม่สนุกกันไปเลยทีเดียว ยิ่งเป็นผู้หญิงขอให้ระวังพวกโรคจิตจะจับก้นคุณได้ซะดื้อๆ
- อาหารการกิน
ญี่ปุ่นมีอาหารทุกประเภท แต่ผลิตในประเทศแค่ร้อยละ 40 จำต้องนำเข้าส่วนหนึ่ง ชาวญี่ปุ่นกินได้เท่าที่อยากกิน และทิ้งเท่าที่กินไม่หมด จึงมีของเสียจากอาหารกว่า 23 ล้านตันต่อปี มากกว่า 4 เท่าของอาหารที่จะกินในแต่ละปี ในจำนวนนี้ของอาหารที่กินไม่หมด จะถูกส่งไปให้ประเทศที่ยากจน 5.9 ล้านตันต่อปี และส่วนใหญ่จะเป็นอาหารจำพวกสำเร็จรูป
- น้ำ แม้ญี่ปุ่นจะเป็นเกาะ และมีน้ำดื่มพอเลี้ยงประชากรของประเทศได้เหลือเฟือ แต่ยังนำเข้าน้ำแร่จากยุโรป 580,000 กิโลลิตรทุกปี หรือประมาณ 1,160 ล้านขวดต่อปี (รวยกันจริงๆประเทศนี้)
- ซูชิ สายพานซูชิตอนนี้มีทุกอย่างของอาหารญี่ปุ่น ทั้งซูชิ เนื้อย่าง พุดดิ้งด้วย ไม่รู้ทำไม เนื้อปลาทูน่าทั้งหมด 1.9 ตันทั่วโลก แต่ชาวญี่ปุ่นชาติเดียวก็บริโภค 710,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของเนื้อทูน่าที่ประชากรทั้่วโลกบริโภค จึงทำให้ปลาทูน่าเป็นปลาที่จะถูกจัดเป็นปลาทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ในเร็วๆนี้ ไม่เฉพาะทูน่า ยังมีปลาวาฬ และปลาทะเลอื่นๆเริ่มใกล้จะหมดไปในทะเลชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น เพื่อรู้การณ์ถึงอนาคตจะไม่มีปลากิน รัฐบาลเลยส่งเสริมการเพาะเลี้ยงปลาทูน่าและปลาต่างๆในกระชังทั่วทั้งเกาะญี่ปุ่น และชาวญี่ปุ่นยังใช้ตะเกียบ 23,000 ล้านคู่ต่อปี หรือคนละ 200 คู่ต่อปี ซึ่งมากว่าชาวจีนถึง 3 เท่า
- เทคโนโลยี
แม้ญี่ปุ่นจะมีเทคโนโลยีล้ำโลกเท่าเทียมกับอเมริกา แต่ขณะเดียวกันคนญี่ปุ่นยังรักษาขนมธรรมเนียมดั้งเดิมของตัวเองเป็นอย่างดีเยี่ยม ถึงญี่ปุ่นจะคิดค้นชักโครกโดยควบคุมด้วยปุ่มสารพัด แต่โถส้วมแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น เขาก็ยังนิยมใช้เหมือนกัน ถึงแม้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่น จะกลายเป็นหุ่นยนต์ซะเต็มตัวก็ไม่ปาน ตั้งแต่เช้ายันนอน เทคโนโลยีมาประคองไว้ก็เหอะ
- ชื่อ และนามสกุลญี่ปุ่น
คนญี่ปุ่นเป็นชาติที่นับถือธรรมชาติ หรือลัทธิชินโต เพราะฉะนั้น ชื่อของคนญี่ปุ่นจะออกมามีความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติซะส่วนใหญ่ เช่น ทานากะ ยามาดะ ซูซูกิ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งมีความหมายแฝงคือ ต้องมีความเป็นธรรมชาติอยู่ในนั้น เช่น น้ำตก ทุ่งนา ภูเขา หาดทราย เป็นต้น
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าถามคนญี่ปุ่นว่ากลัวอะไรมากที่สุด ก็คงตอบว่ากลัวธรรมชาติอยู่ดีนั้นแหล่ เพราะชีวิตจริงเจอมาเยอะ ทั้ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟ สึนามิ ไต้ฝุ่น ฯลฯ
- มารยาท (ก้มหัวคำนับจนลูกค้าจากไป)
คนญี่ปุ่นถูกขัดเกลามารยาทมาตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีมารยาทดีอันดับต้นๆของโลก พื้นฐานนิสัยของคนญี่ปุ่นคือ ชอบให้ใฝ่ตรงข้ามนับถือตนด้วย มารยาทก็เป็นการเช็กกันคบหาของคนที่นี้ ถ้าคุณมีนิสัยไม่พึ่งประสงค์กับเขา เขาจะค่อยๆหักคะแนนการคบหาคุณไปทีละน้อยๆ จนต้องขึ้นบัญชีดำ แล้วหลังจากนั้น เขาจะกลายเป็นคนละคน จากที่สนิทสนมกับคุณ จะกลายเป็นคนเย็นชาเหมือนไม่รู้จัก
และมารยาทของคนที่นี้ยังถูกนำไปใช้กันในชีวิตประจำวัน เช่น การต้อนรับลูกค้า คุณไปซื้อของกับร้าน พนักงานจะออกมายืนอยู่หน้าร้านโค้งคำนับคุณจนลับสายตา และในกรณีของโรงแรมก็เช่นเดียวกัน ถึงคุณจะขึ้นรถบัสแล้วก็เหอะ เขาก็จะยืนรอโค้งคำนับคุณจนลับสายตา ถึงจะติดไฟแดงก็ตาม เมื่อเขายังเห็นคุณ เขาก็ยังยืนอยู่คำนับแบบนั้น จนคุณจะผ่านไปจากตรงนั้น
- สถิติการฆ่าตัวตาย
ในแต่ละปี จะมีการจัดอันดับประเทศที่มีการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ฆ่าตัวตายสูงที่สุดในกลุ่ม ในแต่ละปีที่หลังภูเขาฟูจิจะมีศพการฆ่าตัวตาย 200 ศพ หรือมากกว่านั้นทุกปี แต่วิธีการฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นที่ฮิตกันสุดๆก็คือ กระโดดลงลางรถไฟ (แต่คุณอย่าคิดว่าเมื่อฆ่าตัวตายในรถไฟแล้ว คุณจะหนีรอดคนเดียว แต่คนที่จะเดือดร้อนก็คือญาติๆของคุณ ที่จะต้องถูกจับมาสอบสวนและต้องปรับจ่ายค่าเสียเวลา
ค่ารักษาความสะอาดให้กับสถานีนี้อีกด้วย)
- ลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่น (ขี้เกรงใจ รักษาน้ำใจ)
มนุษย์เงินเดือนของผู้ชายชาวญี่ปุ่นทั่วไป เตี้ย ตาตี่ ปากเล็ก ขี้อาย ไม่กล้าแสดงความรู้สึก และการประชุมในญี่ปุ่นจะไม่มีกำหนด เมื่อหลังจากประชุมเสร็จ ลูกน้องก็ไม่กล้าปัดที่เจ้านายจะชวนไปดื่มต่อ นิสัยขี้เกรงใจของชาวญี่ปุ่นมักจะทำให้คนอื่นที่เป็นต่างชาติ ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว สมมุติเช่น คุณทำอาหารหรือขนมอะไรก็ได้ให้เขากิน พอเขากินแล้ว ถ้าอาหารนั้นอร่อยหรือไม่ก็ตาม เขาก็จะพูดว่า "โออิชิ" ตลอดๆ เพื่อรักษาน้ำใจของคุณ สืบมาว่า ที่คนญี่ปุ่นรักษาน้ำใจได้ดีขนาดนี้ ก็เพราะเมื่อพูดตรงไปจะทำให้บรรยากาศในช่วงนั้นชืดมืดเลยทีเดียว และจะไม่ไว้หน้าคนที่ทำเป็นอย่างยิ่ง จะดีไม่ดีก็ต้องรักษาน้ำใจไว้ก่อน มาวิจารณ์ทีหลังว่าไม่อร่อยเมื่อพ้นจากคนทำก็ว่ากันอีกที
* ถ้าคุณมีเพื่อนเป็นชาวญี่ปุ่น ถ้าเขาพูดลักษณะเกรงใจกันแบบนี้ เขาอาจจะหมายถึง..
- เช่น -
1. เมื่อคุณชวนเขามาเที่ยวที่บ้าน ถ้าบ้านคุณคนเยอะและมีเด็กซุกซนส่งเสียงเจ๊าะแจ๊ะ ถ้าเขาพูดว่า "บ้านคุณคนคึกคักจังเลยนะ อบอุ่นจัง" แต่ในใจเขาจะมีความหมายตรงกันข้ามคือ "รำคาญชะมัด ทำงานมาเหนื่อยๆยังต้องมาเจอคนพวกนี้อีก"
2. ถ้าคุณชวนเขาไปเที่ยว ถ้าเขาพูดว่า " อืม ขอคิดดูก่อนนะ ฉันอาจจะไปก็ได้ " นั้นคุณก็คิดไว้ได้เลยว่า "เขาไม่ไป"
- สายตาคนญี่ปุ่น ทุกอย่างในโลกต้องมีคำว่า "คาวาอิ" (น่ารัก)
แม้แต่ก้อนหินริมทางที่ตกอยู่กลางถนน เขาพบแล้วก็ไม่วานที่จะพูดว่า "คาวาอิ" ได้ แล้วเอามาถ่ายรูปกันยกใหญ่ โอ้แปลกจุง ไม่มีอะไรที่ไม่มีคำว่า น่ารัก ในสายตาคนญี่ปุ่น ขนาดคุยกัน คู่สนทนาเป็นหวัดเสียงแหบแห้ง คนญี่ปุ่นยังต้องพูดว่า "เป็นหวัดสิท่า เสียงน่ารักจังเลย" และไม่ว่าคุณจะทำอะไรออกมาก็ตาม ไม่ว่าผลงานนั้นจะสวยไม่สวย เขาก็จะพูดว่า "คาวาอิ" ของทุกอย่างที่คนญี่ปุ่นจะดู ต้องพูดคำว่า "คาวาอิ" ก่อนที่หยิบขึ้นมาดู และถ่ายรูปกันยกใหญ่ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมประเทศญี่ปุ่น ถึงเหมือนดินแดนการ์ตูน และมีสิ่งของน่ารักๆกันตรึม ก็เพราะมาจากคำว่า "คาวาอิ" นั่นแหล่
(ตัวอย่าง) คนนิโกรแต่งชุดคอสเพลย์ - "คาวาอิ"
คนฟันหลอ ฟันผุ ฟันดำ - "คาวาอิ"
หน้าตาโกธรจัด ขมวดคิ้ว - "คาวาอิ" หกล้มจนเป็นแผลและติดพลาสเตอร์ลายการ์ตูน - "คาวาอิ"
ทำอะไรก็ตามที่แหวกแนว - " คาวาอิ"
ผมไปสืบมา ขนาดคนญี่ปุ่นส่งเมล์คุยกันในลักษณะแบบนี้ ยังต้อง "คาวาอิ"
A : ตอนนี้แฟนเธออยู่ไหม ?
B : อ๋อ ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียงน่ะ !!
A : เอ๋ะ เขาคงเหนื่อยสินะ
B : 555+ ใช่แล้ว นอนจนน้ำลายหยึดล่ะ เสียงกรนดังอย่างกับหมูร้อง
A : "คาาาาาาา วาาาาาาาาา อิ" ถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยสิ
- ผู้หญิงญี่ปุ่น (วัยรุ่น / แม่บ้าน / นางเอก AV)
1.1 ) หากเป็นเด็กวัยรุ่นผู้หญิงญี่ปุ่น จะใส่บิ๊กอายส์ ถือกระป๋าแบรนด์เนม และมักหมกมุ่นอยู่กับการลดน้ำหนักวันหยุดทีไรจะนัดกันออกมาเดินช๊อปปิ้ง กินไอศกรีม ฯลฯ พวกเธอทำงานประจำเป็นชิ้นเป็นอัน หารายได้พิเศษและนำเงินนั้นมาอัพเดตแฟชั่น ซื้อชุดคอมเพลย์บ้าๆบอๆมาแต่งด้วยเงินส่วนตัวของพวกเธอเอง ไม่มีการขอจากพ่อแม่
1.2) แม่บ้านชาวญี่ปุ่น หลังจากแต่งงานมาแล้ว จะเปลี่ยนนามสกุลทันทีตามผู้ชาย และต้องลาออกจากงานประจำมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว งานทุกอย่างในบ้าน พวกเธอต้องทำหมด ตั้งแต่สากกระบือยันเรือรบ ซื้อของ ทำกับข้าว แม้แต่ค่าใช้จ่ายในบ้าน พวกเธอยังต้องดูแล และบางครั้งก็จะจับกลุ่มเม้าส์มอยกับแม่บ้านใกล้ๆกันเมื่องานเสร็จ
1.3) นางเอก AV ถ้าใครถามคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้หญิง ด้วยคำว่า " ขอโทษนะครับ คุณมีเพื่อนหรือคนรู้จักเคยถ่าย AV บ้างไหม ?" คำตอบที่ได้กลับมาคือ สีหน้าเธอจะเปลี่ยน และเธอจะโกธรคุณมาก และจะไม่ยอมคุยกับคุณสักระยะ อย่างน้อยสุดก็ 2-3 วัน และที่น่าตกใจคือ เธอจะกลับมาให้คำตอบกับคุณทีหลังว่า "เคย อยากดูซีดีของเพื่อนเธอไหมล่ะ " !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เธอคงอยากจะตอบให้คุณให้หายข้องใจ หรือที่ว่า "ถ้านายอยากรู้นัก ฉันก็จะตอบให้" 555+
- โตเกียว (ชั่วโมงเร่งด่วน)
ทางเท้า โตเกียวคือเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น เมื่อเทียบพื้นที่ 180 ตารางกิโลเมตร ถ้าในอเมริกา คนจะอยู่ได้ 1 คน แต่เมื่ออยู่ที่ญี่ปุ่นจะอยู่ได้ 11 คน ทุกๆชั่วโมงเร่งด่วน คนญี่ปุ่นจะข้ามถนนพร้อมกัน 3000 คน คนต่างชาติที่หลงอยู่ในนั้น ยังต้องงงว่า ตกลงจะเดินไปกับใครดีหว่า เดินแบบเหมือนฝูงปลาแหวกว่ายกันกลางถนน ไม่รู้ทิศทาง ทางที่ดีคือ มีแผ่นที่ ที่ช่วยคุณได้
ทางรถไฟฟ้า ชั่วโมงเร่งด่วนในรถไฟฟ้า ถ้าใครจะไปเที่ยวในญี่ปุ่น กรุณาหลีกเลี่ยงที่จะนั่งรถไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วนของที่นี้จะดีกว่ามาก เพราะคนจะหนาแน่นเบียดเสียดอย่างกับปลากระป๋องยัดขวด ยัดกันแบบนั้นเกือบ 30 นาที หายใจไม่ออก เผลอๆ อาจจะโดนเหยียบเท้าจนบวมเที่ยวไม่สนุกกันไปเลยทีเดียว ยิ่งเป็นผู้หญิงขอให้ระวังพวกโรคจิตจะจับก้นคุณได้ซะดื้อๆ
- อาหารการกิน
ญี่ปุ่นมีอาหารทุกประเภท แต่ผลิตในประเทศแค่ร้อยละ 40 จำต้องนำเข้าส่วนหนึ่ง ชาวญี่ปุ่นกินได้เท่าที่อยากกิน และทิ้งเท่าที่กินไม่หมด จึงมีของเสียจากอาหารกว่า 23 ล้านตันต่อปี มากกว่า 4 เท่าของอาหารที่จะกินในแต่ละปี ในจำนวนนี้ของอาหารที่กินไม่หมด จะถูกส่งไปให้ประเทศที่ยากจน 5.9 ล้านตันต่อปี และส่วนใหญ่จะเป็นอาหารจำพวกสำเร็จรูป
- น้ำ แม้ญี่ปุ่นจะเป็นเกาะ และมีน้ำดื่มพอเลี้ยงประชากรของประเทศได้เหลือเฟือ แต่ยังนำเข้าน้ำแร่จากยุโรป 580,000 กิโลลิตรทุกปี หรือประมาณ 1,160 ล้านขวดต่อปี (รวยกันจริงๆประเทศนี้)
- ซูชิ สายพานซูชิตอนนี้มีทุกอย่างของอาหารญี่ปุ่น ทั้งซูชิ เนื้อย่าง พุดดิ้งด้วย ไม่รู้ทำไม เนื้อปลาทูน่าทั้งหมด 1.9 ตันทั่วโลก แต่ชาวญี่ปุ่นชาติเดียวก็บริโภค 710,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของเนื้อทูน่าที่ประชากรทั้่วโลกบริโภค จึงทำให้ปลาทูน่าเป็นปลาที่จะถูกจัดเป็นปลาทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ในเร็วๆนี้ ไม่เฉพาะทูน่า ยังมีปลาวาฬ และปลาทะเลอื่นๆเริ่มใกล้จะหมดไปในทะเลชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น เพื่อรู้การณ์ถึงอนาคตจะไม่มีปลากิน รัฐบาลเลยส่งเสริมการเพาะเลี้ยงปลาทูน่าและปลาต่างๆในกระชังทั่วทั้งเกาะญี่ปุ่น และชาวญี่ปุ่นยังใช้ตะเกียบ 23,000 ล้านคู่ต่อปี หรือคนละ 200 คู่ต่อปี ซึ่งมากว่าชาวจีนถึง 3 เท่า
- เทคโนโลยี
แม้ญี่ปุ่นจะมีเทคโนโลยีล้ำโลกเท่าเทียมกับอเมริกา แต่ขณะเดียวกันคนญี่ปุ่นยังรักษาขนมธรรมเนียมดั้งเดิมของตัวเองเป็นอย่างดีเยี่ยม ถึงญี่ปุ่นจะคิดค้นชักโครกโดยควบคุมด้วยปุ่มสารพัด แต่โถส้วมแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น เขาก็ยังนิยมใช้เหมือนกัน ถึงแม้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่น จะกลายเป็นหุ่นยนต์ซะเต็มตัวก็ไม่ปาน ตั้งแต่เช้ายันนอน เทคโนโลยีมาประคองไว้ก็เหอะ
- ชื่อ และนามสกุลญี่ปุ่น
คนญี่ปุ่นเป็นชาติที่นับถือธรรมชาติ หรือลัทธิชินโต เพราะฉะนั้น ชื่อของคนญี่ปุ่นจะออกมามีความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติซะส่วนใหญ่ เช่น ทานากะ ยามาดะ ซูซูกิ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งมีความหมายแฝงคือ ต้องมีความเป็นธรรมชาติอยู่ในนั้น เช่น น้ำตก ทุ่งนา ภูเขา หาดทราย เป็นต้น
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าถามคนญี่ปุ่นว่ากลัวอะไรมากที่สุด ก็คงตอบว่ากลัวธรรมชาติอยู่ดีนั้นแหล่ เพราะชีวิตจริงเจอมาเยอะ ทั้ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟ สึนามิ ไต้ฝุ่น ฯลฯ
- มารยาท (ก้มหัวคำนับจนลูกค้าจากไป)
คนญี่ปุ่นถูกขัดเกลามารยาทมาตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีมารยาทดีอันดับต้นๆของโลก พื้นฐานนิสัยของคนญี่ปุ่นคือ ชอบให้ใฝ่ตรงข้ามนับถือตนด้วย มารยาทก็เป็นการเช็กกันคบหาของคนที่นี้ ถ้าคุณมีนิสัยไม่พึ่งประสงค์กับเขา เขาจะค่อยๆหักคะแนนการคบหาคุณไปทีละน้อยๆ จนต้องขึ้นบัญชีดำ แล้วหลังจากนั้น เขาจะกลายเป็นคนละคน จากที่สนิทสนมกับคุณ จะกลายเป็นคนเย็นชาเหมือนไม่รู้จัก
และมารยาทของคนที่นี้ยังถูกนำไปใช้กันในชีวิตประจำวัน เช่น การต้อนรับลูกค้า คุณไปซื้อของกับร้าน พนักงานจะออกมายืนอยู่หน้าร้านโค้งคำนับคุณจนลับสายตา และในกรณีของโรงแรมก็เช่นเดียวกัน ถึงคุณจะขึ้นรถบัสแล้วก็เหอะ เขาก็จะยืนรอโค้งคำนับคุณจนลับสายตา ถึงจะติดไฟแดงก็ตาม เมื่อเขายังเห็นคุณ เขาก็ยังยืนอยู่คำนับแบบนั้น จนคุณจะผ่านไปจากตรงนั้น
- สถิติการฆ่าตัวตาย
ในแต่ละปี จะมีการจัดอันดับประเทศที่มีการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ฆ่าตัวตายสูงที่สุดในกลุ่ม ในแต่ละปีที่หลังภูเขาฟูจิจะมีศพการฆ่าตัวตาย 200 ศพ หรือมากกว่านั้นทุกปี แต่วิธีการฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นที่ฮิตกันสุดๆก็คือ กระโดดลงลางรถไฟ (แต่คุณอย่าคิดว่าเมื่อฆ่าตัวตายในรถไฟแล้ว คุณจะหนีรอดคนเดียว แต่คนที่จะเดือดร้อนก็คือญาติๆของคุณ ที่จะต้องถูกจับมาสอบสวนและต้องปรับจ่ายค่าเสียเวลา
ค่ารักษาความสะอาดให้กับสถานีนี้อีกด้วย)
เรื่องแปลกของชาวญี่ปุ่นที่คุณไม่รู้